Archive

Archive for the ‘Telecom’ Category

ดีแทคเผยโฉมศูนย์บริการ ดีแทค เซ็นเตอร์ ครบสาขาที่ 100 ชูความโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ดีแทค พร้อมรองรับลูกค้าในการใช้เครือข่าย TriNet

July 24th, 2013 No comments

Resize of XU5C7683

23 กรกฎาคม 2556 ดีแทครุกเดินหน้า เปิดศูนย์บริการดีแทค เซ็นเตอร์ โฉมใหม่ ที่สดใสไฉไลกว่าเดิม ครบเป็นสาขาที่ 100 บริเวณชั้น 4 โซน C มาบุญครองเซ็นเตอร์ โดดเด่นสะดุดตาด้วยการออกแบบตกแต่งที่สะท้อนความเป็นเอกลักษณ์จากแบรนด์ ที่จะช่วยดึงดูดและสร้างความเชื่อมั่นให้ลูกค้าเข้ามาใช้บริการมากขึ้น และรองรับลูกค้าที่ใช้เครือข่าย TriNet 3 G ที่ดีแทคเริ่มทะยอยให้ลูกค้าเข้ามาใช้บริการได้แล้ว พร้อมประกาศเชิญชวนนักธุรกิจที่สนใจ มาร่วมเป็นพันธมิตรกับดีแทค หรือ TriNet partner เพื่อขยายช่องทางการจัดจำหน่ายเพิ่มเติม ให้ลูกค้าได้รับความสะดวก โดยตั้งเป้าที่จะขยายให้ครบ 300 แห่ง ทั่วประเทศ ในโอกาสฉลองศูนย์บริการโฉมใหม่ครั้งนี้ ดีแทคยังได้มอบของขวัญขอบคุณลูกค้า ที่มาใช้บริการทุกคน ตั้งแต่วันนี้ ถึง 31 กรกฎาคม นี้

นายชัยยศ จิรบวรกุล รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มลูกค้า บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือดีแทค กล่าวว่า “ดีแทคยังคงมุ่งมั่น ให้ความสำคัญกับลูกค้า ภายใต้ปรัชญาการทำงานโดยมองลูกค้าเป็นศูนย์กลาง (Customer Centricity) เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้ายุค 3G ที่ต้องการใช้งานโมบายล์อินเตอร์เน็ต และเพื่อสนับสนุนวิสัยทัศน์ Internet for All ที่ดีแทคต้องการให้คนไทยทุกคนทั่วประเทศสามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้มากที่สุดภายในอีก 3 ปีข้างหน้า และสิ่งที่ดีแทคได้ลงมือทำแล้วอย่างจริงจัง คือการพัฒนาช่องทางการให้บริการลูกค้าด้วยงบลงทุนกว่า 800 ล้านบาทภายใน 2 ปี ในการปรับโฉมศูนย์บริการดีแทค และขยายช่องทางการจัดจำหน่ายเพิ่มเติม ด้วยการหาผู้ร่วมธุรกิจแต่งตั้ง TriNet partner ซึ่งเป็นการยกระดับศักยภาพการขายและให้บริการของลูกตู้ขึ้นมาเป็นพันธมิตร ที่มีความพร้อมในการขายสินค้าและบริการให้คำปรึกษาแนะนำการใช้งาน สมาร์ทโฟนและแท๊บเล็ต ให้ครบกว่า 300 สาขา เพื่อตอกย้ำถึงความตั้งใจจริงที่ต้องการให้ลูกค้าได้สัมผัสประสบการณ์ที่ดีและเกิดความประทับใจกับดีแทค มีการบอกต่อ และแนะนำเพื่อนให้เข้ามาเป็นลูกค้าดีแทคในที่สุด

ดีแทคได้เริ่มต้นปรับโฉมหน้าของศูนย์บริการดีแทคทั้งหมดทั่วประเทศ ทั้ง dtac Hall, dtac Center และ dtac Express มาตั้งแต่เมื่อกลางปี 2555 ด้วยการตกแต่งภายในร้าน เป็นแนวบูติค ที่สะท้อนความเป็นเอกลักษณ์จากแบรนด์ดีแทค ทำให้ลูกค้าจดจำและมั่นใจในการเข้ามารับบริการจากศูนย์ที่ได้คุณภาพมาตรฐาน มีการเลือกใช้วัสดุที่ช่วยสร้างบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความสุข ใช้สื่อดิจิตอลเพื่อเพิ่มสีสันและความสนุก ลูกค้าเข้ามาใช้บริการได้ทุกรูปแบบทั้งการขายและบริการแบบครบวงจร (Sales & Service Integration) ที่จัดเสนอให้ตรงใจลูกค้าแต่ละกลุ่ม (Segmentation) รวมถึงการเลือกซื้อมือถือและอุปกรณ์ ทั้งหมด

ปัจจุบันดีแทคได้ทะยอยเปิดศูนย์บริการในรูปโฉมใหม่ จนกระทั่งครบสาขาที่ 100 ที่มาบุญครองเซ็นเตอร์ ซึ่งเป็นสาขาใหญ่ใจกลางเมือง แหล่งรวมอุปกรณ์มือถือที่ครบครันมากที่สุด มีลูกค้านักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่มาช้อปปิ้ง และหาซื้อซิมการ์ดไว้ใช้งานในระหว่างที่เที่ยวอยู่ในเมืองไทย ให้บริการโดยพนักงานที่พูดภาษาอังกฤษได้อย่างคล่องแคล่ว และยินดีให้บริการลูกค้าทุกคน นอกเหนือจากงานบริการบิลลิ่ง รับชำระ เปลี่ยนแปลงข้อมูล เปลี่ยนซิม ดีแทคยังได้เน้นใหคำปรึกษาแนะนำเรื่องมือถือ (Device & Services) นำเสนอสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่พร้อมโปรโมชั่นราคาและแพคเกจใช้งานบนผนังร้านที่ตกแต่งสะท้อนธีมของลูกค้ายุคใหม่ มุม Demo ทดลองใช้งานที่มีมากขึ้น มุม DIY (Do It Yourself) ให้ลูกค้าได้เปรียบเทียบข้อมูลราคาเครื่อง แพคเกจที่เหมาะกับการใช้งานของตนเอง ศูนย์บริการดีแทครูปแบบใหม่ นอกจากความเป็น One Stop Service ที่เดียวได้ครบทั้งการขายและการบริการแล้ว ดีแทคยังเน้นสร้างความรู้สึกและความผูกพันที่ดีระหว่างดีแทคกับลูกค้าทุกคน

View :2251

ดีแทคปรับโฉมแบรนด์ “แฮปปี้” ให้ลูกค้าทุกคนสนุกกับอินเทอร์เน็ตฟรีทุกวัน รับอนาคตตลาดพรีเพด สู่โมบายอินเทอร์เน็ตเต็มรูปแบบ

July 22nd, 2013 No comments

logo happy Refresh

17 กรกฎาคม 2556 – ดีแทคเผยโฉมแบรนด์ “” มาดใหม่ เทรนดี้ กระฉับกระเฉงยิ่งขึ้น รับแนวโน้มพฤติกรรมผู้ใช้ตลาดพรีเพดเปลี่ยนมาใช้ดาต้า และโซเชียลเน็ตเวิร์คมากขึ้น พร้อมให้ลูกค้าทุกคนสนุกกับการใช้อินเทอร์เน็ตฟรีทุกวันสอดคล้องวิสัยทัศน์ใหม่ Internet for All เพื่อมุ่งสู่ธุรกิจโมบายอินเทอร์เน็ตเต็มรูปแบบ และให้ผู้ใช้แฮปปี้ได้สัมผัสประสบการณ์สื่อสารที่หลากหลายยิ่งขึ้นบน dtac Trinet 3 โครงข่ายอัจฉริยะหนึ่งเดียวของไทย ตั้งเป้าขยายฐานลูกค้าพรีเพดที่ใช้โมบายอินเทอร์เน็ตเพิ่ม 100% เป็น 14 ล้านรายภายใน 1 ปี

