Archive

Archive for the ‘Internet’ Category

กลุ่มทรู จับมือ กสิกรไทย ติดสปีดออนไลน์ไร้สายเต็มร้อย กับ “Ultra Wi-Fi by TrueMove H” ที่ KBank

September 21st, 2011 No comments

กลุ่มทรู ย้ำภาพผู้นำโมบายล์ ไฮสปีด อินเทอร์เน็ต และโครงข่าย Wi-Fi ที่ใหญ่ที่สุด ผนึกกำลัง ธนาคารกสิกรไทย ผู้นำบริการด้านดิจิตอลแบงกิ้ง เติมความคุ้มค่าให้ลูกค้าสัมผัสนวัตกรรมเทคโนโลยีไร้สาย “” ความเร็วสูงสุด 100 Mbps ที่ธนาคารกสิกรไทยพันธมิตรสถาบันการเงินแห่งแรกของกลุ่มทรู เพิ่มชีวิตอิสระ FREE YOU ตอบสนองไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ ให้ลูกค้าที่มาทำธุรกรรมการเงิน ใช้ชีวิตออนไลน์ไฮสปีดไร้สายได้ตลอดเวลา ไม่พลาดทุกการสื่อสารในโลกยุคดิจิตอล

นายนนท์ อิงคุทานนท์ ผู้จัดการทั่วไป สายงานบริการบรอดแบนด์ บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า ไลฟ์สไตล์และเวิร์คสไตล์คนเมืองยุคปัจจุบัน นิยมสื่อสารออนไลน์แบบไร้สายตลอดเวลา ส่งผลให้ตลาดการใช้งานด้านดาต้าในปีนี้มีการเติบโตอย่างเห็นได้ชัดถึง 60% โดยกลุ่มทรูมีลูกค้าที่ใช้บริการ

Wi-Fi by TrueMove มากกว่า 700,000 ราย ซึ่งส่วนใหญ่เลือกใช้บริการเนื่องจากโครงข่าย Wi-Fi มีคุณภาพสูง และมีพื้นที่ให้บริการครอบคลุมสูงสุด ตลอดจนประสิทธิภาพความเร็วในการใช้งานออนไลน์ไร้สายที่เหนือกว่า และล่าสุด กลุ่มทรูนำเสนอนวัตกรรม “Ultra Wi-Fi by TrueMove H” ความเร็วสูงสุด 100 Mbps เป็นรายแรกในประเทศไทย และครั้งนี้ได้ร่วมมือกับธนาคารกสิกรไทย พันธมิตรสถาบันการเงินที่มีความมุ่งมั่นตรงกันที่จะสรรหาบริการที่ดีที่สุด เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มเอาใจลูกค้ายุคดิจิตอล ยิ่งไปกว่านั้น ธนาคารกสิกรไทย ยังเป็นสถาบันการเงินที่เป็นผู้นำด้านดิจิตอลแบงกิ้ง มีฐานลูกค้าผู้ใช้บริการเป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ มีไลฟ์สไตล์ทันสมัย ตามติดเทคโนโลยีใหม่ๆ ตลอดเวลา ซึ่งเป็นตัวแทนคนยุคดิจิตอลอย่างชัดเจน ดังนั้น การเปิดให้บริการ

Ultra Wi-Fi by TrueMove H ที่ธนาคารกสิกรไทยครั้งนี้ จะตอบโจทย์แนวคิด FREEYOU ที่ให้ลูกค้าอิสระเต็มที่ ไม่พลาดทุกการสื่อสาร สามารถออนไลน์ไร้สายความเร็วสูง ได้สูงสุดถึง 100 Mbps ซึ่งมั่นใจได้ด้วยศักยภาพที่เหนือกว่าของกลุ่มทรู ผู้นำบริการอินเทอร์เน็ตไร้สายความเร็วสูง เจ้าของโครงข่าย Wi-Fi คุณภาพที่ใหญ่ที่สุด ตลอดจนพื้นที่ให้บริการที่ครอบคลุมสูงสุด โดยมีจำนวนฮอตสปอตคุณภาพที่มากถึง 100,000* จุดทั้งในและต่างประเทศทั่วโลก ซึ่งจะตอบโจทย์ชีวิตไร้สายของคนยุคดิจิตอลให้อิสระ…ได้เร็วยิ่งกว่า ทุกที่ทุกเวลา

ทั้งนี้ TrueMove H ได้จัดเตรียม Wi-Fi Card ความเร็วสูงสุด 8 Mbps จำนวน 50,000 ใบเพื่อให้ลูกค้าธนาคารกสิกรไทยได้ทดลองใช้บริการ โดยลูกค้าจะสามารถเชื่อมต่อระบบอินเทอร์เน็ตไร้สาย แล้วเลือกชื่อเครือข่าย (SSID) เป็น @ TRUEWIFI เพื่อสัมผัสชีวิตอิสระอย่างเต็มที่ ณ สาขาที่มีสัญลักษณ์ Ultra Wi-Fi by TrueMove H และ Wi-Fi by TrueMove H ลูกค้าที่สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์บริการลูกค้าทรูมูฟ เอช โทร 1331, www.truewifi.net พิเศษสุด แพคเก็จเสริม Ultra Wi-Fi by TrueMove H “ใช้ได้ไม่จำกัด” ด้วยค่าบริการพิเศษเพียง 100 บาทต่อเดือน ถึง 31 ธันวาคม ศกนี้ (จากค่าบริการปกติ 300 บาทต่อเดือน) สำหรับลูกค้าทรูมูฟ และทรูมูฟ เอช เท่านั้น สมัครผ่าน *9000

ด้านนายชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า ที่ผ่านมาธนาคารกสิกรไทยได้มีการพัฒนาการให้บริการด้านดิจิตอลแบงกิ้งอย่างต่อเนื่อง ซึ่งความร่วมมือกับกลุ่มทรูเสริมภาพผู้นำด้านการให้บริการบนโลกดิจิตอลของธนาคารกสิกรไทย เพราะจะเป็นครั้งแรกของไทยที่สาขาของธนาคารพาณิชย์จะมอบประสบการณ์ความสะดวกสบายให้แก่ลูกค้า ด้วยบริการสัญญาณอินเทอร์เน็ตไร้สายภายในสาขา ตอกย้ำความเป็นผู้นำอันดับหนึ่งด้านดิจิตอลแบงกิ้งในตลาดนี้ ด้วยจำนวนผู้ใช้งานรวมกว่า 3,900,000 คน มี Transaction รวมกว่า 14 ล้านต่อเดือน ทั้งบริการธนาคารทางอินเทอร์เน็ต (K-Cyber Banking) ซึ่งมีระบบความปลอดภัยสูงสุด และบริการธนาคารบนโทรศัพท์มือถือ (K-Mobile Banking) ซึ่งรองรับการใช้งานที่หลากหลาย มีผู้ใช้งานในปัจจุบันจำนวนกว่า 2.4 ล้านราย และล่าสุดได้มีการพัฒนาบริการโมบาย เวอริฟาย บาย วีซ่า ด้วยการขอรหัสแบบใช้ครั้งเดียว (One-time Password: OTP) ซึ่งเป็นระบบรักษาความปลอดภัย เพื่อรองรับธุรกรรมทางการเงินผ่านโทรศัพท์เคลื่อนที่เป็นครั้งแรกในประเทศไทยและครั้งแรกของโลก นอกจากนี้ธนาคารฯ ได้มีนวัตกรรมในการให้ข้อมูลและสื่อสารกับลูกค้าผ่านช่องโซเชียลเน็ตเวิร์กต่างๆ เช่น KBank Live บนเฟซบุ๊ก ซึ่งได้รับความนิยมเป็นอันดับหนึ่งในกลุ่มธนาคารพาณิชย์ในไทย

