Archive

Archive for June, 2011

สาวกเอไอเอสแบล็คเบอรี่สมัครแพ็คเสริมบีบี ลด 50 %

June 9th, 2011 No comments


กระแสแบล็คเบอรี่ยังคงแรงไม่หยุด  ล่าสุดเอไอเอสจึงมอบโปรโมชั่นสุดคุ้มให้สาวกขาแช็ตที่ซื้อเอไอเอสแบล็คเบอรี่รุ่นใดก็ได้ รับส่วนลด 50 % นาน 4 เดือน เมื่อสมัครแพ็คเสริมแบล็คเบอรี่ ประกอบด้วย แช็ท-เฟซบุ๊ค  จากเดิม 300 บาท เหลือ 150 บาท, อินเตอร์เน็ต 450 บาท เหลือ 225 บาท และ อันลิมิเต็ด จาก 799 บาท เหลือเพียง 400 บาท ภายในเดือนมิถุนายน ศกนี้ พบข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www..co.th/blackberry

View :1390

ไอ – โมบาย เปิดบริการ “ imm แชต” โปรแกรมแชตบนมือถือฟีเจอร์โฟน

June 9th, 2011 No comments

 

บริษัท สามารถ ไอ – โมบาย จำกัด ( มหาชน ) ตอบโจทย์แบรนด์ที่เข้าใจคนไทยมากกว่า โดยอัพเดทเทคโนโลยีและบริการใหม่ล่าสุด   พร้อมเปิดตัวบริการ   i-mobile Instant Messenging หรือ โปรแกรมแชตบนมือถือฟีเจอร์โฟนครั้งแรกของไอ – โมบาย ที่มาพร้อม 5 ฟังก์ชั่น   “ imm แชตเทพ” ที่แตกต่าง บนโทรศัพท์มือถือกลุ่มแชต ซีรีส์ จาก i-mobile มาพร้อมโปรโมชั่นสำหรับลูกค้า ด้วยแพ็คเกจราคาสุดคุ้ม จากเครือข่ายโทรศัพท์มือถือที่เปิดให้บริการ ได้แก่ เอไอเอส ทรูมูฟ และดีแทค ด้วยอัตราค่าบริการเพียง 20 บาทต่อ 5 วัน เจาะกลุ่มเป้าหมายนักแชตวัยรุ่น ที่ต้องการติดต่อสื่อสารกันทุกที่ทุกเวลา ผ่านโทรศัพท์มือถือ i-mobile ครั้งแรกกับการเปิดตัวภาพยนตร์โฆษณาชุดล่าสุดของไอ – โมบาย “ immchat” โปรแกรมแชตบนโทรศัพท์มือถือ i-mobile ที่สนุกและเข้าใจวัยรุ่นที่สุด

นายวัฒน์ชัย วิไลลักษณ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท สามารถ ไอ – โมบาย จำกัด ( มหาชน ) เปิดเผยว่า “ ไอ – โมบายปรับกลยุทธ์การตลาดใหม่ ตอกย้ำแคมเปญ i-mobile เพราะเราเข้าใจ พร้อมรับมือกับเทคโนโลยีของโทรศัพท์มือถือนวัตกรรมใหม่ๆ ในทุกเซ็กเม้นต์ เพื่อตอบโจทย์เข้าใจทุกความต้องการของผู้บริโภค โดยเฉพาะกลุ่มผลิตภัณฑ์ i-mobile แชต ซีรีส์ ที่เจาะกลุ่มวัยรุ่น ที่นิยมการสื่อสารเป็นกลุ่มและพร้อมเปิดรับเทคโนโลยีใหม่ ๆ อยู่ตลอดเวลา   และในปัจจุบันการสื่อสารในรูปแบบออนไลน์ ผ่านโซเชียล เน็ตเวิร์ค กำลังเป็นที่นิยม เพราะทุกคนสามารถแชร์ข่าวสาร หรือข้อความ ภาพ และเสียง รวมไปถึงการแชต ที่มีอยู่ในโทรศัพท์มือถือ เพราะมีความสะดวก และตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค ที่ต้องการติดต่อสื่อสารทุกที่ทุกเวลา ”

ทางด้านคุณธนานันท์ วิไลลักษณ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท สามารถ ไอ – โมบาย จำกัด ( มหาชน ) กล่าวว่า “ ไอ – โมบายใช้งบการตลาดถึง 60 ล้านบาท วางแผนเปิดตัวบริการ “ imm แชต” โปรแกรมแชตเฉพาะโทรศัพท์มือถือ i-mobile เป็นการทำงานในรูปแบบรับส่งข้อความแบบทันที (Instant Messenging) โดยสามารถรับส่งข้อมูลได้ตลอดเวลา แม้ในขณะปิดเครื่อง ซึ่งในขณะนี้สามารถใช้งานได้กับมือถือ i-mobile กลุ่ม แชตซีรีส์ ในรุ่นที่รองรับจาวาทุกรุ่น โดยจะออนไลน์ผ่าน EDGE หรือ GPRS ด้วยโปรโมชั่นสุดคุ้ม เพียง 20 บาทต่อ 5 วัน โดยภายในปีนี้ วางแผนเปิดตัวโทรศัพท์มือถือสำหรับรุ่นที่รองรับการใช้งาน “ imm แชต”   จำนวน 20 รุ่น ในราคาเริ่มต้นตั้งแต่ 1,790 บาทเป็นต้นไป ตั้งเป้าผู้ใช้บริการ 300,000 คน ภายในสิ้นปีนี้ ”

“ สำหรับกลุ่มเป้าหมายของ “ imm แชต” คือกลุ่มวัยรุ่นทั้งที่ เป็นนักเรียน นักศึกษา และวัยทำงาน         ที่มีอายุระหว่าง 15-22 ปี และมีไลฟ์สไตล์ที่ชอบเข้าสังคมกับกลุ่มเพื่อน นอกจากนี้ยังรุกเดินหน้าด้วยกิจกรรมส่งเสริมการตลาด และการโปรโมทผ่านกลุ่มศิลปิน ดารา เซเลบริตี้ และกลุ่มนักกีฬา โดยสามารถเข้ามาแชตออนไลน์ได้แล้วในขณะนี้ เช่น กลุ่มไลฟ์สไตล์ กลุ่ม EDT กิน ดื่ม เที่ยว และกลุ่มดูหนังฟังเพลง จากทีมงานไอ – โมบาย กลุ่มไทยลีกออนไลน์ และซุบซิบดารา จากบมจ . สยามอินเตอร์ มัลติมีเดีย กลุ่มเมืองทองฯยูไนเต็ด โดยมีนักฟุตบอลทีมเมืองทองฯมาร่วมแชต และกลุ่มผิวใสไร้สิว โดยมีหมอ โอ๊ค สมิทธิ์ มาแนะนำเคล็ดลับผิวใส   ซึ่งจะสามารถเพิ่มยอดผู้ใช้บริการได้แพร่หลายและรวดเร็วขึ้น นอกจากนี้ยังวางแผน โปรโมทแคมเปญตลอดเดือนมิถุนายนถึงสิงหาคม เช่น โฆษณาผ่านสื่อโทรทัศน์ สปอร์ตวิทยุ โฆษณาผ่านสื่อสิ่งพิมพ์ต่อเนื่อง สื่อส่งเสริมการขายต่างๆ และกิจกรรมโรดโชว์ตามหัวเมืองใหญ่ 10 จังหวัด ทั่วประเทศ ” คุณธนานันท์กล่าวเสริม

การให้บริการ “ imm แชต”   ประกอบไปด้วยการให้บริการ 5 ฟังก์ชั่น คือ

1.      Push Alert          เสียงเตือน และสัญลักษณ์ เมื่อมีข้อความแชตเข้าแบบทันที

2.      File Transfer       รับ – ส่ง ไฟล์ภาพ   และเสียง   รวดเร็วทันใจ

3.      Teen Emoticon    ไอคอนสุดกวน โดนใจทุกอารมณ์ และ คำศัพท์วัยรุ่น สุดทีน

4.      Friend Search     ค้นหาเพื่อนคุยใหม่ แบบสุ่มดูเพื่อนที่กำลังออนไลน์ ค้นหาแบบเจาะจง ชื่อ เบอร์

โทรศัพท์ PIN หรือค้นหาตามโปรไฟล์ที่ลงทะเบียนไว้ พิเศษสุด ! คือฟังก์ชั่นค้นหาแบบกลุ่มจากคำสำคัญ และชื่อกลุ่ม