นายปกรณ์ พรรณเชษฐ์ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายการตลาด บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ กล่าวว่า “แฮปปี้” ครั้งนี้เป็นการปรับโฉมแบรนด์ให้ทันสมัย และสอดคล้องกับกลุ่มลูกค้าในวันนี้ บุคลิกใหม่ของแบรนด์จะอินเทรนด์ คล่องตัว กระฉับกระเฉงมากขึ้น เพื่อให้รับกับการเปลี่ยนแปลงของตลาดผู้บริโภคและความต้องการของลูกค้าหลากหลายยิ่งขึ้น ขณะเดียวกันก็ยังไม่ทิ้งภาพของความใจดี สนุกสนาน เป็นกันเอง เข้าถึงง่ายแบบเดิม ๆ ที่ทุกคนคุ้นเคย

“แฮปปี้ใหม่จึงปรับเปลี่ยนรูปแบบจากบริการพรีเพดที่มุ่งเน้นการเข้าถึงลูกค้าจำนวนมากเป็นหลัก เป็นการขยายไปยังกลุ่มลูกค้าที่เน้นใช้บริการดาต้าเต็มรูปแบบมากขึ้น (Prepaid for Data) เพื่อตอบสนองพฤติกรรมการใช้งานของผู้บริโภคที่เริ่มหันมาใช้งานดาต้ามากขึ้นเรื่อย ๆ”

ขณะเดียวกัน แนวโน้มอุปกรณ์สื่อสารใหม่ ๆ ทั้งสมาร์ทโฟน และแท็บเล็ต ซึ่งล้วนรองรับการใช้งานอินเทอร์เน็ตและเครือข่าย 3G อย่างเต็มศักยภาพ รูปแบบการใช้งานของผู้บริโภคจึงเป็นมัลติฟังก์ชั่นมากขึ้น การใช้บริการดาต้าจึงเติบโตขึ้นอย่างชัดเจน โดยเฉพาะโมบายคอนเทนต์ และโซเชียลเน็ตเวิร์ค ซึ่งมีการวิจัยระบุว่าลูกค้าที่ซื้อสมาร์ทโฟนจะใช้แอพโซเชียลเน็ตเวิร์คอย่างน้อยหนึ่งแอพ และมีการติดต่อสื่อสารผ่านแอพพลิเคชั่นมากขึ้น โดยปัจจุบัน ลูกค้าดีแทคมีการใช้งานดาต้าในแต่ละวัน มีการใช้งานโซเชียลเน็ตเวิร์คกว่า 70% และมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะบริการที่เป็นที่นิยมมากที่สุดคือ Facebook ซึ่งมีผู้ใช้ Facebook ผ่านโทรศัพท์มือถือในประเทศไทย 14 ล้านคน โดยดีแทคเป็นโอเปอเรเตอร์ที่มีจำนวนผู้ใช้ Facebook สูงสุดเป็นอันดับหนึ่งในประเทศไทย ด้วยจำนวนผู้ใช้ถึง 50% ของจำนวนผู้ใช้ Facebook ผ่านโทรศัพท์มือถือทั้งหมดในประเทศอีกด้วย

“ทั้งหมดนี้ ยังเป็นการเน้นย้ำถึงวิสัยทัศน์ Internet for All ซึ่งเป็นความมุ่งมั่นของดีแทคที่ต้องการให้คนไทยทุกคนทั่วประเทศสามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้ โดยแฮปปี้มีเป้าหมายเพิ่มจำนวนลูกค้าโมบายอินเทอร์เน็ตจาก 7ล้านราย เป็น 14 ล้านราย หรือเติบโต 100% ภายใน 12 เดือนนับจากนี้”

ในโอกาสการปรับโฉมครั้งนี้ แฮปปี้ได้เปิดตัวซิมใหม่ 4 ซิม เพื่อตอบรูปแบบการใช้งานที่เปลี่ยนไป โดยยังคงมุ่งเน้นที่ความหลากหลายของผลิตภัณฑ์และความคุ้มค่าสูงสุดสำหรับลูกค้า ประกอบด้วย

· ซิมแฮปปี้ โทรสนุกทุกค่าย แค่นาทีละ 35 สตางค์ ทุกเครือข่าย (นาทีแรก 1.50 บาท) ไม่รวม VAT
· ซิมแฮปปี้ โทรสนุกเบอร์ดีแทค โทรเบอร์ดีแทค นาทีละ 24 สตางค์ (สองนาทีแรก นาทีละ 0.99 บาท) โทรเบอร์อื่นๆ นาทีละ 99 สตางค์ ไม่รวม VAT
· ซิมสมาร์ทโฟน สนุกทั้งโทรและเน็ต พร้อมโซเชียลไม่อั้น เพียงเลือกสมัครโปรสมาร์ทโฟนที่ต้องการ ราคาเริ่มต้นเพียงวันละ 19 บาท จะได้รับค่าโทร 10 นาที, Internet 15MB และ ใช้ Facebook, WhatsApp, Line ฟรีไม่อั้น)
· ซิมม่วนซื่นใหม่ สำหรับชาวอีสาน ค่าโทรอัตราเดียวทุกเครือข่าย นาทีละ 73 สตางค์ ซึ่งตอบโจทย์ความต้องการของพี่น้องชาวอีสาน ที่มองหาอัตราค่าโทรศัพท์อัตราเดียว (Flat rate) ที่จดจำง่าย

เพราะแต่ละคนมีความต้องการในการใช้งานที่แตกต่างกัน แฮปปี้ยังมีโปรโมชั่นหลักอีกหลากหลายให้ลูกค้าใหม่เลือกเปลี่ยนโปรโมชั่นหลักครั้งแรกได้ฟรี ที่โทร *1003 กด 7 ภายใน 30 วันหลังเปิดใช้บริการ

พิเศษ…….เพื่อให้ลูกค้าทุกคนสนุกกับใช้อินเทอร์เน็ตฟรีทุกวัน ลูกค้าที่เปิดใช้ซิมแฮปปี้ใหม่จะได้สนุกกับการใช้อินเตอร์เน็ตฟรีบน dtac TriNet 3 โครงข่ายอัจฉริยะ

· ซิมแฮปปี้ โทรสนุกทุกค่าย , ซิมแฮปปี้ โทรสนุกเบอร์ดีแทค และซิมม่วนซื่นใหม่ สำหรับชาวอีสาน
รับฟรีเน็ตทุกวัน 150 นาที/เดือน (5 นาที/วัน) นาน 90 วัน เพียงโทร *103*306# เพื่อลงทะเบียน
· ซิมสมาร์ทโฟน ยิ่งเติมเงิน ยิ่งได้เล่นเน็ตฟรี โดยทุกครั้งที่เติมเงิน 100 บาท/ครั้ง รับเน็ตฟรี 50 MB สูงสุด 150 MB ต่อเดือน นาน 6 เดือน

สำหรับลูกค้าปัจจุบัน แฮปปี้ออกโปรโมชั่นเสริมสุดคุ้ม เอาใจลูกค้าสมาร์ทโฟนให้เล่นโซเชียลไม่จำกัด พร้อมเล่นเน็ตในโปรเดียว เริ่มต้นแค่ 15 บาท เล่นได้ทั้ง Facebook, WhatsApp และ LINE ไม่จำกัดและอินเตอร์เน็ต 15 MB ต่อวัน หรือจะเลือกแบบรายสัปดาห์และรายเดือน ตามสไตล์การใช้งานของแต่ละบุคคล

ในโอกาสนี้ แฮปปี้ขอมอบความสุขส่งต่อรอยยิ้ม ส่งเสริมให้คนไทยยิ้มกันมากขึ้นทุกวัน โดยจัดคาราวานแห่งความสุขให้คนไทยทั้งประเทศมีรอยยิ้ม โดยการเชิญชวนผู้ร่วมกิจกรรมถ่ายรูปอมยิ้มที่ไปกับคาราวาน หรือ ถ่ายรูปรอยยิ้ม แล้วแชร์รูปบน Instagram, Facebook หรือ Twitter พร้อมพิมพ์ข้อความ #happysmile เพื่อลุ้นรับรางวัล dtac TriNet Phone รุ่นชีต้าห์ จำนวน 10 เครื่อง ตั้งแต่วันนี้ ถึงวันที่ 23 สิงหาคม 2556

View :1478

อีริคสันเสริมทัพ เพิ่มศักยภาพความแข็งแกร่งในธุรกิจซิสเต็มส์อินติเกรชั่นสำหรับระบบ OSS ในภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และโอเชียเนีย