ความร่วมมือครั้งนี้ จะครอบคลุมทั้งสิ้น 42 สาขาหลักในกรุงเทพฯ ในช่วงแรก โดยจะเป็นบริการ Ultra Wi-Fi by TrueMove H ความเร็วสูงสุดถึง 100 Mbps จำนวน 6 สาขา โดยเน้นพื้นที่มหาวิทยาลัย ย่านธุรกิจ ท่องเที่ยว และการค้าสำคัญต่างๆ คือ สาขาสยามสแควร์ สาขาสยามพารากอน สาขาเอสพลานาด รัชดาภิเษก สาขาถนนรัชดาภิเษก สาขาเซ็นทรัลเวิลด์ และสาขาอาคารจิวเวลรี่เทรดเซ็นเตอร์ และบริการ Wi-Fi by TrueMove H ความเร็วสูงสุดถึง 8 Mbps อีก 36 สาขา โดยลูกค้าที่ทำธุรกรรมที่ธนาคารฯ กำหนดสามารถขอรับรหัส (Password) และใส่รหัสเพื่อใช้บริการฟรี 30 นาทีต่อหนึ่งยูสเซอร์ ณ สาขาที่มีสัญลักษณ์การให้บริการ

นอกจากนี้ธนาคารยังตั้งเป้าขยายการบริการไปยังทุกสาขาของธนาคารทั่วกรุงเทพฯ กว่า 300 แห่งภายในปี 2554 ซึ่งมั่นใจว่า ความร่วมมือในการให้บริการโครงการ “Ultra Wi-Fi Experience @ KBank” ครั้งนี้ จะมอบความประทับใจให้ลูกค้าของธนาคารที่ใช้บริการสาขา สามารถเชื่อมต่อโลกออนไลน์เพื่อสื่อสารและค้นหาข้อมูลบนอินเทอร์เน็ตได้อย่างรวดเร็ว แม้ว่าจะอยู่ในระหว่างการทำธุรกรรม ซึ่งลูกค้าสามารถตรวจสอบข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Contact Center โทร 02 888 8888 หรือ www.kasikornbank.com

View :1685

ศาลปกครองพิพากษา กทช. ทำงานล่าช้า

September 16th, 2011 No comments

พิพากษา ทำงานล่าช้าสั่งเร่งพิจารณาแบบสัญญาภายใน ๙๐ วันแก้ปัญหา พรีเพด ด้านว่าที่ ประวิทย์ ฝากการบ้านชุดใหญ่ จี้สำนักงานต้องขยับตัว แก้ปัญหาผู้บริโภคระบบเติมเงิน

นายประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา ว่าที่ กรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ ๓๑ สิงหาคมที่ผ่านมา ศาลปกครองกลางได้มีคำพิพากษา คดีพิพาทเกี่ยวกับการที่เจ้าหน้าที่ของรัฐละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติหรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควร โดยมีนายอนุภาพ ถิรลาภเป็นโจทย์ ยื่นฟ้อง คณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) ปฏิบัติหน้าที่คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ เนื่องจากโจทย์ได้รับความเสียหายจากการที่ กทช. ไม่มีการบังคับใช้ กฎหมายมาตรฐานของสัญญาให้บริการโทรคมนาคม พ.ศ. ๒๕๔๙ โดยการพิจารณาแบบสัญญาการให้บริการโทรคมนาคม ฉบับใหม่ให้แล้วเสร็จเพื่อบังคับใช้ให้เป็นไปตามกฎหมาย ส่งผลให้การใช้บริการโทรศัพท์ระบบเติมเงินของผู้ร้องถูกกำหนดวันหมดอายุ และถูกระงับการใช้บริการ รวมถึงถูกยึดหมายเลขโทรศัพท์ซึ่งใช้งานมากว่า ๑๐ ปี ขณะที่ผู้ให้บริการอ้างว่า ได้ปฏิบัติตามสัญญาเดิมของการให้บริการ เนื่องจาก กทช. ยังพิจารณาสัญญาใหม่ไม่แล้วเสร็จ
“กรณีนี้ศาลพิเคราะห์แล้วว่า กทช. ใช้เวลาในการพิจารณาแบบสัญญานานเกินสมควร คือใช้เวลามากกว่า ๓ ปี ศาลจึงมีคำพิพากษาให้ กทช.ปฏิบัติหน้าที่กสทช. ดำเนินการให้ความเห็นชอบหรือกำหนดแบบสัญญาโทรศัพท์เคลื่อนที่ประเภทเรียกเก็บค่าบริการล่วงหน้าของบริษัท ให้แล้วเสร็จภายใน ๙๐ วัน ทั้งนี้เนื่องจากการไม่พิจารณาแบบสัญญาส่งผลให้ผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือยังปฏิบัติตามข้อกำหนดในสัญญาเดิม คือ หากผู้ใช้บริการไม่มีการเติมเงินเข้าระบบหรือไม่มีการใช้งานภายในระยะเวลาที่กำหนด เลขหมายก็จะถูกระงับสัญญาณ ทั้งที่เป็นการฝ่าฝืนต่อ ข้อ ๑๑ ของประกาศ กทช. เรื่อง มาตรฐานของสัญญาให้บริการโทรคมนาคม “นายประวิทย์กล่าว
นายประวิทย์กล่าวต่อไปว่า จึงขอฝากการบ้านไปถึง สำนักงาน กสทช.ให้เร่งพิจารณาแบบสัญญาให้เสร็จภายใน ๙๐ วัน หรือกำหนดแบบสัญญามาตรฐานขึ้นมาซึ่งจะช่วยคุ้มครองผู้บริโภคที่ร้องเรียนเรื่องการกำหนดวันหมดอายุโทรศัพท์ระบบเติมเงินได้ และเพื่อไม่เป็นการฝ่าฝืนคำสั่งของศาลปกครอง

View :1526

กลุ่มทรู เปิดตัว Ultra Wi-Fi by TrueMove H ความเร็วสูงสุด 100 Mbps

September 13th, 2011 No comments

กลุ่มทรู เปิดตัว โชว์ศักยภาพเน็ตเร็วสูงไร้สายที่ให้ความเร็วสูงสุดถึง 100 Mbps ครั้งแรกในไทยที่สยามพารากอน พันธมิตรศูนย์การค้าชั้นนำระดับโลก ด้วยนวัตกรรม ครอบคลุมทั่วพื้นที่ศูนย์การค้าสยามพารากอน กว่า 500,000 ตารางเมตร มอบชีวิตอิสระ FREEYOU ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ลูกค้าเทรนด์เซตเตอร์ของสยามพารากอน ทั้งนักธุรกิจ นักช็อป นักท่องเที่ยว ให้เพลินใจกับโลกออนไลน์ได้ทุกที่ ทุกเวลา ย้ำผู้นำโมบายล์ ไฮสปีด อินเทอร์เน็ต และโครงข่าย Wi-Fi ที่ใหญ่ที่สุด ด้วยจำนวนฮอตสปอตคุณภาพที่มากถึง 100,000 จุดทั้งในประเทศและต่างประเทศทั่วโลก