5.      Group Chat         แชตแบบเป็นแก๊ง โดยรองรับสมาชิกได้สูงสุดถึง 100 คน

สำหรับข้อดีที่แตกต่างของบริการ “ imm แชต”   คือ เมื่อเปลี่ยนเครื่อง สามารถนำซิมการ์ด   ออกไปใช้กับเครื่อง    i-mobile เครื่องอื่นได้   โดยรายชื่อเพื่อนใน imm ยังคงอยู่ และเมื่อเปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์ ยังสามารถกู้รายชื่อเพื่อน ใน imm กลับมาได้ เพราะข้อมูลต่าง ๆ ยังคงอยู่ที่เซิร์ฟเวอร์ ของไอ – โมบาย รวมถึงหากต้องการ ค้นหาเพื่อน โดยไม่จำเป็นต้องใช้การแลกพินอย่างเดียว   แต่สามารถสุ่มหาเพื่อนได้จาก เบอร์โทรศัพท์ ชื่อ เพศ อายุ การศึกษา หรือคนที่มีไลฟ์สไตล์ที่ตรงกันได้

ไอ – โมบายได้จัดโปรโมชั่น พิเศษบริการ “ imm แชต” ด้วยแพ็กเกจราคาสุดคุ้ม      เพื่อมอบให้แก่ลูกค้าไอ – โมบาย โดยได้รับความร่วมมือ จากเครือข่ายโทรศัพท์มือถือที่เปิดให้บริการ โดยสามารถทำการสมัครบริการ “ imm แชต” ผ่านเครือข่ายโทรศัพท์มือถือที่ใช้อยู่ หรือเปิดเบอร์ใหม่กับผู้ให้บริการ ได้แก่ เอไอเอส วันทูคอล   และทรูมูฟ สมัครบริการ “ imm แชต” ผ่านทางมือถือ i-mobile ได้ทันที   อัตราค่าบริการ 20 บาท ต่อ 5 วัน ใช้ฟรี 30 วัน สำหรับดีแทค และแฮปปี้ สมัครผ่าน IVR โทร *7556 อัตราค่าบริการ   20 บาท ต่อ 7 วัน   ถึงวันที่ 1 ตุลาคมนี้   นอกจากนี้ยังสามารถอัพเกรดซอฟต์แวร์ “ imm แชต” และเทรดเครื่อง ได้ที่ร้าน i-mobile by Samart เฉพาะสาขาที่ร่วมรายการ และร้านตัวแทนจำหน่าย ที่มีศูนย์บริการ         ไอ – โมบาย เซอร์วิส เซ็นเตอร์ 82 สาขาทั่วประเทศ หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่หมายเลข   0-2975-5555 หรือเว็บไซต์ www.i-mobilephone.com

ทั้งนี้ ไอ – โมบาย ได้เปิดตัวภาพยนตร์โฆษณาชุดใหม่ภายใต้ชื่อ “ immchat”     โดยนำเสนอโปรแกรมแชตทางโทรศัพท์มือถือ i-mobile ทั้ง 5 ฟังก์ชั่นขั้นเทพ ผ่าน 5 กลุ่มวัยรุ่นที่มีคาร์เร็คเตอร์ที่แตกต่างกัน ซึ่งเป็นตัวแทนถึงความสามารถของฟังก์ชั่นขั้นเทพที่มีประสิทธิภาพการใช้งานที่เหนือกว่า โดย โฆษณาชุด “ immchat” ความยาว 30 วินาที        เอเจนซี่ผลิตงานโฆษณาโดย บริษัท ซีเจเวิร์ค จำกัด เอเจนซี่ผลิตหนังโฆษณาโดย บริษัท เดอะฟิล์ม   แฟคตอรี่ จำกัด ออกอากาศครั้งแรกวันที่ 9 มิถุนายนนี้ พร้อมโปรโมทผ่านสื่อทุกประเภท เช่น โทรทัศน์ วิทยุ สิ่งพิมพ์ สื่อออนไลน์ สื่อหน้าร้าน และสื่อ outdoor ประเภทต่างๆ

นอกจากนี้ไอ – โมบายยังได้เอาใจคนชอบแชต โดยสามารถเข้าชมบูธไอ – โมบายและทดลองใช้งานฟังก์ชั่น “ imm แชต”   จากโทรศัพท์มือถือ i-mobile ทั้ง 9 รุ่น พร้อมชมนินิคอนเสิร์ตจาก ดิม หรินทร์ สุธรรมจรัส ในวันศุกร์ที่ 10 มิถุนายนนี้ เวลา 17.00 น . และมินิคอนเสิร์ตจากค่ายอาร์เอส   เชน ธนา   ลิมปยารยะ   ในวันอาทิตย์ที่ 12 มิถุนายนนี้ เวลา 17.00 น . รวมถึงโซนกิจกรรมเพ้นเสื้อยืดจากไอ – โมบาย ตลอดวัน สำหรับบูธกิจกรรมการโปรโมท “ imm แชตเทพ” จะจัดแสดงไปจนถึงวันที่ 12 มิถุนายนนี้ ที่ Digital Gateway สยามสแควร์

View :2863

ก.ไอซีที นำหน่วยงานรัฐ-เอกชนไทยร่วมทดสอบ IPv 6 พร้อมทั่วโลก เพื่อก้าวสู่จุดเปลี่ยน IPv 6 ของประเทศ

June 8th, 2011 No comments

นายธานีรัตน์ ศิริปะชะนะ รองปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร   เปิดเผยภายหลังเป็นประธานในพิธีเปิดการประชุมสัมมนา “ ก้าวสู่จุดเปลี่ยน IPv 6 ประเทศไทย ” ว่า หลังจากกระทรวงไอซีที ได้ประกาศนำประเทศไทยสู่ IPv 6 เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2554 โดยมีสำนักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) เป็นหน่วยงานนำร่อง   และมีรัฐวิสาหกิจภายใต้สังกัดกระทรวงฯ ได้แก่ บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) และบริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) ร่วมดำเนินการในเรื่องนี้แล้ว กระทรวงฯ ได้เดินหน้านำประเทศไทยเริ่มการเปลี่ยนผ่านไปสู่   IPv 6 โดยการร่วมกิจกรรมในวันสำคัญของโลกอินเทอร์เน็ต คือ World IPv 6 Day ซึ่งทั่วโลกได้พร้อมใจกันทดสอบการใช้งาน IPv 4 และ IPv 6 ร่วมกัน ทั้งหน่วยงานจากภาคราชการ ภาคเอกชน ภาคการศึกษา รวมถึงเว็บไซต์ต่างๆ อาทิ Google ,   Facebook . Yahoo และผู้ให้บริการอื่นๆ จากประเทศต่างๆ ทั่วโลก ได้เข้าร่วมการทดสอบใช้งานจริงอย่างเต็มรูปแบบในวันนี้ (8 มิ.ย.54) เพื่อทำการทดสอบและตรวจสอบว่าการใช้งานร่วมกันระหว่าง IPv 4   และ IPv 6 จะมีผลกระทบหรือมีปัญหาใดบ้าง เมื่อต้องรองรับข้อมูลอินเทอร์เน็ตพร้อมกันทั้งโลก เพื่อจะได้สามารถเตรียมการในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงไปสู่เทคโนโลยี IPv 6 ต่อไปในอนาคต

“การวางแผนเพื่อเตรียมตัวและดำเนินการอย่างจริงจังเพื่อการใช้งาน IPv 6 ภายในปี 2554 และปี 2555 เป็นสิ่งสำคัญที่ต้องดำเนินการ เพื่อให้ธุรกิจและบริการสามารถดำเนินต่อไปในอนาคตได้ ซึ่งถือเป็นการ   upgrade   อินเทอร์เน็ตครั้งใหญ่ที่สุดในรอบกว่า     30 ปี อย่างไรก็ตาม การดำเนินการเพื่อให้ได้ผลที่ดีนั้น จำเป็นต้องมีการเตรียมการ มีการวางแผนในเรื่องการลงทุนและระยะเวลาที่ชัดเจน เพื่อไม่ให้เกิดการเร่งดำเนินการหรือต้องดำเนินการโดยเร่งด่วน ซึ่งจะทำให้มีค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น การวางแผนเพื่อการย้ายและการใช้งาน IPv 6 เป็นสิ่งจำเป็นและสำคัญต่อการขยายตัวอย่างมั่นคงของอินเทอร์เน็ต รวมถึงต่อวงการ ICT   ซึ่งไม่ใช่เฉพาะกับผู้ใช้งานในสำนักงานหรือระดับองค์กรเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงผู้ใช้งานส่วนบุคคลอีกด้วย” นายธานีรัตน์ กล่าว

