Archive

Archive for September, 2011

ก.ไอซีที แถลงความก้าวหน้าการป้องกันและแก้ไขปัญหาอุทกภัยฯ ตามนโยบายนายกรัฐมนตรี

September 12th, 2011 No comments

นาวาอากาศเอก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ได้แถลงความก้าวหน้าในการป้องกันและแก้ไขปัญหาอุทกภัยฯ ตามนโยบายนายกรัฐมนตรี ว่า ได้จัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการรองรับเหตุฉุกเฉินของกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เพื่อทำหน้าที่ปฏิบัติและประสานงาน โดยมีรองปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเป็นประธาน และมีผู้แทนจาก กรมอุตุนิยมวิทยา สำนักงานสถิติแห่งชาติ บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน)  บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด ร่วมเป็นคณะทำงาน และมีผู้อำนวยการศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ เป็นเลขานุการ

นอกจากนี้ยังได้จัดผู้แทนจากกรมอุตุนิยมวิทยาและศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ เข้าปฏิบัติงานที่ศูนย์สนับสนุนอำนวยการและบริหารสถานการณ์อุทกภัย วาตภัย และดินโคลนถล่ม (ศอส.) ณ กระทรวงมหาดไทย ตั้งแต่วันที่ 22 สิงหาคม 2554 ที่ผ่านมา เพื่อประสานติดตามและเฝ้าระวังสถานการณ์ กำหนดข้อสั่งการพร้อมแจ้งเตือนภัยให้หน่วยงานต่างๆ  และประชาชนทราบ ตลอดจนได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ในสังกัดเข้ารายงานตัวต่อผู้ว่าราชการจังหวัดเพื่อปฏิบัติงานในส่วนการประมวลข้อมูลสถานการณ์และการช่วยเหลือประชาชน เพื่อรายงานรัฐบาลผ่าน ศอส.

“ในการดำเนินงานของกระทรวงฯ ได้ดำเนินการในลักษณะบูรณาการแบบ One Stop Service ตามมาตรการ 2P 2R คือ 1.ด้านการเฝ้าระวัง โดยได้ประสานการปฏิบัติและแลกเปลี่ยนข้อมูลการเตือนภัยกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตลอดเวลา เพื่อเป็นข้อมูลในการแจ้งเตือน รวมทั้งได้เฝ้าระวังสภาวะอากาศและประเมินข้อมูลที่อาจจะเกิดผลกระทบต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน โดยให้ความสำคัญกับการเตือนภัยล่วงหน้า และได้แจ้งข่าวในรูปของประกาศหรือการแจ้งเตือนผ่านหน่วยงานในพื้นที่ ทั้งสื่อมวลชน วิทยุ-โทรทัศน์ รวมถึงข้อความสั้น (SMS) วิทยุสื่อสาร Social Network , website เป็นต้น พร้อมกันนี้ยังได้มอบหมายให้ บมจ.ทีโอที และบมจ.กสทฯ ตรวจสอบและเตรียมความพร้อมโครงข่ายและเครือข่ายสื่อสารโทรคมนาคมหลักให้สามารถรองรับสถานการณ์ได้     ทุกพื้นที่ รวมทั้งวางระบบสื่อสารสำรองในภาวะฉุกเฉิน คือ ระบบสื่อสารผ่านดาวเทียมเคลื่อนที่ ในพื้นที่เฝ้าระวังเป็นการล่วงหน้า ตลอดจนได้ติดต่อซักซ้อมการแจ้งเตือนภัยระหว่างศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ กับศูนย์เตือนภัยภาคประชาชน คือ ประชาชนผู้มีจิตอาสาและกลุ่มวิทยุสมัครเล่นเอาไว้ด้วย     

2. ด้านการแจ้งเตือนภัย เมื่อมีความชัดเจนว่าจะเกิดภัยพิบัติ กรมอุตุนิยมวิทยาและศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ จะติดตามสถานการณ์และแจ้งเตือนอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งกระชับความชัดเจนเกี่ยวกับลักษณะภัยและพื้นที่  พร้อมประเมินสถานการณ์เพื่อการแจ้งเตือนทุก 3 – 6 ชั่วโมง รวมถึงแจ้งผลการวิเคราะห์ผลกระทบในมิติของความรุนแรงและพื้นที่ ตลอดจนการคาดการณ์เพื่อประโยชน์    ในการบรรเทาและช่วยเหลือ รวมทั้งวางระบบการสื่อสารสำรองผ่านเครือข่ายประชาชนผู้มีจิตอาสาและวิทยุสมัครเล่น ตามนโยบายการเตรียมพร้อมแห่งชาติเพื่อใช้ในพื้นที่วิกฤติที่ไม่สามารถติดต่อสื่อสารด้วยเครือข่ายอื่นได้ รวมถึงเฝ้าระวังและติดตามเหตุการณ์ตลอด   24 ชั่วโมง นอกจากนี้ยังได้ประสานการบรรเทาภัยและการช่วยเหลือผู้ประสบภัยในกรณีที่การติดต่อระหว่างประชาชนกับหน่วยบรรเทา   สาธารณภัยมีปัญหาหรือไม่สามารถติดต่อกันได้ โดยการเปิดศูนย์รับแจ้งเหตุฉุกเฉิน ตลอด 24 ชั่วโมงที่หมายเลข 192

3. ด้านการฟื้นฟู สำนักงานปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร บมจ.ทีโอที บมจ.กสทฯ ได้สนับสนุนบุคลากรและเจ้าหน้าที่ให้ความช่วยเหลือในการปรับปรุงและซ่อมแซมอุปกรณ์เครื่องมือสื่อสาร คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์อื่นๆ ให้แก่หน่วยงานราชการและประชาชน ส่วนบจ.ไปรษณีย์ไทย ได้สนับสนุนการขนส่งสิ่งของในการช่วยเหลือผู้ประสบภัยในพื้นที่ตลอดช่วงเวลาการบรรเทาและการฟื้นฟู นอกจากนั้นกระทรวงฯ ยังทำหน้าที่เป็นศูนย์ประสานการบรรเทาและช่วยเหลือผู้ประสบภัยในกรณีที่การติดต่อมีปัญหา หรือไม่สามารถติดต่อระหว่างประชาชนกับหน่วยบรรเทาสาธารณภัยได้

4. ด้านการแก้ปัญหา กระทรวงฯ และศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ ได้กำกับการแก้ไขปัญหาในพื้นที่ต่างๆ เป็น 3 ลักษณะ คือ พื้นที่ประสบภัย ได้แก่ จ.อุตรดิตถ์  ได้กำกับดูแลการติดต่อสื่อสารโดยให้ บมจ.ทีโอที เข้าพื้นที่และวางระบบสื่อสารโทรศัพท์ทางสายเพื่อการติดต่อระหว่างเจ้าหน้าที่และประชาชนในจุดที่สามารถดำเนินการได้ ซึ่งพื้นที่ที่ยังเข้าไม่ได้ คือ บ้านต้นขนุน ตชด ๓๑๒ น้ำไผ่ น้ำปาด ห้วยคอม พร้อมทั้งวางระบบอินเทอร์เน็ตไร้สายและ e-Conference ที่ อ.น้ำปาด จ.อุตรดิตถ์ นอกจากนี้ยังได้สนับสนุนเครื่องกำเนิดไฟฟ้าให้บางพื้นที่ที่สามารถดำเนินการได้ ส่วนศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ ให้รับหน้าที่ติดต่อกับประชาชนและประสานงานกับหน่วยช่วยเหลือผ่านหมายเลข 192 รวมทั้งติดตามสถานการณ์เพื่อสนับสนุนหน่วยงานบรรเทาทุกข์และช่วยเหลือประชาชน

พื้นที่เสี่ยงภัย คือ ภาคกลาง ภาคตะวันออก กรุงเทพมหานคร และปริมณฑล ได้ติดตามสถานการณ์น้ำฝนและน้ำในแม่น้ำ ลำห้วย เพื่อแจ้งพื้นที่ให้แจ้งเตือนภัยทางเครือข่าย “หอกระจายข่าว” และทางสัญญาณเตือนภัย โดยประสานงานตรงกับผู้รับผิดชอบในการบริหารสถานการณ์ ซึ่งขณะนี้น้ำ  ได้เอ่อล้นฝั่ง บางพื้นที่ได้ไหลเข้าท่วมแล้ว  และฝนยังคงตกอย่างต่อเนื่อง ส่วนบางพื้นที่ได้ปักธงแดง แสดงสถานการณ์อันตรายแล้ว

และ พื้นที่เฝ้าระวัง คือ ภาคใต้ฝั่งทะเลอันดามัน และภาคใต้ฝั่งอ่าวไทย ได้ติดตามสภาวะอากาศและปริมาณฝนซึ่งกำลังตกหนักในพื้นที่ จ.ระนอง จ.พังงา จ.สตูล และภาคใต้ตอนล่าง เพื่อประสานหน่วยงานในพื้นที่ให้เฝ้าระวัง รวมทั้งให้ผู้มีจิตอาสารีบรายงานสถานการณ์ตามช่วงเวลาที่มีการเปลี่ยนแปลง และประสานงานบมจ.ทีโอที เตรียมเข้าพื้นที่เสี่ยงเพื่อเตรียมความพร้อมของเครือข่ายการติดต่อสื่อสารสำรอง” น.อ.อนุดิษฐ์ กล่าว

View :1573

อีเอสอาร์ไอฯ จัดงาน TUC 2011 เปิดตัว Arc GIS online ให้ประชาชนใช้ฟรี

September 10th, 2011 No comments

บริษัท จำกัด จัดงาน ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Through the Cloud” พร้อมเปิดตัว ให้ประชาชนใช้ฟรี เน้นเทคโนโลยี GIS ที่ใช้งานง่าย สามารถตอบสนองความต้องการของผู้ใช้ในทุกแขนง