July 22nd, 2013 No comments

· อีริคสันได้บรรลุข้อตกลงในการเข้าซื้อกิจการทั้งหมดของ บริษัท จำกัด (TeleOSS Consulting Ltd.) เพื่อเสริมความแข็งแกร่งในธุรกิจซิสเต็มส์อินติเกรชั่น (System Integration Business) สำหรับระบบ OSS ในภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และโอเชียเนีย

· ผู้เชี่ยวชาญด้านซิสเต็มส์อินติเกรชั่นกว่า 50 คน จะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของอีริคสัน

· การเข้าซื้อบริษัทในครั้งนี้คาดว่าจะเสร็จสิ้นภายในปลายไตรมาสที่สามของปี พ.ศ. 2556

ในวันนี้ อีริคสันได้บรรลุข้อตกลงในการเข้าซื้อกิจการทั้งหมดของ บริษัท เทเลโอเอสเอส คอนซัลติง จำกัด (TeleOSS Consulting Ltd.) ซึ่งมีฐานที่ตั้งอยู่ในกรุงเทพมหานคร และมีความเชี่ยวชาญในการให้คำปรึกษา รวมทั้งการทำซิสเต็มส์อินติเกรชั่น (Systems Integration) สำหรับระบบ Operating Support Systems (OSS) โดยเฉพาะ

ณ ขณะนี้ กระบวนการดำเนินการเข้าซื้อกิจการทั้งหมดคาดว่าจะเสร็จสิ้นภายในปลายไตรมาสที่สามของปี พ.ศ. 2556 โดยภายใต้ข้อตกลงนี้ พนักงานผู้เชี่ยวชาญด้านการทำซิสเต็มส์อินติเกรชั่น สำหรับระบบ OSS ประมาณ 50 คน มาเข้าร่วมกับอีริคสัน

บริษัท เทเลโอเอสเอส คอนซัลติง จำกัด เป็นผู้สร้างโซลูชั่นสำหรับระบบ OSS เพื่อผู้ให้บริการโทรคมนาคม โดยเฉพาะในด้าน Traffic and Inventory Management และการผลิตซอฟท์แวร์ที่เกี่ยวข้อง การเข้าซื้อครั้งนี้ จะช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งของอีริคสัน ทั้งในด้านของการให้คำปรึกษา ความเชี่ยวชาญด้านซิสเต็มส์อินติเกรชั่น การสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้า รวมถึงความสามารถในการปฏิวัติเพื่อพัฒนาระบบ OSS สำหรับประเทศในแถบภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และโอเชียเนีย

“การเข้าซื้อกิจการทั้งหมด บริษัท เทเลโอเอสเอส คอนซัลติง จำกัด จะช่วยเติมเต็มความสามารถของเรา ในการทำซิสเต็มส์อินติเกรชั่นกับระบบ OSS สำหรับประเทศในแถบภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และโอเชียเนีย โดยเฉพาะการสร้างโซลูชั่นด้าน Traffic and Inventory Management ที่มีหลากหลายและเหมาะสมกับความต้องการของลูกค้าต่างๆของเรา” กล่าวโดย นายเปาโล โคเลลลา หัวหน้าฝ่ายการให้คำปรึกษาและซิสเต็มส์อินติเกรชั่นของอีริคสัน “การลงทุนเชิงกลยุทธ์ในครั้งนี้ จะช่วยพัฒนาศักยภาพของอีริคสันให้เข้มแข็งยิ่งขึ้น พร้อมทั้งก้าวสู่ความเป็นเลิศในด้านการปฏิวัติเพื่อพัฒนาระบบ IT ซึ่งเป็นสิ่งที่เรามุ่งมั่นและพยายามมาโดยตลอด”

คุณ ทศพร วงศ์วีรธร กรรมการผู้จัดการ บริษัท เทเลโอเอสเอส คอนซัลติง จำกัด กล่าวว่า “ผมมีความมั่นใจอย่างยิ่งว่า การเข้าซื้อบริษัทในครั้งนี้ จะช่วยเติมเต็มความสามารถระดับโลกของอีริคสัน ที่มีอยู่แล้วให้เข้มแข็งยิ่งขึ้น โดยเฉพาะด้านซิสเต็มส์อินติเกรชั่นกับระบบ OSS โดยจะทำให้อีริคสันสามารถพัฒนาบริการคุณภาพสูง เพื่อเหล่าผู้ให้บริการเครือข่ายและลูกค้าของพวกเขา ผ่านโซลูชั่นด้าน OSS ที่หลากหลายและครบวงจร นอกจากนั้นแล้ว พนักงานของเราจะได้รับประโยชน์จากอีริคสัน ในฐานะที่เป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ระดับโลกซึ่งมีความรู้ครบวงจร เพื่อเป็นการช่วยเสริมสร้างความเข้มแข็งในด้านต่างๆให้แก่กันและกัน”

ด้วยความพร้อมของอีริคสันทั้งในด้านบุคลากรที่มีความสามารถ รวมถึงซอฟต์แวร์ที่ครอบคลุมครบวงจรจะสามารถช่วยผู้ให้บริการเครือข่ายต่างๆสามารถพัฒนากระบวนการบริหารจัดการระบบไอทีเพื่อเสริมสร้างประสบการณ์ที่ดียิ่งขึ้นสำหรับลูกค้า รวมไปถึงการสร้างสรรค์บริการในรูปแบบใหม่ๆ และที่สำคัญ มีบุคลากรมากกว่า 15,000 คน ซึ่งมีประสบการณ์ด้านการให้คำปรึกษาและซิสเต็มส์อินติเกรชั่น มากกว่า 1,500 โครงการที่ใช้อุปกรณ์เครือข่ายจากหลากหลายเวนเดอร์และต่างเทคโนโลยีในแต่ละปี

View :1400

อีริคสันเตรียมเข้าซื้อบริษัท เรด บี มีเดีย (Red Bee Media) เพื่อเพิ่มศักยภาพความแข็งแกร่งในฐานะผู้นำด้านเทคโนโลยีและบริการเพื่อธุรกิจโทรทัศน์

July 22nd, 2013 No comments

Ericsson_hq 2013
อีริคสันเตรียมเข้าซื้อบริษัท () ผู้นำแห่งธุรกิจบริการด้านสื่อการเข้าซื้อบริษัทในครั้งนี้ จะช่วยขยายพอร์ทฟอลิโอของอีริคสัน ในธุรกิจบริการกระจายเสียงและแพร่ภาพให้กว้างขวางยิ่งขึ้น รวมทั้งจะช่วยพัฒนาขีดความสามารถของอีริคสันในงานด้านสื่อโทรทัศน์อีกด้วย พนักงานจำนวน 1,500 คน ผู้มีความเชี่ยวชาญในธุรกิจสื่อ จะเข้ามาร่วมงานกับอีริคสัน เพิ่มศูนย์ปฏิบัติการใหม่ในยุโรปและออสเตรเลีย

ในวันนี้ อีริคสันในฐานะผู้นำเทคโนโลยีและบริการด้านการสื่อสารโทรคมนาคมระดับโลก ได้ประกาศเจตนารมณ์ในการเข้าซื้อหุ้นของบริษัท เรด บี มีเดีย (Red Bee Media) ซึ่งเป็นผู้นำระดับโลกในธุรกิจบริการด้านสื่อ และมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ในสหราชอาณาจักร จากองค์กรที่อยู่ในความควบคุมของ Macquarie Advanced Investment Partners, L.P
การเข้าซื้อในครั้งนี้ กำลังอยู่ในระหว่างการพิจารณาอนุมัติจากองค์กรที่เกี่ยวข้อง และเมื่อเสร็จสิ้นจะช่วยสนับสนุนนโยบายของอีริคสัน ในการขยายธุรกิจบริการกระจายเสียงและแพร่ภาพให้กว้างขวางยิ่งขึ้น เพื่อใช้ความได้เปรียบทั้งในเชิงเทคโนโลยีและการให้บริการคุณภาพสูง เพื่อประโยชน์ทั้งสำหรับผู้ให้บริการกระจายเสียงและแพร่ภาพ และเจ้าของคอนเทนต์ รวมถึงการให้ความสำคัญกับการบริโภคสื่อวีดีโอขณะเคลื่อนที่ซึ่งกำลังเป็นที่นิยมมาก การเข้าซื้อนี้จะนำมาซึ่งบุคลากรผู้มีความสามารถจำนวน 1,500 คน ธุรกิจบริการด้านสื่อ และศูนย์ปฏิบัติการในสหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส เยอรมนี เสปน และออสเตรเลีย ซึ่งจะเป็นการเสริมทัพในธุรกิจบริการกระจายเสียงและแพร่ภาพของอีริคสัน ซึ่งเริ่มก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2007 และเติบโตชัดเจน จากการเข้าซื้อฝ่ายบริการกระจายเสียงและแพร่ภาพ ของบริษัทเทคนิคัลเลอร์ เมื่อปี 2012 ที่ผ่านมา

