Archive

Archive for August, 2012

ไอทีพลาซ่า ทุ่มงบกว่า 140 ล้านบาท เปิดสาขาอุดรธานี ศูนย์ไอทีที่ใหญ่สุดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

August 3rd, 2012 No comments


ทุ่มงบกว่า 140 ล้านบาท เปิดศูนย์การค้าไอทีแห่งใหม่ สาขาที่ 7 จังหวัดอุดรธานี ด้วยพื้นที่กว่า 5,000 ตารางเมตร ณ บริเวณชั้น 1 ตึกเนวาด้า คอมเพล็กซ์ พร้อมชูคอนเซ็ปต์การเป็นศูนย์การค้าไอทีครบวงจรสาขาใหญ่สุดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ อีกทั้งยังมีแผนเร่งขยายพื้นที่ศูนย์การค้าไอทีพลาซ่าสู่หัวเมืองหลักทั่วทุกภูมิภาค โดยในปี 2555 นี้ ทางบริษัทฯตั้งเป้ารายได้โตกว่า 30% จากปีที่แล้ว มั่นใจสามารถทำรายได้ให้บริษัทฯสูงถึง 270 ล้านบาทในปีนี้อย่างแน่นอน

นายสมชาย จันทนะประสาทพร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไอที พลาซ่า จำกัด กล่าวว่า “ทิศทางดำเนินธุรกิจไอทีพลาซ่าในปีนี้ เน้นการเร่งขยายพื้นที่ศูนย์การค้าไอทีพลาซ่าให้ครอบคลุมมากขึ้น โดยจะมุ่งขยายพื้นที่ศูนย์การค้าไอทีสู่หัวเมืองใหญ่ๆของพื้นที่ต่างจังหวัด เพื่อตอบโจทย์และรองรับไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภค รวมถึงมีแผนที่จะปรับปรุงและพัฒนาศูนย์การค้าไอทีพลาซ่าเดิมที่เปิดให้บริการอยู่ในปัจจุบันอีก 6 สาขา ได้แก่ เซียร์รังสิต, ห้างอิมพีเรียลเวิล์ดสำโรง, โคราช, อุบลราชธานี, คลองถมคอนเนอร์ กรุงเทพฯ, หาดใหญ่ เพื่อให้ทันสมัยรองรับกับการแข่งขันด้านการตลาดไอทีที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอีกด้วย

ล่าสุด ทางบริษัทได้ทุ่มงบกว่า 140 ล้านบาทในการเปิดตัวศูนย์การค้าไอทีแห่งใหม่ที่จังหวัดอุดรธานี ด้วยพื้นที่กว่า 5,000 ตารางเมตร ณ บริเวณชั้น 1 ตึกเนวาด้า คอมเพล็กซ์ และนับเป็นสาขาที่ 7 ของไอทีพลาซ่า โดยมีปัจจัยสำคัญอยู่ที่การเลือกทำเลที่ตั้ง กล่าวคือ จังหวัดอุดรธานีเป็นเมืองเศรษฐกิจและเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญของเศรษฐกิจไทย เนื่องจากติดกับประเทศเพื่อนบ้านซึ่งถือว่าเป็นจุดกระจายสินค้าไอทีที่สำคัญในการส่งสินค้าออกสู่ตลาดอินโดจีน ทำให้มีเงินหมุนเวียนอยู่ตลอดเวลา ประกอบกับการขนส่งที่สะดวกสบายเหมาะสำหรับการเปิดตลาดใหม่ อีกทั้งยังเป็นศูนย์การค้าไอทีที่ใหญ่สุดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยในปี 2555 นี้ ทางบริษัทฯตั้งเป้ารายได้โตกว่า 30% จากปีที่แล้ว มั่นใจสามารถทำรายได้ให้บริษัทฯสูงถึง 270 ล้านบาทในปีนี้อย่างแน่นอน”

ทางด้านนายวิโรจน์ เชาว์สันทัดกุล ที่ปรึกษาฝ่ายพัฒนาธุรกิจไอที บริษัท ไอที พลาซ่า จำกัด กล่าวว่า “ในปัจจุบันนี้ภาพรวมของมูลค่าตลาดไอทีเมืองไทยมีแนวโน้มการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ดังจะเห็นได้จากมูลค่าตลาดไอซีทีไทยปี 2555 ที่ขยายตัวมากขึ้นกว่าปีที่แล้วประมาณ 11% หรือมีมูลค่าประมาณ 600,000 ล้านบาท โดยตลาดคอมพิวเตอร์ฮาร์ดแวร์มีการเติบโตสูงสุดอยู่ที่ประมาณ 20% โดยภาพรวมตลาดไอทีอยู่ที่กรุงเทพฯ 60% และในส่วนภูมิภาค 40% คาดการณ์ว่าในปี 2556 จะมีส่วนแบ่งการตลาดคอมพิวเตอร์ฮาร์ดแวร์ ในส่วนภูมิภาคเพิ่มมูลค่าขึ้น 10-20% เนื่องจากความต้องการสินค้าไอทีที่มีมากขึ้น และเมื่อมีศูนย์รวมร้านค้าและศูนย์บริการสินค้าไอทีอยู่ในที่เดียวกัน ภายใต้เงื่อนไขการส่งเสริมการตลาดและราคาสินค้าเท่ากับที่กรุงเทพฯที่เป็นศูนย์การค้าคอมพิวเตอร์และไอทีที่สมบูรณ์แบบทั้งด้านการบริหารพื้นที่และการจัดกิจกรรมด้านการตลาด รวมถึงมีกิจกรรมส่งเสริมการขายอย่างต่อเนื่อง”

สำหรับกิจกรรมการตลาดในปี 55 นี้ ช่วงเดือนที่ผ่านมาไอทีพลาซ่าได้มีกิจกรรมส่งเสริมการตลาดอย่างต่อเนื่อง ตามสาขาของไอทีพลาซ่าทั่วประเทศ อาทิ กิจกรรมงานส่งเสริมการขายไอทีพลาซ่า อุบลราชธานี, กิจกรรมการตลาดงานเปิดตัวไอทีพลาซ่า สาขาหาดใหญ่ และกิจกรรมส่งเสริมการขายงาน Mobile and Digital Fair ที่ไอทีพลาซ่า โคราช เป็นต้น การจัดกิจกรรมส่งเริมการตลาดที่ผ่านมาได้ประสบผลสำเร็จตามเป้าที่วางไว้ ทั้งนี้ไอทีพลาซ่าได้จัดเตรียมงานกิจกรรมส่งเสริมการตลาดเพื่อกระตุ้นยอดขายให้กับร้านค้า โดยได้เพิ่มสื่อประชาสัมพันธ์การจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ร้านค้ามีผลประกอบการที่ดี สามารถขยายธุรกิจได้อย่างต่อเนื่อง และโดยเฉพาะสาขาอุดรธานีที่จะทำการเปิดสาขาใหม่เป็นสาขาที่ 7 ของไอทีพลาซ่า ซึ่งทางไอทีพลาซ่ามีความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาและบริหารศูนย์ไอทีที่สาขาอุดรธานีเป็นแหล่งค้าส่งและค้าปลีกของหมวดสินค้าไอทีที่มีฐานลูกค้าของประเทศเพื่อนบ้านสาธารณรัฐประชาชนลาว เมื่อมีการเปิดเขตเศรษฐกิจประชาคมประเทศอาเซี่ยนในปี 2558 นี้ โดยผู้สนใจติดต่อขอเช่าพื้นที่หรือสามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ทาง www.itplaza.co.th หรือ www.facebook.com/itplazathai ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

View :2242

หัวเว่ยเปิดตัวสมาร์ทโฟนซีรีส์ “Ascend” ครบเครื่องทั้งสมรรถนะและความคุ้มค่า

August 3rd, 2012 No comments

หัวเว่ย ผู้นำระดับโลกด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ประกาศเปิดตัวสมาร์ทโฟนแอนดรอยด์ซีรีส์ Ascend ในประเทศไทย ที่ครบเครื่องด้วยประสิทธิภาพอันโดดเด่นและราคาสุดคุ้มค่า หลังได้รับผลตอบรับที่ดีจากผู้บริโภค

“สมาร์ทโฟนซีรีส์ Ascend ของเราได้ประสบความสำเร็จเป็นอย่างสูงในยุโรปในช่วงที่ผ่านมา” มร. ถู หมิง ผู้อำนวยการกลุ่มธุรกิจดีไวซ์ บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) กล่าว “การเปิดตัวสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่นี้ในประเทศไทยจะทำให้ผู้บริโภคได้สัมผัสกับอุปกรณ์สื่อสารล้ำยุคที่ทำงานได้อย่างรวดเร็ว มีดีไซน์ที่สวยงาม และยังคุ้มค่าเหนือกว่าคู่แข่งในตลาดอีกด้วย”

Huawei Ascend P1


สำหรับดาวเด่นในการเปิดตัวสมาร์ทโฟน Ascend ในครั้งนี้นั้น ก็ได้แก่รุ่น Ascend P1 (14,990 บาท) ซึ่งเป็นสมาร์ทโฟนดีไซน์เฉียบ ตัวเครื่องบางเพียง 7.69 มิลลิเมตร สามารถใช้ได้กับเครือข่าย 3G ถึง 5 ความถี่ ครอบคลุมทุกระบบในประเทศไทย ทั้งยังเปี่ยมสมรรถภาพด้วยหน่วยประมวลผลแบบดูอัล คอร์ ความเร็ว 1.5 กิกะเฮิร์ตซ์ ระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ 4.0 Ice Cream Sandwich จอทัชสกรีนเทคโนโลยี Super AMOLED สีสันสดใส ขนาด 4.3 นิ้ว กล้องดิจิตอลความละเอียด 8 ล้านพิกเซล