นายศุภชัย เจียรวนนท์ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานคณะผู้บริหาร บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น เปิดเผยว่า กลุ่มทรูไม่หยุดนิ่งในการสรรหาและเพิ่มมูลค่าให้ลูกค้าผู้ใช้บริการที่ต้องการอิสระ ทั้งในการทำงานและการใช้ชีวิตประจำวันได้รวดเร็ว สะดวกสบาย ทุกที่ ทุกเวลา ไร้ขีดจำกัด ล่าสุด ผสานยุทธศาสตร์คอนเวอร์เจนซ์ เปิดตัวนวัตกรรมเทคโนโลยีไร้สาย Ultra Wi-Fi by TrueMove H ความเร็วสูงสุดถึง100Mbpsครั้งแรกของไทยที่สยามพารากอนแหล่งรวมเทรนด์เซตเตอร์ตอบโจทย์แนวคิดFREEYOU อิสระ…ให้เร็วยิ่งกว่า ได้ทุกที่ ตรงใจไลฟ์สไตล์คนเมืองยุคใหม่ เพิ่มสปีดชีวิตอิสระไร้สาย ด้วยศักยภาพเน็ตเร็วสูงสุดถึง 100 Mbps ครอบคลุมพื้นที่กว่า 500,000 ตารางเมตร ทั่วศูนย์การค้าสยามพารากอน นายศุภชัย กล่าวเพิ่มเติมว่า “การเปิด Ultra Wi-Fi by TrueMove H ครั้งนี้ ย้ำความแตกต่างที่เหนือกว่าของกลุ่มทรูผู้นำบริการอินเทอร์เน็ตไร้สายความเร็วสูง ซึ่งเป็นรายแรกที่ให้ความเร็วได้สูงสุดถึง 100 Mbps และมีโครงข่าย Wi-Fi คุณภาพที่ใหญ่ที่สุด ตลอดจนพื้นที่ให้บริการที่ครอบคลุมสูงสุด โดยมีจำนวนฮอตสปอตคุณภาพที่มากถึง 100,000 จุดทั้งในและต่างประเทศทั่วโลก ซึ่งจะตอบโจทย์ชีวิตไร้สายของคนยุคดิจิทัลให้อิสระ…ได้เร็วยิ่งกว่า ทุกที่ทุกเวลา”

นางชฎาทิพ จูตระกูล ผู้บริหารสูงสุด บริษัท สยามพารากอน ดีเวลลอบเม้นท์ จำกัด กล่าวว่า สยามพารากอน ศูนย์การค้าที่ยิ่งใหญ่เพียบพร้อมสมบูรณ์แบบของกรุงเทพมหานคร ที่ครบครันด้วยอินเตอร์เนชั่นแนลแบรนด์ชั้นนำระดับโลกและร้านค้าชั้นแนวหน้าของเมืองไทยกว่า 300 ร้านค้า และเป็น World Class Destination ของทั้งนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติทั่วโลก และด้วยกลุ่มเป้าหมายของสยามพารากอนและกลุ่มทรู เป็นกลุ่มคนที่มีไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตตามวิถีคนเมืองที่เกาะติดตามโลกแห่งเทคโนโลยีการสื่อสาร จึงมีแนวความคิดร่วมกันกับกลุ่มทรู ในการนำเสนอ Ultra Wi-Fi by TrueMove H ให้บริการนวัตกรรมอินเตอร์เน็ตไร้สายความเร็วสูง 100 Mbps ครอบคลุมทุกพื้นที่กว่า 500,000 ตารางเมตรภายในศูนย์การค้าขนาดใหญ่เป็นแห่งแรก ในไทย

สำหรับความร่วมมือในครั้งนี้ เป็นการตอกย้ำถึงการยกระดับการบริการด้านการสื่อสารของศูนย์การค้าสยามพารากอนที่แตกต่างเหนือใคร โดยผสานเทคโนโลยีออนไลน์เข้าสู่ศูนย์การค้าอย่างสมบูรณ์แบบ เพื่อเติมเต็มไลฟสไตล์ของกลุ่มลูกค้าของสยามพารากอน ที่เข้ามาซื้อสินค้าและใช้บริการหมุนเวียนภายในศูนย์การค้าในแต่ละวันจำนวนกว่า 1 แสนคน ให้สามารถใช้ชีวิตแบบออนไลน์อิสระไร้สายได้ทุกที่ทุกเวลาและไม่พลาดทุกการสื่อสาร อีกทั้งยังสามารถเข้าถึงแหล่งรวมข้อมูลสาระบันเทิงได้ทุกพื้นที่ในศูนย์การค้าสยามพารากอนเพียงแห่งแรกในประเทศไทย

ทั้งนี้ ผู้สนใจ สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.truewifi.net พิเศษสุด แพคเก็จเสริม Ultra Wi-Fi by TrueMove H “ใช้ได้ไม่จำกัด” เพียง 300 บาทต่อเดือน (ต่ออายุอัตโนมัติ) สำหรับลูกค้าทรูมูฟ และทรูมูฟ เอช เท่านั้น สมัครผ่าน *9000

View :2049

บีโอไอปรับโฉมเว็บไซต์ www.boi.go.th เน้นตอบสนองข้อมูลข่าวสารอย่างสะดวก รวดเร็ว และทันสมัย

September 9th, 2011 No comments

ปรับปรุงเว็บไซต์ www.boi.go.th เน้นปรับรูปแบบการใช้งานให้สะดวก และง่ายต่อการค้นหาข้อมูล และผู้ใช้สามารถรับข่าวสารข้อมูลโดยอัตโนมัติ

นางสาวดวงใจ อัศวจินตจิตร์ รองเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่าในวันที่ 12 กันยายน 2554 นี้เป็นต้นไป เว็บไซด์ของบีโอไอ ( www.boi.go.th ) ได้ปรับปรุงใหม่ ทั้งหน้าเว็บเพจและการใช้งานเกือบทั้งหมดรวมทั้งเพิ่มฟังก์ชั่นต่าง ๆ เพื่อให้นักธุรกิจนักลงทุน สามารถเข้าถึงข้อมูลด้านการลงทุนได้อย่างสะดวก และง่ายดายมากขึ้น อาทิ การแปลข้อมูลเป็นภาษาต่างประเทศให้ครอบคลุมและรวดเร็วมากขึ้น การค้นหาข้อมูลของที่ตั้งสำหรับโครงการลงทุน หรือนิคมอุตสาหกรรมต่างๆ ตลอดจนการค้นหาข้อมูลด้านการลงทุนจากเว็บไซต์ของบีโอไอ และการส่งต่อข้อมูลสำคัญให้แก่ผู้อื่น เช่น ข้อมูลเกี่ยวกับโอกาสและลู่ทางการลงทุนในอุตสาหกรรมต่างๆ เป็นต้น
นอกจากนี้ บีโอไอยังได้เพิ่มเนื้อหาของความเคลื่อนไหว และข่าวสารของกิจกรรมสำคัญๆ ของบีโอไอ รวมทั้งเปิดรับลงทะเบียนเข้าร่วมงานสัมมนา หรือกิจกรรมของบีโอไอผ่านทางเว็บไซด์ ตลอดจนการดาวน์โหลดเอกสารของการสัมมนา
การปรับปรุงเว็บไซต์ในครั้งนี้ จะช่วยให้บีโอไอสามารถตอบสนองความต้องการของนักลงทุนที่ใช้บริการผ่านเว็บไซต์ ให้มีความสะดวกในการเข้าถึงข้อมูลด้านการลงทุน นักลงทุนและผู้เข้าชมเว็บไซต์ สามารถลงทะเบียนขอรับข้อมูลข่าวสาร และความเคลื่อนไหวด้านการลงทุนจากบีโอไอ ซึ่งจะถูกส่งให้นักลงทุนทางอีเมล์เป็นประจำอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะช่วยให้นักธุรกิจนักลงทุนได้รับข้อมูลข่าวสารทันท่วงที