นอกจากการร่วมทดสอบการใช้งาน IPv 4 และ IPv 6 แล้ว กระทรวงฯ ยังได้ร่วมกับสมาคมไอพีวี 6 ประเทศไทย ( IPv 6 Forum Thailand) และสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) จัดการประชุมสัมมนาเรื่อง “ ก้าวสู่จุดเปลี่ยน IPv 6 ประเทศไทย ” ขึ้น   เพื่อสร้างความตระหนัก ความรู้ และความเข้าใจในการเตรียมแผนความพร้อมให้แก่ผู้ใช้งานและผู้ประกอบการในประเทศ ซึ่งงานนี้จะมีการบรรยายและเสวนาเพื่อนำเสนอแผนรับมือและการเตรียมศักยภาพและความพร้อมด้าน IPv 6 ของหน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชนของประเทศไทย ตลอดจนมีการนำเสนอนิทรรศการแสดงการเชื่อมต่อเครือข่ายและการใช้งานกับเครือข่าย IPv 6 ที่ร่วมทดสอบใน World IPv 6 Day ด้วย

“การสัมมนาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างการเรียนรู้จากประสบการณ์จริงของแผนรับมือการเปลี่ยนสู่ IPv 6 ของหน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งเพื่อร่วมทดสอบและตรวจสอบการใช้งานจริงอย่างเต็มรูปแบบร่วมกันระหว่าง IPv 4 และ IPv 6 ของประเทศไทย และศึกษาถึงผลกระทบหรือปัญหาที่จะเกิดขึ้นเมื่อต้องรองรับข้อมูลอินเทอร์เน็ตพร้อมกันทั้งโลก นอกจากนี้ยังมีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนต่อการดำเนินนโยบายบรอดแบนด์แห่งชาติ ในการขยายโอกาสการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตอย่างทั่วถึง ตามเป้าหมายการขยายจำนวนผู้ใช้งานอีกกว่า 40 ล้านคน จากเป้าหมายร้อยละ 85 ของประชากรภายใน 3 ถึง 4 ปีข้างหน้า ซึ่งจำเป็นต้องอาศัยหมายเลขอินเทอร์เน็ตและการเชื่อมต่อด้วย IPv 6 โดยกระทรวงฯ ได้เชิญผู้บริหารระดับสูงและผู้อำนวยการด้านไอทีของหน่วยงานภาครัฐและเอกชน และผู้ประกอบการในภาคธุรกิจด้านไอที   นักวิชาการ และสื่อมวลชน จำนวน 250 คน เข้าร่วมการสัมมนาฯ

การหมดลงของหมายเลข   IPv 4   ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นกับภูมิภาคเอเชียเป็นภูมิภาคแรกของโลกในเร็วๆ นี้ จะสร้างปัญหาพอสมควร ต่อการขยายตัวของอินเทอร์เน็ต โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตรายใหม่ จึงทำให้การใช้งาน IPv 6 เป็นเรื่องเร่งด่วนขึ้น ซึ่งแม้จะมีการเริ่มใช้งานอินเทอร์เน็ตยุคใหม่ ( NGI : Next Generation Internet ) หรือก็คือ IPv 6 มากว่า 10 ปีแล้ว แต่ก็ได้รับความสนใจ    ในวงจำกัด โดยก่อนหน้านี้ได้มีความพยายามพัฒนาเทคนิคต่างๆ ในการขยายการใช้งานและยืดอายุ   IPv 4 แต่ถึงวันนี้โลกกำลังถึงจุดที่หมายเลข IPv 4 กำลังจะหมดลงอย่างแท้จริง ดังนั้น จึงไม่มีวิธีการแก้ไขปัญหาอื่นใดที่เหมาะสม นอกจากการเปลี่ยนถ่ายสู่การใช้งาน IPv 6 อย่างเดียวเท่านั้น“ นายธานีรัตน์ กล่าว

View :1431

ดีแทคมอบบัตรกำนัลส่วนลดให้ลูกค้าท่องเน็ตได้ทั่วโลกฟรีเมื่อซื้อสมาร์ทโฟน

June 8th, 2011 No comments

ดีแทคมอบบัตรกำนัลส่วนลดแพ็กเกจดาต้าโรมมิ่ง 299 บาท/วัน ให้ลูกค้าได้แชต เช็กเมล์ และท่องเน็ต 25 MB/วัน ในประเทศยอดฮิตทั่วโลก ครอบคลุมทั้งยุโรป เอเซีย และออสเตรเลีย บนเครือข่ายคุณภาพของโวดาโฟน เทเลนอร์ และพันธมิตรดีแทค โดยแคมเปญนี้จัดให้ลูกค้าดีแทคแบบรายเดือนรับไปเลยบัตรกำนัลส่วนลดมูลค่า 299 บาท จำนวน 3 ใบ เมื่อซื้อ iPhone4, BlackBerry Bold 9780, Torch 9800, Samsung Galaxy S และ HTC (ทุกรุ่น) ที่สำนักงานบริการลูกค้าดีแทคทั้ง 24 สาขา (ยกเว้นสาขาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ) โดยสามารถรับสิทธิ์ได้ตั้งแต่วันนี้-15 ก.ค. นี้ และบัตรกำนัลนี้สามารถนำไปใช้เป็นส่วนลดได้ถึง 31 ธ.ค. 2554

View :1237
Categories: SmartPhone/Mobile phone Tags:

โครงการ SME สินเชื่อเพื่อกิจการซอฟต์แวร์ไทย

June 8th, 2011 No comments

ปัญหาใหญ่ที่ทำให้ผู้ประกอบการและนักพัฒนาซอฟต์แวร์ ไม่สามารถปรับปรุงหรือต่อยอดผลิตภัณฑ์และบริการได้เรื่องหนึ่ง คือการขาดแหล่งเงินทุน เช่นเดียวกับผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่อยากจัดซื้อซอฟต์แวร์ งานดิจิทัลคอนเทนท์ หรือระบบไอทีไปใช้เสริมธุรกิจ แต่ก็ประสบปัญหาด้านเงินทุนหมุนเวียน ส่วนหนึ่งเป็นเพราะสถาบันการเงินไม่เข้าใจในธุรกิจซอฟต์แวร์ และการจัดซื้อซอฟต์แวร์ไปใช้ไม่เหมือนกับการซื้อบ้านหรือซื้อรถไปใช้ จึงเป็นเรื่องยากที่จะผ่านการอนุมัติสินเชื่อ

สำนักงานส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ และ Bank เข้าใจถึงปัญหานี้จึงมี โครงการ สินเชื่อเพื่อกิจการซอฟต์แวร์ไทย (รวมถึงธุรกิจดิจิทัลคอนเทนท์) เพื่อช่วยเหลือ ด้านแหล่งเงินทุนหมุนเวียนปลดล็อคข้อจำกัด ในการขอสินเชื่อเพียงแค่ผู้ขอกู้ผ่านหลักเกณฑ์ขั้นต้นที่กำหนดเท่านั้นก็มีสิทธิ์ได้รับการอนุมัติสินเชื่อ

ใครๆ ก็กู้ได้ ใช้ได้หลากหลายวัตถุประสงค์

สำหรับผู้ประกอบการซอฟต์แวร์หรือดิจิทัลคอนเทนท์ ที่สนใจขอกู้เพื่อนำเงินไปใช้ในการพัฒนา ปรับปรุง เพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตผลิตภัณฑ์หรือบริการของตน นำไปจ้างงานหรือใช้หมุนเวียนในกิจการก็สามารถขอกู้ได้เพียงจัดเตรียมแผนงานโครงการเข้ามาให้ SIPA พิจารณา หรือกรณีเป็นผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่ดำเนินกิจการอื่นๆ ทั่วไปหากต้องการจัดซื้อซอฟต์แวร์ไปใช้เสริมประสิทธิภาพธุรกิจเพิ่มศักยภาพการแข่งขัน หรือต้องการนำเงินไปจ้างผลิตงานด้านซอฟต์แวร์ ไอที ดิจิทัลคอนเทนท์ เช่น ออกแบบเว็บไซต์เพื่อการทำ e-commerce จ้างออกแบบ catalogue สินค้า ฯลฯ ก็สามารถกู้ได้ในโครงการนี้เพียงมี คุณสมบัติดังนี้
 
เป็นบุคคลธรรมดา อายุ 20-65 ปีเมื่อรวมระยะเวลากู้และมีเงินลงทุนในกิจการส่วนหนึ่ง หรือหากเป็นนิติบุคคล ต้องเป็นกิจการในประเทศไทย มีคนไทยถือหุ้นเกิน 50% และไม่มีสถานะตามที่กฎหมายระบุห้ามต่างๆ
 
ผู้ประกอบการซอฟต์แวร์ต้องยื่นเอกสารทางด้านเทคนิคและการตลาด นำเสนอให้คณะกรรมการพิจารณาโครงการกลั่นกรองตามที่ SIPA และ SME Bank กำหนด
 
ผู้ซื้อซอฟต์แวร์หรือผู้ต้องการจัดจ้างบริการซอฟต์แวร์และดิจิทัลคอนเทนท์ที่เป็นองค์กรขนาดกลางและขนาดเล็ก สามารถเสนอโครงการขอกู้โดยผ่านการคัดเลือกจาก SME Bank ได้โดยตรง
 
ข้อมูลเพิ่มเติมสามารถดูได้ที่

http://www.sipa.or.th/index.php?option=com_news&task=detail&id=416&&Itemid=54

View :1507
Categories: Press/Release, Software Tags: , ,

จีเอสเอ็ม แอดวานซ์ ออกแพ็คเสริมใหม่ “จีเอสเอ็ม Unlimited Social Network by AIS Opera Mini”

June 8th, 2011 No comments

8 มิถุนายน 2554 : จีเอสเอ็ม แอดวานซ์  ต่อยอดแนวคิด Smart Mix & Match  เปิดแพ็คเสริมใหม่ “จีเอสเอ็ม Unlimited Social Network by Opera Mini” ปลดล็อคทุกข้อจำกัด เพื่อมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้สาวก Social Network ที่ใช้งาน Facebook , Twitter รวมทั้ง hi5 และ MySpace สามารถติดตามความเคลื่อนไหวในโลกออนไลน์ได้แบบไม่อั้น ในราคาสุดคุ้ม ด้วย Speed ที่เร็วขึ้น ผ่านเทคโนโลยีอันชาญฉลาดของเบราว์เซอร์ยอดนิยม “โอเปรา มินิ” ที่รองรับการใช้งานมือถือครบทุก Segment สมัครได้แล้วตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เพียงกด *678
 
นายฐิติพงศ์ เขียวไพศาล ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการอาวุโส สายงานการตลาด บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือเอไอเอส กล่าวว่า “เนื่องจากปัจจุบันกระแสการใช้งาน Social Network ในประเทศไทย มีอัตราการเติบโตเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Facebook ซึ่งได้รับความนิยมมากที่สุด มีจำนวนผู้ใช้งานถึงกว่า 9.8 ล้านราย ซึ่งกระแสดังกล่าวมีแนวโน้มว่าจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และจากการศึกษาพฤติกรรมการใช้งานพบว่ามีผู้ใช้งาน Social Network เพียง 4 ล้านราย ที่เชื่อมต่อสังคมออนไลน์ผ่านเครื่อง Smart Phone ดังนั้นจึงยังมีสาวก Social Network อีกเป็นจำนวนมากที่ต้องการติดตามความเคลื่อนไหวในโลกออนไลน์ผ่านมือถือ แต่ไม่ได้ใช้เครื่อง Smart Phone ซึ่งเป็นข้อจำกัดในการใช้งาน
 
ดังนั้นวันนี้เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคทุกกลุ่ม ทุก Segment ไม่เฉพาะกลุ่มที่ใช้งานเครื่อง Smart Phone เท่านั้น ให้สามารถติดตามความเคลื่อนไหวในโลกออนไลน์ โดยเฉพาะ Facebook  ผ่านมือถือได้แบบไม่อั้น  ทุกที่  ทุกเวลา  โดยไม่มีข้อจำกัดใดๆ  จีเอสเอ็ม แอดวานซ์ จึงจับมือกับพันธมิตรทางธุรกิจชื่อดัง “โอเปร่า มินิ” ซึ่งเป็นเบราว์เซอร์ยอดนิยมที่ได้รับความไว้วางใจจากทั่วโลก ในการนำเทคโนโลยีอันชาญฉลาด มาร่วมกันพัฒนาเป็นแพ็คเสริมใหม่ ในชื่อ “จีเอสเอ็ม Unlimited Social Network by AIS Opera Mini”  เพื่อให้ลูกค้าได้รับความคุ้มค่า และได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุดในการใช้งาน Social Network บนมือถือได้อย่างไร้ข้อจำกัด ทั้ง
 
·       ไม่จำกัดเครื่องมือถือ เพราะใช้งานได้กับมือถือครบทุก Segment ทั้ง Smart Phone , Feature Phone และ Basic Phone ซึ่งมีอยู่หลายสิบล้านเครื่องในปัจจุบัน โดยมีการจัดหน้าเว็บเพจให้มีขนาดพอดีกับหน้าจอโทรศัพท์ ทำให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์ที่ดีในการใช้งาน เพราะสะดวกและง่ายต่อการอ่านมากขึ้น
·       ไม่จำกัดปริมาณการใช้งาน สามารถเชื่อมต่อสังคมออนไลน์ได้ไม่อั้น ทุกที่ ทุกเวลาที่ต้องการ
 
นอกจากนี้เทคโนโลยีของ “โอเปรา มินิ” ยังมีคุณสมบัติพิเศษที่สามารถย่อข้อมูลดาต้าให้มีขนาดเล็กลงได้กว่า 90% จากขนาดปกติ จึงส่งผลให้มีความเร็วมากขึ้นในการดาวน์โหลดข้อมูลต่างๆ  ทำให้แพ็คเสริมใหม่นี้ตอบโจทย์สาวก Social Network ทุกกลุ่ม ทุก Segment  ให้สามารถเชื่อมต่อสังคมออนไลน์ผ่านมือถือได้อย่างไร้ข้อจำกัดอย่างแท้จริง เป็นการตอกย้ำแนวคิด Quality DNAs ของเอไอเอส ที่มุ่งเน้นการพัฒนาคุณภาพในทุกมิติของการบริการ เพื่อให้ลูกค้าได้รับประโยชน์สูงสุดนั่นเอง
 
โดยแพ็คเสริมดังกล่าวมีให้ลูกค้าเลือก Mix & Match และกำหนดเองได้ตามความต้องการกับ Social Network  สุดฮิตของคนไทย   ทั้ง Facebook และ Twitter  รวมทั้ง hi5 และ MySpace  โดยจีเอสเอ็ม แอดวานซ์ ได้ออกแบบแพ็คเสริมให้เลือกได้ถึง 5 แพ็ค ได้แก่ Unlimited Facebook , Unlimited Twitter , Unlimited hi5 และ Unlimited My Space  ในราคาแพ็คละ 99 บาท / เดือน  และ Unlimited Facebook + Unlimited Twitter ในราคาแพ็คละ 129 บาท / เดือน    
 
ทางด้าน มร.Lars Boilesen , ซีอีโอ , โอเปร่า ซอฟท์แวร์  กล่าวว่า “ปัจจุบันผู้คนนิยมแบ่งปันเรื่องราว และรูปภาพต่างๆ ไปยังเพื่อนๆ ผ่านทางสังคมออนไลน์ และด้วยกระแสการใช้งาน Social Network ในประเทศไทยที่ได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ความร่วมมือของจีเอสเอ็ม แอดวานซ์ และโอเปร่า มินิ ในครั้งนี้ จึงเป็นการสร้างสรรค์ทางเลือกใหม่ให้ผู้บริโภคสามารถเชื่อมต่อโลกออนไลน์ได้รวดเร็วขึ้นผ่านทางเบราว์เซอร์ของ โอเปร่า มินิ” โดย มร. Lars Boilesen กล่าวเพิ่มเติมว่า “ส่วนตัวจะทำทุกอย่างผ่านทางโทรศัพท์มือถือ อาทิ เช็ครอบภาพยนตร์ , ติดต่อเพื่อนๆ รวมทั้งสมาชิกในเครือข่าย ด้วยการใช้งานผ่าน โอเปร่า มินิ ที่เร็วขึ้น , ประหยัดค่าใช้จ่ายมากขึ้น และใช้งานได้กับมือถือครบทุก Segment”
 
สาวก Social Network สามารถสมัครได้ตั้งแต่วันที่ 17 มิ.ย.54 เป็นต้นไป เพียงกด *678 เพื่อสมัครฟรี จากนั้นดาวน์โหลดตาม link ของ SMS ที่ตอบกลับ หรือสมัครได้ที่เอไอเอส ช็อป , ร้านเทเลวิซ ทุกสาขาทั่วประเทศ และเอไอเอส คอลล์ เซ็นเตอร์ 1175 โดยเอไอเอสยังเตรียมเปิดให้บริการแพ็เคเกจดังกล่าวกับลูกค้ากลุ่มพรีเพดใน Phase ต่อไปด้วย”