ส่วนสมาร์ทโฟน Ascend รุ่นอื่นๆ ที่ร่วมเปิดตัวในครั้งนี้ ได้แก่รุ่น Ascend G300 (6,990 บาท) สมาร์ทโฟนระดับกลางที่มาพร้อมกับหน่วยประมวลผลความเร็ว 1 กิกะเฮิร์ตซ์ จอทัชสกรีนขนาด 4 นิ้ว กล้องดิจิตอลความละเอียด 5 ล้านพิกเซล และสนับสนุนระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ 4.0 Ice Cream Sandwich ส่วนรุ่น Ascend Y200 (4,490 บาท) นั้น เป็นสมาร์ทโฟนราคาประหยัดที่มีหน่วยประมวลผลความเร็ว 800 เมกะเฮิร์ตซ์ และกล้องดิจิตอลความละเอียด 3.2 ล้านพิกเซล

Huawei Ascend G300


นอกเหนือจากซีรีส์ Ascend แล้ว หัวเว่ยก็ยังได้วางจำหน่ายสมาร์ทโฟนแอนดรอยด์รุ่น Honor (9,990 บาท) ซึ่งใช้งานได้ยาวนานเป็นพิเศษด้วยแบตเตอรี่ความจุสูงถึง 1,930 mAh กล้องดิจิตอลความละเอียด 8 ล้านพิกเซลพร้อมระบบออโต้โฟกัสและ HDR และหน่วยประมวลผลความเร็ว 1.4
กิกะเฮิร์ตซ์

“ในฐานะผู้เล่นหน้าใหม่ในตลาดสมาร์ทโฟนเมืองไทย เราตั้งเป้ายอดขายสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตทั้งหมดไว้ที่ราว 100,000 เครื่องในปีนี้” นายวัชระ เวชจารุวัฒน์ ผู้จัดการฝ่ายผลิตภัณฑ์ของหัวเว่ย ดีไวซ์ กล่าว “ขณะนี้ หัวเว่ยยังคงเดินหน้าขยายช่องทางการจัดจำหน่ายให้กว้างขวางยิ่งขึ้น ซึ่งรวมถึงผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือค่ายต่างๆ ด้วย และเราก็มีแผนที่จะเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่เพิ่มเติมอีกในอนาคต”

ทั้งนี้ หัวเว่ย ดีไวซ์ จะทำการเปิดตัวสมาร์ทโฟนรุ่น Ascend P1 S ซึ่งเป็นหนึ่งในโทรศัพท์มือถือที่บางที่สุดในโลกด้วยตัวเครื่องที่หนาเพียง 6.69 มิลลิเมตร และแท็บเล็ตแอนดรอยด์อีกสองรุ่นในช่วงปลายปีนี้ นอกจากนี้ บริษัทยังจะเผยโฉมสมาร์ทโฟน Ascend ที่ใช้ระบบปฏิบัติการรุ่นล่าสุดของไมโครซอฟท์อย่าง วินโดว์ส โฟน 8 ในช่วงปลายปีนี้เช่นกัน โดยหัวเว่ยมีเป้าหมายในระยะยาวที่จะก้าวขึ้นเป็นผู้ผลิตสมาร์ทโฟนในระดับท็อป 3 ของโลกภายในปี 2558

ผู้สนใจสามารถเลือกซื้อสมาร์ทโฟนหัวเว่ย Ascend P1, Ascend G300, Ascend Y200 และ Honor ได้แล้ววันนี้ที่ร้านทีจีโฟนกว่า 122 สาขาทั่วประเทศ โดยลูกค้าจะสามารถเข้ารับบริการหลังการขายได้ผ่านทางศูนย์บริการของไอทีซิตี้และเอสวีโอเอกว่า 58 แห่ง

Huawei Ascend G300-Y200

2546 หัวเว่ยประกาศตั้งกลุ่มธุรกิจดีไวซ์ในประเทศจีน

2547 หัวเว่ย ดีไวซ์ จัดแสดงอุปกรณ์สื่อสารสำหรับผู้บริโภครุ่นแรกๆ ของบริษัทในงาน 3GSM เวิลด์ คองเกรส ประเทศฝรั่งเศส โดยมีโทรศัพท์มือถือระบบ 3G รุ่นแรกที่ผลิตในประเทศจีนเป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์ที่จัดแสดง

2548 โทรศัพท์มือถือหัวเว่ยรุ่น U626 ซึ่งเป็นโทรศัพท์มือถือ 3G รุ่นแรกที่บริษัทนำออกสู่ตลาด ได้รับรางวัล “โทรศัพท์มือถือ 3G ยอดเยี่ยม” ในงาน เอเชีย โมบาย นิวส์ อวอร์ดส์ โดยบริษัท ชาร์ลตัน มีเดีย กรุ๊ป

2550 โมเดม 3G รุ่น E270 ได้รับรางวัล เรด ดอท ดีไซน์ อวอร์ด

โมเดม USB รุ่น E172 ได้รับรางวัล ไอเอฟ โปรดักท์ ดีไซน์ อวอร์ด

2551 โมเดม USB รุ่น E180 ได้รับรางวัล “อุปกรณ์โมบายบรอดแบนด์ยอดเยี่ยม” จากงาน เอเชีย โมบาย อวอร์ดส์

2552 หัวเว่ยจัดแสดงสมาร์ทโฟนแอนดรอยด์รุ่นแรกของบริษัทในงาน โมบาย เวิลด์ คองเกรส

2553 กลุ่มธุรกิจดีไวซ์ทำยอดขายทะลุหลัก 100 ล้านเครื่อง

หัวเว่ยเปิดตัว IDEOS (ไอดีออส) สมาร์ทโฟนแอนดรอยด์ราคาประหยัดรุ่นแรกของโลก ในงานไอเอฟเอ ประเทศเยอรมนี

2554 หัวเว่ยเปิดตัวบริการคลาวด์ คอมพิวติ้งสำหรับผู้บริโภค พร้อมกับสมาร์ทโฟนระบบคลาวด์รุ่นแรก

หัวเว่ยเปิดตัว MediaPad (มีเดียแพด) แท็บเล็ตรุ่นแรกของโลกที่ใช้ระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ 3.2 Honeycomb

หัวเว่ย ดีไวซ์ ขยายกิจการเข้าสู่ประเทศไทยอย่างเป็นทางการ

มกราคม 2555 หัวเว่ยเปิดตัว Ascend P1 S หนึ่งในสมาร์ทโฟนที่บางที่สุดในโลก ในงานคอนซูเมอร์ อิเล็กทรอนิกส์ โชว์ ประเทศสหรัฐอเมริกา

กุมภาพันธ์ 2555 หัวเว่ยเปิดตัวสมาร์ทโฟนขุมพลังควอดคอร์ที่เร็วที่สุดในโลก Ascend D quad และ แท็บเล็ต 10 นิ้วควอดคอร์รุ่นแรกของโลก MediaPad 10 FHD

รวมเสียงวิจารณ์สมาร์ทโฟน Ascend P1 จากรอบโลก

“ใช้งานแอนดรอยด์ 4.0 ได้ราบรื่นสุดๆ แถมยังทำคะแนนได้เยี่ยมในการทดสอบประสิทธิภาพ”
– ฌอน ฮอลลิสเตอร์, The Verge

“Ascend P1 เป็นสมาร์ทโฟนที่เร็วปานสายฟ้า”
– ลุค โฮปเวลล์, Gizmodo Australia

“…บางเฉียบ สมรรถนะสูง และมีทัชสกรีนระดับคุณภาพ”
– แอนดรูว์ ฮอยล์, CNET UK

“โดยรวมแล้ว Ascend P1 เป็นสมาร์ทโฟนที่มีจอสีสันสดใส สเปกเครื่องที่น่าทึ่ง แอนดรอยด์เวอร์ชั่นล่าสุด กล้องชั้นเยี่ยม และตัวเครื่องที่สวยงามอย่างเรียบง่าย บางเพียง 7.6 มิลลิเมตร”
– คอรีย์ กุนเธอร์, Slashgear

“มีวัสดุและคุณภาพการประกอบอยู่ในระดับดี ประสิทธิภาพการทำงานยอดเยี่ยม และยังมีระบบซอฟท์แวร์ที่คนรักแอนดรอยด์จะต้องประทับใจ”
– ทีมงาน GSMArena

“เราประทับใจในคุณสมบัติด้านภาพและเสียงของสมาร์ทโฟนรุ่นนี้ ซึ่งถือเป็นอุปกรณ์มัลติมีเดียชั้นเลิศได้เลย”
– เอียน มอร์ริส, Pocket-lint

“…บาง เบา และสวยสะดุดตาเมื่อมองจากภายนอก และยังมีประสิทธิภาพเหลือเฟือด้วยหน่วยประมวลผลแบบดูอัล คอร์ที่อยู่ภายใน”
– แดเนียล พี., PhoneArena
รายละเอียดสมาร์ทโฟน Ascend P1

ราคา: 14,990 บาท

คุณสมบัติเด่น:
- ตัวเครื่องบางเฉียบ เพียง 7.69 มิลลิเมตร
- หน้าจอขนาด 4.3 นิ้ว แบบ Super AMOLED
- ระบบปฎิบัติการ Android 4.0 (Ice Cream Sandwich) รองรับภาษาไทยเต็มรูปแบบ
- หน่วยประมวลผลดูอัล คอร์ ความเร็ว 1.5 กิกะเฮิร์ตซ์
- กล้องหลังความละเอียด 8 ล้านพิกเซลพร้อมแฟลช และกล้องหน้าความละเอียด 1.3 ล้านพิกเซล
- เชื่อมต่อ 3G ได้ที่ความเร็วสูงสุด 21Mbps บนเครือข่าย 850/900/1700/1900/2100
เมกะเฮิร์ตซ์
- แบตเตอรี่ความจุ 1,670 mAh สแตนด์บายได้ 2 สัปดาห์ และสนทนาต่อเนื่องได้ 8 ชั่วโมง
- Bluetooth v3.0
- ระบบเสียง Dolby Mobile 3.0+
- ฟรีโปรแกรมสำรองข้อมูล All Backup จากหัวเว่ย
รายละเอียดสมาร์ทโฟน Ascend G300