View :2243

เนคเทคเปิดตัวสายลับจับเน็ตล่ม

September 2nd, 2011 No comments

กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดย ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ() สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ ( สวทช.) เปิดตัวระบบ “” ซึ่งเป็นระบบที่ช่วยให้สามารถดูแลอุปกรณ์เครือข่ายทางด้านสารสนเทศได้เป็นจำนวนมาก มีประสิทธิภาพในการดูแลเครือข่ายที่อาจจะอยู่ในบริเวณเดียวกันหรืออยู่ห่างไกลออกไปได้อย่างทั่วถึง ผู้ดูแลไม่จำเป็นต้องนั่งเฝ้าดูการทำงานตลอดเวลาก็ยังสามารถรับรู้ปัญหาที่เกิดขึ้นได้อย่างทันท่วงที ช่วยให้เห็นภาพรวมของสถานะการทำงานของระบบ ทำให้สามารถวิเคราะห์สาเหตุของปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถเรียกดูสถานะการทำงานย้อนหลังเพื่อประโยชน์ในการวิเคราะห์ปัญหา รวมทั้งสามารถสรุปภาพรวมของประสิทธิภาพของระบบได้ คาดระบบดังกล่าวจะก่อให้เกิดประโยชน์และผลกระทบเชิงเศรษฐกิจ สังคม อุตสาหกรรมของประเทศไทยในด้านการจัดการเครือข่ายที่ดีจะช่วยลดปัญหาการล่มของระบบ และลดการสูญเสียรายได้ลดการนำเข้าซอฟต์แวร์ราคาแพงจากต่างประเทศ ภาคอุตสาหกรรมสามารถนำ NetHAM ไปพัฒนาต่อยอดเป็นซอฟต์แวร์เชิงพานิชย์ที่สามารถแข่งขันได้ไนตลาดโลก

ดร.พันธ์ศักดิ์ ศิริรัชตพงษ์ ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ(เนคเทค)กล่าวว่า “จากความต้องการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศหรือไอทีในองค์กร และมักจะประสบปัญหาอยู่บ่อยครั้งใน ๕ เรื่องคือ ๑.ปัญหาระบบเครือข่ายทำงานช้า ๒. บุคลากรทางด้านไอทีขาดความรู้ความชำนาญ ผู้ใช้งานขาดความรู้พื้นฐาน ๓. ความช้าในการใช้งานอินเทอร์เน็ต ๔. ปัญหาในการวางระบบจัดเก็บและแบ่งปันไฟล์ข้อมูล ๕. ระบบควบคุมเวอร์ชั่นของเอกสารช้า ทีมนักวิจัยของเนคเทคจึงได้ดำเนินงานวิจัยและพัฒนาระบบที่มีชื่อเรียกสั้นๆว่า NetHAM : Network Health Analysis and Monitoring มาตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๕๕๐ ซึ่งก็คือ ระบบที่ทำหน้าที่เฝ้ามองการทำงานของเครือข่าย คอยเก็บบันทึกสถานะการทำงาน และแจ้งเตือนให้ผู้ดูแลทราบหากพบว่าส่วนหนึ่งส่วนใดของเครือข่ายมีการทำงานที่ผิดปกติ เช่น เข้าเว็บไม่ได้ อีเมลไม่ถึง รับ-ส่งไฟล์ช้า โดย NetHAM มีคุณสมบัติสำคัญในการใช้งาน คือ ๑.เป็นระบบตรวจสอบสุขภาพของอุปกรณ์และบริการบนเครือข่าย ๒.เน้นการใช้งานที่เข้าใจง่าย ๓.เห็นภาพรวมของระบบชัดเจน ๔.เหมาะสำหรับผู้ดูแลเครือข่ายขนาดกลางและเล็กที่อาจไม่มีความเข้าใจในระบบเครือข่ายลึกซึ้ง ซึ่งเมื่อผู้มีหน้าที่ดูแลระบบสามารถตรวจสอบประสิทธิภาพระบบของตนเอง หรือมีการแจ้งเตือนให้รู้ตัวได้ก่อนที่จะเกิดปัญหาร้ายแรงขึ้นก็จะทำให้สามารถแก้ไขหรือป้องกันปัญหานั้นได้ก่อนที่จะเกิดปัญหาขึ้นและในวันนี้ NetHAM สายลับจับเน็ตล่ม มีความพร้อมแล้วที่จะเปิดให้บริการสาธารณะ โดยมีกลุ่มเป้าหมายที่จะนำไปใช้ประโยชน์ได้ อาทิ สถานศึกษา โรงพยาบาล โรงแรม ห้างร้าน อุตสาหกรรมขนาดย่อม หน่วยงานรัฐ เป็นต้น”

ด้านนางสุวิภา วรรณสาธพ ผู้ช่วยผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เปิดเผยถึงแนวทางในการเปิดให้บริการว่า “NetHAM สายลับจับเน็ตล่ม เป็นระบบที่จะทำหน้าที่ในการดูแลประสิทธิภาพของระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ โดยสามารถแสดงแผนผังการเชื่อมต่อเครือข่าย (Topology), แสดงข้อมูลสรุปสถานะของแต่ละอุปกรณ์,ตรวจสอบและรายงานสถานะของอุปกรณ์และบริการบนเครือข่ายได้ เช่น web, mail, database, แสดงปริมาณการใช้ทรัพยากร Bandwidth, CPU, Memory ของอุปกรณ์เครือข่าย , รายงานสถานะย้อนหลังตามช่วงเวลาที่กำหนด และแจ้งเตือนผู้ดูแลระบบผ่านอีเมลทันทีที่พบความผิดปกติ และในวันนี้ สวทช. โดยทีมนักวิจัยของเนคเทค มีความพร้อมแล้วที่จะนำผลงานวิจัยพัฒนาระบบ NetHAM เปิดให้บริการสาธารณะและถ่ายทอดให้กับองค์กรหรือหน่วยงานต่างๆภายในประเทศ เพื่อนำ NetHAMไปใช้ประโยชน์ในวงกว้างให้เร็วที่สุด เพื่อให้องค์ความรู้ที่ได้จากงานวิจัยถูกนำไปใช้งานจริง ที่สำคัญ สวทช.มุ่งหวังว่า NetHAM จะไปช่วยเสริมสร้างโอกาสทางธุรกิจให้กับองค์กรต่างๆได้ คือ กลุ่มอุตสาหกรรมขนาดย่อม (SME) จะสามารถลดต้นทุนในการดำเนินงานด้านระบบเครือข่าย , กลุ่มอุตสาหกรรมขนาดย่อมด้านซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์ จะสามารถนำ NetHAMไปต่อยอดทางธุรกิจได้ เช่น นำไปให้บริการติดตั้ง ให้คำปรึกษา ฝึกอบรมพร้อมดูแล ระบบ เป็นต้น ที่สำคัญหากองค์กรใดต้องการพัฒนาระบบให้ตอบสนองกับธุรกิจและความต้องการขององค์กรของตนเองเป็นการเฉพาะ สวทช. โดย เนคเทค ก็ยินดีให้คำปรึกษาและพัฒนาเพิ่มเติมให้เช่นกัน”