บุคลากรจำนวน 1,240 คนของเรดบีมีเดียอยู่ในสหราชอาณาจักร ซึ่งจะทำให้ธุรกิจของอีริคสันในประเทศนี้เติบโตขึ้นจนมีพนักงานประมาณ 4,000 คน ซึ่งมากกว่าหนึ่งในสามอยู่ในธุรกิจสื่อ ซึ่งจะทำให้สหราชอาณาจักรกลายเป็นศูนย์กลางด้านธุรกิจสื่อของอีริคสัน

หลังจากที่ถูกก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2005 เรดบีมีเดียได้มุ่งมั่นพัฒนาอย่างแข็งแกร่ง จนมีลูกค้าจำนวนมากทั่วโลก และมีธุรกิจสื่อหลากหลายประเภท ครอบคลุมตั้งแต่การบริหารจัดการสื่อ ไปจนถึงการส่งสัญญาณต่อ การผลิตสื่อดิจิตอลวีดีโอ บริการข้อมูลเมตตาดาต้า การเข้าถึงบริการผ่านหลากหลายภาษา และบริการรูปแบบใหม่อื่นๆ บนบรอดแบนด์แพล็ตฟอร์มที่หลากหลาย เรดบีมีเดียยังเป็นที่ยอมรับในบริการด้านการส่งสัญญาณต่อคุณภาพสูง เป็นผู้ให้บริการด้านข้อมูลเมตตาดาต้าที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป และเป็นผู้ส่งข้อมูลซับไตเติ้ลสู่ผู้ให้บริการกระจายเสียงและแพร่ภาพที่สำคัญหลายราย จำนวนมากกว่า 100,000 ชั่วโมงต่อปี
วงการโทรทัศน์และสื่อในปัจจุบัน กำลังอยู่ในระหว่างการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ อันเป็นผลมาจากแรงผลักดันของผู้บริโภค ที่ต้องการได้รับความบันเทิงเต็มรสชาติ ตอบสนองได้ฉับไว ในทุกที่ทุกเวลา การบรรจบกันของเทคโนโลยีด้านการสื่อสาร บรอดแบนด์ และด้านสื่อ ร่วมกับการใช้ IP และเครือข่ายโทรศัพท์มือถือยุคนี้ ได้สร้างและให้ประสบการณ์อันน่าประทับใจสำหรับผู้บริโภค จึงนำมาซึ่งโอกาสสำหรับธุรกิจรูปแบบใหม่ได้อย่างกว้างขวาง

บริการรูปแบบใหม่เหล่านี้กำลังขยายตัว และได้สร้างประสบการณ์ในการบริโภคสื่อความบันเทิง ที่แตกต่างไปจากเดิม ซึ่งกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในภาคธุรกิจ ในเชิงเศรษฐกิจและความคิดสร้างสรรค์ ทั้งในส่วนของผู้ให้บริการกระจายเสียงและแพร่ภาพ บริการโทรคมนาคม และบริการด้านสื่อต่างๆ ทั่วโลก จากรายงานเรื่อง “Ericsson Mobility Report June 2013” พบว่า วีดีโอเป็นทราฟฟิคที่มีปริมาณมากที่สุดบนเครือข่ายโทรศัพท์มือถือ และคาดว่าจะเติบโตต่อไปในอัตราประมาณปีละ 60 เปอร์เซ็นต์ จนถึงปลายปี 2018

“อีริคสันกำลังก้าวไปสู่การเปลี่ยนแปลงอีกขั้นหนึ่ง เพื่อขยายตลาดในธุรกิจโทรทัศน์และบริการกระจายเสียงและแพร่ภาพ ซึ่งเราได้เริ่มต้นขึ้นเมื่อปี 2007” คุณแม็คนัส แมนเดอร์ส์สัน (Magnus Mandersson) รองประธานบริหารและหัวหน้าฝ่ายธุรกิจ Global Services ของอีริคสัน กล่าว “เราสามารถสร้างคุณค่าเพื่อผู้ให้บริการกระจายเสียงและแพร่ภาพได้ ด้วยการสร้างดิจิตอลคอนเทนต์ให้สามารถเข้าถึงง่าย และสร้างประโยชน์ทางธุรกิจจากรายการโทรทัศน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ จากการศึกษาพบว่า การบริโภคสื่อวีดีโอบนเครือข่ายโทรศัพท์มือถือกำลังเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว และอีริคสันสามารถสนองตอบต่อความต้องการของผู้ให้บริการกระจายเสียงและแพร่ภาพ และบริการเครือข่ายโทรคมนาคมได้ ด้วยความเชี่ยวชาญทั้งในด้านเทคโนโลยีและการให้บริการได้เป็นอย่างดี”

ความสามารถหลักของอีริคสันในส่วนของฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ ซิสเต็มส์อินติเกรชัน และธุรกิจการบริหารจัดการเครือข่าย ล้วนเป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวางในระดับโลก ในภาคธุรกิจสื่อสารและบรอดแบนด์ ซึ่งได้สร้างความสำเร็จแก่ผู้ประกอบการจำนวนมาก นอกจากนั้นแล้วอีริคสันยังได้ใช้เทคโนโลยีเพื่อสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ ที่ช่วยจัดการกับคอนเทนท์ ไม่ว่าจะเป็นการสรรหา แลกเปลี่ยน กระจาย ส่งมอบ และตระเตรียมข้อมูล เพื่อให้เหมาะกับความบันเทิงบนหน้าจอขนาดต่างๆ ผ่านประสบการณ์อันยาวนานถึง 20 ปี ในการศึกษาวิจัยและพัฒนาด้านสื่อ ด้วยคุณภาพระดับรางวัลเอมมี่

บริการเพื่อการกระจายเสียงและแพร่ภาพ ยังได้รับประโยชน์จากความเป็นผู้นำในธุรกิจบริหารจัดการเครือข่ายของอีริคสัน เพื่อสร้างความเป็นเลิศในบริการ สำหรับผู้ให้บริการกระจายเสียงและแพร่ภาพชั้นนำทั้งในระดับภูมิภาคและระดับโลก รวมไปถึงการพัฒนาประสิทธิภาพในการดำเนินงานของธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นการทำรายการสด หรือการบันทึกรายการเฉพาะบนเครือข่ายที่มีลูกค้ากว่าหนึ่งพันล้านคนทั่วโลก อีริคสันเป็นผู้นำในธุรกิจบริหารจัดการเครือข่ายเพื่อผู้ให้บริการโทรคมนาคม เราได้ลงทุนเพื่อสรรหากระบวนการ วิธีการ และเครื่องมือที่เหมาะสม เพื่อช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพในการดำเนินงานด้านต่างๆ มาแล้วกว่า 15 ปี ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา อีริคสันได้ขยายความสำเร็จในธุรกิจนี้ ไปสู่อุตสาหกรรมอื่นด้วย เช่น บริการสาธารณูปโภค การขนส่ง และบริการโทรทัศน์

การเข้าซื้อในครั้งนี้ อยู่ในระหว่างการพิจารณาเพื่อขออนุมัติจากองค์กรผู้กำกับดูแลที่เกี่ยวข้อง และรายละเอียดของสัญญาบางประการ เมื่อการเจรจาเสร็จสิ้น เรดบีมีเดียจะเป็นส่วนหนึ่งของฝ่ายธุรกิจ Global Services ของอีริคสัน