ราคา: 6,990 บาท

คุณสมบัติเด่น:
- จอทัชสกรีนขนาด 4 นิ้ว
- ระบบปฎิบัติการ Android 2.3 (Gingerbread) สามารถอัพเกรดเป็น Android 4.0 (Ice Cream Sandwich) ได้ และรองรับภาษาไทยเต็มรูปแบบ
- หน่วยประมวลผลความเร็ว 1 กิกะเฮิร์ตซ์
- กล้องหลังความละเอียด 5 ล้านพิกเซลพร้อมแฟลช
- เชื่อมต่อ 3G ได้ที่ความเร็วสูงสุด 7.2Mbps
- แบตเตอรี่ความจุ 1,350 mAh
- ฟรีโปรแกรมสำรองข้อมูล All Backup จากหัวเว่ย

รายละเอียดสมาร์ทโฟน Ascend Y200

ราคา: 4,490 บาท

คุณสมบัติเด่น:
- จอทัชสกรีนขนาด 3.5 นิ้ว
- ระบบปฎิบัติการ Android 2.3 (Gingerbread) รองรับภาษาไทยเต็มรูปแบบ
- หน่วยประมวลผลความเร็ว 800 เมกะเฮิร์ตซ์
- กล้องหลังความละเอียด 3.2 ล้านพิกเซลพร้อมแฟลช
- เชื่อมต่อ 3G ได้ที่ความเร็วสูงสุด 7.2Mbps
- แบตเตอรี่ความจุ 1,250 mAh
- ฟรีโปรแกรมสำรองข้อมูล All Backup จากหัวเว่ย

View :2021

ก.ไอซีที เชิญร่วมชมงาน Bangkok International ICT Expo 2012

August 3rd, 2012 No comments

นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เปิดเผยภายหลังเป็นประธานในพิธีเปิดงาน “” ว่า การจัดงาน ของกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) ในครั้งนี้ถือเป็นสิริมงคลอย่างยิ่ง เนื่องจากเป็น ปีมหามงคลที่ประกอบด้วยพระราชพิธีสำคัญ 2 พิธี คือ พระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา 12 สิงหาคม 2555 สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมายุ 60 พรรษา 28 กรกฎาคม 2555 สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร โดย กระทรวงไอซีที ได้มีการจัดกิจกรรมขึ้นภายใน Royal Pavilion เพื่อร่วมถวายความจงรักภักดีแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ด้วยการลงนามถวายพระพรออนไลน์ผ่านระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ รวมถึงได้จัดนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติเกี่ยวกับพระราชกรณียกิจด้าน ICT ในการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืนของทั้ง 3 พระองค์ ทั้งนี้ เพื่อให้ประชาชนได้ร่วมชื่นชมและแสดงความจงรักภักดี

นอกจากนี้ การจัดงาน Bangkok International ICT Expo 2012 ยังมีความสำคัญในการแสดงถึงศักยภาพด้าน ICT ของประเทศไทยในอนาคต และการเตรียมความพร้อมของประเทศไทยในการเข้าสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community: AEC) ภายในปี พ.ศ. 2558 อีกทั้งยังเป็นการแสดงถึงวิสัยทัศน์ของการใช้ ICT ให้เป็นพลังขับเคลื่อนประเทศไทยในด้านต่างๆ ได้แก่ ด้าน SMART NETWORK ด้วยการขยายโครงสร้างพื้นฐานของโครงข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง และการจัดตั้งหน่วยงานบรอดแบนด์แห่งชาติ ด้าน SMART GOVERNMENT ในการขยายโครงข่ายเพื่อการศึกษาไปยังพื้นที่ห่างไกล การขยายการรักษาพยาบาลทางไกลผ่านโครงข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง การบริการทะเบียนราษฎร์ออนไลน์ และการบริการระบบศูนย์ข้อมูลการเกษตร รวมทั้งด้าน SMART BUSINESS ที่จะพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเพื่อรองรับกับอุตสาหกรรม/SMEs ด้าน ICT การพัฒนาระบบธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ ตลอดจนการสร้างความตระหนักและการมีส่วนร่วมกับการใช้งานด้าน ICT

พร้อมกันนี้ยังมีการนำเสนอการใช้ ICT มาเพิ่มศักยภาพในการเฝ้าระวังและแจ้งเตือนภัยพิบัติอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้เกิดความมั่นคงปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนสูงสุด ซึ่งถือว่าเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนรวมถึงสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ประกอบการจากประเทศต่างๆ ที่จะเข้ามาลงทุนทำธุรกิจในประเทศไทยอีกด้วย

ด้าน นาวาอากาศเอกอนุดิษฐ์ นาครทรรพ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กล่าวเพิ่มเติมว่า งาน Bangkok International ICT Expo 2012 นี้จัดขึ้น ระหว่างวันที่ 3 – 6 สิงหาคม 2555 ณ อาคารชาเลนเจอร์ 3 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุม อิมแพ็ค เมืองทองธานี โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ประชาชนทั่วไปได้ระลึกถึงวันสื่อสารแห่งชาติ ซึ่งตรงกับวันที่ 4 สิงหาคม ของทุกปี และเป็นการแสดงศักยภาพของประเทศไทยในด้าน ICT รวมทั้งการสร้างทัศนคติให้ประชาชนเกิดความตระหนักถึงการนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้อย่างสร้างสรรค์ ตลอดจนการเตรียมความพร้อมในการก้าวไปสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ในปี พ.ศ. 2558 โดยจัดขึ้นภายใต้แนวคิด “Smart Thailand Towards AEC” หรือ “ไอซีทีไทยก้าวล้ำ นำสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน” และกำหนดรูปแบบการจัดงานเป็น 4 ส่วน ได้แก่ 1. ส่วนจัดแสดงนิทรรศการ 2. ส่วนแสดงสินค้า 3. ส่วนการประชุมสัมมนา และ 4. ส่วนกิจกรรมการแสดงต่าง ๆ

ในส่วนแรกการจัดนิทรรศการนั้นแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ Royal Pavilion เป็นนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติที่จัดขึ้นเพื่อเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร อีกส่วน คือ MICT Pavilion เป็นนิทรรศการแสดงผลงานของกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และหน่วยงานในสังกัดกระทรวงฯ ตามแนวคิด Smart Thailand Towards AEC ซึ่งแบ่งเป็น 3 โซน คือ โซนที่ 1 : 3 KEY STRATEGIC to SMART THAILAND เป็นนิทรรศการที่สะท้อนภาพการพัฒนาของประเทศตามทิศทางวิสัยทัศน์ Smart Thailand 2020 สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยเน้นการพัฒนาใน 3 KEY STRATEGIC คือ SMART NETWORK, SMART GOVERNMENT และ SMART BUSINESS

โซนที่ 2 : Reflection ; SMART Thailand 2020 เป็นการนำเสนอในรูปแบบนิทรรศการเสมือนที่ให้ผู้เข้าชมได้สัมผัสประสบการณ์ในโลกปี 2020 ที่เทคโนโลยีมีส่วนสำคัญต่อการพัฒนาคุณภาพชีวิต โดยการสัมผัสและทดลองด้วยประสบการณ์จริงกับโครงการและนวัตกรรมเทคโนโลยีต่างๆ ใน SMART Thailand Interactive Showcase ใน 4 ด้าน คือ HOME ซึ่งจะเชื่อมโยงประชาชนทั้งในเมืองและพื้นที่ห่างไกลทั่วประเทศเข้าหากันได้อย่างเท่าเทียมทุกที่ ทุกเวลาผ่านเครือข่ายการสื่อสาร LIFESTYLE เป็นการแสดงวิถีชิวีตทุกไลฟ์สไตล์บนเครือข่ายไร้สาย BUSINESS เป็นการนำเสนอนวัตกรรมในการดำเนินธุรกิจที่ช่วยเชื่อมโยงคู่ค้าจาก ทั่วโลกให้มาพบกันเพื่อขยายศักยภาพด้านการผลิตและการตลาด SOCIETY เป็นการแสดงระบบการเชื่อมโยงติดต่อราชการกับภาครัฐและบริการพื้นฐานของประเทศให้สามารถทำงานได้อย่างสะดวกรวดเร็วขึ้น นอกจากนั้น ยังได้สัมผัสนวัตกรรมล้ำอนาคตด้าน ICT ที่ช่วยขับเคลื่อนนโยบายภาครัฐ ในโครงการต่างๆ เช่น One Tablet PC per Child , เป็นต้น

และ โซนที่ 3 : DISASTER PREPAREDNESS ซึ่งแบ่งเป็น “SMART ICT” for Disaster Preparedness ที่นำเสนอการนำเทคโนโลยี ICT มาใช้เพิ่มศักยภาพในการเฝ้าระวังรวมทั้งแจ้งเตือนภัยพิบัติ และ “SMART ICT” for Disaster Management ที่จำลองห้องปฏิบัติการจริงของศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจในกระบวนการทำงาน และระบบการประมวลผลแจ้งเตือนภัย พร้อมกันนี้ยังมีการแสดงนิทรรศการ Disaster field Exhibition ที่จำลองบรรยากาศท่ามกลางพื้นที่พิบัติภัยซึ่งการสื่อสารหลักถูกผลกระทบจนใช้งานไม่ได้ พร้อมทั้งยังมีการจัดแสดงนิทรรศการของหน่วยงานภายใต้สังกัดกระทรวงฯ และหน่วยงานอื่นๆ เช่น TOT, CAT และ กสทช. ที่จะนำเสนอนวัตกรรมเทคโนโลยีในระบบ 3จี และ 4 จี รวมถึงความพร้อมในการเปิดประมูลใบอนุญาต 3จี และการนำเสนอนิทรรศการเกี่ยวกับ SMART GOVERNMENT เพื่อแสดงบทบาทของภาครัฐในการเปลี่ยนสู่การบริหารยุคใหม่ ของ สำนักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) สรอ. เป็นต้น