View :3508

ก.ไอซีที เดินหน้าแผนแม่บทฯ เพื่อบรรลุเป้าหมาย 80% ของประชาชนเข้าถึงบรอดแบนด์ในปี 2558

August 31st, 2011 No comments

นางจีราวรรณ บุญเพิ่ม ปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เปิดเผยถึง ความคืบหน้าโครงการบรอดแบนด์แห่งชาติ ว่า กระทรวงไอซีที ได้ร่วมกับหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ดำเนินการจัดทำแผนแม่บทบรอดแบนด์แห่งชาติ ทั้งด้าน Supply Side ซึ่งเป็นแผนการลงทุนกระจายโครงข่ายสื่อสารผ่านบรอดแบนด์ไปทั่วประเทศตามเป้าหมายที่ต้องการให้เข้าถึงประชาชนร้อยละ 80 ภายในปี 2558 และแผนแม่บทด้าน Demand Side ซึ่งเป็นแผนการใช้งานโครงข่ายบรอดแบนด์โดยภาครัฐเพื่อยกระดับการให้บริการประชาชน และเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานภายในภาครัฐเอง

โดยแผนแม่บทด้าน Supply Side นั้นจะประกอบด้วยแผนการลงทุนจัดหาโครงข่ายบรอดแบนด์ให้เข้าถึงประชาชนตามเป้าหมายโครงการ และแผนการจัดตั้งหน่วยงานบรอดแบนด์แห่งชาติ เพื่อทำหน้าที่จัดหา และบริหารโครงข่ายบรอดแบนด์แห่งชาติ โดยที่ผ่านมากระทรวงฯ ได้ประสานงานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้ง บมจ.ทีโอที บมจ.กสท โทรคมนาคม ผู้ประกอบการภาคเอกชน และ ในการรวบรวมข้อมูล และความคิดเห็นเพื่อจัดทำแผนแม่บทที่มีความเป็นไปได้ในทางปฏิบัติ ซึ่งกระทรวงฯ ได้กำหนดให้มีการจัดสัมมนาเพื่อระดมความเห็น ในวันที่ 9 กันยายน 2554 นี้ โดยเชิญทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องมาร่วมแสดงความคิดเห็น รวมถึงได้เรียนเชิญผู้เชี่ยวชาญ ทั้งไทยและต่างประเทศมาร่วมอภิปรายรูปแบบโครงการบรอดแบนด์แห่งชาติในต่างประเทศ และการประยุกต์ใช้กับประเทศไทย เพื่อนำผล ที่ได้จากการสัมมนามาประกอบการทำแผนแม่บทฯ ต่อไป

ส่วนแผนแม่บทด้าน Demand Side จะประกอบด้วยแผนการให้บริการอิเล็กทรอนิกส์ด้านต่างๆ แก่ประชาชน โดยมุ่งเน้นบริการหลักๆ ที่ให้กับประชาชนโดยรวมของประเทศ ใน 4 ด้าน ได้แก่ e-Education, e-Agriculture, e-Government และ e-Health ซึ่งที่ผ่านมากระทรวงไอซีที ได้ร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สำนักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงสาธารณสุข รวบรวมข้อมูลและความคิดเห็นเพื่อจัดทำแผนแม่บทฯ ให้มีความเป็นไปได้ในทางปฏิบัติ โดยกระทรวงฯ จะมีการจัดสัมมนาเพื่อระดมความเห็นสำหรับการจัดทำแผนแม่บทด้าน Demand Side นี้ในวันที่ 5 กันยายน 2554 และนำผลที่ได้จากการสัมมนามาประกอบการทำแผนแม่บทฯ ด้วยเช่นเดียวกัน

“กระทรวงฯ คาดว่าจะสามารถจัดทำแผนแม่บทฯ แล้วเสร็จประมาณปลายเดือนพฤศจิกายนนี้ และจะได้นำเสนอเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบ สำหรับใช้เป็นกรอบการลงทุนและดำเนินการโครงการบรอดแบนด์แห่งชาติต่อไป โดยคาดว่าโครงการบรอดแบนด์แห่งชาติจำเป็นต้องใช้เงินลงทุนนับหมื่นล้านบาทในอีกไม่กี่ปีข้างหน้านี้ ซึ่งโครงการบรอดแบนด์แห่งชาติ ถือเป็นโครงการสำคัญลำดับต้นๆ ที่ น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ให้ความสนใจและเร่งผลักดันให้เริ่มดำเนินการภายในปีงบประมาณ 2555 ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดประโยชน์ในการใช้งานแก่ประชาชนและภาคธุรกิจอย่างทั่วถึงและเท่าเทียม ซึ่งจะเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทย ช่วยลดค่าบริการ รวมทั้งลดช่องว่างในการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงและบริการอิเล็กทรอนิกส์ของภาครัฐสำหรับประชาชนผู้ด้อยโอกาส ซึ่งโครงข่ายบรอดแบนด์แห่งชาตินี้ นับเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญที่จะผลักดันให้ประเทศไทยมีศักยภาพในการแข่งขันกับตลาดนานาชาติได้อย่างมีประสิทธิภาพ” นางจีราวรรณ กล่าว

View :1654

ก.ไอซีที เสริมความรู้โครงข่ายโทรคมนาคมในยุคหน้า หวังสร้างโครงข่ายที่เชื่อมต่อกันได้โดยไร้ตะเข็บ

August 29th, 2011 No comments

นางจีราวรรณ บุญเพิ่ม ปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เปิดเผยเกี่ยวกับการสัมมนาทางวิชาการ เรื่อง ว่า ตามกรอบนโยบายเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ระยะ พ.ศ. 2554 -2563 ของประเทศไทย (ICT 2020) ได้กำหนดยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ICT ที่เป็นอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงไว้ภายในปี 2563 โดยให้การบริการด้านโครงสร้างพื้นฐานสารสนเทศและการสื่อสารของประเทศไทย เป็นสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานที่ประชาชนสามารถเข้าถึงได้ อย่างมีคุณภาพและมั่นคงปลอดภัย ซึ่งจะเร่งรัดการเปลี่ยนผ่านโครงข่ายโทรคมนาคมปัจจุบันไปสู่โครงข่ายโทรคมนาคมในยุคหน้า (Next Generation Network : NGN) เพื่อให้มีโครงข่ายที่สามารถเชื่อมต่อกันได้โดยไร้ตะเข็บ เสมือนเป็นโครงข่ายเดียวกันทั้งประเทศ

“กระทรวงฯ ได้ตระหนักถึงความสำคัญของการเปลี่ยนผ่านโครงข่ายโทรคมนาคมจากยุคปัจจุบันไปสู่ NGN เป็นอย่างมาก และเพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมรองรับการหลอมรวมของเทคโนโลยี รวมทั้งเพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการต่างๆ ได้ ทุกที่ ทุกเวลา สำหรับการติดต่อสื่อสารในอนาคต อันเป็นการเปิดประตูไปสู่การพัฒนาประเทศ ทั้งในด้านเศรษฐกิจและสังคม ส่งเสริมให้เกิดธุรกิจและอาชีพแบบใหม่เพิ่มขึ้น ตลอดจนสนับสนุนการเข้าถึงเทคโนโลยีสารสนเทศอย่างเสมอภาค และลดช่องว่างการเข้าถึงทางดิจิทัล เพื่อให้ประชาชนได้ใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวัน ในด้านการศึกษา การเกษตรกรรม การแพทย์ และการสาธารณสุข