นายไกรรพ เหลืองอุทัย ผู้จัดการทั่วไป บริษัท อีเอสอาร์ไอ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้นำในการให้บริการระบบภูมิสารสนเทศแบบครบวงจร หนึ่งในกลุ่มบริษัทซีดีจี เปิดเผยว่า ในวันนี้ บริษัทฯได้จัดงานสัมมนาทางวิชาการ ระบบสารสนเทศทางภูมิศาสตร์ ครั้งที่ 16 TUC 2011 : Through the Cloud 16th Thai GIS User Conference ขึ้น โดยมีผู้เข้าร่วมงานจากทุกภาคส่วน ประมาณ 1,400 คน ทั้งจากองค์กรภาครัฐ ,รัฐวิสาหกิจ และเอกชน รวมทั้งนิสิต-นักศึกษา จากสถาบันการศึกษาต่างๆ พร้อมกันนี้ได้นำเสนอเทคโนโลยีสารสนเทศภูมิศาสตร์ที่พร้อมรองรับการดำเนินงานด้านธุรกิจ ที่เติบโตอย่างรวดเร็วในปัจจุบันเพื่อให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงต่อสถานการณ์ที่เป็นอยู่กับการก้าวสู่ยุคดิจิตอลเต็มรูปแบบ โดยเน้นการทำงานที่เชื่อมต่อถึงกันได้อย่างไร้ขีดจำกัดกับ ภายใต้รูปแบบ GIS Cloud Computing ที่เข้ามาเป็นตัวแปรสำคัญในการลดต้นทุนทางธุรกิจ สร้างผลตอบแทนให้กับธุรกิจได้อย่างเต็มที่
การจัดสัมมนาในครั้งนี้ จัดขึ้น ภายใต้แนวคิด “Through the Cloud” เนื่องจากปัจจุบันนี้ Cloud เป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญในโลกสังคมดิจิตอลในปัจจุบัน โดยมีหัวข้อสัมมนาที่สำคัญ อาทิ

• GIS Through the Cloud การเลือก Cloud ให้เหมาะกับองค์กร (Keep up your work with cloud)
• GIS with Social Network เรื่องง่ายๆ ของ Mobile กับ GIS (Everyone can do “GIS Mobile”)
• GIS Through the Cloud เริ่มต้นประสบการณ์ GIS บน Cloud กับ ArcGIS.com (Beginning your cloud with ArcGIS.com)
• GIS with Social Network สังคมออนไลน์ กับการประยุกต์ใช้ GIS (GIS & Social media integration)
• การฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการ เช็คอินข้อมูล GIS ผ่านสมาร์ทโฟน (ArcGIS Check-in via Smart Phone)

นอกจากนี้ยังมีบูธแสดงสินค้าและสาธิตเทคโนโลยี GIS / GPS / Photogrammetry / Remote Sensing / Survey Equipment รวมไปถึงตัวสินค้าต่างๆจากแบรนด์ชั้นนำ ไม่ว่าจะเป็น GARMIN, LEICA, TRACKnFLEET, HPและ อื่นๆ
ชูจุดเด่น เปิด Arc GIS online GIS ฟรี บนอินเทอร์เน็ต

ภายในงาน TUC 2011 นี้ มีไฮไลต์สำคัญที่โดดเด่นที่สุด คือ การเปิดตัว Arc GIS online ที่สามารถให้ประชาชนเข้ามาใช้ระบบ GIS online ได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ

“เป็นความตั้งใจของบริษัท ที่จะผลักดันการทำงาน GIS บน Cloud ซึ่งเป้าหมายหลักก็คือ การให้ประชาชนชาวไทยสามารถใช้ประโยชน์จาก GIS ได้เป็นอย่างดี ในการวางแผนงานต่างๆ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพ หรือแม้กระทั่งใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวัน บริษัทฯตั้งใจทำจุดนี้ เพื่อต้องการให้ผู้ใช้ทั่วไปรู้จักกับ map และ GISมากขึ้น” นายไกรรพ กล่าว
บริษัท อีเอสอาร์ไอฯ เป็นผู้ออกแบบเว็บไซต์ www.arcgis.com โดย จะมีแผนที่ฐาน ให้ประชาชนเข้ามาใช้ บริการที่เป็นประโยชน์ต่องานในทุกสาขาอาชีพ หรือการใช้งานทั่วไป เป็นแผนที่ฐานที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ ซึ่งเรียกว่าเป็นการให้ประชาชนสามารถใช้ประโยชน์จาก GIS ได้ อย่างเต็มที่

เว็บไซต์ www.arcgis.com มีลักษณะเหมือนกับเป็น portal site ที่เชื่อม Arc GIS กับ desktop เข้าด้วยกัน โดยลักษณะการทำงาน ผู้ใช้ทั่วไป สามารถที่จะแชร์ข้อมูลการทำงานร่วมกันได้

กลุ่มเป้าหมายหลักคือ website ของลูกค้าองค์กรขนาดใหญ่ จะต้องมี Arc GIS online ไปปรากฏอยู่ด้วย
เพื่อให้บริการแก่ผู้ใช้ทั่วไปด้วยเช่นกัน ทั้งนี้บริษัทฯพยายามที่จะผลักดันให้คนทั่วไปมาใช้บริการ เพราะเชื่ออย่างยิ่งว่า Arc GIS online มี value added มากกว่า ผู้ให้บริการแผนที่ฟรีรายอื่นๆ

“บริษัทฯต้องการให้คนไทยมาใช้มากขึ้น เพราะมีประโยชน์ในหลายๆด้าน ผู้ใช้สามารถเข้าwebsite www.arcgis.com และสมัครเป็นสมาชิกได้ ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวนี้ บริษัทอีเอสอาร์ไอ ฯ จะได้ Brand Awareness ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างให้ลูกค้าตระหนักในแบรนด์ และเพื่อตอกย้ำในตลาดด้วยว่า บริษัทฯมีการให้บริการในส่วนนี้อยู่ด้วย และในอนาคตก็จะขยายสู่ลูกค้าในระดับ Enterprise หรือองค์กรขนาดใหญ่มากขึ้น “ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท อีเอสอาร์ไอฯ กล่าวในตอนท้าย

View :1742

บีโอไอปรับโฉมเว็บไซต์ www.boi.go.th เน้นตอบสนองข้อมูลข่าวสารอย่างสะดวก รวดเร็ว และทันสมัย

September 9th, 2011 No comments

ปรับปรุงเว็บไซต์ www.boi.go.th เน้นปรับรูปแบบการใช้งานให้สะดวก และง่ายต่อการค้นหาข้อมูล และผู้ใช้สามารถรับข่าวสารข้อมูลโดยอัตโนมัติ

นางสาวดวงใจ อัศวจินตจิตร์ รองเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่าในวันที่ 12 กันยายน 2554 นี้เป็นต้นไป เว็บไซด์ของบีโอไอ ( www.boi.go.th ) ได้ปรับปรุงใหม่ ทั้งหน้าเว็บเพจและการใช้งานเกือบทั้งหมดรวมทั้งเพิ่มฟังก์ชั่นต่าง ๆ เพื่อให้นักธุรกิจนักลงทุน สามารถเข้าถึงข้อมูลด้านการลงทุนได้อย่างสะดวก และง่ายดายมากขึ้น อาทิ การแปลข้อมูลเป็นภาษาต่างประเทศให้ครอบคลุมและรวดเร็วมากขึ้น การค้นหาข้อมูลของที่ตั้งสำหรับโครงการลงทุน หรือนิคมอุตสาหกรรมต่างๆ ตลอดจนการค้นหาข้อมูลด้านการลงทุนจากเว็บไซต์ของบีโอไอ และการส่งต่อข้อมูลสำคัญให้แก่ผู้อื่น เช่น ข้อมูลเกี่ยวกับโอกาสและลู่ทางการลงทุนในอุตสาหกรรมต่างๆ เป็นต้น
นอกจากนี้ บีโอไอยังได้เพิ่มเนื้อหาของความเคลื่อนไหว และข่าวสารของกิจกรรมสำคัญๆ ของบีโอไอ รวมทั้งเปิดรับลงทะเบียนเข้าร่วมงานสัมมนา หรือกิจกรรมของบีโอไอผ่านทางเว็บไซด์ ตลอดจนการดาวน์โหลดเอกสารของการสัมมนา
การปรับปรุงเว็บไซต์ในครั้งนี้ จะช่วยให้บีโอไอสามารถตอบสนองความต้องการของนักลงทุนที่ใช้บริการผ่านเว็บไซต์ ให้มีความสะดวกในการเข้าถึงข้อมูลด้านการลงทุน นักลงทุนและผู้เข้าชมเว็บไซต์ สามารถลงทะเบียนขอรับข้อมูลข่าวสาร และความเคลื่อนไหวด้านการลงทุนจากบีโอไอ ซึ่งจะถูกส่งให้นักลงทุนทางอีเมล์เป็นประจำอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะช่วยให้นักธุรกิจนักลงทุนได้รับข้อมูลข่าวสารทันท่วงที

View :2243

ผลการศึกษาระบุหากไทยยกระดับกรอบนโยบายเพื่อรองรับเทคโนโลยีคลาวด์ คอมพิวติ้ง จะเพิ่มโอกาสการจ้างงานเชิงคุณภาพ และทำให้เกิดธุรกิจใหม่

September 9th, 2011 No comments

การยกระดับกรอบนโยบายของประเทศไทย เพื่อรองรับเทคโนโลยีคลาวด์ คอมพิวติ้ง (Cloud Computing) และเศรษฐกิจแบบดิจิตอล () จะมีส่วนช่วยให้ประเทศไทยก้าวไปสู่เป้าหมายการขยายระบบเศรษฐกิจแบบพึ่งพิงนวัตกรรมตามที่มุ่งหวังไว้ นำไปสู่การเติบโตของตลาดงานแบบยั่งยืน โดยมีค่าแรงที่เพิ่มสูง และมาตรฐานการดำรงชีวิตที่ดีขึ้น อย่างไรก็ดี ยังมีอุปสรรคบางประการที่ต้องข้ามผ่านเสียก่อน เป็นข้อมูลจากการศึกษาล่าสุด เรื่องเศรษฐกิจแบบดิจิตอลและคลาวด์ คอมพิวติ้ง โดยกลุ่มพันธมิตรธุรกิจซอฟต์แวร์ (บีเอสเอ) และบริษัทวิจัยกาเลกเซีย (Galexia) ที่ศึกษาความพร้อมด้านนโยบาย และกฎหมาย ที่เกี่ยวกับคลาวด์ คอมพิวติ้ง ใน 14 ประเทศ ในภูมิภาคเอเชีย แปซิฟิก