ส่วนที่ 2 ส่วนแสดงสินค้า เป็นการแสดงนวัตกรรมเทคโนโลยีจากภาคเอกชน อาทิ AIS, TRUE, , Thaicom, Samsung, ZTE, Huawei เป็นต้น โดย AIS ได้นำเสนอแนวคิดเรื่อง 3จี และอนาคต ที่สะท้อนให้เห็นถึงประโยชน์และความสำคัญของเทคโนโลยีบรอดแบนด์ซึ่งช่วยเสริมศักยภาพคุณภาพชีวิตคนไทย ส่วน ได้นำเสนอโมบายเทคโนโลยีที่สอดคล้องกับเทคโนโลยี 3จี และ 4จี ด้วยวิธีการที่เข้าใจได้ง่าย ภายใต้จุดโฟกัสเรื่อง Device รวมทั้ง Application ที่รองรับเครือข่ายใหม่ และ TRUE ที่นำเสนอภาพ TRUE Convergence ซึ่งหลอมรวมเทคโนโลยีที่ครอบคลุมการให้บริการทุกรูปแบบ และสามารถนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ในชีวิตประจำวัน ทั้ง Mobile, Fiber to The Home, Hi speed Internet รวมไปถึง 3จี และ 4จี

ส่วนที่ 3 คือ ส่วนการประชุมสัมมนา เป็นการเปิดเวทีเพื่อให้ความรู้และนวัตกรรมด้าน ICT ในเรื่อง Towards “THAILAND SMART ICT” โดยผู้ทรงคุณวุฒิ และผู้เชี่ยวชาญจากภาครัฐ รวมทั้งภาคเอกชน ที่มาร่วมบรรยายพิเศษ และเสวนาในหัวข้อต่างๆ ได้แก่ การบรรยายในหัวข้อ “Thailand e-Government Vision” และ “Profitable Prepaid Smart Phone” การเสวนาในเรื่อง “Smart Government Cloud Service สู่การปรับโฉมใหม่ระบบงานภาครัฐ” และ “e-Government for the People ถึงเวลาสำหรับประเทศไทย?” การสัมมนาย่อยในหัวข้อ “Smart Network for Smart Thailand” และ การอภิปรายในหัวข้อ “Beyond Smart Tourism”

และสุดท้ายเป็นส่วนของกิจกรรมต่าง ๆ ทั้งกิจกรรมพิธีเปิดงานอย่างเป็นทางการ กิจกรรมการแสดง และร่วมสนุกผสานสาระด้าน ICT จากผู้ร่วมออกงานที่เปิดโอกาสให้ผู้เข้าชมงานได้มีส่วนร่วมเพื่อชิงรางวัลมากมายตลอดช่วงเวลาจัดงาน

View :1946

ก.ไอซีที จับมือ ผู้ประกอบการโครงข่ายการสื่อสารขยายบริการ ICT Free Wi-Fi กว่า 200,000 จุดทั่วประเทศ

August 3rd, 2012 No comments

นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้แถลงความร่วมมือ “โครงการบริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงด้วยเทคโนโลยี Wi-Fi โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายเพื่อประโยชน์สาธารณะ” ว่า โครงการบริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงด้วยเทคโนโลยี Wi-Fi โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายเพื่อประโยชน์สาธารณะ หรือ นี้ เป็นอีกหนึ่งนโยบายสำคัญของรัฐบาล ที่ได้ให้คำมั่นสัญญากับประชาชนไว้ โดยเป็นส่วนหนึ่งภายใต้นโยบายหลัก SMART THAILAND ที่มุ่งหวังให้ประชาชนชาวไทยทั้งประเทศ มีโอกาสได้ใช้บริการอินเทอร์เน็ตกันอย่างทั่วถึงทุกคนทั่วประเทศ โดยไม่ต้องมีการเสียค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น มากกว่า 200,000 จุด ครอบคลุมพื้นที่ 77 จังหวัดทั่วประเทศ ซึ่งรัฐบาลหวังเป็นอย่างยิ่งว่า โครงการ จะสร้างโอกาสในการเข้าถึงเครือข่ายอินเทอร์เน็ตอย่างเท่าเทียม ลดความเลื่อมล้ำในการเข้าถึงบริการข้อมูลข่าวสาร ตลอดจนช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนชาวไทย ให้สามารถใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในการดำรงชีวิตประจำวัน และการประกอบอาชีพของตนเอง

ด้าน นาวาอากาศเอกอนุดิษฐ์ นาครทรรพ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวงไอซีที ได้เริ่มดำเนินโครงการ ICT Free Wi-Fi มาตั้งแต่ปลายปี 2554 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มอัตราการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตของประชากรไทย อันเป็นการส่งเสริมการเพิ่มศักยภาพของทรัพยากรบุคคลในประเทศ ยกระดับการศึกษาและส่งเสริมให้นักเรียนสามารถเรียนรู้ได้ทุกที่ด้วยตนเองแม้อยู่นอกห้องเรียน พร้อมกันนี้ยังเป็นการสนับสนุนนโยบายการท่องเที่ยวและแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญ ตลอดจนช่วยเพิ่มอันดับของประเทศไทยในการจัดอันดับความพร้อมด้าน ICT ทั้งในภูมิภาคและระดับโลก

ซึ่งกระทรวงไอซีที ได้ร่วมมือกับ คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กสทช. และกลุ่มบริษัทเครือข่ายผู้ให้บริการด้านการสื่อสารโทรคมนาคมทั้ง 6 ค่าย ได้แก่ บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) หรือ TOT บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) หรือ CAT Telecom บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ AIS บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TRUE และบริษัท ทริปเปิลที บรอดแบนด์ จำกัด (มหาชน) หรือ 3 BroadBand ขยายสัญญาณอินเทอร์เน็ตให้กระจายไปแล้วในหลายพื้นที่ของประเทศเป็นจำนวน กว่า 76,210 จุด โดยในปี 2555 ได้วางเป้าหมายที่จะดำเนินการในสถานที่ต่างๆ ทั้งมหาวิทยาลัยของรัฐ ศาลากลางจังหวัด ที่ว่าการอำเภอ ที่ทำการ อบต. โรงพยาบาลของรัฐ สถานีตำรวจ ที่ทำการไปรษณีย์ สถานที่สำคัญต่างๆ เช่น สถานที่ท่องเที่ยว ท่าอากาศยาน สถานีขนส่ง บนรถไฟฟ้า สถานีบริการน้ำมัน และศูนย์การเรียนรู้ ICT ชุมชน เป็นต้น ซึ่งรวมทั้งหมดแล้วภายในสิ้นปีนี้จะมีการขยายสัญญาณ ICT Free Wi-Fi ได้มากกว่า 200,000 จุดทั่วประเทศ

ส่วน พลอากาศเอก ธเรศ ปุณศรี ประธาน กสทช. กล่าวว่า กสทช. พร้อมสนับสนุนให้ประชาชนคนไทยสามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารอย่างสะดวกรวดเร็ว ซึ่งโครงการ ICT Free Wi-Fi เป็นโครงการหนึ่งของรัฐบาลที่จะช่วยผลักดันให้บรรลุเป้าหมายดังกล่าว ด้วยการให้บริการอินเทอร์เน็ตฟรีครอบคลุมทั่วประเทศ อันจะก่อให้เกิดประโยชน์อย่างกว้างขวางทั้งทางด้านเศรษฐกิจและสังคม และทำให้ประชาชนเลือกทำกิจกรรมต่างๆ ได้โดยสะดวก เพราะสามารถรับทราบข้อมูลข่าวสารได้อย่างรวดเร็ว อาทิ การรักษาพยาบาล การศึกษา การทำธุรกรรมทางการเงิน อีกทั้งยังช่วยลดค่าใช้จ่ายในด้านการเดินทางอีกด้วย

ขณะที่ผู้ให้บริการด้านการสื่อสารโทรคมนาคมทั้ง 6 ค่ายนั้น ต่างพร้อมให้ความร่วมมือกับรัฐบาล และกระทรวงไอซีที ในการดำเนินโครงการฯ นี้ เพื่อให้ประชาชนคนไทยในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ สามารถใช้เครือข่ายอินเทอร์เน็ตในการเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร รวมทั้งความรู้ต่างๆ อย่างทั่วถึง เท่าเทียม และทันท่วงที อันเป็นการเพิ่มโอกาสการเรียนรู้ให้แก่เยาวชน และประชาชนทุกกลุ่ม ตลอดจนเป็นการเพิ่มพลังและคุณค่าให้กับสังคมไทยอีกด้วย

View :1763

ดีแทคโชว์เทคโนโลยี 3G และ 4G ในไอซีทีเอ็กซ์โป มั่นใจผลักดันไทยพร้อมสู่เออีซี

August 3rd, 2012 No comments

นำผู้ชมเข้าสู่โลกอินโฟกราฟฟิคเข้าใจง่าย และเอ็กซ์คลูซีฟพิเศษกับ DEEZER ประสบการณ์ดนตรีไร้ขีดจำกัด

3 สิงหาคม 2555 – ดีแทคเริ่มแล้วจัดเต็มโชว์งานไอซีทีเอ็กซ์โป 2012 หวังใช้เป็นเวทีผลักดันความรู้ให้กับผู้เข้าชมเข้าใจโครงข่าย 3G และโชว์ความพร้อม 4G เตรียมผลักดันประเทศไทยสู่การรองรับการแข่งขันเศรษฐกิจเออีซี ชูภาพรวม 3 ไฮไลท์ 1. ลูกค้าคือศูนย์กลาง หรือ Customer Centricity จำลองรูปแบบศูนย์บริการแนวคิดใหม่ 2. New Network กับการใช้อินโฟกราฟฟิค (infographic) นำเสนอข้อมูลที่เข้าใจง่าย และ 3. การใช้ อินเตอร์แอคทีฟ โมชั่น (interactive motion) พรีเซนต์เรื่องสปีดการใช้งานเปรียบเทียบระหว่าง 3G และ 4G โดยดีแทคจัดแสดงระหว่างวันที่ 3-6 สิงหาคม 2555 ที่อาคารชาเลนเจอร์ 3 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี บนเนื้อที่ 168 ตรม. และยังมีเซอร์ไพรส์เด็ดชุดพิเศษเฉพาะในสไตล์ดีแทค