ดังนั้น กระทรวงฯ จึงได้ร่วมกับ Japan International Cooperation Agency (JICA) ภายใต้ความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทยและรัฐบาลญี่ปุ่น ตามโครงการ Capacity Building in National ICT Development จัดสัมมนาทางวิชาการเรื่อง “NGN : Advanced Technologies and New Applications for Life” ขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอเทคโนโลยีที่ทันสมัยและแอพพลิเคชั่นใหม่ๆ ของ NGN ในระดับสากลเพื่อประยุกต์ใช้ในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน รวมทั้งเพื่อนำเสนอการใช้ประโยชน์จาก NGN ในประเทศญี่ปุ่นและประเทศไทยที่ประสบความสำเร็จ ในด้านการให้บริการสาธารณสุข การศึกษา การเกษตรกรรมสำหรับประชาชนในพื้นที่ชนบทห่างไกล” นางจีราวรรณ กล่าว

การสัมมนาทางวิชาการครั้งนี้ กระทรวงฯ ได้เชิญผู้บริหารระดับสูง ผู้บริหารเทคโนโลยีสารสนเทศระดับสูง (CIO) ของหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และสถาบันการศึกษา เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานด้านวิชาการ ด้านนโยบายและแผนเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ผู้แทนสมาคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จำนวนประมาณ 100 คน เข้าร่วมการสัมมนาและรับฟังการบรรยายทางวิชาการดังกล่าว

“กระทรวงฯ คาดหวังว่า ผลจากการสัมมนาทางวิชาการครั้งนี้ จะสร้างความตระหนักให้หน่วยงานต่างๆ ได้เห็นถึงความสำคัญของการใช้ประโยชน์จาก NGN ในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน รวมทั้งได้เผยแพร่การใช้ประโยชน์ของ NGN ตามกรอบนโยบาย ICT 2020 และส่งเสริมสนับสนุนให้มีการขยายบริการบรอดแบนด์ไปสู่พื้นที่ชนบท เพื่อให้มีการบริการโทรคมนาคมพื้นฐานโดยทั่วถึงและเท่าเทียมต่อไป” นางจีราวรรณ กล่าว

View :1569

ตลาดออนไลน์ Thaitrade.com ทางลัดสู่ตลาดโลก (ตอนที่1)

August 26th, 2011 No comments

ในยุคสังคมออนไลน์(Social Network) ที่เข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันทั่วทุกมุมโลก ทำให้ผู้ประกอบการจำนวนมาก มองเห็นถึงโอกาสในการทำตลาดบนโลกเสมือนจริงนี้ ขณะเดียวกันผู้ประกอบการหลายรายที่ยังมีข้อกังวลว่า จะต้องเตรียมตัวอย่างไรเพื่อก้าวเข้าสู่สนามการค้าในยุคสังคมออนไลน์

ก่อนอื่นคงต้องทำความเข้าใจในเบื้องแรกก่อนว่า การตลาดในปัจจุบันนั้น มีแนวทางการดำเนินการอยู่ 2 แนวทางคือ การตลาดแบบ Offline Marketing ซึ่งเป็นการทำการตลาดโดยใช้เครื่องมือต่างๆ ผ่านรูปแบบหรือกิจกรรม เช่น กิจกรรมทางโฆษณา การตลาดและการขายที่มองเห็นและจับต้องได้ อีกแนวทางหนึ่งคือการตลาดแบบ Online Marketing ซึ่งเป็นการตลาดที่มีกิจกรรมบนโลกไซเบอร์หรือผ่านระบบอินเตอร์เนตทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นการซื้อ การขาย การโฆษณาหรือการวางแผนการตลาด ซึ่งปัจจุบันมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง และสามารถลดค่าใช้จ่ายได้อย่างมาก

ทั้งนี้ในช่วงเริ่มต้น การตลาดแบบออนไลน์อาจเป็นเรื่องยากสำหรับผู้ประกอบการหน้าใหม่ รวมถึงผู้ประกอบการที่กำลังดำเนินธุรกิจอยู่แล้ว แต่การศึกษาหาข้อมูล และการทำความเข้าใจในวิธีการทำตลาดออนไลน์ที่ดี จะสามารถนำเอาข้อมูลดังกล่าวไปใช้เพิ่มเติมความเข้าใจได้มากยิ่งขึ้น ซึ่งทำให้ธุรกิจออนไลน์ของคุณ สามารถเข้าถึงกลุ่มผู้ใช้ได้อย่างตรงกลุ่มเป้าหมาย การใช้อิเล็กทรอนิกส์เป็นเครื่องมือเชิงพาณิชย์นั้น สามารถช่วยให้ผู้ขายประหยัดค่าใช้จ่าย ทั้งในเรื่องของสินค้า พนักงานขาย และการให้บริการได้ตลอด 24 ชั่วโมง ใน 7 วัน บนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตที่มีผู้ใช้ทั่วโลกหลายร้อยล้านคนทั่วโลก ทำให้ปริมาณการซื้อขายเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตลอดเวลา ทำผู้ประกอบการจำเป็นต้องศึกษาเรื่องของสินค้าหรือผลิตภัณฑ์, ช่องทางการประชาสัมพันธ์ ตลอดจนการกำหนดกลุ่มเป้าหมายให้ชัดเจน เพื่อให้การใช้สื่อสารประเภทนี้มีประสิทธิภาพอย่างสูงสุด

กรณีศึกษาที่น่าสนใจจากผู้ประกอบการที่ดำเนินการตลาดแบบ Online Marketing เพียงอย่างเดียวคือ บริษัท Exportcity Group บริหารงานโดยคุณณัลลิกา ธนสรรค์นนท์ ที่สั่งสมประสบการณ์ด้านการทำธุรกิจออนไลน์มากว่า 10 ปี และปัจจุบันยังเป็นสมาชิกระดับ gold ของเว็บไซต์ Alibaba.com ต่อเนื่องมา 5 ปี (5th year gold supplier on Alibaba) ได้แนะนำขั้นตอนการทำธุรกิจออนไลน์ให้กับผู้ประกอบการไทยที่สนใจว่า สิ่งสำคัญที่ผู้ประกอบการต้องเริ่มทำคือ

1. มีรูปภาพของสินค้าที่สามารถบอกรายละเอียด และสัดส่วนได้อย่างชัดเจน
2. สมัครเข้าเป็นสมาชิกของเว็บไซต์ B2B หลายๆ แห่งเพื่อสร้างเครดิตให้กับสินค้าและธุรกิจ โดยปัจจุบันเว็บไซต์ประเภทนี้มีมากกว่า 18,000 เว็บไซต์ ซึ่งผู้ประกอบการอาจเริ่มสมัครจากเว็บไซต์ในกลุ่มประเทศที่ต้องการจำหน่ายสินค้าเช่น ในแถบตะวันออกกลาง อย่าง อินเดีย ดูไบ ปากีสถาน ให้สมัครเป็นสมาชิกของกับ Alibaba และ go4worldbusiness.com สำหรับในเกาหลี มีเว็บไซต์ ezplaza.com ในญี่ปุ่นมี jetro ซึ่งเป็นเว็บไซต์ที่เน้นทำธุรกิจ business matching และในไต้หวัน มีเว็บไซต์ tradkey.com เป็นต้น
3. จัดทำเว็บไซต์ของตัวเอง ซึ่งการลงทุนต่ำสุดประมาณ 6,000 บาท ทั้งนี้เพราะ เว็บไซต์เป็นเสมือนกับหน้าร้านที่สามารถบอกเล่าเรื่องราว ความเป็นมาของบริษัท รวมทั้งรายละเอียดของสินค้าได้มากกว่าเว็บไซต์ B2B ที่เป็นสมาชิก ซึ่งมีสมาชิกมากมายอยู่ในนั้น การจัดทำเว็บไซต์จึงเป็นการรองรับการทำธุรกิจอย่างแท้จริง