View :1459

Poll พรบ.คอมพ์ 2550

June 8th, 2011 No comments


 

 

 

 

 

 

 

 

 

View :1853

ไอดีซี แมนูแฟคเจอริ่ง อินไซด์ ชี้ผู้ผลิตไทยส่วนใหญ่ยังไม่ทราบว่าควรประยุกต์ใช้การผลิตแบบลีนอย่างไร

June 8th, 2011 No comments

ไอดีซี แมนูแฟคเจอริ่ง อินไซด์ เปิดเผยผลสำรวจการปรับตัวเข้าสู่การผลิตแบบลีน(Lean Manufacturing) ว่ามีผู้ผลิตในประเทศไทยเกือบ 20% เท่านั้น   ที่ได้มีการประยุกต์ใช้การผลิตแบบลีนในขั้นสูงแล้ว ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นผู้ผลิตในภาคอุตสาหกรรมรถยนต์ สินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้า และ สินค้าอิเล็คทรอนิคส์ แต่อย่างไรก็ตาม 70%บริษัทผู้เข้าร่วมการสำรวจนั้นได้มีการเริ่มวางแผนหรืออยู่ในขั้นเริ่มต้นของการประยุกต์ใช้การผลิตแบบลีนแล้ว โดยรายละเอียดทั้งหมดของการสำรวจนี้อยู่ในรายงานที่มีชื่อว่า “Driving Operations Excellence: Lean Adoption in Thailand”

ดร. วิลเลียม ลี ซึ่งเป็นผู้จัดการอาวุโสฝ่ายวิจัยของ ไอดีซี แมนูแฟคเจอริ่ง อินไซด์ ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกกล่าวว่า “ผู้ผลิตในประเทศไทยให้ความสำคัญไปที่การสร้างความเป็นเลิศทางด้านการปฏิบัติงานเพิ่มมากขึ้น เพื่อเป็นการเพิ่มขีดความสามารถของตนเองในสภาวการณ์ที่ต้นทุนและความเข้มข้นของการแข่งขันสูงขึ้นเรื่อยๆ ถึงแม้ว่าจะเป็นที่ยอมรับกันอย่างกว้างขวางว่า การนำปรัชญาการผลิตแบบลีนมาปรับใช้คือวิธีที่ดีที่สุดที่จะเพิ่มประสิทธิผลและพัฒนาประสิทธิภาพในการผลิต แต่ก็เห็นได้ชัดว่าบริษัทต่างๆ ในประเทศไทยนั้นยังไม่มีแผนพัฒนาและบริหารจัดการในเรื่องนี้อย่างชัดเจน”

การสำรวจครั้งนี้ชี้ให้เห็นว่าผู้ผลิตในประเทศไทยประมาณ 90% ได้ยอมรับว่าอุปสรรคสำคัญที่ทำให้การปรับใช้ระบบการผลิตแบบลีนเป็นไปได้ยากในขณะนี้คือการที่พนักงานในองค์กรนั้นไม่ยอมรับการเปลี่ยนแปลง โดยดร. ลีได้แนะนำว่า “สิ่งที่จำเป็นมากในการปรับใช้การผลิตแบบลีนคือการสื่อสารภายในองค์กรที่มีประสิทธิภาพ การต่อต้านนั้นเป็นเหตุการณ์ปกติที่จะเกิดขึ้นเมื่อบุคคลากรในองค์กรเห็นว่าสภาพแวดล้อมในปัจจุบัน กำลังจะถูกเปลี่ยนแปลง ซึ่งหากไม่ได้รับการเห็นชอบหรือยอมรับจากบุคคลากรที่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลง การสั่งการใดๆ จากผู้บริหารก็อาจจะเห็นผลแค่ในระยะสั้นเท่านั้น เครื่องมือสื่อสารภายในองค์กรที่ดีคือการใช้เทคนิคการทำแผนภูมิสายธารแห่งคุณค่า (Value Stream Mapping) ซึ่งเป็นการทำให้แผนการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่เป็นนามธรรมถูกสื่อออกมาให้เห็นเป็นรูปธรรม หากได้มีการวางแผนและสื่อสารให้พนักงานได้ทราบถึงขั้นตอนและเหตุผลของการเปลี่ยนแปลงใดๆ อย่างมีระบบแล้ว พนักงานในองค์กรก็จะพร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลงนั้นๆ มากขึ้น”

ยิ่งไปกว่านั้นผู้เข้าร่วมการสำรวจส่วนใหญ่ยังชี้ว่าเทคโนโลยีสารสนเทศ มีส่วนสำคัญในการสร้างช่องทางการเข้าถึง การแสดงผลการวิเคราะห์ และ การรายงานข้อมูล รวมทั้งยังช่วยในการจัดตารางการผลิต การบริหารสินค้าคงคลัง และการบริหารจัดการควบคุมคุณภาพ แต่อย่างไรก็ตามผู้ผลิตในประเทศไทยส่วนใหญ่ไม่ได้มองเทคโนโลยีสารสนเทศว่าเป็นเครื่องมือในการสร้างความร่วมมือระหว่างแผนก การควบคุมประสิทธิภาพใช้งานเครื่องมือ และการดูแลกิจกรรมการผลิตต่างๆ ซึ่งนี่แสดงให้เห็นว่าระดับการหลอมรวมข้อมูลภายในองค์กรของผู้ผลิตในประเทศไทยยังอยู่ในระดับที่ต่ำ

“ไอทีมีส่วนสำคัญในการสร้างการควบคุมด้วยการมองเห็น (Visual Control) ในองค์กรที่เป็นลีน” ดร. ลีกล่าวเสริม “ผู้ผลิตควรปรับใช้เครื่องมือและแอพพลิเคชันทางด้านไอทีที่เกี่ยวข้องกับลีน เพื่อเพิ่มการส่งผ่านข้อมูลและขั้นตอนการทำงานภายในองค์กร อันจะนำไปสู่การช่วยสร้างการประยุกต์ใช้กระบวนการผลิตแบบลีนและเชื่อมโยงขั้นตอนการเปลี่ยนผ่านต่างๆ ให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในที่สุด”

ปัจจุบันผู้ผลิตในประเทศไทยยังคงต้องพบกับอุปสรรคในการเปลี่ยนผ่านไปสู่การผลิตแบบลีนมากมาย ซึ่งการที่จะเอาชนะอุปสรรคเหล่านี้ให้ได้นั้น ต้องอาศัยการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพระหว่างผู้บริหารและผู้ปฏิบัติงาน และสิ่งสำคัญที่จะขาดไม่ได้อีกประการก็คือการฝึกอบรม และการสนับสนุนซึ่งกันและกันของทั้งผู้บริหารและผู้ปฏิบัติงานนั่นเอง

ไอดีซีเชื่อว่า การผลิตแบบลีนที่มีการนำเทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามาช่วยจะเป็นแรงกระตุ้นให้เกิดคลื่นการพัฒนาด้านการปฏิบัติงานระลอกใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่การผลิตแบบลีนตามแบบฉบับดั้งเดิมนั้นได้เดินทางมาถึงจุดๆ หนึ่งที่ปริมาณข้อมูลและความซับซ้อนของการทำงานได้เพิ่มมากขึ้นจนต้องใช้ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามาช่วยจัดการแล้ว

View :1992

ฟูจิ ซีร็อกซ์เปิดตัวผลิตภัณฑ์เครื่องมัลติฟังก์ชั่นสี ด้วยเทคโนโลยีที่ใส่ใจในสิ่งแวดล้อม

June 8th, 2011 No comments

ฟูจิ ซีร็อกซ์ วางจำหน่ายผลิตภัณฑ์เครื่อง ApeosPort/DocuCentre-IV C7780/C6680/C5580 ซึ่งเป็นเครื่องดิจิตอลมัลติฟังก์ชั่นสี MFDs สมรรถนะสูงจากการผสานนวัตกรรมเทคโนโลยีสีเขียวที่เปี่ยมด้วยประสิทธิภาพของการเพิ่มผลผลิตและยังช่วยให้คุณสามารถประหยัดพลังงานได้สูงสุดอีกด้วย