นายปกรณ์ พรรณเชษฐ์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายการตลาด บมจ. โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น (ดีแทค) กล่าวว่าดีแทคได้เข้าร่วมงานบางกอกอินเตอร์เนชั่นแนล ไอซีที เอ็กซ์โป 2012 ที่จัดขึ้นโดยกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร โดยในภาพรวมจะใช้งานนี้เป็นเวทีที่แสดงศักยภาพในฐานะผู้นำโทรคมนาคมว่ามีส่วนช่วยผลักดันประเทศไทยให้พร้อมเข้าสู่การแข่งขันประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ด้วยการเตรียมความพร้อมเทคโนโลยีโทรคมนาคม และผู้ชมในงานที่เข้ามาเยี่ยมชมจะได้ความรู้ความเข้าใจถึงการใช้งานโครงข่าย 3G และความพร้อมกับเทคโนโลยี 4G พร้อมทั้งสัญญาณใหม่ กับการนำเสนอที่ทันสมัยและเข้าใจง่ายด้วยอินโฟกราฟฟิค (infographic) และ อินเตอร์แอคทีฟ โมชั่น (interactive motion) ซึ่งจะพาผู้ชมเข้าไปสัมผัสกับโลกแห่งการสื่อสารได้ง่ายและเข้าใจมากขึ้น

“ในบูธดีแทคจะแบ่งเป็น 3 ส่วน คือ 1. ส่วนแสดงอุปกรณ์เครื่องมือสื่อสารต่างๆ เน้น ลูกค้าคือศูนย์กลาง หรือ Customer Centricity ที่จำลองศูนย์บริการรูปแบบใหม่รองรับความต้องการของลูกค้าในปัจจุบันที่เน้นการใช้งานสมาร์ทโฟนและอุปกรณ์สื่อสารท่องโลกอินเทอร์เน็ต โดยมีสมาร์ทโฟนชั้นนำต่างๆ มาจัดแสดงในส่วนนี้ และที่พลาดชมไม่ได้คือ DEEZER ที่จะพาผู้ชมไปพบกับประสบการณ์ดนตรีสุดเอ็กซ์คลูซีฟครั้งแรกในเอเซีย สามารถทดลองใช้งานได้ภายในบูธดีแทค และดาวน์โหลดมาใช้ฟรี 15 วัน เพื่อคนฟังเพลงในยุคออนไลน์สามารถสร้างสรรค์โลกดนตรีได้อย่างไร้ขีดจำกัด ทั้งค้นหาเพลง ฟังเพลง และแชร์ลิสต์เพลงกับเพื่อนได้ทั่วโลกกว่า 18 ล้านเพลง ผ่านสมาร์ทโฟนที่รองรับทั้ง iOS, Android, BB และ Website” นายปกรณ์กล่าวและว่า

“ส่วนที่ 2 New Network กับการใช้อินโฟกราฟฟิค (infographic) นำเสนอข้อมูลในโลกสื่อสารที่ยากต่อการเข้าใจมานำเสนอผ่านคาแรคเตอร์การ์ตูนน่ารักแบบอินโฟกราฟฟิค กับข้อมูลที่ล้วนมีความสำคัญและจำเป็นต้องสื่อสารให้กับผู้ใช้บริการต่างๆ ได้รับรู้เพื่อประโยชน์ของตนเองและการใช้งานต่างๆ ในยุค 3G และสำหรับในส่วนที่ 3 ที่ดีแทคได้นำเสนอในบูธ คือการใช้ อินเตอร์แอคทีฟ โมชั่น (interactive motion) พรีเซนต์เรื่องสปีดการใช้งานเปรียบเทียบระหว่าง 3G และ 4G และดีแทคยังพร้อมรองรับสำหรับเทคโนโลยี 4G จากการที่ลงทุนกว่า 40,000 ล้านบาทในการเปลี่ยนอุปกรณ์ใหม่ทั้งระบบ ซึ่งมากกว่า 10,000 เสาสัญญาณทั่วประเทศ โดยเป็นโครงข่ายเจ้าแรกในประเทศไทยที่นำเทคโนโลยีที่ดีที่สุดของโลก มาสู่ life network เครือข่ายเพื่อชีวิตที่ดีกว่า”

ดีแทคขอเชิญผู้สนใจเข้าชมบูธดีแทคบนเนื้อที่ 168 ตารางเมตรในงานบางกอกอินเตอร์เนชั่นแนล ไอซีที เอ็กซ์โป 2012 ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 3-6 สิงหาคม 2555 ที่อาคารชาเลนเจอร์ 3 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี และอย่าพลาดชมการแสดงเซอร์ไพรส์สไตล์ดีแทคในงานนี้อีกด้วย

View :1727
Categories: Technology Tags: ,

ฟูจิ ซีร็อกซ์ เปิดบริการ “Enterprise Print Services” บริหารงานพิมพ์ครบวงจรรายแรก ชูบริการแบบ end-to-end เจาะกลุ่มองค์กรขนาดใหญ่

August 2nd, 2012 No comments

สร้างจุดต่างเสนอบริการ “” หรือ EPS บริหารจัดการการพิมพ์ในสำนักงานแบบครบวงจรเป็นรายแรก เจาะตลาดธุรกิจขนาดใหญ่ โชว์ศักยภาพไร้คู่แข่งให้บริการในแบบ end-to-end การันตีช่วยลูกค้าประหยัดค่าใช้จ่ายสูงสุด 30% มั่นใจรายได้ปีนี้เข้าเป้า 60 ล้านบาทก่อนเติบโตอีก 2 เท่าในปีหน้า พร้อมยืนยันเป็นแนวโน้มองค์กรทั่วโลกใช้ ทั้งรักษ์สิ่งแวดล้อม

นายกิติกร นงค์สวัสดิ์ ผู้จัดการกลุ่มธุรกิจบริการและการจัดการระบบเอกสารภายในองค์กร บริษัท ฟูจิ ซีร็อกซ์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า จากแนวโน้มปัญหาการพิมพ์เอกสารภายในองค์กรธุรกิจที่มีอยู่อย่างมากมายในแต่ละหน่วยงาน ส่งผลให้เกิดต้นทุนค่าใช้จ่ายจำนวนมหาศาลในแต่ละเดือน ทำให้องค์กรต่างๆ พยายามที่จะหาวิธีการจัดการบริหารงานพิมพ์เอกสารที่มีประสิทธิภาพที่สุด เพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น ฟูจิ ซีร็อกซ์ ในฐานะที่เป็นผู้นำตลาดซึ่งเป็นผู้ผลิตอุปกรณ์และเป็นเจ้าของเทคโนโลยี ทำให้สามารถให้บริการด้านการพิมพ์ได้อย่างมีคุณภาพและครอบคลุมบริการได้ทุกประเภท ได้เสนอบริการ Enterprise Print Services หรือ EPS บริการบริหารจัดการการพิมพ์ในสำนักงานแบบครบวงจรเป็นรายแรกและรายเดียวในตลาดเวลานี้

บริการ EPS เป็นการบริหารจัดการอุปกรณ์การพิมพ์ในสำนักงาน ที่ครอบคลุมถึงการออกแบบระบบการพิมพ์ทั้งภายในและภายนอกองค์กร ตั้งแต่การพิมพ์งานภายในสำนักงาน (Office Printing), การพิมพ์งานปริมาณมาก ณ ศูนย์พิมพ์ (Production Printing), การจัดจ้างบริการพิมพ์จากภายนอกบริษัท (External source printing) และ การสั่งพิมพ์งานโดยพนักงานที่ทำงานนอกพื้นที่ (Mobile Printing) ซึ่งถือว่าบริการ EPS เป็นการบริหารจัดการแบบครบวงจร ในขณะที่คู่แข่งรายอื่นจะเป็นรูปแบบบริการ Managed Print Services หรือ MPS ซึ่งเป็นการจัดการภายในสำนักงาน (Office Printing) เท่านั้น

ทั้งนี้ บริการ EPS จะช่วยลูกค้าตั้งแต่การประเมินความต้องการและวิเคราะห์ต้นทุนโครงสร้างการพิมพ์ รวมทั้งออกแบบโครงสร้างการพิมพ์ที่มีประสิทธิภาพ โดยคำนึงถึงปัจจัยอื่นๆ ด้วย เช่น ผลกระทบด้านสภาพแวดล้อมในที่ทำงาน การรักษาความปลอดภัยของข้อมูลส่วนตัวและกฎระเบียบ ประสิทธิภาพของผู้ปฏิบัติงาน (เช่น ค่าเฉลี่ยที่เครื่องพิมพ์หยุดทำงาน, ระยะห่างเครื่องพิมพ์ที่ใกล้ที่สุด) การลดของเสียจากการพิมพ์ การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และพลังงาน หรือกฎระเบียบด้านการรักษาความปลอดภัยของข้อมูล เพื่อให้มีต้นทุนโดยรวมที่ต่ำที่สุด ปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานและความพึงพอใจของผู้ใช้งาน ทาง ฟูจิ ซีร็อกซ์ รับประกันว่า บริการ EPS จะประหยัดค่าใช้จ่ายลงสูงสุด 30% การันตีการลดต้นทุนนับตั้งแต่วันแรกที่เริ่มใช้บริการ

“ในเรื่องของค่าใช้จ่ายนั้น สำหรับบริการ EPS จะเรียกเก็บค่าใช้จ่ายกับลูกค้าแบบราคาต่อแผ่น จ่ายเฉพาะส่วนที่มีการใช้งานจริง ใช้เท่าไหร่ จ่ายเท่านั้น (Pay per Used) รับประกันว่าช่วยลดค่าใช้จ่ายและประหยัดได้อย่างชัดเจน” นายกิติกร กล่าว