สิ่งสำคัญอีกประการสำหรับการทำธุรกิจออนไลน์ คือ สินค้าต้องมีจุดเด่นและความแตกต่าง เพราะเว็บไซต์เป็นเหมือนถนนที่คนต้องเดินผ่าน หากสินค้าไม่สะดุด คนก็ไม่หยุดดู ดังนั้นสินค้าต้องมีจุดเด่น และแตกต่าง ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญที่จะทำธุรกิจออนไลน์ของคุณประสบความสำเร็จได้

ด้วยความสำคัญและเป็นรูปแบบการตลาดที่ยังเปิดกว้างไร้ขอบเขตให้กับผู้ประกอบการทุกราย กรมส่งเสริมการส่งออก กระทรวงพาณิชย์ จึงได้จัดทำ โครงการตลาดกลางซื้อขายทางอิเล็กทรอนิกส์ ภายใต้เว็บไซต์ชื่อ ขึ้น เพื่อเป็นตลาดกลางการซื้อขายสินค้าไทยแบบ B2B (หรือ B2B E-Marketplace) อย่างเป็นทางการของประเทศไทย เนื่องจากเล็งเห็นความสำคัญของการค้าบนโลกออนไลน์ ซึ่งปัจจุบันการดำเนินธุรกิจทั่วโลก หันมาใช้อีคอมเมิร์ซเป็นส่วนใหญ่ และมีแนวโน้มการเติบโตที่เพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตามจำนวนของผู้ที่เข้าใช้อินเตอร์เน็ตที่เพิ่มมากขึ้นด้วย นอกจากนี้ยังเป็นการพัฒนาศักยภาพผู้ส่งออกไทยให้ก้าวสู่โลกการค้าในตลาดออนไลน์แบบ B2B ให้ประสบผลสำเร็จ ด้วยต้นทุนที่ต่ำกว่าการค้าแบบออฟไลน์

และจากข้อมูลสถิติ www.internetworldstats.com ปี 2551 พบว่าการดำเนินธุรกิจอีคอนเมิร์ซ ส่วนใหญ่ในประเทศไทย ร้อยละเฉลี่ย 80% อยู่ในรูปของ B2C แต่มีมูลค่าตลาด 45,951 ล้านบาท คิดเป็น 8.7 % ของมูลค่าตลาดรวมของอีคอมเมิร์ซทั่วประเทศเท่านั้น ในขณะที่มูลค่าตลาดของ B2B ในปีเดียวกัน สูงถึง 190.7 พันล้านบาท หรือคิดเป็น 36 % ของตลาดรวมของอีคอมเมิร์ซทั่วประเทศ ดังนั้นกรมส่งเสริมการส่งออก จึงได้จัดทำเว็บไซต์thaitrade.com และตั้งเป้าให้เป็น Thailand B2B E-Marketplace เพื่อผลักดันให้สินค้าไทยออกไปสู่ตลาดโลก ซึ่งมีศักยภาพการซื้อขายสูง จึงนับเป็นโอกาสสำคัญของผู้ส่งออกไทย และโอกาสของการส่งออกไทยอีกช่องทางหนึ่งที่สำคัญยิ่ง.

View :2065

เอ็มบี โมบาย รุกตลาดประเทศไทย เจาะกลุ่มผู้ใช้เฟซบุ๊ค มั่นใจ ได้ลูกค้ากว่า 2 ล้านคนภายในปี 2556

August 24th, 2011 No comments

จับมือ เอ็ม ซี เอ็น ไทยแลนด์ เปิดตัว ไทยแลนด์ ให้กลุ่มเป้าหมายร่วมกิจกรรม-รับแต้ม แลกค่าโทรศัพท์ฟรีเป็นเจ้าแรก และเจ้าเดียวในประเทศไทย จับมือ3 โอเปอร์เรเตอร์ยักษ์ใหญ่ ทั้งเอไอเอส ดีแทค และทรูมูฟ ตั้งเป้ากวาดผู้ใช้โซเชียลมีเดียสุดฮิตอย่างเฟซบุคเป็นลูกค้ากว่า 2 ล้านคน

นาย มาร์ค บุ๊คแมนต์ ประธานบริหาร บริษัท โมบายล์ คอนเทนท์ เน็ทเวิร์ค จำกัด หรือ เอ็ม ซี เอ็น (MCN) ผู้ให้บริการโซลูชั่นค้นหาข้อมูล และการโฆษณา ทางโทรศัพท์มือถือ เปิดเผยว่า เอ็ม ซี เอ็น ร่วมกับ เอ็มบี โมบายล์ (Embee Mobile) บริษัทผู้ให้บริการจัดหาบริการทางโทรศัพท์มือถือ และเนื้อหาบนโทรศัพท์มือถือ เปิดตัว “เอ็มบีเปย์ ไทยแลนด์” ( Thailand) บริการใหม่ล่าสุด เป็นครั้งแรกในประเทศไทยหลังประสบความสำเร็จมาแล้วในกว่า 90 ประเทศ ทั่วโลก

“จำนวนผู้ใช้อินเตอร์เน็ตในประเทศไทยเติบโตอย่างรวดเร็วมาก และมีแนวโน้มที่จะเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันมีผู้ใช้อินเตอร์เน็ตแล้วถึงกว่า 20 ล้านคน (ข้อมูลจากทรูฮิต) และมีอัตราการเติบโตเป็นตัวเลข 2 หลักมาโดยตลอดในช่วง 2-3 ปีที่ผ่าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งจำนวนผู้ใช้เฟซบุคที่มีการเติบโตแบบก้าวกระโดด โดยในครึ่งปีแรกของปี 2554 อัตราการเติบโตของผู้ใช้เฟซบุคในประเทศไทยสูงถึง 53.89% ดังจะพบว่าในเดือนมิถุนายน 2554 มีผู้ใช้เฟซบุคในประเทศสูงถึง 10,361,120 คน (ข้อมูลจาก www.Socialbakers.com) นอกจากจำนวนผู้ใช้อินเทอร์เน็ตที่เติบโตอย่างต่อเนื่องแล้ว ผู้ใช้อินเตอร์เน็ตชาวไทยยังมีแนวโน้มที่จะรับเทคโนโลยีหรือบริการใหม่ๆ บนโลกอินเตอร์เน็ตได้มากขึ้นอีกด้วย ทำให้เป็นประเทศไทยเป็นตลาดที่น่าจับตามองอย่างมาก และทำให้เอ็มซีเอ็น ตัดสินใจดึง เอ็มบี โมบายล์ มาร่วมลงทุนในตลาดนี้” นาย มาร์ค บุ๊คแมนต์ กล่าว

“เอ็มบีเปย์” (EmbeePay) เป็นบริการที่ได้รับความนิยมอย่างสูงจากผู้ใช้โซเชียลเน็ทเวิร์คทั่วโลก เนื่องจากเป็นบริการที่ใช้งานง่าย ไม่มีค่าใช้จ่าย โดยผู้ใช้เพียงแค่มีเฟซบุค และลงทะเบียนเบอร์โทรศัพท์มือถือกับ EmbeePay Thailand ก็สามารถทำคะแนน สะสมแต้มกับกิจกรรมต่างๆ บน EmbeePay Thailand และสามารถนำแต้มที่ได้นั้นมาใช้เปลี่ยนเป็นค่าโทรศัพท์ หรือ SMS, MMS หรือแม้แต่การค้นหาข้อมูลต่างๆ บนอินเตอร์เน็ต ผ่านโทรศัพท์มือถือระบบเติมเงิน (พรีเพด) ของ 3 ค่ายยักษ์ใหญ่ ได้แก่ เอไอเอส ดีแทค และ ทรูมูฟ” นายอีริค ชาน ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท เอ็มบี โมบาย กล่าว

“ผลการสำรวจพฤติกรรมการใช้อินเทอร์เน็ตของคนไทย โดย Asia Digital Marketing Association ยังพบว่า 85% ของผู้ใช้อินเตอร์เน็ตในประเทศไทยใช้โซเชียลเน็ทเวิร์คหลายครั้งต่อสัปดาห์ และมีค่าเฉลี่ยการใช้งานโซเชียลเน็ทเวิร์คสูงถึงกว่า 7 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ซึ่งนับว่าสูงที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ บริษัทจึงมีความมั่นใจว่าบริการของ EmbeePay Thailand จะได้รับความนิยมเป็นอย่างสูงในกลุ่มผู้ใช้โซเชียล เน็ทเวิร์ค เพราะบริการของ EmbeePay นั้นผู้ใช้จะใช้เวลาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่ได้รับผลตอบแทนที่คุ้มค่ากับเวลาของพวกเขา โดยคาดว่าจะมีผู้ลงทะเบียนใช้งานกับ EmbeePay อย่างน้อย 2 ล้านคนภายในปี 2556 นี้” ดร.มนตรี วีรยางกูร กรรมการผู้จัดการ บริษัท โมบายล์ คอนเทนท์ เน็ทเวิร์ค จำกัด กล่าวเพิ่มเติม

ผู้ใช้ที่สนใจสามารถลงทะเบียนได้ที่ http://bit.ly/embee-thailand

View :1828

แอลจีผนึกกำลังเมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ เปิดตัวเอ็กซ์คลูซีฟ คอนเทนต์ใหม่ล่าสุด ส่งตรงข้อมูลภาพยนตร์และโปรโมชั่นถึงหน้าจอสมาร์ท ทีวีที่บ้าน พร้อมแจกตั๋วหนังฟรีทุกเดือน

August 23rd, 2011 No comments

บริษัท จำกัด ผู้บุกเบิกตลาดสมาร์ท ทีวีรายแรกของไทยและผู้นำตลาดทีวีสามมิติ จับมือเมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ เปิดให้บริการเอ็กซ์คลูซีฟ คอนเทนต์ใหม่ล่าสุดในแอลจีสมาร์ททีวี ส่งตรงข้อมูลภาพยนตร์และโปรโมชั่นต่างๆ สู่หน้าจอทีวีที่บ้าน พร้อมแจกตั๋วชมภาพยนตร์ฟรีเดือนละหนึ่งพันที่นั่ง

คุณฉันท์ชาย พันธุฟัก หัวหน้ากลุ่มผลิตภัณฑ์โฮมเอ็นเตอร์เทนเมนต์ บริษัท จำกัด กล่าวว่า “แอลจีเป็นแบรนด์แรกในตลาดที่พัฒนาพรีเมียม คอนเทนต์ภาษาไทยสำหรับสมาร์ท ทีวี เพื่อตอบรับกับไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคในไทย ล่าสุด แอลจีได้ร่วมมือกับเมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ เอาใจคนรักหนัง เปิดให้บริการคอนเทนต์ในแอลจีสมาร์ท ทีวี ให้ข้อมูลตัวอย่างภาพยนตร์พร้อมเนื้อหาโดยย่อ กำหนดวันเข้าฉาย รอบฉายของโรงภาพยนตร์ทั่วประเทศ เบอร์โทรศัพท์ติดต่อโรงภาพยนตร์ทั่วประเทศ และข้อมูลโปรโมชั่นต่างๆ ของโรงภาพยนตร์ในเครือเมเจอร์ โดยผู้ใช้งานแอลจีสมาร์ท ทีวีสามารถดูรายละเอียดต่างๆ และสิทธิประโยชน์จากเมเจอร์ ผ่านหน้าจอทีวีที่บ้านได้ทันทีอย่างง่ายดาย นับเป็นการอำนวยความสะดวกสบายที่เหนือระดับให้แก่ผู้ใช้งานอย่างแท้จริง”

แอลจีและเมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ยังจัดโปรโมชั่นพิเศษ แจกตั๋วชมภาพยนตร์ฟรีสำหรับลูกค้าของแอลจี สมาร์ท ทีวี เพียงเข้าไปที่คอนเทนต์เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์คอนเทนต์ ดาวน์โหลดมูฟวี่โค้ดในหน้าโปรโมชั่นและแจ้งมูฟวี่โค้ดที่หน้าบ็อกซ์ออฟฟิศ จะได้รับตั๋วชมภาพยนตร์ฟรี จำนวน 1 ใบ สำหรับลูกค้า 1,000 ท่านแรกต่อเดือน โดยสมาร์ท ทีวี 1 เครื่องสามารถดาวน์โหลดมูฟวี่โค้ดได้ 1 ครั้งต่อเดือน สำหรับลูกค้าที่เคยดาวน์โหลดมูฟวี่โค้ดไปแล้ว สามารถดาวน์โหลดซ้ำได้อีกในเดือนถัดไป โดยมูฟวี่โค้ดมีอายุการใช้งาน 1 เดือน โปรโมชั่นเริ่มตั้งแต่วันนี้ถึง 31 ตุลาคมศกนี้

“นอกเหนือจากการเปิดตัวคอนเทนต์ในครั้งนี้ แอลจีและเมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ยังได้เตรียมกิจกรรมทางการตลาดอีกมากมายตลอดทั้งปี เพื่อตอบรับความต้องการการใช้งานของผู้บริโภคให้ครบทุกด้าน โดยประมาณต้นปีหน้า ผู้บริโภคจะสามารถจองตั๋วชมภาพยนตร์ผ่านทางแอลจีสมาร์ท ทีวี ได้อีกด้วย” คุณฉันท์ชาย กล่าวเสริม

ด้วยแอลจี สมาร์ท ทีวี สามารถเชื่อมต่อโลกออนไลน์อย่างง่ายดาย พร้อมเต็มอิ่มไปกับพรีเมียม คอนเทนต์ภาษาไทยที่ตรงใจผู้ใช้งานชาวไทย ไม่ว่าจะเป็น เนชั่น แชนแนล, MTHAI, Wikalenda, Shoppening และ HotelsThailand

ผู้สนใจสามารถตรวจสอบรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.lg.com/th/ หรือ www.lgblogger.com

View :1511