การศึกษาระบุว่า ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกมีศักยภาพในการเป็นศูนย์รวมการทำธุรกิจบนเทคโนโลยีคลาวด์ คอมพิวติ้ง ระดับโลก อย่างไรก็ดี พบว่าเกือบจะทุกประเทศในภูมิภาคนี้จะได้รับประโยชน์มากขึ้น หากมีการปรับปรุงกฎหมาย และนโยบาย ที่มีอยู่ในปัจจุบัน ในลักษณะที่แตกต่างกันไป เพื่อส่งเสริมเทคโนโลยีคลาวด์ คอมพิวติ้ง ระหว่างประเทศ

“การเติบโตอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยีคลาวด์ คอมพิวติ้งทำให้ประเทศไทยจำเป็นต้องเร่งกำหนดนโยบายในเรื่องนี้ เพื่อให้ภาคธุรกิจได้รับโอกาสทางธุรกิจมากที่สุดในระบบเศรษฐกิจแบบดิจิตอล และคลาวด์ คอมพิวติ้ง” นางจีราวรรณ บุญเพิ่ม ปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กล่าว “ประเทศไทยมีจุดแข็งในกรอบนโยบายอย่างชัดเจน แต่เรายังสามารถปรับปรุง และทำให้กรอบนโยบายของเราดียิ่งขึ้น การเพิ่มความเชื่อมั่น และสร้างความน่าเชื่อถือในการทำธุรกรรมบนโลกออนไลน์ เป็นเรื่องจำเป็นที่จะช่วยเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันของประเทศไทย ในการดึงดูดนักลงทุน สร้างงานคุณภาพ และส่งเสริมอุตสาหกรรมไอทีของเรา”

ประเทศไทยเริ่มต้นได้ดีแล้วกับนโยบายเพื่อรองรับคลาวด์ คอมพิวติ้ง และเศรษฐกิจแบบดิจิตอล อย่างไรก็ดี ยังต้องแก้ไขช่องโหว่ที่สำคัญ เพื่อให้ทันคู่แข่งอื่นในภูมิภาค การส่งเสริมความปลอดภัยบนโลกไซเบอร์ และการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล เป็นส่วนหนึ่งของการยกระดับกรอบนโยบาย ที่จะช่วยเพิ่มโอกาสทางธุรกิจของประเทศไทย ในสิ่งแวดล้อมใหม่ที่เป็นคลาวด์ คอมพิวติ้งและเศรษฐกิจแบบดิจิตอล

“บางเรื่องภายใต้กรอบนโยบายเพื่อรองรับเทคโนโลยีคลาวด์ คอมพิวติ้ง ของประเทศไทย ถือว่าเป็นจุดแข็ง แต่หากมีการพัฒนาเนื้อหาในบางเรื่อง ประเทศไทยจะสามารถมีกรอบนโยบายที่จะผลักดันให้เศรษฐกิจแบบดิจิตอล เกิดผลที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น” มร. โรเจอร์ ซอมเมอร์วิลล์ ผู้อำนวยการอาวุโสด้านรัฐบาลและนโยบายประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกของบีเอสเอกล่าว “การมีกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลออกมารองรับ จะช่วยให้ไทยสามารถเพิ่มโอกาสได้มากขึ้น จากเทคโนโลยีคลาวด์ คอมพิวติ้ง

มร. โรเจอร์ กล่าวว่า ประเทศไทยได้พัฒนากฎหมายหลายฉบับ ที่มีเนื้อหาครบถ้วน ที่เกี่ยวกับอาชญกรรมบนโลกไซเบอร์ ซึ่งจะช่วยเพิ่มความมั่นใจสำหรับการทำธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีสารสนเทศมากขึ้น นอกจากนี้ ประเทศไทยยังมีกฎหมายที่ดีหลายฉบับ เกี่ยวกับธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ และลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์อยู่แล้วด้วย

การศึกษาครั้งนี้ ได้ตรวจสอบกรอบกฎหมายและนโยบายของ 14 ประเทศในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ประกอบด้วย ออสเตรเลีย จีน ฮ่องกง อินเดีย อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น มาเลเซีย นิวซีแลนด์ ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ เกาหลีใต้ ไต้หวัน ไทย และเวียดนาม และเน้นไปที่ 8 หัวข้อที่สำคัญ ผลการศึกษาที่สำคัญมีดังต่อไปนี้

 ความปลอดภัย (Security) ประเทศในเอเชียส่วนใหญ่มีกฎหมายว่าด้วยเรื่องลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์ ที่ชัดเจนและมีความเป็นกลางในเรื่องเทคโนโลยี และได้กำหนดกฎระเบียบว่าด้วยการรับรองลายมือชื่อเซ็น ตามความจำเป็นไว้แล้ว มีการกำหนดมาตรการเรื่องความปลอดภัยในประเทศส่วนใหญ่ อย่างไรก็ดี มีประเทศเป็นจำนวนไม่น้อย ได้เริ่มต้นกำหนดรูปแบบการปิดกั้น หรือกลั่นกรองเนื้อหาบนอินเตอร์เน็ท ซึ่งอาจขัดขวางการขยายตัวของเศรษฐกิจแบบดิจิตอล และคลาวด์ คอมพิวติ้งได้
 อาชญากรรมคอมพิวเตอร์ (Computer Crime) ประเทศส่วนใหญ่มีกฎหมายเกี่ยวกับอาชญากรรมคอมพิวเตอร์ หรือไม่ก็มีกฎหมายเกี่ยวกับอาชญกรรมบนโลกไซเบอร์ อย่างใดอย่างหนึ่งแล้ว และเนื้อหาส่วนใหญ่ของกฎหมายดังกล่าวมีความสอดคล้องกับสนธิสัญญาว่าด้วยเรื่องอาชญกรรมบนโลกไซเบอร์ อย่างไรก็ดี ยังมีความแตกต่างกันอย่างมากในส่วนของกฎเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับการสืบสวน และการบังคับใช้กฎหมาย ซึ่งรวมถึงการเข้าถึงข้อมูลที่เข้ารหัสไว้ และการกระทำความผิดข้ามเขตแดนที่กฎหมายของแต่ละประเทศบังคับใช้อยู่
 ความสามารถในการทำงานข้ามระบบกันได้ (Interoperability) ถึงแม้ว่าประเทศในเอเชียส่วนใหญ่มีกฎหมาย หรือกฎข้อบังคับที่กำหนดกรอบเรื่องความสามารถในการทำงานข้ามระบบ และการถ่ายโอนข้อมูล แต่แนวทางของรัฐบาลที่เกี่ยวกับขั้นตอนการพัฒนาให้เป็นมาตรฐานยังมีความลักหลั่นกันอยู่ มีการตัดสินใจนอกรอบหลายเรื่องโดยไม่ได้อิงกับกรอบการทำงานและนโยบายแห่งชาติ จึงจำเป็นต้องมีการทำงานอย่างจริงจังในส่วนนี้ เพื่อส่งเสริมและเร่งการพัฒนามาตรฐานดังกล่าว
 การคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Data Privacy) ประเทศเอเชียส่วนใหญ่มีกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลอยู่แล้ว และได้จัดตั้งกรรมาธิการอิสระขึ้น เพื่อดูแลในเรื่องนี้ มีการปฏิรูปกฎหมายครั้งใหญ่ในเรื่องการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล โดยมีการทบทวนและข้อเสนอเกิดขึ้น ในออสเตรเลีย จีน ฮ่องกง นิวซีแลนด์ ฟิลิปปินส์ และไต้หวัน อย่างไรก็ดี ประเทศสำคัญ อย่าง จีน อินเดีย และอินโดนีเซีย ยังไม่มีกฎหมายคุ้มครองข้อมูล
 สิทธิด้านทรัพย์สินทางปัญญา (Intellectual Property Rights) ภูมิภาคนี้กำลังมุ่งหน้าไปในแนวทางต่อเนื่องเกี่ยวกับสิทธิหลายอย่างที่สำคัญ และการคุ้มครองสิทธิเหล่านั้น แม้ว่าจะยังมีความแตกต่างกันอยู่บ้าง ของแนวทางเกี่ยวกับข้อมูลการจัดการสิทธิ และเทคโนโลยีการเข้าสู่ข้อมูล ยังมีช่องว่างในกฎหมายทรัพย์สินทางปัญญาในประเทศสำคัญๆ รวมถึงอินเดีย และฟิลิปปินส์
 การสร้างกฎเกณฑ์ร่วมกันในระดับนานาชาติ (International harmonization of rules) กฎหมายพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ในภูมิภาคนี้มีเนื้อหาไปในทิศทางเดียวกันมาก โดยประเทศส่วนใหญ่มีการร่างกฎหมาย โดยอิงกับโมเดลกฎหมายของ UNCITRAL ว่าด้วยเรื่องพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ และ/หรือ อนุสัญญาขององค์กรสหประชาชาติว่าด้วยการทำสัญญาทางอิเล็กทรอนิกส์ (UN Convention on Electronic Contracting) หลายประเทศได้ลงนามและรับรองอนุสัญญา และนำไปสู่การสร้างกฎเกณฑ์ร่วมกัน ทำให้การเก็บภาษีศุลกากร หรือการกีดกันทางการค้า สำหรับการซื้อขายซอฟต์แวร์หรือแอพพลิเคชั่นต่างๆ แบบออนไลน์ เป็นสิ่งที่พบเห็นได้ยากมากในภูมิภาคนี้
 การค้าเสรี (Free trade) ยังคงมีการจัดซื้อจัดหาที่ให้สิทธิพิเศษหรือไม่เท่าเทียมกันอยู่บ้างประปราย การปฏิบัติเช่นนี้เป็นการจำกัดการแข่งขัน และอาจส่งผลกระทบในระยะยาว ต่อการจัดหาและต้นทุนของผลิตภัณฑ์และบริการแบบคลาวด์ คอมพิวติ้ง ในบางประเทศ อย่างไรก็ดี มีประเทศต่างๆ เข้าร่วมเป็นภาคีของความตกลงว่าด้วยการจัดซื้อจัดหาของภาครัฐ (WTO Agreement on Government Procurement) เป็นจำนวนมากขึ้น สิ่งนี้ทำให้การจัดซื้อจัดหาของภาครัฐมีความเป็นกลางและเสรีมากขึ้น
 โครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure) การมีอยู่และการเข้าถึงบริการบรอดแบนด์ในภูมิภาคมีความแตกต่างกัน และพบว่ามีบางประเทศยังไม่มีโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็น ที่สามารถสนับสนุนและใช้แสวงหาประโยชน์จากเศรษฐกิจแบบดิจิตอลและคลาวด์ คอมพิวติ้ง ได้อย่างเต็มที่

“การศึกษาครั้งนี้ไม่ได้จัดอันดับคุณภาพของสภาวะแวดล้อมทางกฎหมายและนโยบายในประเทศที่ทำการศึกษา เพียงแต่มุ่งให้ข้อมูลที่เกี่ยวข้อง เพื่อตรวจสอบดูว่า ปัญหาด้านกฎหมายและนโยบายที่จำเป็นต้องแก้ไขในประเทศเหล่านี้ ได้รับการแก้ไขแล้วหรือยัง เพราะเรื่องที่ศึกษามีขอบเขตกว้างขวางและครอบคลุมหลายประเทศ การศึกษานี้จึงเสนอการประเมินในระดับพื้นฐาน เพื่อดูว่าโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นของเศรษฐกิจดิจิตอลมีความพร้อมแล้วหรือยัง มากกว่าจะมุ่งเจาะลึกดูว่าการเตรียมความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐานดังกล่าวดำเนินไปได้ดีเพียงใด” มิสเตอร์ โรเจอร์กล่าว

เราหวังว่าการศึกษาครั้งนี้จะทำให้เกิดการพูดคุยกันในกลุ่มผู้กำหนดนโยบาย เพื่อนำไปสู่ข้อสรุปสำหรับการแก้ไขที่จำเป็น โดยให้มุมมองว่า การสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจแบบดิจิตอล และคลาวด์ คอมพิวติ้ง ในเอเชีย จำเป็นต้องทำผ่านการยกระดับนโยบาย และการผนึกรวมเรื่องของการค้าและเศรษฐกิจเข้าไว้ด้วยกัน การศึกษาครั้งนี้เป็นเสมือนเครื่องมือ เพื่อช่วยให้ผู้กำหนดนโยบาย สามารถทำการประเมินในเชิงสร้างสรรค์ และวางแผนขั้นต่อไป ที่จำเป็นเพื่อสร้างให้เกิดความเชื่อมั่น ในสิ่งแวดล้อมแบบคลาวด์ คอมพิวติ้ง โดยเน้นไปที่การคุ้มครองความเป็นส่วนตัว และความปลอดภัยในธุรกรรมต่างๆ ของผู้ใช้งาน หรือได้รับบริการคลาวด์ คอมพิวติ้ง และเพื่อส่งเสริมให้เกิดการทำงานประสานข้ามระบบ และการถ่ายโอนข้อมูลกันได้ ตลอดจนกระตุ้นให้เกิดนวัตกรรมที่จำเป็นต่อการใช้ประโยชน์บนเทคโนโลยีคลาวด์ คอมพิวติ้งอย่างเต็มที่

View :1652

ควอลคอมม์แต่งตั้งผู้บริหารคนใหม่

September 9th, 2011 No comments

ควอลคอมม์ อินคอร์ปอเรทเต็ด (หรือใช้ชื่อในตลาดหุ้นนาสเด็ก คือ QCOM) ประกาศแต่งตั้งนายวู มินห์ ทรี ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการประจำภูมิภาคอินโดจีนและประเทศไทย ก่อนหน้านี้ นายทรีเคยดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการทั่วไปประจำประเทศเวียดนาม กัมพูชาและลาว ควอลคอมม์ อินคอร์ปอเรทเต็ด สำหรับการดำรงตำแหน่งใหม่ดังกล่าว นายทรีจะดูแลและบริหารกลยุทธ์การตลาดและการดำเนินธุรกิจของควอลคอมม์ในตลาดไทยและอินโดจีน


สำหรับตลาดไทย นายทรีจะสานสัมพันธภาพและความร่วมมือกับผู้ให้บริการ ผู้รับจ้างผลิต (OEM) และผู้จัดจำหน่ายระดับท้องถิ่นให้มีความมั่นคงและแข็งแกร่ง และขับเคลื่อนให้ธุรกิจทั้งหมดเหล่านี้ได้รับประโยชน์จากระบบสื่อสารโทรคมนาคมของไทยได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ โดยจะเข้ามาทำหน้าที่แทนคุณคนึงจิตร สุริยะธำรงกุล ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งผู้จัดการประจำประเทศไทยที่มีบทบาทสำคัญในการจัดตั้งและพัฒนาบริษัทควอลคอมม์ในประเทศไทยให้เติบโตอย่างโดดเด่นตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา ซึ่งควอลล์คอมม์ขอขอบคุณคุณคนึงจิตรที่ได้ร่วมสร้างสรรค์ควอลคอมม์ให้ประสบความสำเร็จมา ณ โอกาสนี้ และขออวยพรให้คุณคนึงจิตรประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานต่อไปในอนาคต

นอกจากนี้ นายทรียังมีภารกิจมุ่งสนับสนุนการพัฒนาระบบการสื่อสารโทรคมนาคมในภูมิภาคอินโดจีน โดยนำประสบการณ์ทางด้านอุตสาหกรรมการสื่อสารไร้สายมาใช้สนับสนุนพันธมิตรผู้ให้บริการระบบ 3จีของควอลคอมม์ทั้งทางด้านการวางกลยุทธ์เสริมสร้างการเติบโตทางธุรกิจ และการนำโซลูชั่นระบบเครือข่ายมาใช้งานอย่างเต็มประสิทธิภาพ เพื่อเผยแพร่เทคโนโลยี 3จีออกสู่ชุมชนต่างๆ ในแต่ละประเทศ

ก่อนเข้าร่วมงานกับควอลคอมม์ นายทรีเคยดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการทั่วไป บริษัท ยาฮู! เวียดนาม จำกัด ซึ่งดูแลและบริหารธุรกิจของยาฮู! ในประเทศเวียดนามอย่างครบวงจร ก่อนหน้านี้ นายทรีเป็นผู้จัดการทั่วไป บริษัท โซนี อิริคสัน เวียดนาม ซึ่งนายทรีได้พัฒนาธุรกิจของโซนีให้มีการเติบโตอย่างแข็งแกร่งและมั่นคง โดยมีอัตราการเติบโตทั้งทางด้านปริมาณการขายและรายได้เป็นตัวเลข 3 หลัก และมีส่วนแบ่งการตลาดเพิ่มขึ้น 2 เท่า

ไทยและอินโดจีนเป็น 2 ตลาดหลักที่สำคัญของควอลคอมม์ โดยมีการพัฒนาอุตสาหกรรมการสื่อสารเคลื่อนที่มาอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ประชากรในท้องถิ่นมีสถานภาพทางเศรษฐกิจและสังคมที่ดีขึ้น และก่อให้เกิดประโยชน์ต่อตลาดเกิดใหม่อื่นๆ ทั่วโลก

View :1353
Categories: Press/Release, Technology Tags:

ดีแทคส่งแพ็กเกจใหม่ยกแผงเอาใจสาวกสมาร์ทโฟน พร้อมลดค่าบริการสูงสุด 1,200 บาท และแคชแบ็ค 15% เมื่อซื้อเครื่องใหม่

September 9th, 2011 No comments


ดีแทคต่อยอดความแรงจากงาน Expo ส่งแพ็กเกจเพิ่มความคุ้มค่ารองรับการใช้งาน 3G เพื่อลูกค้าอย่างเหมาะสมกับการใช้งานสมาร์ทโฟนแต่ละรุ่น แต่ละไลฟ์สไตล์ เพื่อเชื่อมต่อออนไลน์ทั้งการใช้งาน download และ upload ข้อมูลในปริมาณมาก และการใช้งานโทรคุ้มค่า พร้อมข้อเสนอพิเศษสำหรับลูกค้าเลือกซื้อสมาร์ทโฟนรองรับ 3G 850 MHz ได้รับเงินคืนสูงสุดถึง 15% จากบัตรเครดิตชั้นนำที่ร่วมรายการ และเลือกสุดคุ้มผ่อน 0% นาน 10 เดือน หรือ ผ่อนดอกเบี้ย 0.69% นาน 20 เดือน พร้อมรับส่วนลดค่าบริการสูงสุด 1,200 บาท หมดเขต 31 ตุลาคมนี้เท่านั้น ที่ดีแทคเซ็นเตอร์และสำนักงานบริการลูกค้าดีแทค ทั่วประเทศ

นายปกรณ์ พรรณเชษฐ์ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายผลิตภัณฑ์ บมจ. โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น (ดีแทค) กล่าวว่า จากงาน dtac 3G Expo ที่ผ่านมาได้เล็งเห็นถึงความต้องการใช้งาน dtac 3G ของลูกค้าที่มากขึ้น และอัตราการใช้งานดาต้าบนเครือข่ายดีแทคทั่วประเทศได้เติบโตขึ้นมาก โดยเฉพาะการใช้งานดาต้าบนเครือข่ายดีแทคในพื้นที่ให้บริการ dtac 3G และการเข้าสู่สังคมออนไลน์ต่างๆ ผ่านสมาร์ทโฟนพุ่งสูงมาก ดีแทคจึงได้นำแพ็กเกจมาปรับใหม่เพื่อเอาใจผู้ใช้งานสมาร์ทโฟน ที่มีอย่างหลากหลาย

“แพ็กเกจสมาร์ทโฟนใหม่ตอบสนองทุกไลฟ์สไตล์ มีทั้งแบบใช้เน็ตไม่จำกัดรองรับ iPhone, Android และสมาร์ทโฟนทั่วไป คือ Smartphone 699, Smartphone 899, Smartphone 1199 หรือแบบคิดตามเมกะไบต์ที่ใช้งาน Smartphone 399 ใช้ 3G/EDGE ได้ 200 MB/เดือน เป็นต้น และยังมีแพ็กอื่นๆ ที่รองรับสมาร์ทโฟนและทุกการใช้งานที่เหมาะสมกับลูกค้าอีกมากมาย พร้อมทั้งยังได้รับส่วนลดค่าบริการสูงสุด 1,200 บาท เมื่อซื้อสมาร์ทโฟนใหม่อีกด้วย” นายปกรณ์ กล่าว

นอกจากนี้ เพื่อตอบสนองลูกค้าที่ต้องการสมาร์ทโฟน 3G 850MHz ยังมอบข้อเสนอสุดพิเศษโดยดีแทคร่วมมือกับบัตรเครดิตชั้นนำ 10 บัตร อาทิ บัตรเครดิตกรุงศรี, โฮมโปรวีซ่า, เซ็นทรัล เครดิตคาร์ด, โรบินสันวีซ่า คาร์ด, บัตรกรุงศรี เฟิร์สช้อยส์, กสิกรไทย, เคทีซี, แสตนดาร์ดชาร์เตอร์ด, ไทยพาณิชย์ และยูโอบี มอบข้อเสนอพิเศษให้ลูกค้ารับเงินคืนสูงสุด 15% เมื่อซื้อสมาร์ทโฟน 3G พร้อมแพ็กเกจสมาร์ทโฟนที่ร่วมรายการ โดยสมาร์ทโฟนรุ่นยอดนิยมที่ดีแทคนำมาร่วมรายการในครั้งนี้มีทั้ง iPhone, Samsung, HTC, Blackberry และ Nokia ลูกค้าสามารถเลือกได้ว่าจะชำระเต็มจำนวน หรือผ่อนดอกเบี้ยอัตรา 0% นาน 10 เดือน รวมทั้งยังสามารถเลือกผ่อนเบาๆ ในอัตราดอกเบี้ย 0.69% นาน 20 เดือน ผู้สนใจสอบถามข้อเสนอพิเศษ เงื่อนไขและรายละเอียดอื่น ๆ เพิ่มเติมได้ที่ 1678 ดีแทคคอลล์เซ็นเตอร์ และ www.dtac.co.th พร้อมทั้งที่ดีแทคเซ็นเตอร์ และสำนักงานบริการลูกค้าดีแทคทั่วประเทศ ตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 31 ต.ค. 2554 เท่านั้น

View :1541

ไอบีเอ็มเผยผลสำรวจซีไอโอแห่งศตวรรษ 3,000 ซีไอโอทั่วโลกเผยบทบาทที่เปลี่ยนไปของซีไอโอยุค2011

September 9th, 2011 No comments

ชี้แนวโน้มบิสสิเนสอินเทลลิเจนซ์ โซลูชันสำหรับอุปกรณ์พกพา และคลาวด์คอมพิวติ้งมาแรง

ไอบีเอ็มเผยผลการสำรวจความคิดเห็นของประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายสารสนเทศ (ซีไอโอ)ครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งปีซึ่งชี้ให้เห็นวิสัยทัศน์ของซีไอโอทั่วโลกที่ใกล้เคียงกับวิสัยทัศน์ของซีอีโออย่างมีนัยสำคัญเป็นครั้งแรก บทบาทของซีไอโอและเทคโนโลยีในปัจจุบันทวีความสำคัญมากขึ้นอย่างที่ไม่เคยปรากฎมาก่อนในฐานะผู้สร้างนวัตกรรมและความสำเร็จทางธุรกิจให้แก่องค์กร ผลการสำรวจยังเผย “4 พันธกิจของซีไอโอ” หรือบทบาทหน้าที่ที่แตกต่างกันในสี่รูปแบบของซีไอโอยุคปัจจุบันซึ่งขึ้นอยู่กับจุดมุ่งหมายทางธุรกิจขององค์กร พร้อมชี้แนวโน้มเทคโนโลยีที่ซีไอโอทั่วโลกให้ความสำคัญ

นางพรรณสิรี อมาตยกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ประเทศไทย จำกัด กล่าวว่า “ปัจจุบันผู้บริหารซีไอโอไม่ได้ถูกมองว่าเป็นเพียงผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีเท่านั้น แต่กลับทวีความสำคัญยิ่งขึ้นในฐานะคู่คิดและพันธมิตรขององค์กรสำหรับการขยายธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน ไอทีไม่ได้เป็นเพียงแค่เครื่องมือที่ใช้รองรับธุรกิจอีกต่อไป หากแต่เป็นปัจจัยสำคัญสำหรับการเสริมสร้างความได้เปรียบด้านการแข่งขันและเป็นสิ่งที่ผสานรวมอยู่ในทุกแง่มุมขององค์กร จากผลสำรวจนี้ ซีไอโอที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดคือซีไอโอที่สามารถใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีเพื่อการสนองเป้าหมายทางธุรกิจขององค์กรได้อย่างตรงจุดมากที่สุด

“เป้าหมายของผลสำรวจของไอบีเอ็มที่รวมเอาความคิดเห็นของซีไอโอกว่า 3,000 คนทั่วโลก และซีไอโอจากบริษัทชั้นนำถึง 40 คนในประเทศไทยครั้งนี้ คือการช่วยให้ซีไอโอตระหนักรู้และมุ่งเน้นบทบาทของตนให้สอดคล้องกับเป้าหมายขององค์กร อันจะช่วยเสริมสร้างขีดความสามารถให้กับผู้บริหารซีไอโอทั่วโลก และช่วยให้องค์กรธุรกิจได้รับประโยชน์สูงสุดจากเทคโนโลยี” นางพรรณสิรีกล่าว

ปัจจุบัน ผู้บริหารระดับซีอีโอและซีไอโอให้ความสำคัญใน 3 ประเด็นหลักที่ตรงกันในการบริหารองค์กร นั่นคือ การเสริมสร้างความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับลูกค้า การพัฒนาทักษะของบุคลากร และการกลั่นกรองข้อมูลเชิงลึกจากข้อมูลทางธุรกิจที่มีอยู่ ส่วนในเชิงเทคโนโลยี ผลการศึกษาของไอบีเอ็มบ่งชี้ถึงเทคโนโลยีที่ซีไอโอให้ความสำคัญ ดังนี้

บิสซิเนสอินเทลลิเจนซ์ (Business Intelligence) และระบบวิเคราะห์ข้อมูล (Analytics)
4 ใน 5 ของซีไอโอทั่วโลก รวมถึงซีไอโอ 86 เปอร์เซ็นต์ในภูมิภาคอาเซียน มองว่าระบบบิสซิเนสอินเทลลิเจนซ์ (Business Intelligence) และระบบวิเคราะห์ข้อมูล (Analytics) มีความสำคัญสูงสุดสำหรับองค์กรธุรกิจในปัจจุบัน เนื่องจากองค์กรต้องรับมือกับข้อมูลที่เพิ่มขึ้นจำนวนมหาศาล

เทคโนโลยีคลาวด์คอมพิวติ้ง (Cloud Computing)
เทคโนโลยีคลาวด์คอมพิวติ้งมีความสำคัญเพิ่มขึ้นเหนือภารกิจอื่นๆ ของซีไอโอ โดยซีไอโอถึง 57 เปอร์เซ็นต์ในภูมิภาคอาเซียน พร้อมที่จะปรับใช้คลาวด์คอมพิวติ้งในช่วง 5 ปีข้างหน้า เพื่อขยายธุรกิจให้เติบโตและเสริมสร้างความได้เปรียบด้านการแข่งขัน ซึ่งมากกว่าเกือบ 2 เท่าเมื่อเทียบกับผลการศึกษาของเมื่อ 2 ปีที่แล้ว

โซลูชันสำหรับอุปกรณ์พกพา (Mobility Solutions)
ซีไอโอให้ความสนใจเพิ่มมากขึ้นต่อโซลูชันสำหรับอุปกรณ์พกพา (Mobility Solutions) เพื่อก้าวให้ทันตลาดปัจจุบันที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เนื่องจากอุปกรณ์พกพามีจำนวนเพิ่มขึ้นและมีฟังก์ชั่นการทำงานที่ดีขึ้น อีกทั้งจำนวนโมบายล์แอพพลิเคชั่นที่สนับสนุนการดำเนินธุรกิจและโอกาสใหม่ๆ ในตลาดก็เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นผู้บริหารซีไอโอเกือบ 3 ใน 4 รวมทั้ง 68% ของซีไอโอในภูมิภาคอาเซียน จึงมองว่าโซลูชันสำหรับอุปกรณ์พกพา เป็นเครื่องมือสำคัญที่จะพลิกเกมธุรกิจให้กับองค์กรได้อย่างแท้จริง

นอกเหนือจากนี้ ผลการสำรวจของไอบีเอ็มยังเปิดเผยถึงบทบาทหน้าที่ของซีไอโอในปัจจุบัน หรือ “4 พันธกิจของซีไอโอ” ซึ่งมีอยู่ทั้งหมดสี่กลุ่ม แต่ละกลุ่มแตกต่างกันออกไปตามความมุ่งหวังทางธุรกิจของแต่ละองค์กร พันธกิจที่แตกต่างกันของซีไอโอมิได้เป็นเครื่องชี้วัดผลกำไร ความก้าวหน้าหรือความสำเร็จขององค์กร ในทางกลับกัน เป้าหมายและความจำเป็นทางธุรกิจเป็นเครื่องกำหนดพันธกิจที่แตกต่างของซีไอโอ

พันธกิจของซีไอโอ แบ่งออกเป็น 4 ประเภท คือ

พันธกิจเพิ่มประสิทธิผล (Leverage) คือพันธกิจหลักของซีไอโอในองค์กรที่มองว่าบทบาทของไอทีคือการเพิ่มความคล่องตัวในระบบการปฎิบัติงานและเพิ่มประสิทธิภาพขององค์กร

พันธกิจเพิ่มขยาย (Expand) คือพันธกิจหลักของซีไอโอในองค์กรที่มองว่า บทบาทของไอทีคือการการปรับปรุงการจัดการระบบงานธุรกิจอย่างครบวงจรและเพิ่มการประสานงานภายในองค์กร องค์กรมุ่งหวังให้ใช้ไอทีเพื่อ re-engineer องค์กร ทำให้องค์กรทำงานได้เร็วขึ้น คล่องตัวสูงขึ้น และพร้อมที่จะเปลี่ยนข้อมูลที่มีอยู่เป็นข้อมูลที่เป็นประโยชน์กับองค์กร

พันธกิจการปฏิรูป (Transform) คือพันธกิจหลักของซีไอโอในองค์กรที่มองว่าบทบาทของไอทีคือการนำไอทีโซลูชันเช่น CRM มาตอบโจทย์และเพิ่มคุณค่าให้กับธุรกิจนั้นๆ ด้วยการเสริมสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าและคู่ค้า

พันธกิจผู้บุกเบิก (Pioneer)
คือพันธกิจหลักของซีไอโอในองค์กรที่มองว่าบทบาทของไอทีมีความสำคัญในการสร้างนวัตกรรมให้กับผลิตภัณฑ์ ช่องทางการตลาด รวมถึงรูปแบบของธุรกิจเพื่อเพิ่มคุณค่าให้กับองค์กร

จากผลการสำรวจ บริษัทที่มีผลประกอบการที่โดดเด่น คือบริษัทที่มีทีมผู้บริหารซีไอโอที่มุ่งเน้นพันธกิจทางด้านไอทีที่สอดคล้องกับธุรกิจ โดยองค์กรจะต้องระบุและสื่อสารอย่างชัดเจนเกี่ยวกับหน้าที่หรือ “พันธกิจ” ของผู้บริหารซีไอโอและทีมงาน ซึ่งพันธกิจที่แตกต่างกันตามความต้องการทางธุรกิจของแต่ละองค์กรนี้ สามารถใช้เป็นกลไกหลักสำหรับการพิจจารณาลงทุนด้านไอที การลงทุนด้านการพัฒนาทักษะที่บุคคลากรฝ่ายไอทีจำเป็นต้องแสวงหาและพัฒนาเพิ่มเติม

เกี่ยวกับผลการศึกษาซีไอโอประจำปี 2011
ผลการศึกษาซีไอโอประจำปี 2011 เป็นส่วนหนึ่งของผลการศึกษาเกี่ยวกับผู้บริหารระดับสูงของไอบีเอ็ม (IBM C-Suite Study Series) ซึ่งได้รับการตีพิมพ์เผยแพร่โดยสถาบันเพิ่มมูลค่าทางธุรกิจของไอบีเอ็ม (IBM Institute for Business Value) ผลการศึกษาซีไอโอทั่วโลก (Global CIO Study) ประจำปี 2011 ของไอบีเอ็มเป็นผลการวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้รับจากการสัมภาษณ์แบบตัวต่อตัวสำหรับผู้บริหารซีไอโอจากองค์กรทุกขนาดใน 71 ประเทศ และ 18 กลุ่มอุตสาหกรรม ภายใต้ชื่อ “The Essential CIO” โดยข้อมูลที่พบเน้นย้ำถึงบทบาทที่สำคัญมากขึ้นของซีไอโอในฐานะผู้นำด้านการสร้างสรรค์นวัตกรรมและการเติบโตให้กับธุรกิจ ผลการศึกษาดังกล่าวตีพิมพ์เผยแพร่เนื่องในโอกาสครบรอบ 100 ปีของไอบีเอ็ม โดยบริษัทฯ เคยมีบทบาทสำคัญในการผลักดันให้องค์กรต่างๆ เล็งเห็นถึงความจำเป็นของตำแหน่งซีไอโอในช่วงทศวรรษ 1950 และ 1960 ซึ่งเป็นยุคเริ่มแรกของเทคโนโลยีระบบประมวลผลในเชิงธุรกิจ และยกระดับตำแหน่งดังกล่าวในช่วงหลายทศวรรษต่อมาเพื่อให้ซีไอโอมีบทบาทสำคัญในการประชุมของผู้บริหารระดับสูง

View :1547

ก.ไอซีที จับมือภาคเอกชนสร้างนักพัฒนาโปรแกรมมืออาชีพรองรับประชาคมอาเซียน

September 9th, 2011 No comments

นาวาอากาศเอก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เปิดเผยในการแถลงข่าวเปิดโครงการสร้างนักพัฒนาโปรแกรมมืออาชีพ ว่า จากนโยบายการบริหารราชการแผ่นดินที่รัฐบาลจะดำเนินการนั้น ได้มุ่งหมายที่จะนำประเทศไทยก้าวไปสู่การเป็นประชาคมอาเซียนอย่างสมบูรณ์ ในปี พ.ศ. 2558 โดยการสร้างความพร้อมและความเข้มแข็งทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม การเมือง และความมั่นคง

กระทรวงไอซีที จึงได้ผลักดันการดำเนินงานตามนโยบายนี้อย่างเร่งด่วน ซึ่งพันธกิจหนึ่งของกระทรวงฯ ก็คือ การส่งเสริมให้ประเทศไทยมีบทบาทในภูมิภาคอาเซียนด้วยการเป็นศูนย์กลางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร รวมถึงการส่งเสริม สนับสนุน และพัฒนาบุคลากรด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ตลอดจนการเพิ่มศักยภาพและขีดความสามารถทางการแข่งขันในอุตสาหกรรมไอซีทีของประเทศไทย แต่ปัจจุบันเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารมีการพัฒนาอย่างรวดเร็วมาก การพัฒนาทักษะความรู้ความสามารถของบุคลากรด้านไอทีของประเทศให้ทันกับเทคโนโลยีใหม่ๆ อาทิ เทคโนโลยีของโปรแกรมบนอุปกรณ์พกพา เป็นต้น จึงเป็นสิ่งจำเป็นที่ภาครัฐและเอกชนต้องร่วมมือกันถ่ายทอดความรู้ความสามารถให้กับบุคลากรของประเทศ เพื่อให้สามารถแข่งขันกับบุคลากรของประเทศอื่นๆ ได้

“จากการสำรวจมูลค่าตลาดไอซีทีปี 2553 ของสำนักงานส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) พบว่า มีมูลค่ากว่า 607,385 ล้านบาท ซึ่งเฉพาะตลาดคอมพิวเตอร์ซอฟต์แวร์นั้นมีมูลค่าเพียง 11.91% ของมูลค่าตลาดรวมหรือ 72,400 ล้านบาท จากตัวเลขดังกล่าวจะเห็นว่า ศักยภาพของบุคลากรไอซีทีไทยในการที่จะสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าและบริการนั้นยังมีอยู่มาก และพร้อมที่จะพัฒนาให้มากขึ้นไปอีกได้ ดังนั้น การพัฒนาทักษะระดับสูงของบุคลากรไอซีทีไทย ให้มีความเชี่ยวชาญในการสร้างแอพพลิเคชั่น โดยการนำเทคโนโลยีใหม่ๆ มาใช้ในการผลิต เพื่อให้ได้สินค้าและบริการที่มีคุณภาพมาตรฐาน และตอบสนองความต้องการกลุ่มเป้าหมายให้ได้มากที่สุด จึงเป็นยุทธศาสตร์สำคัญที่กระทรวงฯ จะดำเนินการในรูปแบบ Public-Private Participation หรือ PPP ซึ่งการดำเนินการดังกล่าว ก็คือ ต้องอาศัยความร่วมมือกันระหว่างกระทรวงไอซีที และภาคเอกชนที่มีขีดความสามารถในการพัฒนาบุคลากรด้านไอซีที” น.อ.อนุดิษฐ์ กล่าว

กระทรวงไอซีที จึงได้ร่วมมือกับ สถาบันพัฒนาเศรษฐกิจสร้างสรรค์ สาขาซอฟต์แวร์ โดยมหาวิทยาลัยศรีปทุม , อุทยานเศรษฐกิจสร้างสรรค์ไทย (TCEP) และบริษัท ไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) จำกัด ดำเนินโครงการสร้างนักพัฒนาโปรแกรมมืออาชีพ หรือ CAS Code Camp เพื่อพัฒนาบุคคลากรด้านซอฟต์แวร์ให้มีความเชี่ยวชาญด้านโปรแกรมบนอุปกรณ์มือถือ และสามารถใช้แนวคิดสร้างสรรค์ในการสร้างนวัตกรรมซอฟต์แวร์ใหม่ๆ โดยการจัดฝึกอบรม 6 หลักสูตร คือ หลักสูตรนักพัฒนาโปรแกรมบนอุปกรณ์พกพา iPhone / iPad หลักสูตรนักพัฒนาโปรแกรมบนอุปกรณ์พกพา Android หลักสูตรนักพัฒนาโปรแกรมบนอุปกรณ์พกพา Microsoft Phone หลักสูตรนักพัฒนาโปรแกรม Game ด้วย Microsoft XNA หลักสูตรนักพัฒนาโปรแกรมระดับองค์กรด้วย Microsoft Visual Studio และหลักสูตรนักพัฒนาโปรแกรม Microsoft Share Point

“โครงการ CAS Code Camp นี้ จะเปิดฝึกอบรมพัฒนาทักษะความรู้ให้กับผู้ประกอบการซอฟต์แวร์และนักพัฒนาซอฟต์แวร์ จำนวน 6,000 คน ซึ่งผู้เข้ารับการฝึกอบรมที่ผ่านหลักสูตรนี้จะได้รับประกาศนียบัตรรับรองมาตรฐานวิชาชีพจากกระทรวงไอซีที บริษัท ไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) จำกัด และสถาบันพัฒนาเศรษฐกิจสร้างสรรค์ สาขาซอฟต์แวร์ โดยมหาวิทยาลัยศรีปทุม ซึ่งความรู้ที่ได้รับนี้จะสามารถใช้เป็นบันไดก้าวหนึ่งที่จะต่อยอดไปสู่การเป็นผู้ประกอบการ SME ที่มีศักยภาพได้ และกระทรวงไอซีที คาดหวังว่า โครงการฯ นี้จะช่วยพัฒนาขีดความสามารถของบุคคลากรด้านไอซีทีในประเทศไทยได้ตามนโยบายของรัฐบาลที่มุ่งหวังให้การพัฒนาบุคลากรไอซีที เป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาประเทศไปสู่อนาคต” น.อ.อนุดิษฐ์ กล่าว

View :1697

เอชพี ขึ้นแท่นผู้นำตลาดระบบเครือข่ายทั่วโลก

September 9th, 2011 No comments

เอชพี ประกาศความสำเร็จครองแชมป์ผู้นำตลาด ส่วนแบ่งการตลาดสูงสุดทั่วโลกและทุกๆ ภูมิภาคในทุกผลิตภัณฑ์ของระบบเครือข่าย ในไตรมาสที่ 1 ปี 2554

รายงานฉบับล่าสุดของบริษัทวิเคราะห์ เดลล์’โอโร กรุ๊ป (Dell’Oro Group)(1) ระบุว่า ผลิตภัณฑ์ Networking มีการเติบโตรวดเร็วกว่าตลาดโดยรวม ทั้งยังมีส่วนแบ่งรายได้เพิ่มขึ้นเหนือกว่าสภาวะการแข่งขันในตลาดโดยรวม

นอกจากนี้ รายงานฉบับดังกล่าวยังเผยว่า ในไตรมาส 1 ปี 2554 เอชพีมีส่วนแบ่งด้านรายได้ในตลาดอุปกรณ์อีเทอร์เน็ต สวิตชิ่ง ทั้งประเภทเลเยอร์ 2 และเลเยอร์ 3 ทั่วโลกคิดเป็นร้อยละ 2.5 จุด ขณะที่ซิสโก้มีส่วนแบ่งด้านรายได้ลดลง 5.8 จุดในไตรมาสเดียวกันนี้

อชพีมีส่วนแบ่งรายได้ในกลุ่มผลิตภัณฑ์เราเตอร์ร้อยละ 2.5 จุด และกลุ่มผลิตภัณฑ์แลนไร้สาย (WLAN) ร้อยละ 2.2 จุดในช่วงเวลาดังกล่าว(1) เทียบกับซิสโก้ที่มีส่วนแบ่งรายได้ในกลุ่มผลิตภัณฑ์เราเตอร์และกลุ่มผลิตภัณฑ์ WLAN ลดลงร้อยละ 3.1 จุด และ 0.4 จุดตามลำดับ

ทั้งนี้ ด้วยเทคโนโลยีของเอชพี จะช่วยให้ลูกค้าเปลี่ยนไปใช้ระบบเครือข่ายแบบเปิดที่มีการใช้งานที่ง่าย และมีความยืดหยุ่นมากขึ้น เพื่อขับเคลื่อนสภาพแวดล้อมขององค์กรให้ก้าวสู่มิติใหม่ที่มีความคล่องตัวยิ่งขึ้น การเติบโตของส่วนแบ่งการตลาดของเอชพีอย่างรวดเร็วนี้ สามารถสะท้อนให้เห็นว่าลูกค้ามีความมั่นใจในระบบผลิตภัณฑ์เครือข่าย HP Networking เป็นอย่างยิ่งนั่นเอง

เมื่อเร็วๆนี้ เอชพีได้เปิดตัวระบบสถาปัตยกรรม HP FlexNetwork ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมแบบผนวกเพียงระบบเดียวในอุตสาหกรรมไอทีที่รองรับการทำงานของระบบศูนย์ข้อมูลหรือดาต้าเซ็นเตอร์ แคมปัส และสาขา เพื่อเร่งการเติบโตของตลาดระบบเครือข่าย ทั้งนี้ สถาปัตยกรรม HP FlexNetwork เป็นหนึ่งในองค์ประกอบสำคัญของระบบโครงสร้างพื้นฐานแบบผนวก (HP Converged Infrastructure) โดยผนวกรวมคลังเครือข่ายทั้งหมดเข้าไว้ด้วยกัน เพื่อสนับสนุนการนำระเบียบวิธีต่างๆ (protocols) มาใช้บนอุปกรณ์เครือข่ายทุกประเภทเป็นประจำอย่างสม่ำเสมอทั่วทั้งองค์กร

คุณศักดิ์ชัย ปัญญจเร ผู้อำนวยการ หน่วยธุรกิจ HP Networking เอชพี ประเทศไทย กล่าวว่า “ลูกค้ามีความต้องการอย่างเร่งด่วนในการปลดระวางระบบเครือข่ายที่ไม่ยืดหยุ่น มีความซับซ้อน และมีราคาแพง โดยความต้องการเหล่านี้ขององค์กรธุรกิจเป็นปัจจัยขับเคลื่อนให้หน่วยธุรกิจ HP Networking มีรายได้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ลูกค้าทั่วโลกไว้วางใจให้เอชพีเป็นผู้พัฒนาระบบเครือข่าย เพราะสามารถบริหารจัดการระบบเครือข่ายได้ง่ายขึ้นและมีความยืดหยุ่นยิ่งขึ้น มีความพร้อมและรองรับการปรับไปสู่ระบบคลาวด์คอมพิวติ้งและระบบคอมพิวติ้งอื่นๆ ที่มีความยืดหยุ่นได้เป็นอย่างดี”

คุณสมบัติอันโดดเด่นอื่นๆ ของเอชพีตามที่ระบุไว้ในรายงานล่าสุดของเดลล์’ โอโร กรุ๊ป ประกอบด้วย

· ครองอันดับหนึ่งในตลาดอุปกรณ์สวิตช์ที่มีการจัดการอย่างชาญฉลาด โดยมีส่วนแบ่งการตลาดร้อยละ 34 ล้ำหน้าแบรนด์อันดับ 2 ร้อยละ 13 จุด(2)

· มีรายได้และหน่วยหุ้นในตลาดอุปกรณ์สวิตช์และเราเตอร์เป็นอันดับ 2 โดยอุปกรณ์สวิตช์มีส่วนแบ่งด้านรายได้ร้อยละ 12 และส่วนแบ่งหน่วยหุ้นร้อยละ 20.2 ขณะที่อุปกรณ์เราเตอร์มีส่วนแบ่งด้านรายได้ร้อยละ 5.5 และส่วนแบ่งหน่วยหุ้นร้อยละ 10.3 (1)

· มีส่วนแบ่งรายได้จากอุปกรณ์สวิตช์ต่อปีเทียบกับปีที่ผ่านมาในทุกภูมิภาค ดังนี้ : ร้อยละ 1 จุดในภูมิภาคอเมริกาเหนือ ร้อยละ 2 จุดในภูมิภาคยุโรป ตะวันออกกลาง และแอฟริกา ร้อยละ 6 จุดในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก และญี่ปุ่น และร้อยละ 4 จุดในภูมิภาคละตินอเมริกา (1)

· มีส่วนแบ่งด้านรายได้ในกลุ่มอุปกรณ์สวิตช์มากกว่าตลาดโดยรวมในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก และญี่ปุ่นในไตรมาสแรกของปี 2554 โดยมีการเติบโตเพิ่มขึ้นร้อยละ 20.1 จากร้อยละ 14.6 ในช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา และในภูมิภาคละตินอเมริกามีการเติบโตเพิ่มขึ้นร้อยละ 16.1 จากร้อยละ 12.6 ในไตรมาสเดียวกันของปีที่ผ่านมา (1)

· มีการเติบโตมากกว่าตลาดโดยรวมในกลุ่มอุปกรณ์สวิตช์ เราติ้ง และ WLAN ตลอดระยะเวลา 2 ปีที่ผ่านมา เริ่มตั้งแต่ในไตรมาสแรกของปี 2552 (1)

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโซลูชั่น HP Networking สามารถเข้าไปดูได้ที่ www.hp.com/networking

ระบบโครงสร้างพื้นฐานแบบผนวกของเอชพี (HP Converged Infrastructure) เป็นองค์ประกอบสำคัญของการเป็นองค์กรแบบ Instant-On Enterprise ทั้งนี้ ในโลกที่มีการเชื่อมโยงกันอย่างต่อเนื่อง แนวคิดแบบ Instant-On Enterprise คือ การนำเทคโนโลยีมาใช้ในทุกกิจกรรมเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า พนักงาน พันธมิตร และประชาชนได้อย่างตรงจุดและโดยทันที

View :1495
Categories: Press/Release, Technology Tags:

เอชทีซี จับมือเอไอเอส ประกาศเปิดตัว HTC EVO 3D สมาร์ทโฟน 3 มิติ

September 9th, 2011 No comments

สัมผัสประสบการณ์ 3 มิติเต็มอารมณ์เหมือนตาเห็น โดยไม่ต้องใส่แว่นตาเอชทีซีทลายขีดจำกัดทางนวัตกรรมอีกครั้งด้วยสมาร์ทโฟน 3 มิติ ให้คุณถ่ายได้อารมณ์เหมือนที่คุณเห็น ดูแล้วให้อารมณ์เหมือนเวลาที่คุณถ่าย และวิวดูโดยไม่ต้องใช้แว่นตา บนหน้าจอ qHD 3 มิติ คุณภาพสูง

เอชทีซี คอร์ปอเรชั่น ผู้นำระดับโลกด้านนวัตกรรมและการออกแบบมือถือ ร่วมกับเอไอเอส เปิดตัว ยกระดับประสบการณ์มัลติมีเดียอีกระดับ ด้วยการบันทึกภาพ 3 มิติ บนหน้าจอไฮเดฟสว่างสดใส และแบ่งปันบนโลกออนไลน์กับเพื่อนได้ด้วยความเร็วสูง ให้ผู้ใช้สัมผัสประสบการณ์ 3 มิติโดยไม่ต้องใส่แว่นตา มาพร้อมแพ็คเกจสุดคุ้มจากเอไอเอส ให้คุณเชื่อมต่อโลกออนไลน์ได้รวดเร็วทุกที่ทุกเวลา

นายณัฐวัชร์ วรนพกุล ผู้จัดการประจำประเทศไทย เอชทีซี (ไทยแลนด์) จำกัด เปิดเผยว่า “เอชทีซี มีความยินดีเป็นอย่างยิ่ง ที่ได้ร่วมมือกับเอไอเอสอีกครั้งในการเปิดตัว HTC EVO 3D ที่จะทำให้คุณบันทึกภาพถ่ายและวิดีโอได้เต็มอรรถรสเสมือนที่คุณเห็นด้วยตาคุณเองในช่วงเวลานั้น พร้อมรองรับเทคโนโลยีและแนวโน้มของวงการภาพยนตร์ที่จะมีหนัง 3 มิติเข้ามาฉายอย่างต่อเนื่อง และในอนาคตเราจะมีบริการดาวน์โหลดภาพยนตร์ผ่านออนไลน์ ซึ่งเครือข่ายความเร็วสูง 3G จากเอไอเอสจะสามารถตอบรับไลฟสไตล์ของคนุร่นใหม่ได้อย่างลงตัว”

นายฐิติพงศ์ เขียวไพศาล ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการอาวุโส สายงานการตลาด บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ความนิยมสมาร์ทโฟนในภาพรวมเติบโตเป็นอย่างมาก โดยเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาเติบโตถึงกว่า 100% ทั้งนี้ในส่วนของเอไอเอสเองก็มีการเติบโตของดาต้าที่มากกว่า 50% ทั้งจากการใช้สมาร์ทโฟน และ สมาร์ทดีไวส์อื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นแอร์การ์ด หรือ แท็บเล็ต เช่นกัน ดังนั้น นโยบายของเราจึงเน้นที่การมอบบริการแบบ Total Solutions ทั้งการพัฒนาเครือข่ายอย่างไม่หยุดยั้ง ร่วมกับพาร์ตเนอร์นำดีไวส์ที่ดีที่สุด ตอบโจทย์สาวกในทุกระบบปฏิบัติการเข้ามา พร้อมด้วยแพ็คเกจคุ้มค่าและบริการหลังการขายเพื่อลูกค้าทั่วประเทศ”

“เราเป็นพาร์ทเนอร์กับเอชทีซีมาอย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่ความสำเร็จของการนำแอนดรอยด์โฟน เครื่องแรกเข้ามาในประเทศไทยรวมถึง เฟซบุ๊คโฟนในช่วงที่ผ่านมา จนกระทั่งวันนี้เป็นอีกครั้งของการร่วมเปิดประสบการณ์ด้วยนวัตกรรมล้ำสมัยกับ HTC EVO 3D สมาร์ทโฟน 3 มิติที่ดีที่สุดรุ่นหนึ่งเข้ามามอบให้แก่ลูกค้าเอไอเอส บนเครือข่ายคุณภาพ 3G, Wifi และ EDGE Plus พร้อมด้วยแพ็คเกจสุดคุ้มที่จะทำให้ลูกค้าใช้งานดาต้าและได้รับสีสันของประสบการณ์ 3 มิติ ได้อย่างสนุกสนาน ไร้ข้อจำกัด”

HTC EVO 3D มาพร้อมจิงเจอร์เบด Android 2.3 หน้าจอระดับ qHD 3 มิติ ขนาด 4.3 นิ้วรุ่นแรกจากเอชทีซี ซีพียูแรงด้วยสแนปดราก้อนดูอัลคอร์ 1.2 กิกะเฮิรตซ์จากควอคอมม์ กล้องคู่ 5 ล้านพิกเซล สำหรับการบันทึกภาพปกติ ภาพ 3 มิติ และวิดีโอ 3 มิติ เปิดมิติใหม่ในการสร้างคอนเท้นท์ และวิดีโอ เพื่อแบ่งปันบนโลกโซเชียลเน็ตเวิร์กได้อย่างรวดเร็ว บนเครือข่ายความเร็วสูง 3G จากเอไอเอส

ปัจจุบันงาน 3 มิติ ได้รับความนิยมมากขึ้น ทั้งในงานภาพยนตร์และในห้องนั่งเล่นตามบ้าน ความสามารถในการสร้างงาน 3 มิติบนมือถือไร้สาย และดูวิดีโอ 3 มิติโดยไม่ต้องใส่แว่นตา จะช่วยเปลี่ยนวิถีของผู้ใช้งาน ในการใช้งานเครื่องมือสื่อสารเหล่านี้ จากงานวิจัยของ เอ็นพีดี กรุ๊ป ซึ่งทำในเรื่องการมอนิเตอร์ภาพ 3 มิติ 360 องศา (ในเดือนกันยายน ปี 2553 ที่ผ่านมา) ผู้ใช้งานแสดงความสนใจเป็นอย่างมากในงานสร้างสื่อ 3 มิติส่วนตัว (โดยผู้ตอบแบบสอบถาม 1 ใน 3 กล่าวว่า พวกเขาอยากถ่ายภาพ 3 มิติ)

เราสามารถประยุกต์ใช้ประโยชน์จาก HTC EVO 3D ในการถ่ายและเล่นวิดีโอ 3 มิติ ได้หลากหลายรูปแบบ เช่น
 กลุ่มตัวแทนด้านอสังหาริมทรัพย์ สามารถสร้างและแบ่งปันภาพ 3 มิติ ในการชมบ้านตัวอย่าง ช่วยให้ผู้ที่ต้องการซื้อบ้านที่อยู่ชานเมืองมีโอกาส “เดินชมบ้านตัวอย่าง” และสัมผัสประสบการณ์ใกล้เคียงของจริง ก่อนที่จะเข้ามาชมบ้านจริง
 การสร้างแผนที่ 3 มิติ จะช่วยสร้างระบบนำทางใหม่ที่มาพร้อมกับคุณสมบัติอันน่าตื่นเต้น นักเดินทางจะได้เห็นสภาพภูมิประเทศทางอากาศ ไม่วาจะล่องเรือ หรือขึ้นภูเขาในขณะที่อยู่ในที่ทุรกันดาร
 เมื่อเรากลับมาดูภาพถ่ายตอนไปเที่ยว ภาพ 3 มิติจะทำให้เรารำลึกถึงความน่าตื่นเต้นเมื่อตอนลาพักร้อน ประหนึ่งว่าได้กลับไปยืน ณ จุดนั้น อีกครั้ง
จากความสามารถในการบันทึกวิดีโอระดับไฮเดฟ 3 มิติ และ HTC Sense เวอร์ชั่นล่าสุด HTC EVO 3D ช่วยให้คุณบันทึกภาพและวิดีโอ ซึ่งสามารถเชื่อมต่อการเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านผ่านเทคโนโลยีไร้สาย DLNA เพื่อให้คุณแบ่งปันสิ่งต่างๆ ผ่านทีวีระบบไฮเดฟ จอมินเตอร์ กล้องดิจิตอล พรินเตอร์ และอุปกรณ์ต่อพ่วงอื่นๆ รวมถึงสามารถเชื่อมต่อเข้ากับสายเคเบิล HDMI เพื่อแบ่งปันวิดีโอ 3 มิติผ่านทีวีระบบ 3 มิติได้อีกด้วย
คุณสมบัติอื่นๆ ของ HTC EVO 3D:
 กล้องหน้าสำหรับการทำวิดีโอแชท 1.3 ล้านพิกเซล
 เป็น 3G ฮ็อตสปอต และรองรับเครื่องเชื่อมต่อผ่านไวไฟได้สูงสุด 8 เครื่องพร้อมกัน
 แอนดรอยด์มาร์เก็ต ที่มีแอพพลิเคชั่นให้เลือกดาวน์โหลดมากกว่า 200,00 แอพพลิเคชัน ทั้งวิดเจ็ต และเกมส์ ให้เลือกสรรตามใจชอบ
 กูเกิลโมบายเซอร์วิส เช่น Google Search™, Gmail™, Google Maps™, Google Calendar, Voice Actions และ YouTube™
 รองรับอีเมล์องค์กร (Microsoft Exchange ActiveSync®) อีเมล์ส่วนตัว (POP และ IMAP) และข้อความด่วน
 หน่วยความจำ 1 กิกะไบต์ / 1 กิกะไบต์ แรม
 สล็อตหน่วยความจำ ไมโครเอสดี (สูงสุด 32 กิกะไบต์)
 Wi-Fi – 802.11 b/g/n
 หูฟังสเตอริโอบลูทูธ
 ติดตั้งจีพีเอสภายใน
 แบตเตอรี่ลิเธียมไออน 1730 แอมป์

แพ็คเกจครบเครื่องเรื่องเอนเทอร์เทนเม้นต์
ชุดแพ็คเกจของ HTC EVO 3D มาพร้อมกับเอนเทอร์เทนเม้นต์มัลติมีเดียครบชุด ทำให้คุณพักผ่อนได้ยาวนาน สำหรับผู้ซื้อ 2000 ท่านแรก ในชุดจะมาพร้อมกับหนังแอ็คชั่นจากบล็อคบาสเตอร์ อย่าง Green Hornet 3D เกมส์ติดชาร์ทอันดับอย่าง Spider-Man, Need for Speed™ SHIFT และ The Sims™3

กำหนดการวางจำหน่าย
HTC EVO 3D วางจำหน่ายแล้ววันนี้ ที่เอไอเอส ช็อป เทเลวิซ และร้านค้าตัวแทนจำหน่าย สนนราคา 19,900 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) พิเศษเฉพาะลูกค้าเอไอเอส ใช้ฟรี 3G/EDGE+ 1 กิกะไบต์ ต่อเดือน เมื่อสมัครแพ็คเสริมราคาพิเศษเพียงเดือนละ 199 บาท นาน 8 เดือน เพียงใช้ HTC EVO 3D โทรสมัครแพ็คเสริมได้ที่เบอร์ *212337 วันนี้ ถึง 31 ตุลาคม 2554

View :1991