สำหรับกลุ่มเป้าหมายหลักที่ฟูจิ ซีร็อกซ์ จะเน้นรุกเข้าทำตลาดในปีนี้ คือกลุ่มลูกค้าองค์กรขนาดใหญ่ที่มีการผลิตเอกสารปริมาณมาก เช่น การเงินการธนาคาร, ธุรกิจประกัน, หน่วยงานภาครัฐ, การศึกษา, โทรคมนาคม, อุตสาหกรรมยานยนต์, กลุ่มพลังงานและกลุ่มขนส่ง อีกทั้งได้ขยายบริการ EPS นี้ไปยังกลุ่มลูกค้า MPS เดิมของฟูจิ ซีร็อกซ์ รวมทั้งลูกค้ากลุ่มใหม่ที่มีศักยภาพอีกด้วย โดยตั้งเป้ารายได้รวมในปีแรกนี้ไว้ที่ประมาณ 50-60 ล้านบาท และคาดว่าจะเติบโตขึ้น 2 เท่าในปีต่อไป

นอกจากนี้ ทางด้านการให้บริการ ฟูจิ ซีร็อกซ์ มีการดูแลลูกค้าตลอดอายุสัญญาบริการ มีระบบ Pro-Active Monitoring แจ้งเตือนก่อนที่ปัญหาจะเกิดขึ้น พร้อมจัดทำรายงานการใช้งาน เพื่อการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าว่าจะได้รับบริการที่มีคุณภาพ ลดต้นทุนด้านการพิมพ์ และข้อมูลมีความปลอดภัยสูงสุด

“ขณะนี้ ฟูจิ ซีร็อกซ์ ทั่วภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ได้ทยอยเปิดตัวบริการ EPS นี้แล้ว คาดว่าอีกภายใน 2 ปี น่าจะมีองค์กรต่างๆ ใช้บริการนี้เพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมากอย่างแน่นอน เพราะบริการ EPS นี้เป็นการบริหารการจัดเอกสารแบบ end–to-end ที่ช่วยลูกค้าลดค่าใช้จ่าย โดยการใช้เทคโนโลยีที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และพร้อมที่จะปรับปรุงกระบวนการทำงานอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ธุรกิจของลูกค้าดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด” นายกิติกร กล่าวตอนท้าย

View :1395

“เอซุส” พอใจยอดขายครึ่งปีแรก ในประเทศไทย พร้อมปักธงในตลาดประเทศพม่า และ ลาว โดยลำดับ

August 2nd, 2012 No comments

บริษัท (ประเทศไทย) จำกัด โชว์ยอดขายครึ่งปีแรกผ่านฉลุย เติบโตเพิ่มขึ้นถึง 65% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา พอใจผู้บริโภคต่างจังหวัดเลือกใช้เอซุสมากขึ้น พร้อมลุยต่อเนื่องในครึ่งปีหลังด้วยการเดินสายโรดโชว์ อีกทั้งขานรับการเปิดประตูการค้าเสรี (AEC) รุกตลาดไอทีในประเทศพม่าและลาว

นายพรเทพ วัชรอำนวย กรรมการผู้จัดการ บริษัท อัสซุสเทค คอมพิวเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด


นายพรเทพ วัชรอำนวย กรรมการผู้จัดการ บริษัท อัสซุสเทค คอมพิวเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยถึงผลประกอบการในกลุ่มซิสเต็มส์ช่วงครึ่งปีแรกว่า “มีอัตราการเติบโตเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 65% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันกับปีก่อน (ตลาดโดยรวมติดลบ 1.4%) โดยผลิตภัณฑ์ที่ทำยอดขายได้สูงสุด ได้แก่ โน้ตบุ๊ก ในรุ่นที่มีราคาเฉลี่ยประมาณ 18,000 บาท (ตลาดโดยรวมอยู่ที่ 17,500 บาท) ส่วนหนึ่งเป็นต่อเนื่องมาจากนโยบายบริษัท ภายใต้สโลแกน “ASUS Customer Happiness 2.0” ที่ได้นำ 5 สุดยอดเทคโนโลยีมารวมไว้ในเครื่องเดียว ทั้งความสวยงาม (Beauty) พลังเสียง (Sound) สัมผัส (Touch) เทคโนโลยี IOIC (Instant On, Instant Connect) และด้านบริการผ่านระบบคลาวด์ (Cloud) ในราคาที่ผู้บริโภคพึงพอใจ ซึ่งนับว่าได้รับกระแสตอบรับที่ดีจากลูกค้า”

หากดูจากตัวเลขในครึ่งปีแรก ทำให้เรามั่นใจว่าตลาดครึ่งปีหลังจะยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะสัดส่วนตลาดในต่างจังหวัดที่ตัวเลขส่วนแบ่งทางการตลาดเพิ่มสูงขึ้นในทุกๆ ภาค ด้วยความเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมต่างๆ ที่แปลกใหม่ ทันสมัย การเพิ่มการโฆษณาและประชาสัมพันธ์สินค้าตามจังหวัดต่างๆ ให้ประชาชนได้รู้จักและเกิดความมั่นใจ รวมถึงการเพิ่มการอบรมและจำนวนพนักงานขายหน้าร้าน ทำให้มั่นใจว่าในครึ่งปีหลังยอดขายในต่างจังหวัดของเอซุสจะเพิ่มขึ้น และในเร็วๆ นี้ เอซุสจะแนะนำผลิตภัณฑ์ตัวล่าสุดที่เป็นมากกว่าสมาร์ทโฟนออกสู่สายตาผู้บริโภคชาวไทยอีกด้วย” นายพรเทพ กล่าว

ด้านตลาดภาครัฐและองค์กร เรายังคงทำงานอย่างต่อเนื่องแบบค่อยเป็นค่อยไป ทั้งนี้เอซุสมีผลิตภัณฑ์ที่มีคุณสมบัติตรงตามมาตรฐานของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ไว้ให้องค์กรหรือหน่วยงานด้านการศึกษาเช่นกัน

นายพรเทพ กล่าวอีกว่า “จากการดำเนินธุรกิจในประเทศไทยมากว่า 10 ปี เอซุสได้รับความไว้วางใจจากผู้บริโภคคนไทย ทำให้เอซุส สำนักงานใหญ่ ประเทศไต้หวัน ไว้วางใจให้ผมเข้าไปดูแลตลาดเอซุสในประเทศพม่าเมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา ดังนั้น ณ ปัจจุบัน เอซุสจึงเป็นที่รู้จักในบรรดาผู้ใช้ชาวพม่าระดับหนึ่ง สามารถพูดได้ว่าเรามีความพร้อมสำหรับการเปิดตลาดการค้าเสรีในอาเชียน (AEC) ที่กำลังจะมาถึงในปี 2558 นอกจากประเทศพม่าแล้ว ล่าสุดผมได้รับมอบหมายให้เข้าไปดูแลตลาดของประเทศลาวอีกด้วย ซึ่งในเดือนหน้าจะเริ่มเข้าไปหาข้อมูล เพื่อเตรียมวางลู่ทางตลาดในอนาคต”
“ในอีก 2-3 ปีข้างหน้า การสื่อสารจะเป็นเรื่องใกล้ตัวของทุกคนในภูมิภาคแห่งนี้ ผลิตภัณฑ์ไอทีจะกลายเป็นส่วนหนี่งในการดำรงชีวิต แบบขาดไม่ได้ พร้อมเชื่อมโยงธุรกิจการค้า การลงทุน ตลอดจนการดำรงชีวิตของผู้คนในแต่ละวัน ทำให้คนรู้จักและใกล้ชิดกันมากขึ้น ซึ่งเรื่องนี้อาจจะเป็นข้อได้เปรียบหรือเสียเปรียบก็ขึ้นอยู่กับการเข้าใจนำเทคโนโลยีมาปรับใช้ในแต่ละองค์กร” นายพรเทพ กล่าวทิ้งท้าย ั

View :1221

2 นักวิจัยด้านการแพทย์ มช.-มหิดล คว้ารางวัลนักวิทย์ฯดีเด่นประจำปี 55

August 2nd, 2012 No comments

มูลนิธิส่งเสริมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในพระบรมราชูปถัมภ์ ประกาศผลรางวัลนักวิทยาศาสตร์ดีเด่นประจำปี 2555 “ศ.นพ.ดร.นิพนธ์ ฉัตรทิพากร” ประธานกรรมการบริหารศูนย์วิจัยและฝึกอบรมสาขาโรคทางไฟฟ้าของหัวใจ คณะแพทยศาสตร์ ม.เชียงใหม่ และ “ศ.ดร.ปิยะรัตน์ โกวิทตรพงศ์” หัวหน้าศูนย์วิจัยประสาทวิทยาศาสตร์ สถาบันชีววิทยาศาสตร์โมเลกุล ม.มหิดล หลังทั้งคู่ใช้เวลากว่า 20 ปี ผลิตผลงานวิจัยซึ่งเป็นที่ยอมรับทั้งในและต่างประเทศ

ศาสตราจารย์ ดร.อมเรศ ภูมิรัตน ประธานคณะกรรมการรางวัลนักวิทยาศาสตร์ดีเด่น มูลนิธิส่งเสริมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในพระบรมราชูปถัมภ์ เปิดเผยว่า ปีนี้ถือเป็นปีที่ 30 แล้วที่มูลนิธิฯ จัดให้มีการมอบรางวัลนี้ขึ้น ซึ่งการมอบรางวัลดังกล่าว นอกจากจะเป็นการสดุดีเกียรติคุณบุคคลผู้มีผลงานด้านวิทยาศาสตร์ที่มีคุณธรรมจริยธรรมสูงอันจะเป็นแบบอย่างที่ดีแล้ว ยังก่อให้เกิดศรัทธาและช่วยชี้นำเยาวชนที่มีความสามารถให้มุ่งศึกษาวิจัยด้านวิทยาศาสตร์พื้นฐาน อันเป็นรากฐานของวิทยาศาสตร์ประยุกต์และเทคโนโลยีทั้งหลาย เพราะมูลนิธิฯเชื่อว่า สังคมที่ตระหนักถึงความสำคัญของวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี และมุ่งยกย่องเชิดชูบุคคลที่มีผลงานดีเด่น กอปรด้วยคุณธรรม จะสามารถยกระดับคุณภาพชีวิตของคนในสังคม และช่วยพัฒนาประเทศในด้านต่างๆอย่างต่อเนื่อง

“รางวัลที่มูลนิธิฯ จัดขึ้นนี้เพื่อเป็นแบบอย่างให้นักวิทยาศาสตร์รุ่นหลังหรือวงการวิทยาศาสตร์ของไทยเห็นว่าคนที่ทำงานเก่งคนที่มีความเชี่ยวชาญเป็นคนดีควรได้รับการยกย่องเพื่อแบบอย่างให้คนอื่นทำตาม ผมหวังว่ารางวัลนี้จะเป็นตัวที่ทำให้คนไทยเห็นความสำคัญของงานวิจัย ซึ่งในรอบ 30 ปีที่ผ่านมาที่เราได้คัดเลือกคนเก่ง คนดี ที่มีผลงานตีพิมพ์ในวารสารวิชาการต่างชาติทั่วโลก ผมคิดว่ารางวัลนี้เป็นการกระตุ้นวงการวิทยาศาสตร์ในสังคมไทยให้เห็นความสำคัญของงานวิจัยของนักวิชาการไทย ที่ได้รับการยอมรับจากนานาชาติ มีผลงานการตีพิมพ์เผยแพร่ทั่วโลกเป็นการบอกกล่าวให้สังคมไทยเห็นความสำคัญของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมากขึ้น รวมทั้งเป็นการผลักดันกลุ่มนักวิจัยและบุคลากรให้มีกำลังใจและสามารถเอางานวิจัยเหล่านั้นไปขยายผล ให้คนทั่วไปในสังคมไทยใช้ประโยชน์จากนวัตกรรมเหล่านั้นจากฝีมือคนไทยด้วยกัน”

ทั้งนี้ กระบวนการสรรหานักวิทยาศาสตร์ดีเด่นนั้น จะใช้วิธีการเสนอชื่อเข้ามา ซึ่งในแต่ละปีมีการเสนอชื่อผู้เข้ารับรางวัลเป็นจำนวนมาก โดยเกณฑ์ที่คณะกรรมการใช้พิจารณาคือ ต้องเป็นผู้ที่มีผลงานวิชาการตีพิมพ์ในวารสารนานาชาติจำนวนมาก และผลงานวิชาการดังกล่าวมีผู้อ้างอิงถึงเป็นจำนวนมากเช่นกัน

ด้วยเหตุผลดังกล่าวข้างต้น คณะกรรมการรางวัลนักวิทยาศาสตร์ดีเด่นมีมติเป็นเอกฉันท์ให้นักวิจัย 2 ท่าน ที่ได้รับรางวัล “นักวิทยาศาสตร์ดีเด่น ประจำปี 2555”ได้แก่ ศาสตราจารย์นายแพทย์ ดร.นิพนธ์ ฉัตรทิพากร ประธานกรรมการบริหารศูนย์วิจัยและฝึกอบรมสาขาโรคทางไฟฟ้าของหัวใจ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ซึ่งวิจัยเกี่ยวกับโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะชนิดร้ายแรงทำให้คนเสียชีวิตได้ในเวลาเพียงไม่กี่นาทีหรือที่เรียกว่า Ventricular Fibrillation ซึ่งพบได้บ่อยในภาวะที่กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดไปเลี้ยงเนื่องจากหลอดเลือดหัวใจอุดตัน หรือที่รู้จักกันดีในชื่อของ Heart Attack และ ศาสตราจารย์ ดร.ปิยะรัตน์ โกวิทตรพงศ์ หัวหน้าศูนย์วิจัยประสาทวิทยาศาสตร์ สถาบันชีววิทยาศาสตร์โมเลกุล มหาวิทยาลัยมหิดล ซึ่งวิจัยเกี่ยวกับฮอร์โมนเมลาโทนิน (Melatonin) ที่มีผลต่อการฟื้นฟูเซลล์สมอง โดยพบว่าสามารถสร้างเซลล์สมองให้ฟื้นคืนชีพได้ พร้อมสรรพคุณรักษาโรคทางระบบประสาท เช่น อัลไซเมอร์ พาร์กินสัน และโรคสมองเสื่อมที่พบในผู้สูงอายุและผู้ติดยาเสพติด ซึ่งนำไปสู่ข้อมูลในการพัฒนายาเพื่อรักษาโรคทางระบบประสาทและสมอง

ขณะที่รางวัลนักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่ ซึ่งทางมูลนิธิฯก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2534 นั้น ศาสตราจารย์ ดร.อมเรศ กล่าวต่อว่า แม้รางวัลนี้เพิ่งก่อตั้งขึ้นมา แต่ตนเชื่อว่าเป็นอีกหนึ่งสีสันของงานที่แสดงให้เห็นว่า วงการวิทยาศาสตร์ไทยยังมีกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่สืบทอดเจตนารมณ์การทำงานด้านวิทยาศาสตร์เพื่อการพัฒนาประเทศ โดยวัตถุประสงค์ของการให้รางวัลนี้ เพื่อให้กำลังใจนักวิจัยรุ่นใหม่อายุไม่เกิน 35 ปี และชี้ให้เห็นว่านักวิทยาศาสตร์เหล่านี้มีศักยภาพ รวมถึงสิ่งที่พวกเขาทำมานั้นดีแล้วและควรทำดีต่อไปหรือทำให้ดีมากขึ้น ซึ่งรางวัลนักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่ประจำปี 2555 ได้แก่ ดร.สิทธิโชค ตั้งภัสสรเรือง นักวิจัยศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.), ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. สัมฤทธิ์ วัชรสินธุ์ อาจารย์ประจำภาควิชาเคมี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ ดร.วรวัฒน์ มีวาสนา อาจารย์ประจำสาขาวิชาฟิสิกส์ สำนักวิชาวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี

“การมอบรางวัลทั้ง 2 รางวัลนี้ ส่วนหนึ่งผมเชื่อว่าเป็นการช่วยกระตุ้นงานวิจัยที่เราเชิดชูสนับสนุนให้ไปต่อได้ในระดับหนึ่ง ขณะเดียวกันการนำผลงานวิจัยมาใช้ประโยชน์ซึ่งมีขั้นตอนที่ต้องเติมเต็มอีกมากมาย ผมคิดว่าประเทศไทยยังขาดในส่วนนี้ โดยเฉพาะในกระบวนการที่เรียกว่า ต่อยอด เพราะงานวิจัยมันมากกว่าการต่อยอดแต่รวมไปถึงการผลิต หรือเรียกรวมๆว่า การถ่ายทอดเทคโนโลยี นั่นคือการถ่ายทอดงานวิจัยไปสู่เชิงพาณิชย์ ตรงนี้บ้านเราขาด เนื่องจากการเชื่อมโยงงานวิจัยระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน ซึ่งเป็นผู้ผลิตมีน้อยมาก ฉะนั้นถ้าจะกระตุ้นงานวิจัยเหล่านี้ให้เดินต่อไปได้ ภาครัฐต้องสนับสนุนเอาจริงเอาจังร่วมมือกับภาคเอกชนในการนำผลงานวิจัยไปใช้ ซึ่งภาครัฐจะทำเองคนเดียวไม่ได้ เพราะเป็นเรื่องของการค้า เป็นเรื่องของการตลาดต้องมีการลงทุนสูง ในส่วนนี้หากมีเอกชนเข้ามาร่วมด้วยจะทำให้งานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ของไทยได้รับการถ่ายทอดและขยายผลในเชิงพาณิชย์ได้มากยิ่งขึ้น”

อย่างไรก็ตาม ศาสตราจารย์ ดร.อมเรศ ยืนยันว่า การเชิดชูสนับสนุนคนเก่งคนดีในสังคมไทยสามารถทำได้ทุกสายอาชีพ โดยไม่จำเป็นว่าต้องเป็นสายวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเท่านั้น เพราะมูลนิธิฯเชื่อว่า การที่สังคมไทยตระหนักถึงความสำคัญของนักวิจัยที่เก่ง เป็นคนดี และมีคุณธรรม จะสามารถยกระดับคุณภาพชีวิตของคนในสังคม และช่วยพัฒนาประเทศให้เจริญยิ่งๆขึ้นไป จากผลงานวิจัยที่ก่อให้เกิดองค์ความรู้ใหม่ๆ ผนวกกับความร่วมมือจากทุกฝ่ายทั้งภาครัฐและเอกชน อันจะเป็นตัวผลักดันและขับเคลื่อนงานวิจัยเหล่านี้ไปสู่การพัฒนาประเทศในทุกๆด้านต่อไป

View :1216

แอร์เอเชีย แจแปน ให้บริการเที่ยวบินแรกสู่ ซัปโปโร และ ฟุกุโอกะ ออกโปรโมชั่นพิเศษ เริ่มต้นเพียง 100 เยนต่อเที่ยว

August 2nd, 2012 No comments

สายการบินราคาประหยัดรายล่าสุดของญี่ปุ่น ให้บริการจากฐานปฏิบัติการบินสนามบินนานาชาตินาริตะ เริ่มให้บริการเที่ยวบินแรก ซึ่งเป็นเส้นทางภายในประเทศ สู่ เมืองฟุกุโอกะและเมืองซัปโปโร เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2555

เที่ยวบินที่ JW8541 สู่เมืองฟุกุโอกะ ออกเดินทางเมื่อเวลา 07.00 น. โดยมีผู้โดยสารราว 80% ขณะที่เที่ยวบินที่ JW8521 เดินทางสู่เมืองซัปโปโร มีผู้โดยสารราว 88%

คาซุยูกิ อิวากาตะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารแอร์เอเชีย แจแปน กล่าวในโอกาสเปิดเที่ยวบินปฐมฤกษ์ว่า “แอร์เอเชียและเอเอ็นเอ ได้ร่วมเป็นพันธมิตรเพียง 1 ปี และได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี ผมรู้สึกยินดีและตื้นตันที่ได้เป็นเที่ยวบินแรกของแอร์เอเชีย แจแปน เริ่มให้บริการสู่เมืองฟุกุโอกะและซัปโปโรในวันนี้”
“ผมอยากจะขอบคุณทุกๆ คนจากใจจริง ที่ตอนสนับสนุนและช่วยเหลือเรามาโดยตลอด เราหวังว่าทุกคนจะอยู่เคียงข้างและคอยสนับสนุนเราต่อไป และเราจะพยายามสุดความสามารถเพื่อให้แน่ใจว่าเราได้ให้บริการที่มีคุณภาพที่สุดในราคาที่ทุกคนเอื้อมถึง”

ด้านโทนี่ เฟอร์นานเดส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มแอร์เอเชีย กล่าวว่า “ความฝันของพวกเราชาวแอร์เอเชียเป็นจริงขึ้นมาอีกครั้ง ที่ผ่านมาผมมักจะฝันถึงสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เสมอ แต่การได้เห็นเที่ยวบินปฐมฤกษ์ของแอร์เอเชียแจแปนเริ่มให้บริการในวันนี้ ทำให้ผมแทบยิ้มไม่หยุด เวลาผ่านไปเพียง 1 ปี หลังจากเราประกาศก่อตั้งแอร์เอเชีย แจแปน ขณะนี้เรามีเครื่องบิน 2 ลำ พนักงานในญี่ปุ่น 243 คน และให้บริการ 3 เส้นทางบินในประเทศ ขอแสดงความยินดีกับคาซุยูกิและทีมแอร์เอเชีย แจแปนทุกคนที่ช่วยกันทำให้ทุกอย่างเป็นจริงขึ้นมา”

เนื่องในโอกาสเปิดให้บริการเที่ยวบินปฐมฤกษ์ในครั้งนี้ แอร์เอเชีย แจแปนจึงได้ออกแคมเปญพิเศษ บินราคาประหยัด เริ่มต้นเพียง 100 เยนต่อเที่ยว บินจากโตเกียว สู่ และโอกินาวะ สามารถสำรองที่นั่งได้ตั้งแต่เวลา 00.01 น. วันที่ 2 สิงหาคม 2555 – เวลา 23.59 น. วันที่ 5 สิงหาคม 2555 เพื่อเดินทางตั้งแต่วันที่ 28 สิงหาคม – 27 ตุลาคม 2555 สำรองที่นั่งโปรโมชั่นทาง www.airasia.com เท่านั้น

ติดตามโปรโมชั่นและข่าวสารของแอร์เอเชียได้ทาง Facebook (http://www.facebook.com/AirAsiaThailand) and Twitter (http://www.twitter.com/AirAsiaThailand)

View :1416

เอไอเอส เปิดตัวแอพพลิเคชั่น “แผนที่นำทาง” ที่สามารถเชื่อมต่อโซเชียล เน็ตเวิร์ก ตามรอยเช็คอินเพื่อนในเฟซบุ๊คได้

August 2nd, 2012 No comments

อไอเอสเปิดมิติใหม่ของแอพพลิเคชั่นด้านแผนที่นำทาง จับมือ HOODDUDE พัฒนา “AIS Guide & Go” แผนที่นำทางที่ดีที่สุดบนสมาร์ทโฟน ภายใต้แนวคิด Social Navigator ครั้งแรกของโลก ที่ผู้ใช้สามารถเชื่อมต่อโซเชียลเน็ตเวิร์ก เพื่อใช้นำทางไปยังจุดเช็คอินบนเฟซบุ๊คได้เลย! พร้อมจัดเต็มฟังก์ชั่นใช้งานครบเครื่อง อาทิ แสดงตำแหน่งร้านค้าที่มีสิทธิพิเศษ, ส่งแชร์พิกัดที่อยู่ให้เพื่อนได้, รายงานจราจรสด ยกเป็นแอพฯ แผนที่นำทางสำหรับคนรุ่นใหม่ พร้อมใช้บนมือถือ เสมือนพกพาอุปกรณ์นำทางติดตัว ใช้งานง่าย ไม่ยุ่งยาก ช่วยเติมเต็มทุกไลฟ์สไตล์ การันตีข้อมูลแผนที่จาก NOSTRA Map ที่ละเอียดและแม่นยำที่สุดในประเทศไทย มั่นใจใช้ทดแทนอุปกรณ์นำทางบนรถได้ 100% พร้อมเปิดให้ลูกค้าเอไอเอสดาวน์โหลดไปทดลองใช้ได้ฟรี! ก่อนใคร ในงาน ICT Expo

คุณปรัธนา ลีลพนัง รักษาการ ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการอาวุโส ส่วนงานผลิตภัณฑ์และบริการดิจิตอล เอไอเอส เปิดเผยว่า “ด้วยพฤติกรรมการใช้งานโซเชียล เน็ตเวิร์ก ของคนไทยในยุคปัจจุบัน ที่นิยมเช็คอินตามสถานที่ต่างๆ เพื่อบอกให้ผู้อื่นรู้ว่าเราทำอะไร อยู่ที่ไหนนั้น แสดงให้เห็นว่าผู้ใช้มือถือยุคนี้มีความคุ้นเคยกับการใช้งานเทคโนโลยีอย่าง Location Base มากขึ้น จนกลายเป็นเรื่องที่ใกล้ตัว และอยู่ในไลฟ์สไตล์ทุกๆ วัน รวมไปถึงเทรนด์ของการใช้งานมือถือเป็นแผนที่ (Map) และระบบนำทาง (Navigator) ที่กำลังได้รับการยอมรับอย่างแพร่หลาย

เอไอเอสเองจึงเห็นโอกาสในการพัฒนา Innovative Service ใหม่ๆ เพื่อออกมาตอบสนองการใช้งานด้านนี้ให้กับผู้ใช้บริการ ล่าสุด เราจึงได้ร่วมมือกับพาร์ทเนอร์ HOODDUDE ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบนำทางชั้นนำของไทย เปิดให้บริการใหม่ “AIS Guide & Go” แอพพลิชั่นแผนที่นำทางอัจฉริยะบนมือถือ ด้วยข้อมูลแผนที่ประเทศไทยจาก NOSTRA Map ที่ละเอียด ถูกต้อง ครบถ้วน และทันสมัยที่สุด พร้อมตำแหน่งสถานที่สำคัญให้ค้นหากว่า 830,000 ตำแหน่ง ลงลึกในระดับถนน ซอย แบ่งแยกหมวดหมู่ชัดเจน ทั้งร้านอาหาร แหล่งช้อปปิ้ง ออฟฟิศ หมู่บ้าน วัด โรงเรียน ธนาคาร จนถึงตู้ ATM ฯลฯ ด้วยมาตรฐานเทียบเท่า GPS แต่เหนือชั้นกว่าด้วยฟังก์ชั่นการใช้งานที่แสนง่าย พกพาสะดวก เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ยุคโซเชียล เน็ตเวิร์กเป็นอย่างยิ่ง ด้วยแนวคิดใหม่ “Social Navigator” เป็นครั้งแรกของโลกที่ผู้ใช้ แอพฯ สามารถเชื่อมต่อเข้าสู่โซเชียล เน็ตเวิร์ก เพื่อใช้นำทางไปยังจุดเช็คอินบนเฟซบุ๊คได้เลย โดยมีให้เลือกใช้ทั้ง 2 ภาษา ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ จึงเป็นประโยชน์อย่างมาก ทั้งสำหรับคนไทยและชาวต่างชาติในการเดินทาง เสมือนพกอุปกรณ์นำทางไว้ติดตัวตลอดเวลา

นอกจากนี้ ในแอพฯ AIS Guide & Go ยังมีฟังก์ชั่นใช้งานที่หลากหลาย ประกอบด้วย
o AIS Privilege แสดงตำแหน่งร้านค้าที่ร่วมสิทธิพิเศษกับเอไอเอส
o ส่ง SMS, MMS บอก Location ตำแหน่งพิกัดที่เราอยู่ ไปให้เพื่อนได้
o นำทางไปยังสถานที่ที่อยู่ใกล้ตัว กรณีต้องการความช่วยเหลือฉุกเฉิน อาทิ ปั๊มน้ำมัน, โรงพยาบาล, สถานีตำรวจ ฯลฯ รวมถึงอู่ซ่อมรถ ที่จะทยอยเพิ่มเข้ามาในอนาคต
o รายงานจราจรในกรุงเทพฯ แบบ Real-time
โดยเบื้องต้น แอพฯ AIS Guide & Go เปิดให้รองรับบนระบบแอนดรอยด์ เวอร์ชั่น 2.2 ขึ้นไป และจะพัฒนาต่อเนื่องบนระบบ iOS ต่อไป”

พิเศษสุด! สำหรับลูกค้าเอไอเอสสามารถดาวน์โหลดแอพฯ ไปทดลองใช้ได้ฟรี! ตั้งแต่วันที่ 3 – 31 สิงหาคม 2555 ด้วยวิธีง่ายๆ เพียงดาวน์โหลดแอพฯ AIS Guide&Go มาเก็บไว้ที่เครื่อง โดยกด *900 แล้วโทรออก จากนั้น เข้าไปดาวน์โหลดแผนที่ลงบนมือถือได้ที่เว็บไซต์เอไอเอสที่ www.ais.co.th/appstore/guideandgo และสำหรับสาวกไฮเทค เอไอเอสพร้อมเปิดให้ดาวน์โหลดแอพฯ นี้ได้ที่บูธ AIS ในงาน ระหว่างวันที่ 3 – 6 สิงหาคม 2555 ที่อาคารชาเลนเจอร์ 3 อิมแพ็ค เมืองทองธานี ก่อนจะเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการ ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2555 เป็นต้นไป โดยมีอัตราค่าบริการ 499 บาท/ปี
“เรามั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่าแอพฯ นี้ จะเป็นประโยชน์สำหรับผู้ใช้บริการทุกกลุ่ม อีกทั้งยังเปลี่ยนมุมมองใหม่ต่อผู้ใช้ต่อแอพฯ ประเภทนี้ ที่เดิมคนอาจจะเคยรู้สึกว่าใช้งานยาก และไม่เคยมีโอกาสจะได้ใช้ แต่แอพฯ AIS Guide & Go จะทำให้คนรู้สึกสนุกกับการใช้งาน เพราะใช้ง่าย และใช้ในชีวิตประจำวันได้ทุกๆ วัน” นายปรัธนากล่าวสรุป

View :1514