ผลิตภัณฑ์เครื่อง MFDs ใหม่นี้มีวัตถุประสงค์เพื่อการพิมพ์อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืนทนทาน     ช่วยเสริมศักยภาพให้กับโซลูชั่นของฟูจิ ซีร็อกซ์ ด้วย วิธี การปรับลดขั้นตอนในการผลิตเอกสารในสำนักงานให้เหมาะสม นั่นคือ การมองภาพรวมของวิธีการทำงาน การทำเอกสารของลูกค้า, และปรับจำนวนของ อุปกรณ์การพิมพ์ให้มีความเหมาะสมสอดคล้องต่อการใช้งานตามความเป็นจริง, การใช้งานเอกสารแบบดิจิตอลเพื่อลดปริมาณงานพิมพ์, การนำเสนอโซลูชั่นที่เหมาะสมที่สุดเพื่อปรับปรุงกระบวนการทางธุรกิจโดยรวม

เครื่อง ApeosPort / DocuCentre – IV C 7780 / C 6680 / C 5580 ได้เพิ่มประสิทธิภาพ ของเครื่อง MFD มาตรฐาน ด้วยการเพิ่มสมรรถนะความเร็วในการผลิตเอกสารและเพิ่มคุณสมบัติของ “ความใส่ใจในสิ่งแวดล้อม” ซึ่งได้รับการออกแบบมาเพื่อตอบสนองความต้องการของธุรกิจขนาดกลาง และใหญ่ โดยมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้ :

·          ความเร็วในการผลิตเอกสารสีสูงถึง 70 หน้าต่อนาที *1 (กระดาษขนาด A 4 พิมพ์ด้านเดียว) และความเร็วในการสแกนเอกสารสีสูงถึง 200 หน้าต่อนาท ี (กระดาษขนาด A4 ป้อนด้านยาว)

·          ประสิทธิภาพ ของการประหยัดพลังงานได้สูงสุด *² ด้วยการลดปริมาณไฟฟ้าที่ใช้ TEC ไ ด้ถึง 29 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับ เครื่อง MFDs รุ่นเดิม

·          สามารถพิมพ์กระดาษขนาด SR A 3 ได้จากถาดรองรับกระดาษถาดที่ 1 ภาย ในตัวเครื่อง จึงทำให้คุณสามารถผลิตสื่อสิ่งพิมพ์ต่างๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ภายในองค์กรได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

เครื่อง MFD รุ่นแรก ที่มาพร้อมกับ “ Smart power-saving technology ”
เครื่อง ApeosPort/DocuCentre-IV C7780/C6680/C5580 IV    เป็น ผลิตภัณฑ์ใหม่ ที่กล่าวได้ว่าคือ       “สุดยอดของ เทคโนโลยีด้านการประหยัดพลังงาน ” เมื่อออกจากโหมดประหยัดพลังงาน เครื่องจะใช้ วิธีการกระจายปริมาณไฟฟ้าไปยังส่วนต่าง ๆ ของเครื่องตามการใช้งานจริงที่ผู้ใช้งานเลือกใช้ เทคโนโลยีนี้สามารถช่วยลดปริมาณไฟฟ้าที่ใช้ได้อย่างยอดเยี่ยมถึง   70   เปอร์เซ็นต์ *3   เมื่อเทียบกับเครื่อง รุ่นก่อน

ในส่วนของการทำงานเครื่อง สามารถกลับคืนสู่สภาวะการทำงานได้ตามปกติอย่างฉับไวเพียง 2 วินาทีหากเปรียบเทียบกับ เครื่อง รุ่นก่อนที่ใช้เวลาถึง 20 วินาที *4 ทำให้สามารถลดปริมาณกระแสไฟฟ้าที่ใช้ได้อย่างเหมาะสมและสอดคล้องกับความเป็นจริงได้ด้วยวิธีที่แสนง่ายดาย ทำให้องค์กรสามารถประหยัดพลังงานโดยรวมได้อย่างเต็มที่ นอกจากนี้ยังช่วยให้มีเสียงเบาลงในขณะทำงานจึงช่วยลดเสียงรบกวนภายในสำนักงานได้อีกด้วย

เครื่อง สแกนชุดใหม่ที่ช่วย ประหยัดพลังงานพร้อมด้วย สมรรถนะสูง
เครื่องสแกนชุดใหม่ซึ่งใช้เทคโนโลยี LED ในการให้ความสว่างทำให้ลดปริมาณกระแสไฟฟ้าที่ใช้ได้มาก กว่าเดิมถึง 77 เปอร์เซ็นต์ ในขณะที่ให้ความสว่างได้มากกว่าเครื่องรุ่นก่อน * 4 ที่ใช้หลอดไฟ xenon

เครื่อง ApeosPort/DocuCentre-IV C7780/C6680/ C5580 มี ระบบเซ็นเซอร์ซึ่งมีคุณสมบัติในสแกนภาพสี จึงสามารถ สแกนเอกสารสีทั้ง 2 ด้านได้โดยการสแกนเพียงทางเดียว นับได้ว่าเป็น การพัฒนาครั้งยิ่งใหญ่จากขั้นตอนเดิมที่การสแกนเอกสาร สีทั้ง 2 ด้านจำเป็นจะต้องสแกนเอกสารทีละด้านโดยผ่านสแกนเนอร์ถึง 3 ครั้ง   การสแกนเอกสารทั้ง 2 ด้านนี้สามารถสแกนได้ในครั้งเดียวโดยไม่ต้องสัมผัสกับเซ็นเซอร์โดยตรงจึงทำให้ขั้นตอนในการสแกนภาพดำเนินไปอย่างรวดเร็วและแทบไม่มีผลกระทบต่อเอกสารต้นฉบับเลย   นอกจากนี้เทคโนโลยีใหม่ที่ได้รับพัฒนาขึ้นยังทำให้กระบวนการสแกนเอกสารทั้ง 2 ด้านจากการสแกนในครั้งเดียวนี้สามารถกระทำได้อย่างรวดเร็ว ได้งานมากขึ้นในเวลาเท่าเดิม

ด้วยสุดยอดแห่งการผสมผสานเทคโนโลยีชั้นแนวหน้าทำให้เครื่องสามารถสแกนเอกสารสีทั้ง 2 ด้านแบบหน้า-หลังได้ด้วยความเร็ว 200 หน้าต่อนาที (กระดาษขนาด A4 ป้อนด้านยาว ) ส่งผลให้สมรรถนะของการสแกนเอกสารมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นกว่าการผลิตเอกสารแบบเดิม *4 ถึง 5 เท่า

หมายเหตุ
*¹ ApeosPort-IV/DocuCentre C7780
*² เปรียบเทียบ กับเครื่องที่พิมพ์เอกสารสีอย่างต่อเนื่องด้วยความเร็ว 70 หน้าต่อนาที
*³ เปรียบเทียบ ระหว่างการใช้ฟังก์ชั่นประหยัดพลังงานและไม่ได้ใช้ ในขั้นตอน การสแกนเอกสารแทนการพิมพ์เพื่อประเมินผลให้สอดคล้องกับมาตรฐาน Energy Star
*4   เปรียบเทียบกับเครื่อง ApeosPort-III C7600 /C6500

View :2111
Categories: Press/Release Tags:

เอชพีส่งโซลูชั่น FlexNetwork สมรรถนะสูง รองรับระบบวิดีโอ และโมบาย คอมพิวติ้ง

June 8th, 2011 No comments

เอชพีเปิดตัวโซลูชั่นใหม่บนสถาปัตยกรรม  HP FlexNetwork ล้ำสมัย และอุปกรณ์สวิตช์ HP A-series 10500 ซึ่งเป็นอุปกรณ์คอร์สวิตช์ (core switch) ในแคมปัสเน็ตเวิร์ค โดยสนับสนุนแอพพลิเคชั่นแบบมีเดียริช (media-rich) (1) ให้มีประสิทธิผลและประสิทธิภาพการทำงาน และมีการเข้าถึงข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว

โซลูชั่น HP FlexManagement ใหม่คือการผนวกรวมระบบการบริหารจัดการเครือข่ายแบบปกติและแบบเวอร์ช่วลเข้าไว้ด้วยกันบนการบริหารจัดการระบบเดียว ทั้งยังมีระบบป้องกันการบุกรุก (IPS : intrusion prevention system)
ทั้งบนเครือข่ายแบบเวอร์ช่วลและแบบคลาวด์ จึงเพิ่มการรักษาความปลอดภัยภายในศูนย์ข้อมูลต่างๆ ได้เป็นอย่างดี

โซลูชั่น HP FlexManagement พัฒนาบนสถาปัตยกรรม HP FlexNetwork ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมแบบผนวกเพียงระบบเดียวในอุตสาหกรรมไอที เหมาะสำหรับองค์กรที่มีทั้งศูนย์ข้อมูล แคมปัสเน็ตเวิร์ค และสำนักงานสาขา เพื่อควบคุมและบริหารจัดการคอนเท้นท์แบบมีเดียริช การทำงานแบบเวอร์ช่วลไลเซชั่น
การทำงานแบบเคลื่อนที่หรือโมบาย และระบบคลาวด์คอมพิวติ้งให้ทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

สถาปัตยกรรม HP FlexNetwork จะเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้มั่นใจได้ว่าระบบเครือข่ายทั่งทั้งองค์กรจะมีเสถียรภาพและพร้อมสำหรับให้บริการ ซึ่งนับว่าเป็นส่วนประกอบสำคัญของระบบโครงสร้างพื้นฐานแบบผนวกของเอชพี (HP Converged Infrastructure) ดังนั้น บริการหรือแอพพลิเคชั่นต่างๆ ที่มีอยู่ทั้งในศูนย์ข้อมูล แคมปัสเน็ตเวิร์ค และสำนักงานสาขาต่างๆ จะทำงานได้อย่างรวดเร็วและง่ายดายยิ่งขึ้น ตลอดจนขับเคลื่อนการสร้างนวัตกรรมได้อย่างคล่องตัวมากยิ่งขึ้น

คุณศักดิ์ชัย ปัญญจเร ผู้อำนวยการ หน่วยธุรกิจ เอชพี ประเทศไทย กล่าวว่า “ปัจจุบัน ลูกค้ามองหาผู้ให้บริการระบบที่มีความยืดหยุ่น เพื่อให้การทำงานมีความซับซ้อนลดลง แต่มีประสิทธิภาพและคล่องตัวยิ่งขึ้น ทั้งนี้ อุปกรณ์สวิตช์ใหม่สำหรับแคมปัสเน็ตเวิร์คทุกรุ่นของเอชพีมีประสิทธิภาพเหนือกว่าผลิตภัณฑ์สวิตช์ประเภทเดียวกันของซิสโก้มาก และที่เหนือกว่านั้นคือ เอชพีใช้การบริหารจัดการเพียงระบบเดียว เมื่อเทียบกับซิสโก้ที่ต้องใช้ระบบที่แตกต่างกันถึง 30 ชุด”

อุปกรณ์สวิตช์ HP A10500 ใหม่มีประสิทธิภาพการทำงานที่เหนือกว่าอุปกรณ์สวิตช์ของซิสโก้ สำหรับตลาดอุปกรณ์สวิตช์ในแคมปัสเน็ตเวิร์ค ซึ่งเป็นตลาดที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในกลุ่มผลิตภัณฑ์อีเทอร์เน็ตสวิตช์ทั่วโลก คาดว่าจะมีมูลค่าสูงถึง 13,700 ล้านเหรียญสหรัฐภายในปี 2554 เพิ่มขึ้นจาก 12,000 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2553 (2) การพัฒนาวิทยาการใหม่ๆ สำหรับสถาปัตยกรรมอุปกรณ์สวิตช์เป็นสิ่งที่ลูกค้าต้องการมานาน โดยมุ่งเน้นให้เครือข่ายลดความซับซ้อนลง ใช้เวลาในการเข้าถึงข้อมูลเร็วขึ้น และมีประสิทธิผลในการทำงานเพิ่มขึ้นเพื่อรองรับคอนเท้นท์มัลติมีเดียที่มีปริมาณเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

อุปกรณ์สวิตช์ HP A10500 ตอบโจทย์ความต้องการขององค์กรได้อย่างครบถ้วน เนื่องจากสนับสนุนการให้บริการมัลติมีเดีย อาทิ ระบบวิดีโอความละเอียดสูง ทั้งยังมีความหน่วงของเวลา (latency) เพียง 3 ไมโครวินาที ซึ่งเร็วกว่าอุปกรณ์สวิตช์ Catalyst 6509 ของซิสโก้ถึงร้อยละ 75 นอกจากนี้ ยังสนับสนุนพอร์ทขนาด 10GbE แบบ wire-speed อีก 128 พอร์ท จึงให้สมรรถนะเหนือกว่าอุปกรณ์สวิตช์ Catalyst 6509 ของซิสโก้ถึงร้อยละ 270 (3)

ในแคมปัสเน็ตเวิร์คขนาดใหญ่ที่ต้องการสมรรถนะสูงในระดับซูเปอร์คอร์ สามารถตอบโจทย์ความต้องการเครือข่ายขนาด 208 พอร์ท แบบ 10 GbE wire-speed ได้ด้วยผลิตภัณฑ์ HP A10500 จำนวน 2 ตัวเชื่อมต่อกัน โดยใช้โซลูชั่น HP Intelligent Resilient Framework ซึ่งเป็นนวัตกรรมใหม่ล่าสุดของเอชพีที่รองรับอุปกรณ์สวิตช์หลายตัวให้มีการทำงานเสมือนหนึ่งเป็นอุปกรณ์สวิตช์ตัวเดียวในรูปแบบเวอร์ช่วล ทั้งยังสนับสนุนพอร์ทขนาด 100GbE ด้วยการเพิ่มเติมการ์ดใหม่

การเชื่อมต่อในระดับ access layer ของ FlexCampus ซึ่งใช้การ์ดใหม่ที่ใช้ติดตั้งในอุปกรณ์สวิตช์ E5400 และ E8200 ของเอชพีจะใช้เวลาในการเข้าถึงข้อมูลลดลงถึงร้อยละ 90 ทั้งยังให้ประสิทธิผลการทำงานเหนือชั้นกว่าอุปกรณ์สวิตช์ Catalyst 4506 (4) ของซิสโก้ร้อยละ 600 นอกจากนี้ โซลูชั่นอุปกรณ์เชื่อมต่อแบบไร้สายความเร็วสูง HP E-MSM460 และ E-MSM466 wireless access points ของเอชพี ยังให้ความเร็วสูงเกือบเทียบเท่าระบบเครือข่ายแบบมีสายซึ่งมีสมรรถนะการทำงานแบบวิดีโอสตรีมความละเอียดสูงถึง 15 เส้นทางต่อ 1 access point เหนือกว่า access point ในซีรี่ส์ 1140 และ 3500 ของซิสโก้ร้อยละ 50 โดยมีประสิทธิภาพเหนือกว่าทั้งในเรื่องสมรรถนะและระยะทาง (1)

ผนวกระบบบริหารจัดการเครือข่ายปกติและเสมือนเข้าไว้ด้วยกันจากปัญหาการขยายตัวของระบบไอทีอย่างไร้ระเบียบ ความซับซ้อนในการใช้ระบบเครือข่ายแบบหลายชั้น และความต้องการปรับไปสู่การทำงานแบบเวอร์ช่วลไลเซชั่นที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ลูกค้าสามารถมาเลือกใช้สถาปัตยกรรม HP FlexNetwork เพื่อบริหารระบบเครือข่ายของตนให้ทำงานอย่างง่ายดาย และเตรียมองค์กรให้มีความพร้อมรองรับความต้องการและให้บริการต่างๆ อาทิ คลาวด์ โมบายล์คอมพิวติ้ง และเวอร์ช่วลไลเซชั่น

ในขณะที่ซิสโก้ต้องใช้ระบบการบริหารจัดการที่แตกต่างกันถึง 30 ระบบใน
การบริหารเครือข่ายของศูนย์ข้อมูล(5) แคมปัสเน็ตเวิร์ค และสำนักงานสาขาต่างๆ นั้นเอชพีได้ทำการคิดค้นและพัฒนาระบบการจัดการที่เหนือกว่าด้วยการใช้เพียงระบบเดียวโดยใช้เทคโนโลยี HP Intelligent Management Center (IMC) ที่ครอบคลุมทุกองค์ประกอบหลักในสถาปัตยกรรม HP FlexNetwork

โซลูชั่น HP IMC เวอร์ชั่น 5 ใหม่สามารถจัดการพอร์ทโฟลิโอเครือข่ายของเอชพีทั้งหมด ทั้งยังบริหารอุปกรณ์เครือข่ายอีกกว่า 2,600 ชนิดจากผู้ผลิตกว่า 35 ราย ซึ่งในจำนวนนี้เป็นของซิสโก้จำนวนมากกว่า 1,000 ชนิด จึงช่วยขจัดความเสี่ยงในการย้ายระบบจากเครือข่ายแบบมีโปรโตคอลที่ปิดกั้นเฉพาะแบบเดิมๆ ไปยังเครือข่ายมาตรฐานแบบเปิดที่ใช้สถาปัตยกรรม FlexNetwork ของเอชพี

นอกจากนี้ โซลูชั่น HP IMC เวอร์ชั่น 5 ยังสนับสนุนการเข้าดูระบบเครือข่ายศูนย์ข้อมูลแบบเสมือนและปกติได้พร้อมกันจากจุดเดียว ส่งผลให้ธุรกิจต่างๆ สามารถให้บริการแก่ลูกค้าได้เร็วขึ้น มีการดำเนินงานที่ง่ายดายยิ่งขึ้น และมีระบบเครือข่ายที่พร้อมใช้งานมากขึ้น โดยจะทำหน้าที่ค้นหาอุปกรณ์แบบเสมือน (Virtual Machine) อุปกรณ์สวิตช์เสมือน (Virtual Switch) และการเชื่อมต่อระหว่างเครือข่ายแบบกายภาพได้โดยอัตโนมัติ จึงสามารถตอบโจทย์ในเรื่องของการเพิ่มขึ้นของระบบที่เน้นการบริการแบบเสมือนเป็นหลักได้เป็นอย่างดี

เร็วๆ นี้ เอชพีเตรียมเปิดโซลูชั่น HP IMC รุ่นใหม่ซึ่งได้รับการพัฒนาให้มีฟีทเจอร์ใหม่ คือ การผสานข้อมูลการเชื่อมต่อเครือข่ายเข้าไว้ด้วยกันอย่างอัตโนมัติ โดยใช้เทคโลยี HP Virtual Connect ที่ทำงานบนเครื่องเบลดเซิร์ฟเวอร์ ทั้งยังสนับสนุนการจัดทำโปรไฟล์เครื่องเซิร์ฟเวอร์อย่างอัตโนมัติ นับเป็นการก้าวสู่ระบบคลาวด์ โพรวิชั่นนิ่ง (cloud provisioning) ที่ควบคุมการทำงานด้วยปุ่มเดียว

มร. เฮนรี่ ฟาสเติร์ท ประธานด้านเทคโนโลยี บริษัท เอสเอชไอ อินเตอร์เนชั่นแนล ผู้ให้บริการเทคโนโลยีสารสนเทศและข้อมูลชั้นนำระดับโลกที่มียอดขาย 3,000 ล้านเหรียญสหรัฐ เปิดเผยว่า “เพื่อตอบสนองระบบเครือข่ายต่างๆ ที่ต้องการบริการระบบโครงสร้างพื้นฐาน (infrastructure as a service) รุ่นใหม่สำหรับคลาวด์เซ็นเตอร์ เราจึงต้องการสถาปัตยกรรมเครือข่ายแบบเดี่ยวและปรับขยายได้ ซึ่งสามารถจัดการบนโดเมนการทำงานแบบเสมือนและปกติได้อย่างง่ายดาย ทั้งนี้ โซลูชั่น HP IMC จะช่วยให้เราสามารถบริหารเครือข่ายให้มีการทำงานอย่างอัตโนมัติและล้ำสมัยจากแพลทฟอร์มเดียว ส่งผลให้มีการประสานการให้บริการอย่างรวดเร็วและง่ายดาย”

สำหรับลูกค้าที่ต้องการขยายสมรรถนะการบริหารจัดการเครือข่ายที่ทรงประสิทธิภาพที่สามารถครอบคลุมระบบโครงสร้างพื้นฐานระดับองค์กรในสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกัน โซลูชั่น HP Network Management Center 9.1 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของพอร์ทโฟลิโอซอฟต์แวร์ HP Business Service Management มีประสิทธิภาพเป็นเลิศทั้งทางด้านการทำงานแบบอัตโนมัติ การเข้ากันกับระบบต่างๆ และการปรับขยายระบบ จึงช่วยลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานมากกว่าร้อยละ 90 (6)

ยกระดับระบบรักษาความปลอดภัยบนสภาพแวดล้อมแบบเวอร์ช่วลและคลาวด์ สมรรถนะการทำงานของแอพพลิเคชั่นศูนย์ข้อมูลได้รับการพัฒนาให้เป็นระบบการทำงานแบบเสมือนหรือเวอร์ช่วลเพิ่มมากขึ้น ขณะที่โซลูชั่นการรักษาความปลอดภัยแบบเดิมๆ ทั้งหลายจะทำหน้าที่ปกป้องเฉพาะสภาพแวดล้อมแบบปกติเท่านั้น แต่ด้วยผลิตภัณฑ์แอพพลายแอนซ์ HP TippingPoint S6100N IPS ใหม่จะช่วยให้องค์กรต่างๆ  มีระบบการรักษาความปลอดภัยเพียงระบบเดียวและสามารถปรับขยายได้ โดยจะทำหน้าที่เป็นเกราะรักษาความปลอดภัยให้แก่อุปกรณ์เวอร์ช่วลที่สร้างขึ้นและนำไปใช้งานทั่วทั้งองค์กรอย่างอัตโนมัติและต่อเนื่อง

นอกจากนี้ ผลิตภัณฑ์แอพพลายแอนซ์ HP TippingPoint S6100N IPS ใหม่จะช่วยปรับขยายโซลูชั่น HP Secure Virtual Framework ให้เป็นโซลูชั่นเดียวที่ทำงานได้ทั้งในสภาพแวดล้อมแบบปกติ เวอร์ช่วล และคลาวด์ นอกจากนี้ ผลิตภัณฑ์แอพพลายแอนซ์ HP TippingPoint S6100N IPS มีสมรรถนะเหนือกว่ารุ่นเดิมถึงร้อยละ 60 (7) ทั้งยังสามารถตรวจสอบปริมาณการใช้แอพพลิเคชั่นที่มีแบนด์วิธสูงแบบเรียลไทม์ได้ถึง 16 Gbps จึงช่วยปรับปรุงบริการสำคัญระดับ mission-critical ให้มีความพร้อมในการใช้งานมากขึ้น

มร. จอห์นนี่ เฮอร์นานเดซ รองประธานด้านการรักษาความปลอดภัยของข้อมูล บริษัท ไพรม์เลนดิ้ง ในเครือของเพลนส์แคปปิตอล กล่าวว่า “การใช้เครือข่ายแบบเวอร์ช่วลช่วยให้ธุรกิจของเรามีการดำเนินงานอย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น หากไม่มีระบบรักษาความปลอดภัยหรือการเสริมสร้างความพร้อมในการใช้งานของ     แอพลิเคชั่นต่างๆ จะทำให้ธุรกิจของเราไม่สามารถเดินหน้าต่อไปได้ ทั้งนี้ ด้วยโซลูชั่น HP TippingPoint S6100N IPS ใหม่ซึ่งมีฟีทเจอร์ในการตรวจสอบความปลอดภัยแบบเรียลไทม์ จะทำให้เราสามารถสร้างสรรค์สภาพแวดล้อมการทำงานแบบเวอร์ช่วลที่มีความปลอดภัยอย่างอัตโนมัติ และทำให้มีประสิทธิภาพในการดำเนินงานสูงสุด”

อุปกรณ์คอร์สวิตช์ HP A10500 คาดว่าจะพร้อมนำออกจำหน่ายในครึ่งหลังของปี 2554 โซลูชั่น HP Intelligent Management Center 5.0 มีกำหนดจะนำออกจำหน่ายในเดือนมิถุนายน ศกนี้ ขณะที่โซลูชั่น HP IMC 5.1 คาดว่าจะนำออกจำหน่ายในปลายปีนี้

ผลิตภัณฑ์แอพพลายแอนซ์ HP TippingPoint S6100N IPS มีวางจำหน่ายแล้ว

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโซลูชั่น HP Networking สามารถเข้าไปดูได้ที่ www.hp.com/networking

ระบบโครงสร้างพื้นฐานแบบผนวกของเอชพี (HP Converged Infrastructure) เป็นองค์ประกอบหลักขององค์กรแบบ Instant-On Enterprise ทั้งนี้ ในโลกที่มีการเชื่อมโยงกันอย่างต่อเนื่อง แนวคิดแบบ Instant-On Enterprise คือ
การนำเทคโนโลยีมาใช้ในทุกกิจกรรมเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า พนักงาน พันธมิตร และประชาชนได้อย่างตรงจุดและโดยทันที

ทั้งนี้ เอชพีมีกำหนดจัดงาน HP DISCOVER เพื่อแนะนำเทคนิคการเตรียม
ความพร้อมเพื่อก้าวขึ้นเป็นองค์กรแบบ Instant-On Enterprise ในวันที่ 6 – 10 มิถุนายน 2554 ณ เมืองลาสเวกัส  สหรัฐอเมริกา และวันที่ 29 พฤศจิกายน – 1 ธันวาคม ศกนี้ ณ กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย

View :1705
Categories: Press/Release Tags: