Archive

Archive for September, 2011

ก.ไอซีที จับมือภาคเอกชนส่งเสริมเทคโนโลยี Cloud Computing

September 5th, 2011 No comments

นางจีราวรรณ บุญเพิ่ม ปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เปิดเผยภายหลังเป็นประธานเปิดงานสัมมนาเชิงวิชาการ หัวข้อ “Digital Economy and Scorecard” ว่า ความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและมีบทบาทสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจในโลกยุคดิจิทัล ได้ทำให้รัฐบาลของแต่ละประเทศรวมถึงประเทศไทยตื่นตัว และเตรียมความพร้อมในหลายๆ ด้าน เพื่อใช้ความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีมาสนับสนุนและเสริมสร้างศักยภาพในการแข่งขันทางเศรษฐกิจให้กับประเทศไทยในเวทีโลกยุคดิจิทัล

โดยเทคโนโลยี Cloud Computing จัดเป็นความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีที่กระทรวงฯ ได้ให้ความสำคัญในระยะเวลาที่ผ่านมา และได้วางแผน ส่งเสริม สนับสนุน รวมทั้งประสานงานกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อเตรียมความพร้อมในเรื่องโครงสร้างพื้นฐาน ความพร้อมในเรื่องบุคลากร ตลอดจนความพร้อมในเรื่องนโยบายและกฎหมาย โดยกระทรวงฯ ได้ร่วมกับกลุ่มพันธมิตรธุรกิจซอฟต์แวร์ (บีเอสเอ) จัดงานสัมมนา “Digital Economy and Cloud Computing Scorecard” สำหรับผู้บริหารระดับสูง และเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารขึ้น เพื่อนำเสนอผลการศึกษาเปรียบเทียบเรื่องกรอบนโยบายและกฎหมายของประเทศในกลุ่มเอเชียและแปซิฟิกทั้งหมด 14 ประเทศ ซึ่งมีเนื้อหาประกอบด้วยการใช้เทคโนโลยี Cloud Computing ความมั่นคงปลอดภัยทางเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และความปลอดภัยข้อมูลส่วนบุคคล โดยจะประเมินความพร้อมของกรอบนโยบายและกฎหมายของประเทศต่างๆ เหล่านี้ภายใต้สิ่งแวดล้อมใหม่ ที่เรียกว่า เศรษฐกิจในโลกยุคดิจิทัล

“งานสัมมนาครั้งนี้ ถือเป็นการเปิดตัวผลการศึกษาสิ่งแวดล้อมทางด้านนโยบายและกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจในยุคดิจิทัล (Digital Economy) ของ 14 ประเทศในกลุ่มเอเชีย-แปซิฟิกขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศไทย เพื่อให้ผู้บริหาร ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของกระทรวงฯ สำนักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) สำนักงานส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) และกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รวมทั้งนักกฎหมายทรัพย์สินทางปัญญาที่เข้าร่วมสัมมนาได้รับทราบ โดยผลการศึกษานี้เน้นในเรื่องความพร้อมสำหรับการรองรับเทคโนโลยี Cloud Computing รวมถึงโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งผู้เข้าร่วมสัมมนาทุกคนจะสามารถนำกลับไปพิจารณาให้เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนากรอบนโยบายและกฎหมายในส่วนงานได้

เพราะแม้ว่าประเทศไทยจะมีจุดแข็งอย่างชัดเจนในกรอบนโยบายและกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี Cloud Computing แต่ก็ยังจำเป็นต้องพิจารณาโอกาสที่จะพัฒนากรอบนโยบายและกฎหมายที่มีอยู่ เพื่อให้ประเทศไทยได้ชื่อว่ามีความพร้อมที่สุดประเทศหนึ่งในภูมิภาคเอเชีย – แปซิฟิค และให้ทุกภาคส่วนได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่จากความก้าวหน้าของเทคโนโลยี Cloud Computing ” นางจีราวรรณ กล่าว

View :1611

ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทยเลือกไอบีเอ็มวางโครงสร้างพื้นฐานด้านไอทีก้าวสู่การเป็นธนาคารชั้นนำระดับอาเซียน

September 5th, 2011 No comments

มั่นใจเลือกไอบีเอ็มเป็นพันธมิตร วางโครงสร้างพื้นฐานไอที ติดตั้งไอบีเอ็ม เพาเวอร์7 ซิสเต็มส์ และ ไอบีเอ็ม ไอ ( POWER7 systems with i) เครื่องแรกในไทย พร้อมด้วยสตอเรจ DS8800 และไอบีเอ็ม ซิสเต็มส์เอ็กซ์ ( System X) ระบบหลักของธนาคารที่ให้ประสิทธิภาพและความยืดหยุ่นสูง ภายใต้โครงการ 1 Platform เพื่อสร้างระบบ Core Banking มาตรฐานหนึ่งเดียวสำหรับธุรกิจของซีไอเอ็มบีในประเทศไทย มาเลเซีย อินโดนีเซีย และสิงคโปร์ ตามยุทธศาสตร์ของกลุ่มซีไอเอ็มบี เพื่อก้าวสู่การเป็นธนาคารระดับอาเซียน

นายสุภัค ศิวะรักษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทยได้ลงนามในสัญญากับบริษัท ไอบีเอ็ม ให้เป็นผู้วางรากฐานไอทีระบบ Core Banking ในโครงการ 1 Platform ซึ่งมีขนาดใหญ่และครอบคลุมขอบเขตงานหลายด้าน การติดตั้งระบบดังกล่าว จะดำเนินการทีละประเทศ โดยเริ่มจากประเทศไทยที่ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย เป็นประเทศแรก ตามด้วยมาเลเซีย อินโดนีเซีย และสิงคโปร์ตามลำดับ เพื่อให้เป็นมาตรฐานเดียวกันภายในปี 2558 สะท้อนความมุ่งมั่นของกลุ่มซีไอเอ็มบีในการวางกรอบการดำเนินงานภายใต้ระบบเดียวกันจนเป็นธนาคารระดับภูมิภาคที่มีศักยภาพในการแข่งขันอย่างแท้จริง

สำหรับโครงการ 1 Platform คือการติดตั้งและพัฒนาระบบปฏิบัติการหลัก (Core Banking System) ซึ่งเป็นระบบที่อยู่เบื้องหลังการให้บริการ โดยจัดการข้อมูลทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับการให้บริการเงินฝาก สินเชื่อ รวมทั้งบริการโอนเงิน และรับชำระเงิน ของธนาคาร เพื่อปรับการทำงานและการบริการให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน โดยใช้ระบบเดียวกัน ของเครือข่ายซีไอเอ็มบีทั้ง 4 ประเทศ ได้แก่ มาเลเซีย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย และไทย ซึ่งก็คือ ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย
นายสุภัค กล่าวว่า โครงการ 1 Platform ถือเป็นส่วนสำคัญในโครงการปรับเปลี่ยนองค์กร (Transformation) ด้วยเงินลงทุนกว่า 1.1 หมื่นล้านบาท และใช้เวลาดำเนินโครงการ 5 ปี ซึ่งเป็นการดำเนินงานครั้งใหญ่ระดับภูมิภาคของกลุ่มที่มีขนาดลงทุนรวมทั้งสิ้นถึงกว่า 2.1 หมื่นล้านบาท ขณะเดียวกัน โครงการ Transformation ยังประกอบด้วยส่วนอื่นๆที่สำคัญ 4 ส่วน ได้แก่ ระบบการจัดการและรายงานทางการเงิน ระบบบริหารทรัพยากรบุคคลครบวงจร ระบบการบริหารงานขายส่วนหน้า (Front-end) ใหม่ทั้งระบบ และระบบ Transaction Banking ระดับภูมิภาค

“การเข้าซื้อกิจการต่างๆของกลุ่มซีไอเอ็มบีในช่วงที่ผ่านมา ทำให้เครือข่ายในแต่ละประเทศ คือ มาเลเซีย อินโดนีเซีย สิงคโปร์ และประเทศไทย ต่างมีระบบ Core Banking และการดำเนินงานหลังบ้านที่แตกต่างกัน การสร้างระบบการดำเนินงานและระบบไอทีให้เป็นมาตรฐานเดียวกันทั่วทั้งภูมิภาคจะช่วยเพิ่มความคล่องตัว ลดต้นทุนการดำเนินงาน ปรับปรุงผลกำไรจากการดำเนินงาน เพิ่มศักยภาพในการนำเสนอผลิตภัณฑ์ และเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานมากขึ้นเพราะทำงานบนระบบ Core Banking ใหม่ที่ลดขั้นตอนการทำงานที่ซ้ำซ้อนและเป็นอัตโนมัติมากขึ้น ซึ่งโครงการ 1 Platform และโครงการ Transformation อื่นๆ จะส่งผลชัดเจนในอีก 3-5 ปีข้างหน้า เพื่อให้มั่นใจได้ว่าธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทยกำลังดำเนินการตามยุทศาสตร์ของการก้าวเป็นธนาคารชั้นนำระดับอาเซียน” นายสุภัค กล่าว

ทางด้านนางพรรณสิรี อมาตยกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไอบีเอ็ม ประเทศไทย จำกัด กล่าวว่า ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย เป็นธนาคารรายแรกที่ติดตั้ง IBM Power Systems ซึ่งเป็นระบบเพาเวอร์7 ที่ใช้ระบบปฏิบัติการ ไอบีเอ็ม ไอ ด้วยประสิทธิภาพพลังการประมวลผลของระบบที่เป็นเลิศของเพาเวอร์ 7 ที่มีพัฒนาการนวัตกรรมล้ำหน้า ที่ให้เสถียรภาพสูง ทำงานได้ต่อเนื่องตลอดเวลา พร้อมด้วยคุณสมบัติทางด้าน EnergyScale ในเพาเวอร์ 7 ชิพที่ประกอบในแผงวงจรของฮาร์ดแวร์ เฟิร์มแวร์ และระบบซอฟต์แวร์ ที่ให้พลังงานและการจัดการเกี่ยวกับความร้อนของระบบอย่างสมบูรณ์แบบ ช่วยลดโลกร้อน และลดค่าใช้จ่ายทางด้านพลังงานได้เป็นอย่างมาก และ IBM Storage DS8800 ที่มีการจัดการในการเก็บข้อมูลที่ดี รวมทั้ง IBM System X ซึ่งเป็น Blade HX 5 เครื่องแรกที่ติดตั้งในประเทศไทย ที่รวมเซิร์ฟเวอร์หลายตัวไว้ในที่เดียวกัน ทำให้ลดค่าใช้จ่ายและพื้นที่ในการจัดติดตั้งระบบ และที่สำคัญยังเป็นเพาเวอร์ในตระกูล Energy Star ที่มีคุณสมบัติเด่นในการประหยัดพลังงาน

“ไอบีเอ็มมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้รับความไว้วางใจจากธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทยให้เป็นผู้พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านไอทีเพื่อรองรับโครงการ 1 Platform ให้บรรลุเป้าหมายในการเป็นระบบธนาคารที่มีผลิตภัณฑ์และบริการที่มีมาตรฐานเดียวกัน เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าให้ได้ประโยชน์สูงสุด ไอบีเอ็มพร้อมในการสนับสนุนธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทยทุกด้านเพื่อบรรลุเป้าหมายทางธุรกิจทั้งในปัจจุบันและมุ่งสู่ความสำเร็จอย่างต่อเนื่องในอนาคต ในโอกาสที่ไอบีเอ็มครบรอบ 100 ปีในปีนี้ เรายังคงมุ่งมั่นในการพัฒนาเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบสนองความต้องการทางธุรกิจอย่างไม่หยุดยั้ง รวมทั้งช่วยสร้างรายได้และนวัตกรรมใหม่ๆให้แก่ลูกค้า ซึ่งทำให้ธุรกิจของลูกค้าธนาคารประสบความสำเร็จมากขึ้น ส่งผลให้ลูกค้าในภาคอุตสาหกรรมการเงินทั้งในประเทศและต่างประเทศ ต่างวางใจเลือกไอบีเอ็มเป็นพันธมิตรทางธุรกิจด้วยดีเสมอมา” นางพรรณสิรี กล่าว

View :1436

ก.ไอซีที ระดมความคิดเห็นสร้างบริการภาครัฐยุคใหม่บนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง

September 5th, 2011 No comments

นาวาอากาศเอก อนุดิษฐ์ นาครทรรพ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เปิดเผยภายหลังเป็นประธานเปิดการประชุมสัมมนา หัวข้อ “บริการภาครัฐยุคใหม่บนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง” ว่า การพัฒนาอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง ถือเป็นโครงการที่รัฐบาลให้ความสำคัญเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ โดยได้เร่งรัดพัฒนาโครงข่ายสื่อสารความเร็วสูงให้ครอบคลุม ทั่วถึง เพียงพอ มีคุณภาพ ในราคาที่เหมาะสม และการแข่งขันที่เป็นธรรม ซึ่งจะช่วยสนับสนุนการพัฒนาประเทศไปสู่สังคมแห่งความรู้ ภูมิปัญญา นวัตกรรม และความคิดสร้างสรรค์ ช่วยลดความเหลื่อมล้ำระหว่างสังคมเมืองและชนบท ช่วยสนับสนุนการเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร ยกระดับคุณภาพการศึกษา เสริมสร้างศักยภาพในการพัฒนาทรัพยากรบุคคล ตลอดจนส่งเสริมการลดใช้พลังงาน เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศในระยะยาว

การดำเนินงานส่วนหนึ่งที่จะช่วยผลักดันการพัฒนาอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงให้ประสบความสำเร็จ คือ การสนับสนุนให้มีบริการอิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชน ซึ่งจะส่งผลให้ประชาชนเกิดความต้องการใช้อินเทอร์เน็ตความเร็วสูงอย่างแพร่หลาย ดังนั้น จึงควรมีการผลักดันและจูงใจให้หน่วยงานภาครัฐดำเนินงานให้บริการอิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ แก่ประชาชน โดยบริการอิเล็กทรอนิกส์หลักๆ ที่ส่งผลกระทบต่อประชาชนจำนวนมาก คือ บริการ e-Government เช่น การทำบัตรประชาชนอิเล็กทรอนิกส์ ทะเบียนราษฎร์อิเล็กทรอนิกส์ บริการ e-Education คือ การศึกษาอิเล็กทรอนิกส์ผ่านโครงข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงรูปแบบต่างๆ บริการ e-Health คือ การบริการสาธารณสุขอิเล็กทรอนิกส์ และบริการ e-Agriculture คือ การบริการอิเล็กทรอนิกส์ด้านการเกษตร ซึ่งการผลักดันบริการอิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ เหล่านี้ ยังก่อให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศโดยรวม ทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม สภาพแวดล้อม และช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน รวมถึงการประหยัดทั้งค่าใช้จ่ายและเวลาในการเดินทางเข้ารับบริการต่างๆ ของประชาชนอีกด้วย

อย่างไรก็ตาม การให้บริการอิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ ของประเทศไทยในปัจจุบันยังอยู่ในขั้นตอนการพัฒนาโครงการ ขณะที่ในบางประเทศ ได้มีการพัฒนาบริการอิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ จนประสบความสำเร็จและมีการดำเนินงานอย่างแพร่หลายแล้ว ดังนั้น จึงควรมีการศึกษาบริการอิเล็กทรอนิกส์ในต่างประเทศ เช่น การบริการอิเล็กทรอนิกส์ด้านสาธารณสุขในประเทศอินเดีย หรือแถบประเทศยุโรป มาประกอบการศึกษาเพื่อพัฒนาโครงการให้บริการอิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ ของหน่วยงานภาครัฐในประเทศไทยให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากยิ่งขึ้น และเพื่อให้การวางกรอบแผนการดำเนินการบริการภาครัฐบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงสัมฤทธิ์ผล กระทรวงฯ จึงได้จัดการประชุมสัมมนา Smart Thailand ขึ้น เพื่อนำเสนอข้อมูลในการพัฒนาบริการอิเล็กทรอนิกส์ของภาครัฐทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมทั้งนำเสนอแนวคิดในการพัฒนาโครงการนำร่องเพื่อพัฒนาบริการอิเล็กทรอนิกส์สำหรับบริการภาครัฐทั้ง 4 ด้าน ตลอดจนเปิดรับฟังความคิดเห็นและร่วมอภิปรายแนวคิดดังกล่าว เพื่อการพัฒนาโครงข่ายและบริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงให้เกิดผลสำเร็จและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศ

“ประเทศไทยมีความสามารถและศักยภาพในการพัฒนาระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง และระบบการให้บริการอิเล็กทรอนิกส์ของภาครัฐที่ไม่แพ้ประเทศอื่น ซึ่งโครงข่ายความเร็วสูงนี้จะช่วยสนับสนุนนโยบายด้านอื่นของรัฐบาล เช่น นโยบายการจัดหาเครื่องคอมพิวเตอร์แท็บเล็ตให้แก่โรงเรียน การสร้างสันติสุขและความปลอดภัยให้กับประชาชนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่สามารถใช้โครงข่ายในการให้บริการด้านสาธารณสุขทางไกล รวมทั้งนโยบายการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน กระทรวงฯ จึงหวังว่าการสัมมนาในครั้งนี้จะช่วยให้มีการร่วมกันให้ข้อมูล และร่วมกันแลกเปลี่ยนมุมมองที่หลากหลาย ซึ่งจะช่วยผลักดันให้การดำเนินโครงการนี้ประสบผลสำเร็จ และก่อประโยชน์สูงสุดให้ทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชนที่สามารถเข้าถึงข้อมูล และบริการต่างๆ ของภาครัฐ เพื่อพัฒนาความรู้ สร้างรายได้และอาชีพให้กับประชาชนในพื้นที่ต่างๆ ของประเทศไทยต่อไป” น.อ.อนุดิษฐ์ กล่าว

View :1495

ก.ไอซีที ระดมความคิดเห็นวางนโยบายรัฐเพื่อบริหารดาวเทียมสื่อสารในประเทศ

September 3rd, 2011 No comments

นางจีราวรรณ บุญเพิ่ม ปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เปิดเผยภายหลังเป็นประธานเปิดการสัมมนาเรื่อง “นโยบายของรัฐในการบริหารกิจการดาวเทียมสื่อสารในประเทศ” ว่า ปัจจุบันนานาประเทศได้ให้ความสำคัญกับการพัฒนากิจการอวกาศและถือเป็นนโยบายระดับชาติที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณเพื่อลงทุนและพัฒนากิจกรรมดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง ซึ่งปัจจัยหลักที่สำคัญในการส่งเสริมและสนับสนุนกิจการอวกาศของประเทศ ก็คือ ประเด็นด้านความมั่นคงของรัฐ และความมั่นคงทางเศรษฐกิจ ซึ่งหลายประเทศได้ใช้กิจการอวกาศเป็นเครื่องมือในการสะสมองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพื่อนำไปสู่ความเป็นผู้นำด้านความมั่นคงและเศรษฐกิจในระยะยาว ตลอดจนเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันและพัฒนาคุณภาพชีวิต

ดังนั้น กระทรวงไอซีที ในฐานะหน่วยงานของรัฐที่มีภารกิจในการกำหนดกรอบและแนวทางการพัฒนากิจการอวกาศของประเทศ จึงต้องมีการกำหนดกรอบนโยบายการพัฒนากิจการอวกาศของประเทศที่ชัดเจน เพื่อใช้เป็นแนวทางการดำเนินงานและผลักดันไปสู่การปฏิบัติที่เป็นรูปธรรม ลดความซ้ำซ้อนของการลงทุน ตลอดจนวางรากฐานการพัฒนาด้านเทคโนโลยีอวกาศของประเทศไทยให้มีความสอดคล้องกับนโยบายรัฐบาล การเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยีอวกาศและแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เพื่อเป็นกลไกในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศให้ทัดเทียมกับนานาอารยประเทศ

และเพื่อให้การผลักดันภารกิจตามนโยบายของรัฐบาลเป็นไปด้วยความราบรื่นและมีประสิทธิภาพ กระทรวงฯ จึงต้องมีการประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อวางแนวทางการปฏิบัติงานที่สอดคล้อง รวมทั้งเพื่อพัฒนาแนวนโยบายสู่การปฏิบัติได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยการจัดสัมมนาเรื่อง “นโยบายของรัฐในการบริหารกิจการดาวเทียมสื่อสารในประเทศไทย” และเชิญผู้ทรงคุณวุฒิ รวมถึงผู้เชี่ยวชาญของหน่วยงานที่ดำเนินงานด้านกิจการอวกาศ อาทิ สหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ (ITU) สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ และ บริษัท ไทยคม จำกัด (มหาชน) มาร่วมให้ความรู้เชิงนโยบายเพื่อเสริมสร้างความร่วมมือในการพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศทั้งในประเทศและระหว่างประเทศ ตลอดจนเพื่อก่อให้เกิดเอกภาพในการประสานงานและพัฒนากิจการอวกาศของประเทศไทยในอนาคต

“การสัมมนาฯ นี้จัดขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมความรู้และความเข้าใจในกรอบนโยบายของรัฐ ในการบริหารกิจการดาวเทียมสื่อสารในประเทศ และเสริมสร้างความเข้าใจในบทบาทการทำงานร่วมกันระหว่างหน่วยงานด้านกิจการอวกาศที่เกี่ยวข้อง ทั้งภายในประเทศ และองค์กรระหว่างประเทศ ตลอดจนแลกเปลี่ยนแนวคิดทิศทางการพัฒนานโยบายอวกาศของประเทศในอนาคต นอกจากนี้ยังเป็นการสนับสนุนโอกาสและการลงทุนในกิจการดาวเทียมสื่อสารเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนอีกด้วย” นางจีราวรรณ กล่าว

สำหรับรูปแบบของการสัมมนาฯ จะเป็นการบรรยาย และแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นในหัวข้อ กรอบนโยบายด้านการพัฒนากิจการดาวเทียมสื่อสารของประเทศ ข้อกฎหมายและกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องในการกำกับดูแลกิจการโทรคมนาคมและดาวเทียมเพื่อการสื่อสาร ITU Policy and Regulations for Satellite Services และโอกาสในการลงทุนกิจการดาวเทียมสื่อสารในประเทศไทย เป็นต้น โดยกระทรวงฯ ได้เชิญผู้เชี่ยวชาญและผู้แทนระดับสูงจากหน่วยงาน องค์กรด้านกิจการอวกาศ และผู้ที่เกี่ยวข้อง จำนวนประมาณ 100 คนเข้าร่วมการสัมมนาฯ

“กระทรวงฯ หวังว่าการสัมมนาครั้งนี้จะก่อให้เกิดความรู้และความเข้าใจในกรอบนโยบายของรัฐในการบริหารกิจการดาวเทียมสื่อสารในประเทศไทย และประเด็นข้อกฎหมายและกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องทั้งในและระหว่างประเทศ เพื่อส่งเสริมและเสริมสร้างความเข้าใจร่วมกันของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการพัฒนากิจการอวกาศของประเทศ และผลักดันนโยบายด้านกิจการอวกาศของประเทศให้เป็นรูปธรรม และก่อให้เกิดเอกภาพในการประสานงานและพัฒนากิจการอวกาศของประเทศไทยในอนาคตต่อไป” นางจีราวรรณ กล่าว

Huawei

View :1449

dtac 3G Expo ยืนยันทุกความพร้อมของบริการ dtac 3G

September 3rd, 2011 No comments

สัมผัสประสบการณ์สื่อสารที่เหนือกว่าจาก dtac 3G พร้อมอัพเดทเทรนด์เทคโนโลยี และรับข้อเสนอสุดพิเศษ

งานประจำปีครั้งสำคัญของดีแทค มาพร้อมแนวคิด “มือถือของคุณพร้อมสำหรับ dtac 3G หรือยัง” เผยศักยภาพและความพร้อมเต็มพิกัดของเครือข่าย dtac 3G ตลอดจนเทคโนโลยีสื่อสาร 3G จากพันธมิตร และมหกรรมโทรศัพท์มือถือที่รองรับเครือข่าย 3G จากแบรนด์ชั้นนำยอดนิยมหลากหลายรุ่น ที่มาจำหน่ายพร้อมข้อเสนอสุดพิเศษอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

นายปกรณ์ พรรณเชษฐ์ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายผลิตภัณฑ์ บมจ. โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น () กล่าวว่า “การเปิดให้บริการ dtac 3G นับเป็นการพลิกโฉมครั้งสำคัญของธุรกิจสื่อสารของไทย เราจึงจัดงาน dtac 3G Expo อันเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ 3G ในระยะยาวของดีแทคเพื่อก้าวสู่การเป็นผู้ให้บริการเครือข่ายดาต้าที่ดีที่สุด โดยวัตถุประสงค์ของงานนี้คือเพื่อให้ลูกค้าได้เลือกซื้อโทรศัพท์มือถือ และอุปกรณ์สื่อสารที่รองรับ 3G บนคลื่น 850 เมกะเฮิร์ตซ์ ซึ่งเป็นประโยชน์ทั้งในแง่การดูแลให้บริการแก่ลูกค้าเดิมของเรา และสร้างโอกาสในการขยายฐานลูกค้าใหม่ ๆ”

“ทั้งนี้ เนื่องจากในวันแรกของงานคือวันที่ 3 กันยายน มีลูกค้าให้ความสนใจเป็นจำนวนมาก เราจึงมอบส่วนลด 50% ให้กับลูกค้าที่ซื้อ 1,100 เครื่องแรกของวันนี้ จากเดิมที่กำหนดไว้จำนวน 100 เครื่องแรก สำหรับลูกค้าที่ต้องการซื้อมือถือราคาพิเศษในวันที่ 4 กันยายน เราจัดให้ลงชื่อและหมายเลขโทรศัพท์ดีแทคไว้ที่จุดรับลงทะเบียนรับสิทธิ์ที่บริเวณชั้น G หน้าห้าง สยามพารากอน เพื่อจับสลากผู้โชคดีได้รับส่วนลด 50% สำหรับ 100 เครื่องแรก และ 10% สำหรับ 1,000 เครื่อง โดยประกาศรายชื่อผู้โชคดีในวันที่ 3 กันยายน เวลา 19.00 น. ด้านหน้ารอยัลพารากอน ฮอลล์” นายปกรณ์กล่าว

ไฮไลต์ของงาน dtac 3G Expo คือการเปิดจำหน่ายสมาร์ทโฟนรองรับ 3G ยอดนิยมของคนไทย ทั้ง iPhone, Blackberry, Samsung, HTC, และ Nokia ให้กับลูกค้าดีแทค พร้อมใช้สิทธิ์รับเงินเครดิตคืน (cash back) สูงสุดถึง 15% เลือกผ่อนชำระ 0% นาน 10 เดือน หรือเลือกผ่อนนาน 20 เดือน กับบัตรเครดิตที่ร่วมรายการ ได้ทุกเครื่อง


นอกจากนั้น ในโซนประสบการณ์ dtac 3G ผู้เข้าชมงานจะได้ทดลองใช้งาน dtac 3G กับสมาร์ทโฟนและอุปกรณ์สื่อสารชั้นนำด้วยความเร็วสูงสุด 42 เมกกะบิตส์ต่อวินาที ด้วยช่องสัญญาณ (bandwidth) ขนาดใหญ่ถึง 10 เมกะเฮิร์ตส์ ทำให้ค้นหาและเชื่อมต่อข้อมูลทำได้อย่างรวดเร็วและราบรื่น และมีการจัดแสดงเทคโนโลยี อุปกรณ์ไอที อุปกรณ์สื่อสารรุ่นล่าสุด และสินค้าพร้อมข้อเสนอพิเศษจากพันธมิตรดีแทค ทั้งบริษัทไอทีและบริษัทสื่อสารชั้นนำต่างๆ อาทิ Acer, Huawei, Dell, LG, Focus Screen Protector, ZTE และ iStudio
หลังจากการเปิดให้บริการ dtac 3G ตั้งแต่ 16 สิงหาคม 2554 ที่ผ่านมา อัตราการใช้งานดาต้าบนเครือข่ายดีแทคทั่วประเทศเติบโตประมาณ 20% ขณะที่การใช้งานดาต้าบนเครือข่ายดีแทคในพื้นที่ให้บริการ 3G เพิ่มขึ้นถึง 50% และที่น่าสังเกตคือ อัตราการใช้งานเว็บไซต์โซเชียลมีเดียต่าง ๆ บนเครือข่ายดีแทคอินเทอร์เน็ตมีการเติบโตขึ้นอย่างมหาศาล ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดคือ เว็บ You Tube ที่การใช้งานพุ่งขึ้นถึง 200%

“การเปิดให้บริการ dtac 3G ที่ผ่านมาทำให้เราได้รับข้อมูลเชิงลึกมากมายเกี่ยวกับพฤติกรรมการใช้งานของผู้บริโภค ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างมากในการกำหนดกลยุทธ์และศึกษาโอกาสในการสร้างธุรกิจใหม่ ๆ นอกเหนือไปจากบริการด้านสื่อสาร เช่น การรุกตลาดด้านโมบายคอนเทนท์และแอพพลิเคชั่น โดยเรามีแผนที่จะร่วมมือกับผู้ให้บริการและเจ้าของคอนเทนท์ที่มีศักยภาพต่าง ๆ ในการนำเสนอบริการใหม่ ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้ดียิ่งขึ้นในอนาคตต่อไป” นายปกรณ์กล่าว

นอกจากนี้พันธมิตรที่เข้าร่วมงาน ประกอบด้วย Nokia, Samsung, Blackberry, HTC, ZTE, Huawei, Acer และ Dell ยังได้มอบข้อเสนอสุดพิเศษให้กับลูกค้าดีแทค ดังต่อไปนี้

ไฮไลต์

Nokia
Nokia รุ่นใหม่ล่าสุด 4 รุ่น Nokia 500 Nokia 600 Nokia 700 Nokia 701 ที่รองรับ 3G 850 MHz (ยังไม่วางจำหน่าย)
เป็น OS ใหม่ Nokia Symbian Bell (ยกเว้น Nokia 500)

Samsung
สัมผัส Galaxy Tab 8.9 เครื่องแรกในประเทศไทย ได้ที่บู๊ท (ยังไม่วางจำหน่าย)

Blackberry
Blackberry สัมผัสประสบการณ์ BB Bold torch 9900, BB Torch 9810, BB 9860 รุ่นใหม่รองรับ 850 Mhz พร้อมรับจองในงาน
เปิดจอง Blackberry Bold 9900 พร้อมรับฟรี Charging POD และรับเงินคืนสูงสุด 15% จากบัตรเครดิตที่ร่วมรายการ

็HTC
ทดลองใช้ Mutimedia Superphone ได้ที่บู๊ท HTC พร้อมพบกับโทรศัพท์รุ่นต่างๆ ได้แก่ และ
Wildfire S เป็นต้น

ZTE
ร่วมเป็นส่วนหนึ่งกับการสื่อสารยุคใหม่กับ ZTE ด้วยอุปกรณ์ความเร็วสูงที่รองรับ 3G 850 Mhz
ZTE ผู้ผลิตโทรศัพท์ และ ดาต้าการ์ดด้วยนวัตกรรมจากเทคโนโลยีชั้นสูง

Huawei
แทบเล็ตหัวเว่ยรุ่นใหม่ล่าสุด ด้วยระบบปฎิบัติการ Android honeycomb 3.2 หน้าจอขนาด 7 นิ้ว รองรับ HSPA + 14.4 Mpbs ประมวลผลด้วย Qualcomm chipsel dual – core 1.2 GHZ ซึ่งกำลังจะเริ่มจำหน่ายในเมืองไทยเร็วๆ นี้
Notebook และอุปกรณ์เสริม IT ต่างๆ พร้อมโปรโมชั่นพิเศษสำหรับลูกค้า

View :1404

เอชทีซี ร่วมออกแคมเปญในงาน dtac 3G Expo

September 3rd, 2011 No comments

เอชทีซี (ไทยแลนด์) จำกัด ร่วมออกแคมเปญในงาน ซึ่งจัดขึ้นในระหว่างวันที่ 3 – 4 กันยายน 2554 ที่รอยัล พารากอน ฮอลล์ ชั้น 5 สยามพารากอน ในโปรแกรมลดราคาพิเศษ 50% สำหรับลูกค้าที่ซื้อสมาร์ทโฟนที่ร่วมรายการ 100 เครื่องแรกของวันและลด 10% สำหรับเครื่องต่อ ๆ ไป สำหรับรุ่นที่เอชทีซีนำมาทำแคมเปญในครั้งนี้ คือ , และ และลูกค้าเอชทีซีเฉพาะในงานนี้เท่านั้นจะได้รับของแถมพิเศษเพิ่มเติม คือ ลำโพงตัวบางดั่งกระดาษ (Paper Speaker) มูลค่า 950 บาท พร้อมสิทธิลุ้นรับซื้อเครื่อง HTC Desire S และ WildfireS ซื้อ 1 เครื่องแถม 1 เครื่อง จำนวนจำกัด เพียง 15 เครื่อง เท่านั้น

ทั้งนี้ สำหรับลูกค้าที่ซื้อเครื่องเอชทีซีนอกงาน และซื้อที่ DTAC Service Hall และ DTAC Center พร้อมสมัครแพ็คเกจจ่าย 499 บาท โทรฟรีทุกเครือข่าย 350 นาที พร้อมการใช้งาน 3G/EDGE ไม่จำกัด ด้วยความเร็ว 3G สูงสุดจำนวน 1 GB รับสิทธินาน 6 รอบบิล จะได้รับสายชาร์จมือถือบนรถ มูลค่า 850 บาท สำหรับโปรโมชั่นนี้ เริ่มต้นแล้ววันนี้ – 31 ตุลาคม 2554

HTC Wildfire S
HTC Wildfire S แอนดรอยด์โฟน 2.3 มาพร้อมกับหน้าจอระบบบสัมผัสกว้าง 3.2 นิ้ว รูปลักษณ์กระชับมือ ความละเอียดระดับ HVGAรองรับ 3G/850 MHz กล้องดิจิตอลความละเอียด 5 ล้านพิกเซลระบบออโต้โฟกัส ราคา 8,900 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)

HTC Desire S
HTC Desire S แอนดรอยด์โฟน 2.3 พร้อมรองรับ 3G/850 MHz มาพร้อมกับซีพียูควอคอมม์ สแนปดราก้อน MSM8255 ความเร็ว 1 กิกะเฮิรตซ์ ที่ให้ทั้งประสิทธิภาพและขุมพลัง มีกล้องหน้าและกล้องหลัง หมวดบันทึกวิดีโอระดับไฮ-เดฟ และหน้าจอ 3.7 นิ้ว คุณภาพระดับ WVGA ที่ให้คุณชมมัลติมีเดียได้อย่างคมชัด HTC Desire S ราคา 15,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)

HTC Sensation
HTC Sensation มัลติมีเดีย ซุปเปอร์โฟน มาพร้อมเทคโนโลยีความแรงแบบ 1.2 กิกะเฮิรตซ์ ดูอัลคอร์ หน่วยความจำ 1 กิกะไบต์ รอม 768 เมกะไบต์ พร้อมรองรับ 3G/850 MHz ระบบปฏิบัติการ Android 2.3.3 ทำงานร่วมกันอย่างลงตัวกับ HTC Sense 3.0 ที่ช่วยให้คุณได้ใช้งานสมาร์ทโฟนง่ายดายด้วยการสั่งงาน หน้าจอแบบ qHD ให้ภาพสวยคม สมจริงมาก ระบบเสียงระดับ Hi-Fi กระหึ่มอารมณ์ได้ทั้งดูหนังและฟังเพลง กล้องหลัง 8 ล้านพิกเซล ถ่ายวีดีโอได้ระดับ HD มี Gyro Sensor เอาใจผู้ชื่นชอบการผจญภัย ใช้งานแผนที่ได้แม้ในที่ปลอดสัญญาณ สนนราคา 18,900 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)

View :1521

ดีแทค-อมรินทร์ จับมือวางแผงโมบายแมกกาซีน ก้าวนำในตลาดโมบายคอนเทนต์

September 3rd, 2011 No comments

ดีแทคจับมืออมรินทร์ ร่วมเป็นพันธมิตรสร้างคอนเทนต์สำหรับผู้อ่านนิตยสารคุณภาพบนแอพพลิเคชั่น ขยายบริการเพื่อรองรับกับ เทคโนโลยี มุ่งเป็นผู้นำดาต้า ในงาน ที่เผยศักยภาพและความพร้อมของเครือข่าย dtac 3G เทคโนโลยีจากพันธมิตร และมหกรรมโทรศัพม์มือถือที่รองรับเครือข่าย 3G พร้อมข้อเสนอพิเศษ

นายปกรณ์ พรรณเชษฐ์ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายผลิตภัณฑ์ บมจ. โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น () กล่าวว่า “หลังจากการเปิดให้บริการ dtac 3G ตั้งแต่ 16 สิงหาคมที่ผ่านมา อัตราการใช้งานดาต้าบนเครือข่าย ทั่วประเทศเติบโตประมาณ 20% ขณะที่การใช้งานดาต้าบนเครือข่ายดีแทคในพื้นที่ให้บริการ 3G เพิ่มขึ้นถึง 50% และที่สำคัญคือ อัตราการใช้งานเว็บไซต์โซเชียลมีเดียต่าง ๆ บนเครือข่ายดีแทคอินเทร์เน็ต ก็เติบโตขึ้นอย่างมหาศาล ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดคือ เว็บ You Tube ที่การใช้งานพุ่งขึ้นถึง 200% การเปิดให้บริการ dtac 3G ทำให้เราได้รับข้อมูลเชิงลึกมากมายเกี่ยวกับพฤติกรรมการใช้งานของผู้บริโภค ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างมากในการกำหนดกลยุทธ์ทางธุรกิจและศึกษาโอกาสในการสร้างธุรกิจใหม่ ๆ”

“ดีแทคมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมมือกับ บริษัท อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง จำกัด (มหาชน) นำเสนอคอนเทนต์นิตยสารที่มีคุณภาพให้กับลูกค้าเพื่อเข้าถึงผู้อ่านได้มากยิ่งขึ้นในรูปแบบของโมบายแอพพลิเคชั่นบน iPhone และ iPad
เราคาดว่าแอพพลิเคชั่นด้านไลฟ์สไตล์นี้จะได้รับความนิยมจากลูกค้าของดีแทคและอมรินทร์ในหลากหลายเซ็กเม้นท์ เนื่องจากมีเนื้อหาที่ครอบคลุมลูกค้าหลายกลุ่ม ประกอบกับการเข้าถึงคอนเทนต์ ของลูกค้าก็เป็นไปได้ ง่ายขึ้นตามตลาดสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตที่เติบโตขึ้นด้วย”

นางระริน อุทกะพันธุ์ ปัญจรุ่งโรจน์ กรรมการผู้จัดการ บมจ. พริ้นติ้ง แอนด์ พับลิชชิ่ง กล่าวว่า “การร่วมมือกับดีแทคเป็นอีกก้าวที่สำคัญของเราในการนำเสนอผลิตภัณฑ์และสาระความรู้ต่าง ๆ บนแพลทฟอร์มและช่องทางการสื่อสารแบบดิจิตอลในรูปแบบที่หลากหลายยิ่งขึ้น เนื่องจากปัจจุบัน ผู้บริโภคในทุกวัยต่างหันมาใช้เวลาบนสื่อออนไลน์มากขึ้น เราในฐานะผู้ประกอบการสำนักพิมพ์และเจ้าของคอนเทนต์จึงจำเป็นต้องปรับตัวให้สอดคล้องกับพฤติกรรมการบริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป เพื่อสามารถนำเนื้อหาสาระที่มีคุณภาพแก่ผู้บริโภค และเรายังคงมองหาโอกาสในการขยายความร่วมมือกับผู้ให้บริการเครือข่ายการสื่อสารเพื่อสร้างบริการรูปแบบใหม่ ๆ ที่ตอบสนองแนวโน้มพฤติกรรมของผู้บริโภคต่อไปในอนาคต”

“เราเชื่อมั่นว่าคอนเทนต์ของนิตยสารต่าง ๆ ในเครืออมรินทร์จะตอบสนองความต้องการของคนรุ่นใหม่ เหล่านี้ได้เป็นอย่างดีและได้รับความสนใจจากผู้อ่านในรูปแบบดิจิตอลจำนวนมาก เนื่องจากความหลากหลาย ของเนื้อหาที่ครอบคลุมทุกไลฟ์ไสตล์ซึ่งน่าจะตรงกับความต้องการของลูกค้ากลุ่มต่างๆ ของดีแทคได้ เป็นอย่างดี ในเร็ว ๆ นี้ ลูกค้าดีแทคยังจะได้พบกับเนื้อหาดี ๆ ของนิตยสารต่าง ๆ ในเครืออมรินทร์ทั้งใน รูปแบบแอพพลิเคชั่นบน iPhone และ iPad และในรูปแบบอื่น ๆ เช่น SMS ด้วย” นางระรินกล่าว
บริการโมบายคอนเทนท์นำร่องจากความร่วมมือระหว่างเครืออมรินทร์และดีแทคคือ แอพพลิเคชั่นนิตยสารบน iPhone และ E-magazine บน iPad ซึ่งพร้อมจะเปิดตัวในเดือนตุลาคม 2554 ซึ่งประกอบด้วยนิตยสารต่าง ๆ ในเครืออมรินทร์ ครอบคลุมกลุ่มผู้อ่านทุกกลุ่ม นอกจากนั้น ยังมีแอพพลิเคชั่นบน iPhone สำหรับ Real Parenting และ Room Directory ที่จะตามมาในอนาคต ซึ่งผู้อ่านจะได้พบกับเนื้อหาสาระที่เป็นประโยชน์ และโปรโมชั่นพิเศษต่าง ๆ มากมาย

View :1972

เนคเทคเปิดตัวสายลับจับเน็ตล่ม

September 2nd, 2011 No comments

กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดย ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ() สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ ( สวทช.) เปิดตัวระบบ “” ซึ่งเป็นระบบที่ช่วยให้สามารถดูแลอุปกรณ์เครือข่ายทางด้านสารสนเทศได้เป็นจำนวนมาก มีประสิทธิภาพในการดูแลเครือข่ายที่อาจจะอยู่ในบริเวณเดียวกันหรืออยู่ห่างไกลออกไปได้อย่างทั่วถึง ผู้ดูแลไม่จำเป็นต้องนั่งเฝ้าดูการทำงานตลอดเวลาก็ยังสามารถรับรู้ปัญหาที่เกิดขึ้นได้อย่างทันท่วงที ช่วยให้เห็นภาพรวมของสถานะการทำงานของระบบ ทำให้สามารถวิเคราะห์สาเหตุของปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถเรียกดูสถานะการทำงานย้อนหลังเพื่อประโยชน์ในการวิเคราะห์ปัญหา รวมทั้งสามารถสรุปภาพรวมของประสิทธิภาพของระบบได้ คาดระบบดังกล่าวจะก่อให้เกิดประโยชน์และผลกระทบเชิงเศรษฐกิจ สังคม อุตสาหกรรมของประเทศไทยในด้านการจัดการเครือข่ายที่ดีจะช่วยลดปัญหาการล่มของระบบ และลดการสูญเสียรายได้ลดการนำเข้าซอฟต์แวร์ราคาแพงจากต่างประเทศ ภาคอุตสาหกรรมสามารถนำ NetHAM ไปพัฒนาต่อยอดเป็นซอฟต์แวร์เชิงพานิชย์ที่สามารถแข่งขันได้ไนตลาดโลก

ดร.พันธ์ศักดิ์ ศิริรัชตพงษ์ ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ(เนคเทค)กล่าวว่า “จากความต้องการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศหรือไอทีในองค์กร และมักจะประสบปัญหาอยู่บ่อยครั้งใน ๕ เรื่องคือ ๑.ปัญหาระบบเครือข่ายทำงานช้า ๒. บุคลากรทางด้านไอทีขาดความรู้ความชำนาญ ผู้ใช้งานขาดความรู้พื้นฐาน ๓. ความช้าในการใช้งานอินเทอร์เน็ต ๔. ปัญหาในการวางระบบจัดเก็บและแบ่งปันไฟล์ข้อมูล ๕. ระบบควบคุมเวอร์ชั่นของเอกสารช้า ทีมนักวิจัยของเนคเทคจึงได้ดำเนินงานวิจัยและพัฒนาระบบที่มีชื่อเรียกสั้นๆว่า NetHAM : Network Health Analysis and Monitoring มาตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๕๕๐ ซึ่งก็คือ ระบบที่ทำหน้าที่เฝ้ามองการทำงานของเครือข่าย คอยเก็บบันทึกสถานะการทำงาน และแจ้งเตือนให้ผู้ดูแลทราบหากพบว่าส่วนหนึ่งส่วนใดของเครือข่ายมีการทำงานที่ผิดปกติ เช่น เข้าเว็บไม่ได้ อีเมลไม่ถึง รับ-ส่งไฟล์ช้า โดย NetHAM มีคุณสมบัติสำคัญในการใช้งาน คือ ๑.เป็นระบบตรวจสอบสุขภาพของอุปกรณ์และบริการบนเครือข่าย ๒.เน้นการใช้งานที่เข้าใจง่าย ๓.เห็นภาพรวมของระบบชัดเจน ๔.เหมาะสำหรับผู้ดูแลเครือข่ายขนาดกลางและเล็กที่อาจไม่มีความเข้าใจในระบบเครือข่ายลึกซึ้ง ซึ่งเมื่อผู้มีหน้าที่ดูแลระบบสามารถตรวจสอบประสิทธิภาพระบบของตนเอง หรือมีการแจ้งเตือนให้รู้ตัวได้ก่อนที่จะเกิดปัญหาร้ายแรงขึ้นก็จะทำให้สามารถแก้ไขหรือป้องกันปัญหานั้นได้ก่อนที่จะเกิดปัญหาขึ้นและในวันนี้ NetHAM สายลับจับเน็ตล่ม มีความพร้อมแล้วที่จะเปิดให้บริการสาธารณะ โดยมีกลุ่มเป้าหมายที่จะนำไปใช้ประโยชน์ได้ อาทิ สถานศึกษา โรงพยาบาล โรงแรม ห้างร้าน อุตสาหกรรมขนาดย่อม หน่วยงานรัฐ เป็นต้น”

ด้านนางสุวิภา วรรณสาธพ ผู้ช่วยผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เปิดเผยถึงแนวทางในการเปิดให้บริการว่า “NetHAM สายลับจับเน็ตล่ม เป็นระบบที่จะทำหน้าที่ในการดูแลประสิทธิภาพของระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ โดยสามารถแสดงแผนผังการเชื่อมต่อเครือข่าย (Topology), แสดงข้อมูลสรุปสถานะของแต่ละอุปกรณ์,ตรวจสอบและรายงานสถานะของอุปกรณ์และบริการบนเครือข่ายได้ เช่น web, mail, database, แสดงปริมาณการใช้ทรัพยากร Bandwidth, CPU, Memory ของอุปกรณ์เครือข่าย , รายงานสถานะย้อนหลังตามช่วงเวลาที่กำหนด และแจ้งเตือนผู้ดูแลระบบผ่านอีเมลทันทีที่พบความผิดปกติ และในวันนี้ สวทช. โดยทีมนักวิจัยของเนคเทค มีความพร้อมแล้วที่จะนำผลงานวิจัยพัฒนาระบบ NetHAM เปิดให้บริการสาธารณะและถ่ายทอดให้กับองค์กรหรือหน่วยงานต่างๆภายในประเทศ เพื่อนำ NetHAMไปใช้ประโยชน์ในวงกว้างให้เร็วที่สุด เพื่อให้องค์ความรู้ที่ได้จากงานวิจัยถูกนำไปใช้งานจริง ที่สำคัญ สวทช.มุ่งหวังว่า NetHAM จะไปช่วยเสริมสร้างโอกาสทางธุรกิจให้กับองค์กรต่างๆได้ คือ กลุ่มอุตสาหกรรมขนาดย่อม (SME) จะสามารถลดต้นทุนในการดำเนินงานด้านระบบเครือข่าย , กลุ่มอุตสาหกรรมขนาดย่อมด้านซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์ จะสามารถนำ NetHAMไปต่อยอดทางธุรกิจได้ เช่น นำไปให้บริการติดตั้ง ให้คำปรึกษา ฝึกอบรมพร้อมดูแล ระบบ เป็นต้น ที่สำคัญหากองค์กรใดต้องการพัฒนาระบบให้ตอบสนองกับธุรกิจและความต้องการขององค์กรของตนเองเป็นการเฉพาะ สวทช. โดย เนคเทค ก็ยินดีให้คำปรึกษาและพัฒนาเพิ่มเติมให้เช่นกัน”

View :3506

แคนนอนประกาศศักยภาพ! ยกทัพนวัตกรรมการพิมพ์ครบวงจร บุกงาน Pack Print international 2011

September 1st, 2011 No comments

แคนนอน ผู้นำตลาดในกลุ่มเครื่องพิมพ์สำหรับอุตสาหกรรมการพิมพ์ระดับมืออาชีพ ประกาศความสำเร็จอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดยกทัพสุดยอดนวัตกรรมและเทคโนโลยีด้านการพิมพ์แบบครบวงจร บุกงาน Pack Print International 2011 งานแสดงสินค้าอุตสาหกรรมการพิมพ์และบรรจุภัณฑ์แห่งปีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดงานหนึ่งในอาเซียน สาธิตการทำงานที่สมบูรณ์แบบเพื่อผู้ประกอบการรายใหม่ พร้อมเปิดตัวไฮไลท์ของงาน เครื่องพิมพ์ดิจิตอลสี imagePRESS C7010VP ที่สุดแห่งความล้ำหน้าของงานพิมพ์และการเติบโตทางธุรกิจเพื่อผลกำไรระดับมืออาชีพ ตอบโจทย์เทรนด์ดิจิทัลพรินท์ติ้งมาแรง

ร้อยเอกสุนทร ปัณฑรมงคล ผู้อำนวยการอาวุโสและผู้จัดการทั่วไป ส่วนงานบิสซิเนส อิมเมจจิ้ง โซลูชั่น บริษัท แคนนอน มาร์เก็ตติ้ง (ไทยแลนด์) จำกัด เปิดเผยว่า “ความสำเร็จจากการเข้าร่วมงาน Pack Print International (PPI) เมื่อครั้งที่ผ่านมา แคนนอนประสบความสำเร็จจากการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่รวมไปถึงได้รับยอดการสั่งซื้อที่เป็นไปตามเป้าหมาย ทำให้แคนนอนมีความมั่นใจที่จะนำเสนอสุดยอดนวัตกรรมและเทคโนโลยีด้านการพิมพ์อย่างครบวงจรสู่ตลาดดิจิตอลในงาน PPI ในปีนี้ เพราะเชื่อมั่นในศักยภาพของกลุ่มผู้ประกอบการในเมืองไทย ที่เรียกได้ว่าเป็นฮับใหญ่ของตลาดสิ่งพิมพ์ในภาคพื้นเอเชียและมีโอกาสการเติบโตในอัตราค่อนข้างสูง ด้วยมูลค่าการส่งออกสิ่งพิมพ์ประมาณ 70,000 ล้านบาท ซึ่งปีนี้แคนนอนมีแนวทางการทำตลาดเชิงรุกในช่องทางกลุ่มธุรกิจ ด้วยการแสดงกลุ่มผลิตภัณฑ์ไอทีด้านการพิมพ์เต็มรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องพิมพ์ดิจิตอลในตระกูล imagePRESS ที่เหมาะกับการผลิตงานพิมพ์แบบพริ้นออนดีมานต์สำหรับธุรกิจการพิมพ์มืออาชีพหรือ เครื่องพิมพ์ดิจิตอลในตระกูล imageRUNNER ADVANCE สำหรับผู้ที่ต้องการมองหาช่องทางในการขยายและเพิ่มมูลค่าให้กับธุรกิจ พร้อมการนำเสนอพริ้นติ้ง โซลูชั่น ที่สมบูรณ์แบบเข้าใจง่ายและสามารถนำไปต่อยอดธุรกิจได้จริง รวมถึงความโดดเด่นด้านการพัฒนาเทคโนโลยีที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมซึ่งแคนนอนให้ความสำคัญมาโดยตลอด และเชื่อว่าองค์กรหลายๆ แห่งในปัจจุบันใช้เป็นเหตุผลประกอบในการตัดสินใจเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ โดยล่าสุดแคนนอนได้พัฒนาชิ้นส่วนประกอบภายนอกที่ผลิตจากพลาสติกชีวภาพมาใช้ประกอบเครื่องพิมพ์ระบบดิจิตอล โดยชิ้นส่วนดังกล่าวผลิตมาจากชิ้นส่วนที่ช่วยลดการใช้ทรัพยากรน้ำมัน ซึ่งสามารถลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ อีกทั้งยังมีคุณสมบัติทนต่อการลุกลามของไฟในระดับสูง ทำให้ผู้ใช้มั่นใจได้ว่าจะได้รับผลิตภัณฑ์ที่มีประสิทธิภาพและยังเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอีกด้วย”

ทั้งนี้ภายในงาน แคนนอนได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ ซึ่งเป็นไฮไลท์เด่นของงานในครั้งนี้ imagePRESS C7010VP เครื่องพิมพ์ดิจิตอลสีประสิทธิภาพสูงเพื่อสร้างผลกำไรระดับมืออาชีพ อัดแน่นด้วยเทคโนโลยีเหนือชั้น อาทิ ความสามารถในการผลิตงานพิมพ์ความละเอียดสูงถึง 1,200 x 1,200 dpi (12bit) หนึ่งในช่วงสีที่กว้างที่สุดในบรรดาเครื่องพิมพ์ระบบดิจิตอลแบบ 4 สี ความเร็วการพิมพ์สูงสุดถึง 70 แผ่นต่อนาที พิมพ์งาน A4 คมชัดด้วยผงหมึก V-Toner ที่มีผงหมึกเล็กเพียง 5.5 ไมครอน ตัวเครื่องมาพร้อมกับความสามารถในการปล่อยกระดาษออกเมื่อกระดาษซ้อน และมีเทคโนโลยีการทำความร้อนแบบ Dual Fusing เพื่อ

ความเร็วในการทำงานแบบเต็มอัตรา รองรับขนาดกระดาษ 13” x 19.2” ที่มีน้ำหนักตั้งแต่ 60 – 325 แกรม ให้สีที่สม่ำเสมอบนกระดาษหลากหลายประเภท และให้งานพิมพ์เทียบเท่ากับเครื่องออฟเซ็ต พร้อมมีอุปกรณ์เสริมสำหรับเรียงชุดเอกสาร

นอกจากนี้ แคนนอนยังได้ยกทัพนวัตกรรมและเทคโนโลยีแบบครบวงจรมาให้ผู้ประกอบการได้สัมผัสและทดสอบความสามารถกันอย่างคับคั่ง ได้แก่

เครื่องพิมพ์ดิจิตอล (Production Graphic Art)

· imageRUNNER ADVANCE 8105 / 8095 เครื่องพิมพ์ดิจิตอลขาว-ดำ ที่มีความโดดเด่นในเรื่องกำลังการผลิต สามารถจัดการงานพิมพ์จำนวนมากได้อย่างรวดเร็วทันใจและยังสามารถรองรับงานพิมพ์ได้หลากหลายประเภท

· imagePRESS C1+ เครื่องพิมพ์ดิจิตอลที่เหมาะสำหรับการพิมพ์แบบวานิชในขั้นตอนเดียว ซึ่งช่วยสร้างความแตกต่างและโอกาสทางธุรกิจด้วยความสามารถในการพิมพ์งานหลากหลายรูปแบบ ซึ่งรวมไปถึงงานปรู๊ฟสีและงานพิมพ์ตามต้องการแบบสั่งพิเศษ ( Print On-Demand)

· สำหรับธุรกิจและโรงพิมพ์ขนาดกลางและเล็ก แคนนอนขอแนะนำ imageRUNNER ADVANCE C9065 / C9075 PRO เครื่องพิมพ์ดิจิตอลที่มีศักยภาพมากกว่าขนาดของตัวเครื่อง เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการรองรับงานพิมพ์ปริมาณมาก ให้งานพิมพ์ที่มีสีสันคมชัด มาพร้อมฟังก์ชั่นและระบบการทำงานที่ใช้งานง่าย ช่วยลดต้นทุนการผลิตด้วยเทคโนโลยีที่ประหยัดพลังงาน อีกทั้งยังเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

Printing Solution

ในส่วนของพริ้นติ้ง โซลูชั่น แคนนอนได้นำเสนอซอฟต์แวร์ Print Shop Mail และ Direct Smile สำหรับงานพิมพ์เฉพาะบุคคล (Personalized Printing) ที่มีข้อมูลเปลี่ยนแปลงไปตามฐานข้อมูล (Variable Data) ซึ่งประกอบไปด้วยภาพ ข้อความ หรือภาพกราฟฟิคต่าง ๆ โดยส่วนประกอบเหล่านี้จะปรากฏขึ้นตามรายละเอียดหรือเงื่อนไขที่ได้กำหนดไว้ เช่น จดหมายเวียนที่เปลี่ยนชื่อการจ่าหน้าซองเป็นชื่อของผู้รับแต่ละคน ในแง่ของผู้ผลิตสิ่งพิมพ์ ซอฟต์แวร์จะช่วยสร้างงานพิมพ์ที่เป็นเอกลักษณ์ ซึ่งสามารถสร้างแรงกระตุ้นและโดนใจผู้รับสาร ส่วนในแง่ของนักการตลาดที่ต้องการทำกิจกรรมพิเศษเพื่อส่งเสริมการขาย (Campaign) ซอฟต์แวร์จะช่วยสร้างงานพิมพ์ที่ตรงกับความต้องการของผู้รับและสามารถ

สื่อสารข้อความไปยังกลุ่มเป้าหมายเฉพาะที่ต้องการให้รับสารโดยตรง ตัวอย่างเช่น ต้องการให้ส่วนลด 15% สำหรับลูกค้ากลุ่ม A แต่ให้ส่วนลด 50% สำหรับลูกค้ากลุ่ม B เป็นต้น

เครื่องพิมพ์หน้ากว้าง (Large Format Printers)

ในส่วนของเครื่องพิมพ์หน้ากว้าง (Large Format Printer) แคนนอนจัดแสดงผลิตภัณฑ์ 2 รุ่นคือ imagePROGRAF 8300(12สี) และ imagePROGRAF 8300S (8 สี) ผลิตภัณฑ์ทั้ง 2 รุ่นนี้มีคุณสมบัติเฉพาะที่ถูกออกแบบสำหรับธุรกิจการพิมพ์ระดับ

เอสเอ็มอีจนถึงระดับประเทศ โดยสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างสูงสุด ทั้งเรื่องการลดต้นทุนการผลิต และการคงคุณภาพงานพิมพ์ให้เหมือนเดิม

· imagePROGRAF 8300(12สี) มีคุณสมบัติระบบหมึก Lucia EX pigment ทำให้งานพิมพ์มีขอบเขตของสีที่กว้างขึ้น กันน้ำและทนต่อรอยขีดข่วน จึงเหมาะสำหรับงานพิมพ์ภาพถ่าย, ดิจิตอลปรู๊ฟ (Packaging, Offset) โดยเครื่องพิมพ์หน้ากว้าง imagePROGRAF 8300 ยังได้รับรางวัลการันตีประสิทธิภาพผลลัพธ์ของชิ้นงานจากองค์กร European Digital Press Association (EDP) ในสาขาผลิตภัณฑ์ยอดเยี่ยมแห่งปีในสาขาเครื่องพิมพ์ภาพประจำปี 2011 (Best Photographic Printer of the Year 2011) อีกด้วย

· imagePROGRAF 8300S (8 สี) มีจุดเด่นเรื่องความเร็วในการพิมพ์ ซึ่งเหมาะสำหรับงานพิมพ์โปสเตอร์และดิจิตอลปรู๊ฟ ( Offset, Newspaper)

ทั้งนี้เครื่องพิมพ์หน้ากว้างทั้ง 2 รุ่นสามารถทำงานร่วมกับ Software RIP เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานได้อย่างดีเยี่ยม

“แคนนอนมุ่งหวังว่างาน Pack Print International 2011 จะดึงดูดความสนใจของกลุ่มนักธุรกิจหรือนักลงทุนในอุตสาหกรรมการพิมพ์โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มของอุตสาหกรรมการพิมพ์ในระบบดิจิตอล เนื่องจากเป็นงานที่มีศักยภาพสูงและเป็นเวทีที่เปิดโอกาสให้ผู้ซื้อและผู้ขายได้พบปะกันอันจะก่อให้เกิดการเจรจาทางการค้าและการซื้อขายอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งจะช่วยสร้างรวมถึงเปิดตลาดและขยายฐานกลุ่มลูกค้าใหม่ ๆ อีกทั้งยังถือเป็นพื้นที่สำหรับแนะนำ และเปิดตัวผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมใหม่ ๆ ซึ่งในปีนี้แคนนอนเองก็ได้เตรียมทั้งผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยีที่จะนำเสนอแก่ผู้เข้าชมงานมากมาย และเชื่อมั่นว่าจะสามารถสร้างความสนใจและเพิ่มมูลค่าพร้อมทั้งโอกาสทางด้านธุรกิจให้กับนักธุรกิจหรือนักลงทุนได้เป็นอย่างดี” ร้อยเอกสุนทรกล่าวปิดท้าย

View :2388