View :1232

ดีแทคประกาศผลประกอบการไตรมาส 2 ปี 2556 รายได้ เติบโตต่อเนื่อง

July 22nd, 2013 No comments

19 กรกฎาคม 2556 – บริษัทโทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ เผยมีรายได้จากการดำเนินงานสำหรับในไตรมาสที่ 2 ของปี 2556 รวมทั้งสิ้น 24.5 พันล้านบาท ซึ่งเติบโตขึ้นอย่างแข็งแกร่งร้อยละ 13.5 จากไตรมาสเดียวกันปีก่อน โดยสาเหตุหลักมาจากการเติบโตของรายได้จากการให้บริการและยอดขายเครื่องโทรศัพท์ซึ่งเป็นผลจากความนิยมในสมาร์ทโฟนและแอพพลิเคชั่นสังคมออนไลน์ที่ยังคงมีสูงต่อเนื่องและเครือข่าย 3G ที่มีคุณภาพของดีแทค

จอน เอ็ดดี้ อับดุลลาห์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ดีแทค กล่าวว่าผลประกอบการที่เพิ่มขึ้นในไตรมาส 2 มีจุดเด่นที่มาจากการเติบโตของสมาร์ทโฟนที่ได้รับความนิยมมากขึ้น การเติบโตของลูกค้าแบบโพสต์เพด และความนิยมในแอพพลิเคชั่นสังคมออนไลน์ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งเราพยายามเน้นการลงทุนให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นในไตรมาสที่ผ่านมา และการแนะนำดีแทค ไตรเน็ต โฟน ที่มีคุณสมบัติดีในราคาที่เหมาะสม ทั้งนี้ ดีแทคได้รุกต่อเนื่องในวิสัยทัศน์ อินเทอร์เน็ต ฟอร์ ออล (Internet for All) อย่างชัดเจนเพื่อให้ทุกพื้นที่ของประเทศไทยได้มีอินเทอร์เน็ตใช้งานได้อย่างเท่าเทียมภายใน 3 ปีนี้

จุดเด่นในไตรมาสที่ 2 ยังคงเป็นรายได้จากบริการเสริม เติบโตต่อเนื่อง ถึงร้อยละ 50.7 จากไตรมาสเดียวกันปีก่อน (YoY) และร้อยละ 7.5 จากไตรมาสก่อน (QoQ) อยู่ที่ 5.4 พันล้านบาท แรงขับเคลื่อนหลักของรายได้จากบริการเสริมยังคงเป็นการใช้อินเทอร์เน็ตไร้สายที่เติบโตอย่างต่อเนื่องร้อยละ 85.2 จากไตรมาสเดียวกันปีก่อน (YoY) และร้อยละ 12.7 จากไตรมาสก่อน (QoQ) ซึ่งเป็นผลจากความนิยมในสมาร์ทโฟนและแอพพลิเคชั่นสังคมออนไลน์ที่ยังคงมีสูงต่อเนื่องและการขยายพื้นที่ให้บริการ 3G บนคลื่นความถี่ย่าน 850MHz และเปิดตัวดีแทค ไตรเน็ตเพื่อเตรียมการให้บริการ

EBITDA สำหรับไตรมาสที่ 2 ปี 2556 เท่ากับ 7.5 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นสูงถึงร้อยละ 12.7 จากไตรมาสเดียวกันปีก่อน จากการเติบโตของรายได้และการบริหารจัดการต้นทุนที่มีประสิทธิผล EBITDA margin ลดลงเล็กน้อยมาอยู่ที่ร้อยละ 30.4 จากสัดส่วนที่สูงขึ้นของยอดขายเครื่องโทรศัพท์ที่มีอัตรากำไรต่ำ กำไรสุทธิสำหรับงวดเท่ากับ 2.9 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.8 จากไตรมาสเดียวกันปีก่อน

ในไตรมาสนี้ ดีแทคได้ประกาศการปรับเพิ่มประมาณการเงินลงทุนสำหรับปี 2556 จากไม่น้อยกว่า 12.5 พันล้านบาท เป็น 14.5 พันล้านบาท เพื่อให้บริการ 3G บนคลื่นความถี่ย่าน 2.1GHz คาดว่าจะครอบคลุมประชากรร้อยละ 50 ได้ภายในสิ้นปี

ในส่วนผู้ใช้บริการสมาร์ทโฟนต่อผู้ใช้บริการทั้งหมดของดีแทคเพิ่มขึ้นสู่ร้อยละ 22.9 ในไตรมาส 2 ของปี 2556 จากการทำตลาดดีแทค ไตรเน็ต โฟน และ ราคาสมาร์ทโฟนที่ลดลงในตลาด การเพิ่มขึ้นของผู้ใช้บริการสมาร์ทโฟนส่งผลดีให้ดีแทคในการเติบโตของรายได้บริการอินเทอร์เน็ตและความต้องการของลูกค้าปัจจุบันที่มีความประสงค์โอนย้ายสู่ระบบ 3G 2.1GHz

View :1255

“MONO” เตรียมร่วมมือ 3 เทเลคอมในจีน ลงทุน 300 ล้านบาท ส่ง “โมบาย-อินเตอร์เน็ต-มิวสิค-มูฟวี่” ลุยตลาดแดนมังกร

July 4th, 2013 No comments

กรุงเทพฯ – 4 กรกฏาคม 2013

บมจ. โมโน เทคโนโลยี หรือ “ ” เดินหน้าธุรกิจหลังนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เมื่อต้นเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ล่าสุดประกาศลุยธุรกิจคอนเทนต์ประเทศจีนด้วยงบลงทุนประมาณ 300 ล้านบาท ส่งคอนเทนต์สัญชาติไทยลุยแดนมังกร มั่นใจ “โมบาย-อินเตอร์เน็ต-มิวสิค-มูฟวี่” จะโดนใจชาวแดนมังกรอย่างแน่นอน อาทิ ศิลปินกลุ่มทีป๊อป “อีโวไนน์” , “แคนดี้มาเฟีย”, “จีทเวนตี้” และภาพยนตร์เรื่อง “พี่มากพระโขนง” ของค่ายGTH ที่โมโนได้สิทธิ์ในการนำภาพยนตร์พี่มากพระโขนงไปทำการตลาดในประเทศจีน

คุณนวมินทร์ ประสพเนตร ผู้ช่วยประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าฝ่ายการตลาด บริษัท โมโนเทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) หรือ MONO เปิดเผยว่า เป็นโอกาสเริ่มต้นที่ดี ที่โมโนกรุ๊ปจะจัดตั้งบริษัทที่ประเทศจีน และได้มีการจับมือกับ 3 โอเปอเรเตอร์รายใหญ่ทั้ง 3 ราย คือ China Mobile, China Unicom, China Telecom ซึ่งมีลูกค้ารวมกันมากกว่า 1,000 ล้านเลขหมาย โดยในเบื้องต้นเราจะมีการร่วมมือกันทำการตลาดที่ มณฑลยูนนาน, มณฑลซื่อชวน และมหานครฉงชิ่ง ซึ่งน่าจะครอบคลุมมากกว่า 150 ล้านเลขหมาย

ที่ผ่านมา MONO ถือเป็นผู้นำด้าน “Entertainment Content Creator” อันดับ 1 ของเมืองไทย ด้วยคอนเทนต์ต่างๆมากมาย อาทิ เพลง ดูดวง คลิปวีดีโอ แฟชั่น ภาพยนตร์ หรือ Mobile Application ต่างๆ เราจึงจับ 4 ธุรกิจหลักที่มีความแข็งแกร่งที่สุด เพื่อทำการตลาดในประเทศจีน คือธุรกิจ โมบาย, อินเตอร์เน็ต, มิวสิค, ภาพยนตร์ โดยโมโนมีฐานลูกค้าผู้ใช้บริการเสริมบนมือถืออยู่ที่ 11 ล้านราย จาก 3 โอเปอเรเตอร์ในไทย เอไอเอส ทูมูฟ รวมทั้งหมด 80 ล้านเลขหมาย ในขณะที่ผ่านมาเราได้ดำเนินการขายยธุรกิจไปแล้วในกลุ่มประเทศAEC ทั้งประเทศเวียดนามที่มีผู้ใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ประมาณ 135 ล้านเลขหมาย และประเทศอินโดนีเซียที่มีผู้ใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ประมาณ 250 ล้านเลขหมาย ซึ่งคาดว่าจำนวนลูกค้าจะเติบโตอย่างก้าวกระโดด เพราะ จีน เวียดนาม อินโดนีเซีย 3 ประเทศนี้มีสภาพแวดล้อมในการทำธุรกิจไม่ต่างจากประเทศไทยมากนัก

ในช่วงแรกคอนเทนต์มิวสิค เราจะมีศิลปินกลุ่มทีป๊อป อาทิ อีโวไนน์ แคนดี้มาเฟีย จีทเวนตี้ เข้าไปทำการตลาดที่ประเทศจีน และในระยะยาวจะมีการสร้างศิลปินใหม่ที่ประเทศจีนด้วย โดยรายได้หลักมาจากแพลตฟอร์มดิจิตอล นอกจากนี้ภาพยนตร์เรื่อง “พี่มากพระโขนง” จากค่ายหนัง GTH ซึ่งถือเป็นภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากด้วยรายได้ในประเทศไทยกว่า 1,000 ล้านบาท โดยโมโนกรุ๊ปได้ซื้อลิขสิทธิ์ภาพยนตร์เรื่องดังกล่าว เพื่อเข้าโรงฉายภาพยนตร์และจัดจำหน่ายในทุกๆแพลตฟอร์มที่ประเทศจีนด้วย

ที่ผ่านมา MONO เน้นจับมือกับพันธมิตรที่มีความแข็งแกร่ง ในประเทศจีนถือว่าเรามีโอกาสค่อนข้างสูง ด้วยคอนเทนต์คุณภาพของเรา และจีนเองก็มีแนวโน้มด้านเศรษฐกิจที่เอื้อต่อการลงทุน ทั้งด้วยจำนวนประชากร และการเปิดประเทศมากขึ้น นี่จึงถือเป็นตลาดใหญ่ที่สำคัญอีกแห่งที่เราพร้อมจะเข้าไปลงทุน และจะเป็นตัวสำคัญที่จะทำให้รายได้ของ MONO เติบโตอย่างก้าวกระโดด” คุณนวมินทร์ กล่าวทิ้งท้าย

View :1243

กสทช. สุภิญญา ประวิทย์ ร่วมเสวนาเครือข่ายภาคใต้ หนุนภาคประชาชนมีส่วนร่วม

June 29th, 2013 No comments

ด้านคุ้มครองผู้บริโภคและสิทธิเสรีภาพของประชาชน ลงพื้นที่สงขลา ร่วมเสวนากับเครือข่ายประชาสังคมภาคใต้ ระบุ การจัดการเรื่องร้องเรียนยังอืด หน่วยงานกำกับดูแลจำกัดตัวเองทำงานอยู่แต่ในกรอบ ด้านวิทยุโทรทัศน์ หนุนภาคประชาสังคมร่วมออกแบบหน้าตาทีวีสาธารณะ เตือนอย่าปล่อยให้เป็นหน้าที่ของ กสทช.เท่านั้น

ที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา นายประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา และนางสาวสุภิญญา กลางณรงค์ กสทช.ด้านคุ้มครองผู้บริโภคและสิทธิเสรีภาพของประชาชน ได้จัดเวทีเสวนาร่วมกับเครือข่ายประชาสังคมภาคใต้ โดยมีเครือข่ายภาคประชาชนหลากหลายด้าน เช่น ด้านคุ้มครองผู้บริโภคโทรคมนาคมและวิทยุโทรทัศน์ ด้านพลังงาน ด้านเกษตร สิ่งแวดล้อม รวมถึงสื่อท้องถิ่น ทั้งจากจังหวัดสงขลา ยะลา ชุมพร นครศรีธรรมราช กระบี่ สุราษฎร์ ปัตตานี สตูล เข้าร่วม

นายประวิทย์ กล่าวว่า เครือข่ายภาคประชาชนเป็นสิ่งสำคัญในการขับเคลื่อนทางสังคม และจำเป็นต้องเป็นเครือข่ายที่มีความหลากหลายจากทุกภาคส่วน เป็นกลุ่มตามธรรมชาติที่เกิดขึ้นไม่ใช่กลุ่มจัดตั้ง ที่สำคัญคือเป็นกลุ่มที่ไม่มีผลประโยชน์แอบแฝงจากกลุ่มธุรกิจใดๆ แต่เป็นผู้ที่ทำงานเพื่อภาคประชาชน ทั้งนี้ในระหว่างการเสวนา ตัวแทนเครือข่ายด้านการคุ้มครองผู้บริโภค ได้สอบถามถึงแนวทางการจัดการเรื่องร้องเรียนที่ควรจะมีประสิทธิภาพมากขึ้น

นายประวิทย์กล่าวว่า การจัดการเรื่องร้องเรียนที่เครือข่ายพบว่ายังไม่มีความคืบหน้าในการดำเนินการนั้น ตามกฎหมายหมายได้ให้สิทธิผู้บริโภค ตรวจสอบ สำนักงาน กสทช. และกสทช.ได้ด้วย เช่น การแก้ไขเรื่องร้องเรียนต้องแล้วเสร็จภายใน ๓๐ วัน หรืออาจเสนอความเห็น สะท้อนปัญหาที่เกิดขึ้นกับอนุกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคในกิจการโทรคมนาคม ได้ เช่น กรณีเรื่องร้องเรียนจำนวน ๓๐๐ กว่าเรื่องที่จนถึงขณะนี้ก็ยังไม่เข้าสู่ที่ประชุม กทค. ทั้งที่ผ่านการพิจารณาจากคณะอนุกรรมการฯ มานานแล้ว ซึ่งเครือข่ายผู้บริโภคสามารถเสนอความเห็นหรือแนวทางที่ควรจะเป็นร่วมกันได้

นอกจากนี้ยังพบว่า หน่วยงานกำกับดูแลของไทยจะมีประเด็นเรื่อง “งานนอกอำนาจ” ทำให้บางปัญหาที่คาบเกี่ยวหลายหน่วยงานนั้นเกิดพื้นที่สีเทาที่ไม่มีหน่วยงานใดเข้าไปจัดการเพราะเกรงการก้าวล่วงอำนาจหน้าที่ผู้อื่น ต่างจากในต่างประเทศที่แม้กฎหมายจะมีการทับซ้อนของอำนาจหน้าที่กันแต่ไม่เกิดปัญหาในการดำเนินงาน

“ไทยมีประเด็นเรื่องช่องว่างระหว่างอำนาจหน้าที่ เนื่องจากไม่กล้าทำนอกอำนาจตัวเอง ปัญหาที่เห็นได้ชัดเช่น ตู้เติมเงิน มีหลายหน่วยงานเกี่ยวข้อง แต่ต่างปฏิเสธว่าไม่ใช่หน้าที่โดยตรง สุดท้ายปัญหาก็ยังไม่ได้รับการแก้ไข” นายประวิทย์กล่าว

ด้านนางสาวสุภิญญา กลางณรงค์กล่าวว่า เนื่องจากในปีนี้จะมีการจัดสรรคลื่นโทรทัศน์ใหม่ เพื่อเปลี่ยนจากระบบทีวีอนาลอคเป็นทีวีดิจิตอล ภาคประชาสังคมควรร่วมกันจับตาดูว่า ช่องความถี่ซึ่งจัดสรรเป็นสถานีโทรทัศน์มากขึ้นถึง ๔๘ ช่องนั้นในเชิงความเป็นเจ้าของหรือการถือครองนั้นจะมีการกระจายจากภาครัฐมาสู่ภาคประชาชนจริงหรือไม่ ทั้งนี้ใน ๔๘ ช่องซึ่งจะเป็นช่องทีวีสาธารณะจำนวน ๑๒ ช่องนั้น เครือข่ายภาคประชาสังคมควรเข้ามามีส่วนร่วมในการเสนอความเห็นถึงรูปแบบของทีวีสาธารณะที่ควรจะเป็นนั้นควรมีหน้าตาอย่างไร เพราะทีวีสาธารณะไม่ได้หมายถึงช่องของหน่วยงานภาครัฐเท่านั้น

“โอกาสมักมาพร้อมกับความเสี่ยงเสมอ ช่วงนี้เป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อว่า หากต้องมีช่องทีวีใหม่ที่เป็นฟรีทีวี เราจะปล่อยให้ กสทช. ออกแบบ หรือภาคประชาชนจะเข้ามีส่วนร่วมด้วย จึงอยากให้เครือข่ายร่วมออกมาแสดงความคิดเห็น เพราะเมื่อเสียงของฝ่ายที่ต้องการปฏิรูปสื่อเงียบ ก็ทำให้เสียงที่คิดต่างจากเราดังกว่า“ นางสาวสุภิญญากล่าว

View :1228
Categories: 3G, Telecom Tags:

กลุ่มทรู คว้า 3 รางวัล องค์กรในประเทศไทยที่มีความเป็นเลิศในการดำเนินธุรกิจ ในงานประกาศรางวัล 2013 Frost & Sullivan Thailand Excellence Awards

April 10th, 2013 No comments


กรุงเทพฯ 10 เมษายน 2556 – กลุ่มบมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น คว้า 3 รางวัล องค์กรในประเทศไทยที่มีความเป็นเลิศในการดำเนินธุรกิจ ประจำปี 2556 จัดโดย บริษัท ฟรอสต์ แอนด์ ซัลลิแวน (2013 Frost & Sullivan Thailand Excellence Awards) ประกอบด้วย ทรูมูฟ โดย นายอติรุฒม์ โตทวีแสนสุข (ขวาสุด) กรรมการผู้จัดการ ธุรกิจโมบายล์ บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น รับรางวัล องค์กรที่มีความเป็นเลิศด้านบริการโมบายล์ (Thailand Mobile Service Provider of the Year) ทรูออนไลน์ นายเจริญ ลิ่มกังวาฬมงคล (กลาง) ผู้อำนวยการบริหาร ธุรกิจทรูออนไลน์ บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น รับรางวัล องค์กรที่มีความเป็นเลิศด้านบริการบรอดแบนด์ (Thailand Broadband Service Provider of the Year) และ ทรู ไอดีซี โดย นายเจนวิทย์ คราประยูร (ซ้ายสุด) ผู้จัดการทั่วไป บริษัท ทรู อินเทอร์เน็ต ดาต้า เซ็นเตอร์ จำกัด รับรางวัล องค์กรที่มีความเป็นเลิศด้านบริการให้เช่าเซิร์ฟเวอร์เสมือนบนระบบคลาวด์ คอมพิวติ้ง (Thailand Infrastructure as a Service Vendor of the Year) ณ โรงแรมแชงกรีลา กรุงเทพฯ เมื่อเร็วๆ นี้

ทั้งนี้ การมอบรางวัลองค์กรในประเทศไทยที่มีความเป็นเลิศในการดำเนินธุรกิจ (Frost & Sullivan Thailand Excellence Awards) จัดขึ้นเพื่อยกย่องและเชิดชูเกียรติองค์กรธุรกิจในประเทศไทยที่มีความเป็นเลิศในการดำเนินธุรกิจด้านต่างๆ อาทิ ความเป็นผู้นำทางด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ ความเป็นเลิศด้านการบริการลูกค้า และการพัฒนาสินค้าอย่างมีกลยุทธ์ จากผลการวิจัยเชิงลึกและกระบวนการวิเคราะห์อย่างละเอียดโดยนักวิเคราะห์ผู้มีความชำนาญของบริษัท ฟรอสต์ แอนด์ ซัลลิแวน

View :1272
Categories: Telecom Tags:

รมต.การค้าและอุตสาหกรรมนอร์เวย์ร่วมกับดีแทคฉลองสัญญาณใหม่พร้อมยินดีในโอกาสเยือนไทย

April 9th, 2013 No comments

9 เมษายน 2556 – ฯพณฯ ทรอนด์ กิสเค รัฐมนตรีการค้าและอุตสาหกรรม ประเทศนอร์เวย์ ร่วมฉลองและแสดงความยินดีกับความสำเร็จของดีแทคในการเปลี่ยนอุปกรณ์เครือข่ายเสร็จสมบูรณ์ทั่วประเทศ ในโอกาสเยือนไทยเป็นทางการ และมีกำหนดการเข้าร่วมกิจกรรมกับดีแทค

โดยรัฐมนตรีการค้าและอุตสาหกรรม ประเทศนอร์เวย์ได้รับการต้อนรับจากนายจอน เอ็ดดี้ อับดุลลาห์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ และนายซิคเว่ เบรคเก้ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เทเลนอร์ เอเชีย พร้อมพนักงานดีแทคหลายร้อยคนที่ร่วมกิจกรรมฉลองแคมเปญสัญญาณใหม่ที่ประสบความสำเร็จในการเปลี่ยนอุปกรณ์เครือข่ายเสร็จสมบูรณ์และให้บริการ 3G ได้ทุกจังหวัดทั่วประเทศไทย

นายจอน เอ็ดดี้ อับดุลลาห์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ดีแทคกล่าวว่ารู้สึกยินดีอย่างยิ่งที่ได้ต้อนรับฯพณฯ ทรอนด์ กิสเค รัฐมนตรีการค้าและอุตสาหกรรม ประเทศนอร์เวย์ ในโอกาสเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการ โดยหลังจากที่ได้นำเสนอถึงพันธะของดีแทคที่จะพัฒนาเครือข่ายโทรคมนาคมของไทยแล้ว ท่านรัฐมนตรีได้ให้เกียรติเข้าร่วมขบวนทำกิจกรรมการตลาดสไตล์ดีแทค โดยดีแทคได้แสดงศักยภาพในการเป็นผู้นำในตลาดโทรคมนาคม

“ดีแทคได้ยกระดับโครงข่ายทั่วประเทศเสร็จสมบูรณ์ และให้บริการ 3G บนคลื่นความถี่ 850 MHz ทั่วประเทศ และเตรียมการที่จะเปิดให้บริการ 3G ย่าน 2.1 GHz และจากนี้ไปการก้าวสู่ยุคเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยแห่งการสื่อสารสำหรับผู้บริโภคในประเทศไทยมาถึงแล้ว เพราะจะถึงเวลาที่คนไทยจะได้มีทางเลือกเพิ่มขึ้น และเป็นการลดช่องว่างในการเข้าถึงบริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงของประชาชนที่อาศัยในพื้นที่ห่างไกลออกไป เป็นการช่วยพัฒนาเศรษฐกิจไทย โดยการสร้างโอกาสทางธุรกิจขึ้นอีกมากมาย เพื่อกระจายความเจริญและการเติบโตทางธุรกิจและเศรษฐกิจไปสู่ทุกภูมิภาคทั่วประเทศไทย ซึ่งรวมไปถึงพื้นที่ที่ห่างไกลความเจริญ เพื่อที่ว่าการพัฒนาทางเศรษฐกิจจะได้ไม่จำกัดอยู่เพียงในเมืองใหญ่ๆอีกต่อไป และนี่คือเหตุผลว่าทำไมดีแทคต้องการทำโครงข่ายคุณภาพที่ดีที่สุด ในการเปิดให้บริการ 3G บนคลื่น 2.1 GHz” นายจอนกล่าว

ทั้งนี้ ดีแทคในฐานะผู้นำในการให้บริการโทรศัพท์มือถือของประเทศไทย ดีแทคได้ลงทุนสถานีฐานครอบคลุมทั่วพื้นที่ประเทศไทยกว่า 15,000 สถานีฐานทั่วประเทศ ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยที่สุดนี้จะส่งให้ดีแทคก้าวสู่ระดับแนวหน้าด้านความพร้อมสำหรับบริการทั้ง 2G และ 3G ที่มีคุณภาพดีที่สุดเพื่อผู้ใช้งาน โดยพร้อมที่จะให้บริการบนคลื่นความถี่ 2.1 กิกะเฮิรตซ์ และเทคโนโลยี 4G ในอนาคตอันใกล้อีกด้วย

View :1319
Categories: Telecom Tags:

“ประวิทย์” ยันร่วมพิจารณาบีเอฟเคทีโปร่งใส ชี้มติ กทค. ชุบชีวิตกลุ่มทรู-สวนกฎหมาย

April 9th, 2013 No comments

“ประวิทย์” แย้งข้อกล่าวหาบีเอฟเคที ยันมีคุณสมบัติครบในการร่วมพิจารณา ไม่เข้าหลักต้องห้ามตามกฎหมาย และที่ประชุม กทค. เป็นฝ่ายตัดสินให้ตนอยู่ร่วมพิจารณากรณีดังกล่าวเอง ย้ำชัด มติที่ประชุมเสียงข้างมากมีปัญหา จะทำวงการโทรคมนาคมป่วน ชี้กระแสข่าวโจมตีมาจากภายในองค์กร เอง เพราะมีคนร้อนตัวกลัวความผิด

ตามที่ปรากฏข่าวว่า บริษัท บีเอฟเคที (ประเทศไทย) จำกัด ได้ส่งหนังสือถึง พ.อ.เศรษฐพงศ์ มะลิสุวรรณ ประธานคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคม (กทค.) เพื่อขอคัดค้านการเข้าประชุมของนายประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา กรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคม (กสทช.) ด้านคุ้มครองผู้บริโภค ในฐานะกรรมการ กทค. ในการประชุม กทค. ครั้งที่ 13/2556 เมื่อวันที่ 5 เมษายนที่ผ่านมา เพื่อพิจารณาผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายเกี่ยวกับการดำเนินกิจการของ บริษัท บีเอฟเคที กรณีการทำสัญญาเกี่ยวกับการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่รูปแบบใหม่บนคลื่นความถี่ 800 MHz กับบริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) เนื่องจากบริษัทเห็นว่านายประวิทย์ไม่เป็นกลาง จากกรณีที่มีการให้ข่าวก่อนหน้านั้นในแนวทางว่าบริษัทกระทำผิดกฎหมายการประกอบกิจการโทรคมนาคม

นายประวิทย์เปิดเผยถึงกรณีดังกล่าวว่า โดยส่วนตัวแล้วไม่ได้รับหนังสือดังกล่าว แต่ได้เห็นในที่ประชุมพร้อมกับ กทค. ท่านอื่นๆ โดยประธาน กทค. เป็นผู้แจ้งให้ทราบและทำสำเนาแจก รวมทั้งมีการขอหารือว่าควรทำอย่างไร ตนจึงเสนอว่า เมื่อหนังสือส่งถึงประธาน และประธานนำมาแจ้งที่ประชุมแล้วก็ควรให้ที่ประชุมวินิจฉัยตามกฎหมายวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง หากเห็นว่าเป็นเรื่องร้ายแรงทำให้การพิจารณาขาดความเป็นกลาง ตนก็ยินดีออกจากที่ประชุม แต่ในที่สุดที่ประชุมก็เพียงมีมติรับทราบคำค้านของบริษัท และให้ตนร่วมพิจารณาต่อไปได้

“ตาม พรบ. วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 มีการกำหนดกรณีเจ้าหน้าที่ของรัฐห้ามพิจารณาทางปกครองไว้ในมาตรา 13 โดยกำหนดว่า เจ้าหน้าที่ที่จะทำการพิจารณาทางปกครองไม่ได้ก็คือ (1) เป็นคู่กรณีเอง (2) เป็นคู่หมั่นหรือคู่สมรสของคู่กรณี (3) เป็นญาติของคู่กรณี (4) เป็นหรือเคยเป็นผู้แทนโดยชอบธรรมหรือผู้พิทักษ์หรือผู้แทนหรือตัวแทนของคู่กรณี (5) เป็นเจ้าหนี้หรือลูกหนี้หรือเป็นนายจ้างของคู่กรณี (6) กรณีอื่นๆ ที่กำหนดในกฎกระทรวง คุณสมบัติของผมไม่เข้าตามนี้อยู่แล้ว แต่มีอีกมาตราที่กำหนดคือมาตรา 16 ได้บัญญัติห้ามหากเจ้าหน้าที่หรือกรรมการในคณะกรรมการที่มีอำนาจพิจารณาทางปกครองนั้น “มีสภาพร้ายแรงอันอาจทำให้การพิจารณาทางปกครองไม่เป็นกลาง” ซึ่งผมไม่คิดว่า การให้ความเห็นหรือให้ข่าวจะเข้าข่ายเป็นสภาพร้ายแรงอันอาจทำให้การพิจารณาทางปกครองไม่เป็นกลาง แต่ผมก็ไม่ได้ตัดสินเอง ให้ที่ประชุม กทค. ตัดสิน แต่ที่ประชุมก็เห็นว่าผมไม่จำเป็นต้องออกจากที่ประชุม”

ส่วนเรื่องการพิจารณากรณีที่เป็นประเด็นปัญหานั้น นายประวิทย์เปิดเผยว่า ที่ประชุม กทค. ได้ใช้เวลาพิจารณาค่อนข้างยาวนาน โดยที่ส่วนใหญ่เป็นประเด็นความเห็นทางกฎหมาย รศ. ประเสริฐ ศีลพิพัฒน์ จึงเสนอต่อที่ประชุมว่า ควรจะส่งให้อนุกรรมการที่ปรึกษาด้านกฎหมายของ กสทช. ให้ความเห็น เพื่อความชัดเจน ซึ่งตนเองเห็นด้วยกับแนวทางดังกล่าว แต่ กทค. ที่เหลือต้องการพิจารณาลงมติกันเอง และในที่สุดก็มีการพิจารณาตามประเด็นที่สำนักงานเสนอก่อน คือพิจารณาว่ากรณีเป็นการประกอบกิจการหรือไม่ ซึ่งเมื่อที่ประชุมมีมติโดยเสียงข้างมากว่ากรณีไม่เป็นการประกอบกิจการ ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องพิจารณาต่อไปว่าจะต้องแจ้งความหรือไม่

“ผมต้องสงวนความเห็นแตกต่างจากที่ประชุม เพราะหากถือว่า บีเอฟเคทีไม่ได้ประกอบกิจการโทรคมนาคม บรรทัดฐานเรื่องการประกอบกิจการและการกำกับดูแลก็จะมีปัญหาแน่นอน นอกจากนี้ผมพิจารณาจากรายงานของคณะทำงานและเลขาธิการ กสทช. แล้ว ต่างก็เห็นว่ากรณีนี้เป็นการประกอบกิจการ รวมทั้งผมได้ปรึกษาผู้ทรงวุฒิหลายๆ ทางต่างก็เห็นตรงกันหมด และที่ให้ข่าวล่วงหน้าก็เพราะอยากให้สังคมได้มีส่วนร่วมตรวจสอบการใช้ดุลพินิจของ กทค. ด้วย เพื่อที่การใช้ดุลพินิจจะอยู่บนฐานของข้อเท็จจริงเป็นสำคัญ ยึดหลักเหตุผลและข้อกฎหมาย มากกว่าจะมีธงล่วงหน้าแล้วพยายามขมวดเรื่องให้ออกมาในแนวทางที่ต้องการ ผมเองไม่ได้มีธงก่อน แต่มีธงหลังการพิจารณาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายแล้ว แต่เมื่อที่ประชุม กทค. เห็นว่าไม่ใช่ ก็เป็นอันยุติตามนี้ เพราะองค์อำนาจในการชี้ขาดเรื่องนี้ก็คือ กทค.”

อย่างไรก็ดี นายประวิทย์ย้ำว่า เขาคิดว่าดุลพินิจของ กทค. มีปัญหา โดยเฉพาะยิ่ง ก่อนหน้านั้น กทค. ก็เคยมีมติสั่งให้ กสท. และ บีเอฟเคที แก้สัญญาในประเด็นตามมาตรา 46 พรบ. องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฯ พ.ศ. 2553 เกี่ยวกับประเด็นการใช้คลื่นความถี่เพื่อประกอบกิจการ ซึ่งกฎหมายห้ามการประกอบกิจการแทนไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วนมาแล้ว ดังนั้นมติของ กทค. จึงขัดแย้งกันเอง และมติคราวนี้ก็ส่งผลช่วยกู้ชีพกลุ่มทรูมูฟโดยตรงอย่างไม่ต้องสงสัย

“ช่วงนี้มีข่าวโจมตีผมมาก ทั้งในเรื่องบีเอฟเคทีและเรื่องการสิ้นสุดสัมปทานคลื่น 1800 ผมไม่แปลกใจ เพราะการสรุปเรื่องตามข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายในแนวของผมไม่เป็นคุณกับผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องนัก ความไม่พอใจที่เกิดขึ้นจึงเป็นเรื่องเข้าใจได้ แต่ที่แปลกคือ ผมเช็กแล้วพบว่าการเล่นงานผมจริงๆ แล้วมาจากภายใน กสทช. เอง มิใช่จากผู้ประกอบการหรือสังคมภายนอก จึงชวนให้คิดว่าเป็นเพราะคนทำผิดกำลังดิ้นรนเพื่อทำลายพยานหรือเปล่า หรือเพราะว่าแกะขาวอย่างผมไปขับให้เห็นสีดำเด่นชัด จึงมีคนเดือดร้อน” นายประวิทย์กล่าวในที่สุด

View :1288
Categories: 3G, Telecom Tags: