Archive

Archive for the ‘Press/Release’ Category

เอไอเอสเดินหน้าส่ง “อุ่นใจได้แต้มปี 4” ลุ้นทองทั่วไทย ทุกวัน ทุกเดือน ทุกจังหวัด มอบโชคใหญ่กว่า 25 ล้านบาท

April 2nd, 2012 No comments

เดินหน้าสู่มิติใหม่ของการบริการลูกค้า เผยกลยุทธ์ดูแลลูกค้าปี 2555 ด้วยที่สุดของบริการและการสร้างประสบการณ์เชิงบวก ที่มุ่งเน้น ความเร็ว (Speed), คุณภาพ (Quality) ,ทางเลือก (Choices) พร้อมนำเทคโนโลยีเข้ามาประยุกต์ใช้กับงานบริการ เพิ่มคุณภาพเข้มข้นในทุกมิติผ่าน Quality DNAs ล่าสุดเดินหน้าจัดเต็ม Special Rewards กับแคมเปญ “” ต่อเนื่อง ให้ลูกค้าได้ ลุ้นทองทั่วไทย ทุกวัน ทุกเดือน ทุกจังหวัด มอบโชคใหญ่มูลค่ากว่า 25 ล้านบาท พร้อมของรางวัลอื่นอีกมากมาย เข้าร่วมโครงการได้ง่ายๆ เพียงกด *544# แล้วโทรออก (ฟรี) ตั้งแต่วันนี้ – 31 ต.ค. 2555

นายมาร์ค ชอง ชิน ก๊อก หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านปฏิบัติการ เอไอเอส กล่าวว่า “นอกเหนือจากการมุ่งมั่นพัฒนาบริการคุณภาพอย่างลึกซึ้ง ลงรายละเอียดในทุกมิติ ภายใต้แนวคิด Quality DNAs เพื่อให้สามารถส่งมอบบริการให้ลูกค้าด้วยแนวคิด “ชีวิตในแบบคุณ” ได้ตามที่เราเคยประกาศความตั้งใจว่า เราพร้อมที่จะตอบสนองความต้องการถึงระดับ Micro segment ให้ได้มากที่สุดแล้ว การทำงานเพื่อครองใจลูกค้า ก็เป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ที่เอไอเอสให้ความสำคัญอย่างยิ่งและทำอย่างจริงจังผ่านทุกโปรแกรมการดูแลลูกค้า ส่งผลให้ในปีที่ผ่านมาพบว่า ความพึงพอใจโดยรวม (Overall Customers Satisfaction) สูงถึง 89 % และมีจำนวนลูกค้าไหลออกจากระบบลดลง (Churn Reduction) ถึง 59% ทั้งนี้สำหรับปี 2012 จะเห็นภาพการแข่งขันด้าน Customer Service อย่างรุนแรง โดยเฉพาะในแกนของการดูแลลูกค้าที่ใช้ Data ซึ่งในภาพรวมถือได้ว่าเป็นประโยชน์กับผู้บริโภค สำหรับเอไอเอสนอกจากจะเป็นผู้กำหนดมาตรฐานด้านนี้ของอุตสาหกรรมสื่อสารโทรคมนาคมมาโดยตลอดแล้ว เรายังไม่เคยหยุดยั้งและจะเดินหน้าด้วยการสร้างมาตรฐานใหม่อีกขั้น ด้วย มิติใหม่ของการบริลูกค้า ส่งมอบที่สุดของบริการคุณภาพและประสบการณ์เชิงบวก (Customer Experience Champion) เพื่อให้สามารถตอบโจทย์ผู้ใช้บริการในยุคปัจจุบันได้อย่างตรงใจในแบบของคุณ”

นางวิลาสินี พุทธิการันต์ รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานบริหารลูกค้า และการบริการ เอไอเอส กล่าวถึงรายละเอียดการดูแลลูกค้าว่า “ความท้าทายของงานบริการคือ การเข้าใจและเห็นภาพความต้องการของลูกค้าได้อย่างแม่นยำ และสามารถนำมาพัฒนาเป็นรูปแบบบริการที่สนองตอบและมอบประสบการณ์คุณภาพได้อย่างตรงใจ การก้าวสู่มิติใหม่ของงานบริการครั้งนี้ จึงเน้น 3 เรื่อง คือ ความรวดเร็ว, คุณภาพ และการสร้างทางเลือก ผ่าน 2 แกนของการทำงานคือ สุดยอดงานบริการคุณภาพ (Service Quality) และ สิทธิพิเศษรวมถึง Special Rewards เพื่อความพิเศษในทุกๆวัน โดยมีรายละเอียด ดังนี้

สุดยอดงานบริการคุณภาพ (Service Quality)
- พัฒนาช่องทางการส่งมอบบริการ หรือ Customer Touch Point สู่ Experience Shop อาทิ การปรับโฉม AIS Shop ทั่วประเทศ เน้น Customer Journey ที่สามารถส่งมอบประสบการณ์คุณภาพได้อย่างสมบูรณ์แบบ, ยกระดับบริการของร้าน Telewiz Plus ให้เทียบเท่ากับ AIS Shop, ขยาย AIS Call Center เพื่อเพิ่มความสามารถในการให้บริการ, เอาใจสาวกสมาร์ทโฟนด้วยมุม ทดลอง และสัมผัสเครื่องจริงก่อนตัดสินใจซื้อ, ฯลฯ
- เพิ่มขีดความสามารถของจุดบริการ อาทิ มีผู้เชี่ยวชาญด้าน Smart Device มากกว่า 800 คน พร้อมให้คำแนะนำ, จัดอุปกรณ์โอนถ่ายข้อมูลความเร็วสูงของเครื่อง Smart Phone (Express Data Transfer) , จัดระบบนัดหมายเพื่อเข้าบริการ (Service Appointment) ฯลฯ
- อำนวยความสะดวกและดูแลลูกค้า Smart Phone ให้ไม่ต้องกังวลกับการใช้งาน อาทิ ระบบแจ้งเตือนการใช้งานนอกเหนือแพ็คเกจ, การช่วยจำกัดการใช้งานนอกเงื่อนไข และ สร้างช่องทางการสมัครแพ็คเกจ-เช็คยอดการใช้งานด้วยตัวเอง ทั้งในและต่างประเทศ

สิทธิพิเศษและ Special Rewards ที่ลงรายละเอียดให้แก่ลูกค้า 3 กลุ่ม คือ ลูกค้า Serenade 2.4 ล้านราย, ลูกค้าองค์กรกว่า 6 แสนราย และ ลูกค้าเอไอเอส 30 ล้านราย
- เน้นการส่งมอบความ Exclusive, ความพิเศษในทุกๆวัน และเสริมศักยภาพในการบริหารจัดการ

คุณวิลาสินีกล่าวต่อไปว่า “โครงการอย่าง “เอไอเอส อุ่นใจได้แต้ม” ถือเป็น 1 ใน Special Rewards ที่จัดขึ้นเพื่อตอบแทนการใช้งานของลูกค้าภายใต้แนวคิดให้ทุกการใช้งานปกติของลูกค้ามีมูลค่าเพิ่ม ผ่านการมอบรางวัลที่มีคุณค่าอย่างทองคำ ซึ่งนับวันยิ่งมีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ โดย 3 ปีที่ผ่านมามีลูกค้าให้การตอบรับเป็นอย่างมาก วัดจากการกดสมัครเข้าร่วมโครงการเป็นจำนวนกว่า 13 ล้านเลขหมาย โดยใน 3 ปีที่ผ่านมา เอไอเอสมอบรางวัลให้ลูกค้าผ่านโครงการนี้จำนวน 53,034 รางวัล คิดเป็นมูลค่าถึง 46 ล้านบาท”
ล่าสุด เอาใจลูกค้าต่อเนื่องอีกครั้งเป็นปีที่ 4 ยิ่งใหญ่กว่าเดิม กับ “เอไอเอส อุ่นใจได้แต้ม ปี 4 ลุ้นทองทั่วไทย ทุกวัน ทุกเดือน ทุกจังหวัด มอบโชคใหญ่กว่า 25 ล้านบาท” โดยลูกค้าสามารถร่วมลุ้นเป็นผู้โชคดีรับรางวัลใหญ่ตุ๊กตาน้องอุ่นใจทองคำ มูลค่า 1,000,000 บาท ทุกเดือน และ ลุ้นทุกวัน กับ 1) สร้อยคอทองคำพร้อมจี้น้องอุ่นใจมูลค่า 10,000 บาท 2) โทรศัพท์มือถือ HTC พร้อมแพ็คเกจ Unlimited มูลค่า 10,000 บาท 3) พิเศษ ลูกค้า เอไอเอส เซเรเนด ลุ้นตั๋วเครื่องบินภายในประเทศ Bangkok Airways นอกจากนี้ยังมีของรางวัลอื่นๆ อีกมากมาย ภายใต้กติกาเดิมคือ กดสมัครเข้าร่วมโครงการเพียงครั้งเดียวที่ *544# แล้วโทรออก (ฟรี) ตั้งแต่วันนี้ถึง 31 ต.ค. 2555”

“เรามั่นใจว่าแนวทางการดูแลลูกค้าเอไอเอสจะประสบความสำเร็จได้ต้องเกิดจากการตอกย้ำ สร้างความต่อเนื่อง และลงลึกในรายละเอียดของลูกค้า เพื่อให้รู้สึกได้ว่าการเป็นลูกค้าเอไอเอส นั้น นอกเหนือจากคุณภาพแล้วยังได้รับสิ่งที่พิเศษมากกว่าเสมอ” คุณวิลาสินีกล่าวสรุป

View :1416

โซนี่ มิวสิค ปล่อย “ซิงกูล่าร์ แอพพลิเคชั่น” เอาใจแฟนเพลง

April 2nd, 2012 No comments


เอาใจแฟนเพลง “ซิงกูล่าร์”(Singular) ด้วยแอพพลิเคชั่นใหม่กับ “” (Singular Application) ซึ่งภายในตัวแอพมีคอนเทนต์ต่างๆมากมายไม่ว่าจะเป็น ประวัติและรูปภาพของศิลปินแบบเอ็กซ์คลูซีฟจากทุกอัลบั้มของ Singular ไม่ว่าจะเป็น มิวสิควีดีโอ และ เพลงพิเศษที่หาฟังที่ไหนไม่ได้แต่มีที่นี่ที่เดียวเท่านั้น รวมถึงสามารถฟังเพลงหรือรับชมมิวสิควีดีโอจาก “” (Singular Application) ได้ทันทีโดยไม่จำเป็นต้องเชื่อมต่อเข้ากับอินเตอร์เน็ต พร้อมทั้งอัพเดทเพลงจากซิงเกิ้ลใหม่ของศิลปินกันได้ตลอด 24 ชั่วโมง โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม นอกจากนี้ยังสามารถอัพเดทข่าวสารติดตามความเคลื่อนไหวและสามารถพิมพ์ข้อความพูดคุยกับศิลปินคนโปรดกันได้ ผ่านทาง Social Network อย่าง Facebook Fanpage Singular จาก “” (Singular Application) นี้ได้ทันทีอีกด้วยเช่นกัน

โดยลูกค้าสามารถดาวน์โหลด “ซิงกูล่าร์ แอพพลิเคชั่น” (Singular Application) จาก App Store ได้แล้ววันนี้ ในอัตราค่าบริการเพียง 90 บาท หรือ 2.99 USD สำหรับแฟนคลับของศิลปินอื่นอย่าเพิ่งน้อยใจกันไป ทั้งนี้โซนี่มิวสิคเตรียมแผนพร้อมออกแอพพลิเคชั่นดังกล่าวกับศิลปินอื่นๆในอนาคตอีกด้วย

View :1619

ก.ไอซีที พัฒนาระบบข้อมูลกลางด้านอุตสาหกรรมและตลาด ICT ของไทย

April 2nd, 2012 No comments

นางอังคณา วงษ์ประเสริฐ รักษาการผู้อำนวยการสำนักส่งเสริมอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สำนักงานปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เปิดเผยเกี่ยวกับแนวทางการพัฒนาระบบข้อมูลกลางอุตสาหกรรมและตลาด ICT ของประเทศไทย ว่า ตามกรอบแผนแม่บทเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ฉบับที่ 2) ของประเทศไทย พ.ศ.2552 – 2556 ในยุทธศาสตร์ที่ 5 เรื่อง การยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรม ICT เพื่อสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจและรายได้เข้าประเทศนั้น ได้มุ่งเน้นการสร้างงานวิจัย พัฒนา และนวัตกรรมภายในประเทศ ทั้งจากหน่วยงานภาครัฐ ภาคการศึกษา และภาคเอกชน ให้มีความสามารถในการผลิตเทคโนโลยีในระดับต้นน้ำเพิ่มขึ้น รวมถึงส่งเสริมการถ่ายทอดเทคโนโลยีที่เกิดจากงานวิจัยสู่ผู้ประกอบการ และสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการประกอบธุรกิจ ให้สามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจและรายได้เข้าประเทศมากขึ้น โดยมีมาตรการสำคัญ คือ การสนับสนุนด้านเงินทุน/เงินช่วยเหลือเพื่อส่งเสริมให้เกิดผู้ประกอบการรายใหม่ การยกระดับมาตรฐานสินค้าและบริการ ICT ไทยสู่ระดับสากล การสร้างโอกาสทางการตลาดและโอกาสในการแข่งขันสำหรับผู้ประกอบการไทย การส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรม ICT ทั้งภายในประเทศและจากต่างประเทศ ตลอดจนส่งเสริมให้เกิดธุรกิจและบริการที่เกี่ยวกับซอฟต์แวร์โอเพนซอร์สในประเทศไทย

ทั้งนี้ ในการสร้างโอกาสทางการตลาดและโอกาสในการแข่งขันสำหรับผู้ประกอบการไทยจากตลาดภายในประเทศและตลาดต่างประเทศนั้น ได้กำหนดให้มีหน่วยศึกษาและคาดการณ์ตลาดและอุตสาหกรรม ICT (ICT Industry Intelligence) โดยสนับสนุนให้มีการพัฒนาฐานข้อมูลเกี่ยวกับอุตสาหกรรมและตลาด ICT ของประเทศไทยและต่างประเทศ เพื่อใช้ในการวางแผนส่งเสริมการตลาดทั้งภายในและต่างประเทศ ดังนั้น กระทรวงฯ จึงได้จัดทำโครงการเพื่อศึกษาวิจัย วิเคราะห์โครงสร้างข้อมูล และการวิเคราะห์ออกแบบและพัฒนาระบบฐานข้อมูลอุตสาหกรรมและตลาด ICT ของประเทศไทย หรือที่เรียกว่า NI³ ที่ย่อมาจาก National ICT Industry Intelligence โดยได้ดำเนินการอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ปีงบประมาณ 2552 ซึ่งในปีงบประมาณ 2554 ได้เริ่มดำเนินการศึกษาวิเคราะห์ ออกแบบ และพัฒนาระบบฐานข้อมูลอุตสาหกรรมและตลาด ICT ของประเทศไทย (NI³) โดยได้มีการประชุมหารือและสัมมนาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับแนวทางความร่วมมือในการเชื่อมโยงแลกเปลี่ยนข้อมูลและสารสนเทศอย่างต่อเนื่อง

“ขณะนี้ กระทรวงฯ ได้ทำการศึกษาและปรับปรุงแผนการดำเนินงานเพื่อพัฒนาระบบฐานข้อมูลอุตสาหกรรมและตลาด ICT ของประเทศไทยในระยะยาว โดยเป็นผลจากการศึกษากระบวนการร่วม และความสอดคล้องข้อมูลและสารสนเทศ รวมทั้งได้กำหนดแผนการดำเนินงานเป็นแผนระยะยาวปี 2556 – 2557 ซึ่งแผนการดำเนินงานดังกล่าวจำเป็นต้องได้รับความร่วมมือจากทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จึงได้มีการจัดประชุมเพื่อรับฟังและให้ความคิดเห็นเกี่ยวกับผลการศึกษาและการกำหนดแผนการดำเนินงานในระยะยาว เพื่อให้สามารถดำเนินงานโครงการโดยบูรณาการร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพอันเป็นประโยชน์ต่อการส่งเสริมอุตสาหกรรมและตลาด ICT ของประเทศไทยอย่างสัมฤทธิผลต่อไป” นางอังคณา กล่าว

สำหรับแนวทางการเชื่อมโยงแลกเปลี่ยนข้อมูลและจัดทำมาตรฐานข้อมูลด้านอุตสาหกรรม ICT นั้น ได้มีการวางแนวทางการบริหารจัดการโครงการและด้านเทคนิคสำหรับการพัฒนาระบบข้อมูลกลางด้านอุตสาหกรรมและตลาด ICT ของประเทศไทย (National ICT Industry Intelligence : NI³) เอาไว้ โดยใช้แนวทางมาตรฐานการพัฒนาซอฟต์แวร์ ISO/IEC 29110 ส่วนแนวทางและกลไกในการบริหารและให้บริการฐานข้อมูลกลางด้านอุตสาหกรรม ICT ของประเทศไทยนั้น เป็นการบูรณาการความร่วมมือกับสำนักมาตรฐานการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ กรมบัญชีกลาง

นอกจากนี้เพื่อเป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทย และการบูรณาการความร่วมมือจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและภาคเอกชน กระทรวงฯ จะได้ร่วมมือกับสำนักงานส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) บูรณาการข้อมูลผู้ประกอบการซอฟต์แวร์เพื่อจัดทำ Business matching พร้อมทั้งจะมีการสร้างความร่วมมือกับหน่วยงานและองค์กรที่เกี่ยวข้องในต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศในกลุ่ม ASEAN ด้วย ทั้งนี้ อยู่ระหว่างการเชื่อมโยงข้อมูลกับระบบ ASEAN ICT eMall ซึ่งกระทรวงฯ จะเป็น Focal Point ในการดำเนินการ

View :1331

ผลวิจัยแมคแคนชี้ โทรคมนาคม 3.0: ก้าวสู่กระแสแห่งการเปลี่ยนแปลง-การบรรจบกันกับวิถีแห่งอนาคต

March 30th, 2012 No comments

แมคแคน เวิลด์กรุ๊ป (ประเทศไทย) แผนกคอนซูเมอร์ อินไซต์ เผยผลวิจัยผ่าน แมคแคน ทรูท เซ็นทรัล (McCann Truth Central) ซึ่งเป็นเครื่องมือในการวิจัยผู้บริโภค ได้ชี้ถึง 5 เทรนด์หลักที่จะเป็นแรงผลักดันสำคัญของธุรกิจการสื่อสารโทรคมนาคมในยุคปัจจุบัน พบว่า การไร้ขีดจำกัดในการเชื่อมต่อได้ทำให้โทรศัพท์มือถือกลายเป็นศูนย์กลางการใช้ชีวิตและตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคอย่างหลากหลายรูปแบบในการใช้งาน

วฤตดา วรอาคม ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านนวัตกรรม (ซีไอโอ) ของแมคแคน เวิลด์กรุ๊ป (ประเทศไทย) กล่าวว่า แม้ที่ผ่านมาธุรกิจการสื่อสารและโทรคมนาคมจะอาศัยเทคโนโลยีเป็นกลยุทธ์สำคัญในการพัฒนารูปแบบการให้บริการ แต่ในยุคนี้บริการใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นล้วนถูกสร้างขึ้นจากการที่ผู้บริโภครู้บทบาทของตัวเองและมีอิสระในการเลือกใช้มากขึ้น ผู้บริการเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่จึงไม่ได้อยู่ในรูปแบบของเสียงอีกต่อไป แต่ได้ก้าวสู่เทคโนโลยีใหม่ที่เข้าถึงไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคมากขึ้น เช่น โมบาย คลาวด์ (Mobile Cloud) คลาวด์ คอนเวอร์เจนซ์ (Cloud Convergence)

แมคแคน ทรูท เซ็นทรัล (McCann Truth Central) ได้ชี้ถึง 5 เทรนด์หลักที่จะเป็นแรงผลักดันสำคัญของธุรกิจการสื่อสารโทรคมนาคมในยุคปัจจุบัน

TELEMOCRACYปรากฏการณ์เทคโนโลยีสมาร์ทโฟนบวกกับค่าบริการทั้งรายเดือนและเติมเงินที่มีความยืดหยุ่นเหมาะสมกับไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคแต่ละกลุ่มมากขึ้น ทำให้ผู้บริโภคเข้าถึงประสบการณ์ใหม่ๆจากสมาร์ทโฟนได้อย่างหลากหลาย และเริ่มมองหานวัตกรรมการให้บริการที่ฉลาด ใช้งานง่าย มีอรรถประโยชน์แท้จริง และสามารถเข้ามาช่วยทำให้การใช้ชีวิตประจำวันเป็นเรื่องง่ายขึ้นด้วยการเชื่อมต่อโลกแห่งความเป็นจริง (Real) และโลกดิจิตอล (Virtual) เข้าด้วยกันโดยผ่านการกดหรือสัมผัสเท่านั้น

EXPERIENCE ROAMINGการรวมกันของเทคโนโลยีด้านการสื่อสารในปัจจุบัน (Technology Convergence) กำลังจะสร้างความน่าตื่นตาตื่นใจในรูปแบบโซเชียลมีเดียให้กับผู้บริโภค อุปกรณ์อินเทอร์เนตไร้สายในรูปแบบต่างๆ และอิทธิพลจากวัฒนธรรมการใช้สกรีนทั้งสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตอย่างแพร่หลาย ถือเป็นปัจจัยสำคัญยิ่งที่ทำให้ผู้บริโภคยุคนี้พร้อมที่จะเปิดรับประสบการณ์ความบันเทิงในแบบที่ไม่ไม่จำเจ กล่าวคือผู้บริโภคมีส่วนร่วมในการสร้างสรรค์คอนเทนต์ใหม่ๆโดยใช้สมาร์ทโฟนเป็นตัวกลางผ่านประสบการณ์สื่อสารข้ามสกรีนในเวลาจริง

SEIZE THE CLOUD ผู้บริโภคในยุคนี้มองสมาร์ทโฟนเป็นเหมือนสกรีนและมีการเลือกปรับใช้ให้เข้ากับไลฟ์สไตล์ของตัวเองไปตามกิจกรรม ช่วงเวลาและสถานที่ ในยุคที่อุปกรณ์ทุกอย่างถูกเชื่อมโยงด้วยอินเตอร์เน็ต การให้บริการโมบาย คลาวด์ (Mobile Cloud) จะเริ่มมีความแพร่หลายมากขึ้น ส่งผลให้สมาร์ทโฟนกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตผู้บริโภคในการทำกิจกรรมในแต่ละวันมากขึ้น นอกจากนี้เราจะได้เห็นความร่วมมือกันจากหลากหลายภาคธุรกิจมาร่วมพัฒนาบริการใหม่ๆที่ครอบคลุมหลายมิติของไลฟ์สไตล์และการใช้งาน โดยถูกออกแบบจากความต้องการผู้บริโภคและสร้างสรรค์ด้วยเทคโนโลยีที่ไม่เคยมีมาก่อน

ON THE SPOT CULTURE เทคโนโลยีการสื่อสารตามเวลาจริงและสถานที่จริง (Real Time Real Location) ก่อให้เกิดประสบการณ์การชอปปิ้งแบบใหม่ที่มีลักษณะเรียลไทม์และสะดวกสะดวกสบายต่อผู้บริโภคยิ่งขึ้น โดยนวัตกรรมล่าสุดที่เริ่มมีให้เห็นแพร่หลายมากขึ้น ได้แก่ แอพพลิเคชั่นบริการชอปปิ้งเฉพาะบุคคลในรูปแบบระบุพิกัด (LBS Personalized Shopping Service) กระเป๋าสตางค์มือถือ (Mobile Wallet) ผนังชอปปิ้ง (Mobile Shopping Wall) และการค้นหาข้อมูลสินค้าด้วยรูปภาพ (Visual Search) เป็นต้น ทั้งนี้ยังคงอาศัยโซเชียลมีเดียเป็นตัวกลางเชื่อมเทคโนโลยีเข้ากับสไตล์ของผู้บริโภคยุคนี้ต้องการการใช้ชีวิตแบบความสำเร็จรูปมากขึ้น

HUMANIZE MANIFESTIONS ปัจจุบันธุรกิจให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงไม่แค่การส่งสัญญาณโทรศัพท์เพียงเท่านั้น เนื่องจากผู้ให้บริการเครือข่ายเหล่านี้ต่างกำลังเร่งตัวเองเพื่อแข่งขันกับทั้งผู้ผลิตมือถือ ผู้สร้างแอพลิเคชั่นบนมือถือ หรือแม้แต่ผู้ผลิตคอนเทนต์ โดยพยายามต่อยอดการสร้างคุณค่าในรูปแบบใหม่ๆที่นอกเหนือจากคุณค่าการใช้งานให้กับผู้บริโภค และเชื่อมโยงรูปแบบบริการเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่เพื่อตอบสนองทุกแง่มุมการใช้ชีวิตของผู้บริโภคให้ได้มากที่สุดและมีส่วนร่วมสร้างสรรค์สังคมให้ดีขึ้นในรูปแบบต่างๆ

View :1902
Categories: Press/Release Tags:

TARAD.com ประกาศความเติบโตครั้งยิ่งใหญ่ในธุรกิจอีคอมเมิรซ์ของประเทศไทย

March 30th, 2012 No comments

ด้วยยอดขายเติบโตสูงถึง 216 เปอร์เซ็นต์(จากการเปรียบเทียบยอดขายของTARAD.com ระหว่างเดือนสิงหาคม-ธันวาคม 2553 และ สิงหาคม-ธันวาคม 2554) หลังจากบริษัทฯ ปรับกลยุทธ์ตามโมเดลธุรกิจของบริษัทแม่อย่างราคูเท็น ซึ่งเป็นบริษัทอีคอมเมิร์ซขนาดใหญ่อันดับสามของโลก

นายภาวุธ พงษ์วิทยภานุ กรรมการผู้จัดการและผู้ก่อตั้ง


นายภาวุธ พงษ์วิทยภานุ กรรมการผู้จัดการและผู้ก่อตั้ง TARAD.com กล่าวถึงความสำเร็จในครั้งนี้ว่า เกิดจากที่ TARAD.com ให้ความสำคัญในการเพิ่มศักยภาพแก่ผู้ประกอบการที่ดำเนินธุรกิจการค้าออนไลน์ เพื่อเพิ่มยอดขายและขยายธุรกิจไปยังกลุ่มลูกค้าใหม่ทั่วประเทศและทั่วโลก รวมถึงการสร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักในวงกว้าง ผ่านรูปแบบของโมเดลทางธุรกิจแบบ B2B2C หรือ ธุรกิจกับธุรกิจกับผู้บริโภค ซึ่งมีความแตกต่างจากรูปแบบที่คนส่วนใหญ่คุ้นเคยอย่าง B2C หรือ ธุรกิจกับผู้บริโภค และ C2C หรือ ผู้บริโภคกับผู้บริโภค เมื่อมอบอิสระให้แก่ผู้ประกอบการในการสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าตามหลักของราคูเท็น ส่งผลให้ช่องทางการค้ารูปแบบใหม่จึงเป็นตัวเลือกที่สมบูรณ์แบบ สำหรับผู้ที่ต้องเพิ่มยอดขายและสร้างความจงรักภักดีในแบรนด์และสินค้า

TARAD.com ได้นำกลยุทธ์ตามแบบราคูเท็นมาประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับตลาดประเทศไทยเพื่อเพิ่มศักยภาพให้แก่ผู้ประกอบการ โดยจำนวนผู้ประกอบการใน TARAD.com ได้เพิ่มขึ้นกว่า 110 เปอร์เซ็นต์ (จากการเปรียบเทียบจำนวนผู้ประกอบการในTARAD.com ระหว่างเดือนมกราคม-ธันวาคม 2553 และ มกราคม-ธันวาคม 2554) ส่วนยอดขายเติบโตสูงถึง 216 เปอร์เซ็นต์ (จากการเปรียบเทียบยอดขายของTARAD.com ระหว่างเดือนสิงหาคม-ธันวาคม 2553 และ สิงหาคม-ธันวาคม 2554)

โดย TARAD.com ให้การสนับสนุนและช่วยเหลือผู้ประกอบการทุกรายอย่างใกล้ชิดเพื่อสร้างความมั่นใจว่าลูกค้าจะได้รับการบริการที่ได้มาตรฐานตามแบบฉบับญี่ปุ่น หรือที่เรียกว่า “omotenashi” (“โอโมเทนาชิ” คือการบริการจากใจตามแบบญี่ปุ่น) โดยเป้าหมายของ TARAD คือการที่ผู้ประกอบการทุกรายสามารถมอบประสบการณ์ที่น่าจดจำและเกินความคาดหวังให้แก่ลูกค้า ทั้งนี้ TARAD.com ได้นำระบบสะสมแต้ม Super Points program (โปรแกรมซุเปอร์พ้อยท์) ของราคูเท็นที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างยิ่งมาใช้ภายใต้ชื่อ TARAD Super Point (ตลาดซุเปอร์พ้อยท์) ซึ่งมอบสิทธิให้ลูกค้าสะสมแต้มจากการซื้อสินค้าเพื่อใช้แทนเงินในการชำระครั้งต่อไป

สำหรับ ราคูเท็น บริษัทค้าปลีกออนไลน์จากประเทศญี่ปุ่นซึ่งได้บริษัทแม่ของ TARAD.com() มีรูปแบบการดำเนินธุรกิจที่แตกต่างจากบริษัทอีคอมเมิร์ซอื่นๆนั่นคือ โมเดลธุรกิจแบบ B2B2C หรือ บริษัทกับบริษัทกับผู้บริโภค โดยราคูเท็นยึดมั่นในการให้อำนาจแก่ผู้ประกอบการที่เป็นเสมือนพันธมิตรทางธุรกิจให้มีอิสระในการใช้พื้นที่เว็บไซต์เพื่อการประกอบธุรกิจของตน นอกจากนั้น ราคูเท็น ยังช่วยผู้ประกอบการด้วยวิธีอันหลากหลาย เพื่อให้ธุรกิจประสบความสำเร็จมากที่สุด เช่น จัดอบรมหลักการเนินธุรกิจออนไลน์โดย Rakuten University (มหาวิทยาลัยราคูเท็น) และการสร้างเครือข่ายผู้ให้คำปรึกษาเฉพาะทางหรือ ECC ที่ย่อมาจาก e-commerce consultants ผู้เชี่ยวชาญทางด้านธุรกิจอีคอมเมิร์ซซึ่งจะช่วยผลักดันให้ผู้ประกอบการสร้างผลงานที่ดีที่สุด

View :2055

ดี-ลิงค์ เปิดตัวโซลูชั่น mydlinkTM Cloud Services พร้อมกัน 3 กลุ่มผลิตภัณฑ์รุกตลาดผู้ใช้คลาวด์เต็มตัว

March 29th, 2012 No comments

อินเตอร์เนชั่นแนล หนึ่งในผู้ผลิตอุปกรณ์เครือข่ายรายใหญ่ที่สุดของโลก เปิดตัวโซลูชั่นบนระบบคลาวด์ ในชื่อ “มายดีลิงค์ คลาวด์ เซอร์วิส” (mydlinkTM Cloud Services) พร้อมกันทีเดียว 3 กลุ่มผลิตภัณฑ์ ได้แก่ คลาวด์ แคม (Cloud Cam) คลาวด์ เราเตอร์ (Cloud Router) และคลาวด์ สตอเรจ (Cloud Storage) พร้อมประกาศเปิดฉากรุกตลาดผู้ใช้คลาวด์เต็มตัว

มร.แซม หว่อง ผู้จัดการประจำประเทศไทย บริษัท ดีลิงค์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด กล่าวว่า “ดี-ลิงค์ ก้าวเข้าสู่คลาวด์ ตั้งแต่ปี พ.ศ.2552 ด้วยการเปิดตัวแพลทฟอร์มคลาวด์ของบริษัทฯ ในชื่อ mydlinkTM เพื่อให้บริการแบบเรียลไทม์ และได้รับความสำเร็จอย่างมาก mydlinkTM สร้างความเปลี่ยนแปลงในการใช้กล้องไอพี โดยที่ผู้ใช้สามารถเข้ามาดูเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น ณ เวลานั้น จากที่ต่างๆ ได้อย่างง่ายดาย โซลูชั่น มายดีลิงค์ คลาวด์ เซอร์วิส ที่เปิดตัวในวันนี้ก็เช่นเดียวกัน ผู้ใช้ผลิตภัณฑ์ ไม่ว่าจะเป็น คลาวด์แคม คลาวด์เราเตอร์ และ ของดี-ลิงค์ ก็สามารถใช้อินเทอร์เน็ตเชื่อมต่อเว็บพอร์ทัล และแอพพลิเคชั่น mydlinkTM ได้โดยอัตโนมัติ ไม่ต้องเสียเวลาตั้งค่าที่ซับซ้อนใดๆ ใช้งานง่าย และสามารถเข้าถึงอุปกรณ์เครือข่ายของตนได้เพียงไม่กี่คลิก จากระยะไกล ดี-ลิงค์จึงมั่นใจว่าลูกค้าจะสัมผัสถึงความสะดวกสบายและประสิทธิภาพอย่างที่ไม่เคยได้รับมาก่อน”

มร.หว่อง กล่าวต่อว่า “โซลูชั่น มายดีลิงค์ คลาวด์ เซอร์วิส ได้รวมเอานวัตกรรมล่าสุดที่แตกต่างไม่เหมือนใคร เพื่อสร้างความสอดคล้องและตอบรับกับพฤติกรรมของผู้ใช้ที่ต้องการความสะดวกสบายในการเข้าถึงระบบเครือข่ายที่บ้านและออฟฟิศและยังเข้าถึงข้อมูลต่างๆ จากทุกที่ทุกเวลา ดังนั้น ดี-ลิงค์ จึงเปิดตัวทีเดียวพร้อมกัน 3 กลุ่มผลิตภัณฑ์ ทั้งคลาวด์แคม คลาวด์เราเตอร์ และอุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลผ่านเครือข่ายคลาวด์ หรือ คลาวด์ สตอเรจ”

“โซลูชั่น มายดีลิงค์ คลาวด์ เซอร์วิส ทำให้ผู้ใช้สามารถเชื่อมต่อ บันทึก เรียกดู หรือควบคุมอุปกรณ์เครือข่ายของตนได้อย่างง่ายดาย จากทุกที่ทุกเวลา ด้วยการเชื่อมต่อกับแพลทฟอร์ม mydlinkTM นอกจากนี้ ยังมาพร้อมกับฟีเจอร์ด้านความปลอดภัย อาทิ ผู้ใช้สามารถตรวจสอบดูว่าใครเชื่อมต่ออยู่ในเครือข่าย หรือบล็อกไม่ให้ผู้ไม่ได้รับอนุญาตเข้าถึงเครือข่ายได้แม้ว่าผู้ใช้คลาวด์จะไม่อยู่ที่บ้านหรือออฟฟิศก็ตาม โดยอุปกรณ์ มายดีลิงค์ คลาวด์ สามารถส่งข้อความหรืออีเมล์แจ้งเตือนให้ผู้ใช้ได้รับทราบ จึงสามารถควบคุมความปลอดภัยในเครือข่ายได้อย่างสมบูรณ์แบบและมั่นใจ”

สำหรับโซลูชั่น มายดีลิงค์ คลาวด์ เซอร์วิส ที่เปิดตัวในครั้งนี้ ประกอบด้วยผลิตภัณฑ์ 3 กลุ่ม ได้แก่ คลาวด์แคม จำนวน 5 รุ่น คลาวด์ เราเตอร์ 1 รุ่น และ คลาวด์ สตอเรจ 1 รุ่น
คลาวด์แคม 5 รุ่น ประกอบด้วย
· DCS-930L : mydlinkTM Cloud Wireless-N 300 IP Camera

กล้องไอพีพื้นฐาน ดิจิตอลซูม 4 เท่า พร้อมไมโครโฟนในตัว
· DCS-932L : mydlinkTM Cloud Wireless-N 300 Infrared IP Camera

กล้องไอพีที่เพิ่มคุณสมบัติ LED อินฟราเรด ซึ่งสามารถดูภาพในเวลากลางคืนได้ไกลถึง 5 เมตร
· DCS-942L : mydlinkTM Cloud Wireless-N 300 Infrared IP Camera

กล้องไอพีแบบ LED อินฟราเรด และสามารถทำการสนทนาโต้ตอบแบบ 2 ทิศทาง สามารถเลือกแสดงผล ในการบีบอัดข้อมูลเป็นแบบ MPEG4 หรือ MJPEG หรือ
H.264 และยังมีเซ็นเซอร์ PIR (Passive Infrared Sensor) สำหรับตรวจจับการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิ พร้อมทั้งยังรองรับการใช้งาน ร่วมกับการ์ดไมโคร เอสดี
เพื่อใช้ในการบันทึกภาพนิ่งและภาพวีดีโอ
· DCS-1130L : mydlinkTM Cloud Wireless-N 300 IP Camera

ผู้ใช้สามารถบันทึกวิดีโอลงในอุปกรณ์จัดเก็บบนเครือข่าย ประเภท NAS (Network Attached Storage) ได้โดยตรง ทั้งยังสามารถเลือกบันทึกเฉพาะภาพนิ่ง หรือภาพ
วิดีโอในกรณีที่มีการเคลื่อนไหว เท่านั้น ตัวกล้องสามารถซูมแบบดิจิตัลได้ถึง 16 เท่า และผู้ใช้สามารถปรับระยะชัดของเลนส์ได้ด้วยตัวเอง
· DCS-5230L : mydlinkTM Cloud Wireless-N 300 PTZ Infrared IP Camera

กล้องไอพีที่ครบครัน ด้วยอินฟราเรด สำหรับมองภาพในเวลากลางคืน รองรับการสนทนาแบบ 2 ทิศทาง เซ็นเซอร์ PIR และยังหมุนจับภาพได้รอบทิศ
คลาวด์ เราเตอร์ 1 รุ่น ได้แก่
· DIR-605L : mydlinkTM Cloud Wireless-N 300 Cloud Router
ผู้ใช้สามารถเข้าถึงบริการของ mydlinkTM ได้อย่างรวดเร็วและง่ายดายจากทุกแห่ง ด้วยการแจ้งเตือน ต่างๆ เช่น Push Event, User Control, Real-time
Browsing Record และสามารถใช้งานไวร์เลสได้ ทั้ง มาตรฐานมาตร 802.11n และ 802.11g มี 4 พอร์ต 10/100 Mbps สนับสนุนการเข้ารหัสเครือข่ายไร้สาย
ด้วย WPA และ WPA2 สามารถรับ-ส่งข้อมูลทางไวร์เลสได้ด้วยอัตราความเร็วสูงสุดถึง 300 Mbps

คลาวด์ สตอเรจ 1 รุ่น ได้แก่
· DNR-322L : mydlinkTM Cloud Network Video Recorder
อุปกรณ์ NVR (Network Video Recorder) แบบสแตนอโลน ที่ใช้จัดเก็บภาพและควบคุมการทำงานของ กล้องไอพีแบบเรียลไทม์ สามารถเชื่อมต่อกับ mydlinkTM ได้
อย่างรวดเร็วและง่ายดาย DNR-322 สามารถ ต่อกล้องไอพีของดี-ลิงค์ ได้ถึง 9 ตัว โดยไม่จำเป็นต้องใช้คอมพิวเตอร์ควบคุม ผู้ใช้ยังสามารถตรวจสอบ ดู หรือเล่นภาพ
ที่บันทึกไว้ ผ่านเว็บไซต์ mydlink™ หรือเว็บอินเทอร์เฟสของ NVR จึงสร้างความสะดวก สบายและบันทึกภาพเคลื่อนไหวที่มีประสิทธิภาพ ผู้ใช้ยังสามารถ
สำรองข้อมูลโดยเทคโนโลยี RIAD 1 (mirroring) เพื่อปกป้องข้อมูลต่างๆ
“วันนี้เราได้ก้าวเข้าสู่ยุคของ “คลาวด์ส่วนบุคคล” ซึ่งจะเป็นหัวใจของชีวิตดิจิตอลยุคนี้ การขยายตัวของเครือข่ายมือถือและการเชื่อมต่อแบบไร้สายทำให้ความต้องการเข้าถึงคลาวด์ส่วนตัวเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว และตลอด 25 ปีของการพัฒนาเทคโนโลยีด้านระบบเครือข่าย นวัตกรรม มายดีลิงค์ คลาวด์ เซอร์วิส ก็คือความพยายามล่าสุดของดี-ลิงค์ ในการยกระดับการใช้งานและการเชื่อมต่อระบบเครือข่ายในระดับผู้ใช้งาน ซึ่งดี-ลิงค์จะมุ่งมั่นในการพัฒนาเทคโนโลยีระบบเครือข่าย มายดีลิงค์ คลาวด์ เซอร์วิส ต่อไป เพื่อช่วยเพิ่มขีดความสามารถ ความปลอดภัยและเพิ่มความสะดวกสบายของผู้ใช้” มร.หว่อง สรุป

View :1770

เอไอเอส จัดกิจกรรมคลายร้อน “สงกรานต์ทั่วไทย อุ่นใจกับเอไอเอส” ต่อเนื่องเป็นปีที่ 5

March 29th, 2012 No comments


โดย นายวิเชียร เมฆตระการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ต้อนรับเทศกาลสงกรานต์ ด้วยกิจกรรมคลายร้อน “ อุ่นใจกับเอไอเอส” ที่จัดขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 5 เพื่อให้พี่น้องชาวไทยเย็นกายสบายใจตลอดช่วงเทศกาล และในปีนี้เอไอเอสได้เนรมิต “อุ่นใจ Water Land” ให้เป็นดินแดนแห่งความชุ่มฉ่ำและสนุกสนาน โดยในกรุงเทพมีไฮไลท์ที่ถนนข้าวสาร ในวันศุกร์ที่ 13 เม.ย. 55 ตั้งแต่เวลา 12.00 – 15.00 น. พบกับอุ่นใจไซส์ใหญ่ตั้งตระหง่านเพื่อเล่นน้ำกับทุกคน พร้อมมีจุดบริการเติมน้ำฟรี และสนุกสนานแบบใกล้ชิดกับศิลปินชื่อดัง ทั้งบอย-ปกรณ์, โป๊บ ธนวรรธณ์,โตโน่ เดอะสตาร์, พีค-ภัทรศยา, จุ๋ย-วรัทยา และ 2 พิธีกรอารมณ์ดี ชมพู่ ก่อนบ่ายคลายเครียด และเอ๊าะ กีรติ พร้อมด้วยมินิคอนเสิร์ตจากศิลปินวงแคนดี้มาเฟีย ที่จะมาร่วมสาดความสุขพร้อมมอบของพรีเมียมน้องอุ่นใจสุดน่ารัก อาทิ ปืนฉีดน้ำ, ซองใส่โทรศัพท์มือถือกันน้ำและหมวก ให้กับทุกคนอย่างจุใจด้วย และนอกจากที่กรุงเทพแล้ว พี่น้องต่างจังหวัดก็เตรียมสนุกกับ “อุ่นใจ Water Land” ได้ทั้งที่ เชียงใหม่ ขอนแก่น อุบลราชธานี สุราษฎร์ธานี และชลบุรี

สนุกกับกิจกรรมสุดคูลแล้ว เอไอเอสยังมอบสิทธิพิเศษส่วนลดจากร้านค้าชั้นนำทั่วประเทศ เพื่อให้ลูกค้าเลือกรับสิทธิ์ได้ตามใจคุณ ทั้งส่วนลดร้านอาหาร อาทิ S&P, แมคโดนัลด์, แบล็คแคนยอน, เอแอนด์ดับบลิว, ฮาร์เก้น ดาร์ส, อินทนิล ค๊อฟฟี่ ในปั้มบางจาก เป็นต้น และพิเศษสำหรับลูกค้าเซเรเนดรับเครื่องดื่มในร้านแบล็คแคนยอนฟรีตามแหล่งท่องเที่ยวสุดฮิต ได้แก่ ปาย ,ปาลิโอ และสนามบินทั่วประเทศ นอกจากนี้ยังรับส่วนลดบริการคาร์แคร์จากศูนย์บริการชั้นนำทั่วประเทศด้วย

และสำหรับลูกค้าที่เดินทางกลับบ้าน หรือไปท่องเที่ยวพักผ่อนในช่วงเทศกาลสงกรานต์ เพื่อความปลอดภัยและอุ่นใจตลอดการเดินทาง สามารถนำรถจักรยานยนต์ และรถยนต์ไปตรวจสภาพก่อนเดินทางได้ฟรี! ระหว่างวันที่ 11 – 17 เม.ย.55 โดยสอบถามจุดให้บริการได้ที่สายด่วน 1156 และสามารถโทรตรวจสอบสภาพการจราจร และแจ้งขอความช่วยเหลือเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินได้ฟรี! ที่หมายเลข 1644

View :1940

ดีแทค ซัมเมอร์ สเปเชียล ให้ส่วนลดสูงสุด 10,000 บาท บน 3G สมาร์ทโฟนรุ่นยอดนิยม ไม่มีสัญญา ไม่มีค่าปรับ

March 29th, 2012 No comments

ดีแทคจัดโปรโมชั่นพิเศษ (dtac Summer Special) เพิ่มความร้อนแรงให้กับตลาดสมาร์ทโฟน พร้อมเอาใจลูกค้าดีแทคด้วยการสร้างความผูกพันระยะยาวแต่ไม่ผูกมัด ไม่มีสัญญา ไม่มีค่าปรับ มอบส่วนลดรวมสูงสุด 10,000 บาท พร้อมให้ผ่อน 0% นาน 6 เดือน สมาร์ทโฟนยอดนิยมรุ่นล่าสุดร่วมรายการทั้ง iPhone 4S, Samsung Galaxy Note, และ HTC Sensation XL รวมทั้งให้ลูกค้าใช้งานอินเทอร์เน็ตได้อย่างสบายใจโดยจ่ายค่าบริการรายเดือนหลังหักส่วนลด 539 บาทสามารถใช้งานอินเทอร์เน็ตได้แบบไม่จำกัด

ดีแทคมอบข้อเสนอพิเศษสำหรับลูกค้าดีแทครายเดือนโดยเฉพาะ แบบไม่มีเงื่อนไขผูกมัดให้ลูกค้าต้องชำระเงินในระยะยาว เมื่อซื้อสมาร์ทโฟนที่ร่วมรายการที่สำนักงานบริการลูกค้าดีแทคและดีแทค เซ็นเตอร์ ทุกสาขา ทั่วประเทศและสมัครแพ็กเกจ 899 บาท ตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 30 เมษายน 2555 ลูกค้าดีแทคที่มีอายุการใช้งาน 1 ปีขึ้นไปและมีค่าใช้บริการรายเดือนที่เรียกเก็บแล้วในเดือนมกราคม กุมภาพันธ์ มีนาคม หรือเมษายน 2555 เดือนใดเดือนหนึ่งจำนวน 1,200 บาทขึ้นไป จะได้รับส่วนลดค่าเครื่องในวันแรกสูงสุดทันที 3,520 บาท โดยไม่ต้องจ่ายค่าบริการล่วงหน้า และรับส่วนลดค่าโทรเพิ่มอีก 6,480 บาท (ส่วนลดเดือนละ 360 บาท นาน 18 เดือน) ทั้งนี้ลูกค้าดีแทคทุกหมายเลขและลูกค้าใหม่ก็สามารถใช้สิทธิพิเศษนี้ได้ โดยจะได้รับส่วนลดรวมสูงสุด 6,250 บาท ทุกเครื่องไม่มีการทำสัญญา ลูกค้าจึงไม่ต้องกังวลว่าจะโดนปรับเมื่อไม่ใช้งานไม่ครบตามกำหนด

ทั้งนี้ ลูกค้าสามารถเลือกชำระได้ทั้งบัตรเครดิต และเงินสด รวมทั้งได้สิทธิผ่อน 0% นาน 6 เดือน กับบัตรเครดิตชั้นนำมากมาย ลูกค้าสามารถตรวจสอบอายุการใช้งานหมายเลขโทรศัพท์ดีแทคและตรวจสอบค่าบริการรายเดือนล่าสุดของตัวเองได้โดยกด *140# จากมือถือ หรือสามารถนำใบเสร็จค่าบริการตามเงื่อนไขมาแสดงเพื่อซื้อสมาร์ทโฟนที่ร่วมรายการพร้อมสมัครแพ็กเกจที่สำนักงานบริการลูกค้าดีแทค และดีแทค เซ็นเตอร์ ทุกสาขาทั่วประเทศตั้งแต่วันที่ 30 มีนาคม – 30 เมษายนศกนี้ และสามารถดูรายละเอียดสมาร์ทโฟนและแพ็กเกจที่ร่วมรายการ ตลอดจนเงื่อนไขการชำระเงินเพิ่มเติมได้ที่ www.dtac.co.th

View :3114

เอชพี เปิดตัวอุปกรณ์สวิตช์รุ่นใหม่ล่าสุด รองรับเทคโนโลยี OpenFlow

March 28th, 2012 No comments

เอชพี ส่งพอร์ทโฟลิโออุปกรณ์สวิตช์บนเทคโนโลยี ที่มีให้เลือกหลากหลายที่สุดในตลาดอุปกรณ์สวิตช์ ช่วยให้ลูกค้าสามารถบริหารจัดการระบบเครือข่ายได้ง่ายดายและคล่องตัวมากขึ้น ตอบโจทย์ความต้องการที่แตกต่างของลูกค้าได้อย่างครบถ้วนสูงสุด ทั้งทางด้านแบนด์วิธ สมรรถนะการทำงาน และงบประมาณ (1)

พอร์ทโฟลิโออุปกรณ์สวิตช์ที่รองรับเทคโนโลยี OpenFlow มีให้เลือกมากถึง 16 รุ่น อาทิ อุปกรณ์สวิตช์ต่างๆ ในซีรี่ย์ HP3500, HP5400 และ HP8200

ทั้งนี้ ภายในปีนี้ เอชพีจะนำเทคโนโลยี OpenFlow ไปใช้สนับสนุนการทำงานของอุปกรณ์สวิตช์ทุกรุ่นบนระบบสถาปัตยกรรม HP FlexNetwork ซึ่งจะส่งผลให้ เอชพีขึ้นแท่นเป็นผู้พัฒนาและจำหน่ายระบบเครือข่ายรายเดียวในอุตสาหกรรม ไอทีที่มีพอร์ทโฟลิโออุปกรณ์สวิตช์บนเทคโนโลยี OpenFlow อย่างครบวงจร

OpenFlow คือ เทคโนโลยีระบบเครือข่ายแบบเสมือนหรือแบบเวอร์ช่วลใหม่ เพิ่มความคล่องตัวให้กับลูกค้าในการดูแลและควบคุมการออกแบบและตั้งค่าระบบเครือข่ายให้ตรงตามที่ต้องการ

การใช้เทคโนโลยีมาตรฐาน OpenFlow ช่วยลดความซับซ้อนของการบริหารจัดการอุปกรณ์เครือข่ายที่มีความหลากหลาย และสนับสนุนงานด้านต่างๆ ให้ทำงานอย่างอัตโนมัติ โดยใช้โซลูชั่นการบริหารจัดการเครือข่ายที่ทำงานง่ายขึ้น นอกจากนี้ เทคโนโลยี OpenFlow ยังลดเวลาในการปรับเปลี่ยนระบบเครือข่าย ช่วยให้เจ้าหน้าที่ด้านไอทีสามารถตอบสนองความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปได้อย่างเรียลไทม์และมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

ลูกค้าและพันธมิตรของเอชพี สามารถอัพเกรดซอฟต์แวร์ที่รองรับเทคโนโลยี OpenFlow ได้โดยไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ เพื่อนำไปใช้ทำงานร่วมกับอุปกรณ์สวิตช์ของเอชพีได้ที่ https://h10145.www1.hp.com/downloads/ProductsList.aspx

นายศักดิ์ชาย ปัญญจเร ผู้จัดการทั่วไป หน่วยธุรกิจ HP Networking เอชพี ประเทศไทย กล่าวว่า “เอชพีเป็นรายแรกๆ ที่พัฒนานวัตกรรมต่างๆ เพื่อรองรับมาตรฐานเทคโนโลยี OpenFlow โดยสนับสนุนการนำเทคโนโลยี OpenFlow ไปทดสอบและใช้งานจริงในมหาวิทยาลัยและศูนย์วิจัยต่างๆ รวมกว่า 60 แห่งทั่วโลก เพื่อช่วยให้องค์กรต่างๆ สามารถบริหารจัดการการสัญจรบนระบบเครือข่ายภายในศูนย์ข้อมูลได้อย่างเป็นเอกภาพ จึงทำให้เอชพีขึ้นแท่นเป็นผู้นำในการปรับเปลี่ยนสู่มาตรฐานเทคโนโลยี OpenFlow และพัฒนาระบบเครือข่ายให้มีการทำงานง่ายขึ้น เพื่อประโยชน์ต่อลูกค้าองค์กรระดับเอ็นเทอร์ไพรส์ ด้วยอุปกรณ์สวิตช์ที่รองรับเทคโนโลยี OpenFlow มากกว่า 10 ล้านพอร์ทที่ใช้งานอยู่ในตลาด และยังมีพอร์ทโฟลิโออุปกรณ์สวิตช์ให้เลือกหลากหลายมากที่สุดเท่าที่เคยมีมาในตลาดอีกด้วย”

เอชพีคือผู้บุกเบิกการพัฒนาอุปกรณ์สวิตช์ที่รองรับเทคโนโลยี OpenFlow ขับเคลื่อนการใช้งานจริงให้ได้ผลเด่นชัด
อุปกรณ์สวิตช์ของเอชพีที่ใช้ซอฟต์แวร์ OpenFlow ได้มีการนำมาใช้งานโดยนักวิจัยเชิงวิชาการและเพื่อการพาณิชย์ทั่วโลก เพื่อพิสูจน์ให้เห็นจริงถึงการบริหารจัดการต่างๆ ที่ง่ายดาย ทั้งนี้ การทดสอบและนำเทคโนโลยี OpenFlow มาใช้บนอุปกรณ์สวิตช์ของเอชพีตลอดระยะเวลา 4 ปีที่ผ่านมาในสภาพแวดล้อมที่กล่าวถึงข้างต้น ได้ช่วยพัฒนามาตรฐานของอุปกรณ์สวิตช์ให้มีความพร้อมรองรับการใช้งานระดับองค์กรที่มีขอบข่ายกว้างขวางยิ่งขึ้

พันธมิตรและลูกค้าของเอชพี ได้แก่ มหาวิทยาลัยอินเดียนา มหาวิทยาลัยแสตนฟอร์ด และโครงการ Global Environment for Network Innovations (GENI) สำหรับโครงการ GENI คือ โครงการปฏิบัติการวิจัยแบบเวอร์ช่วล เพื่อศึกษาค้นคว้าแอพพลิเคชั่นและบริการใหม่ๆ ที่จะมีขึ้นในอนาคต สำหรับนำไปใช้พัฒนาระบบเครือข่ายให้มีประสิทธิภาพและมีความคล่องตัวในการทำงานมากขึ้น โดยเป็นโครงการที่ดำเนินงานโดยสถาบัน Ratheon BBN Technologies และได้รับการสนับสนุนทางการเงินจากมูลนิธิ National Science Foundation

มร. จอน ออลท์ซิค นักวิเคราะห์ระดับอาวุโส บริษัท เอ็นเทอร์ไพรส์ สตราเตอจี้ กรุ๊ป กล่าวว่า “จากการศึกษาวิจัย พบว่า ศูนย์ข้อมูลขององค์กรธุรกิจต่างๆ คือ หัวใจสำคัญของการเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากการผนวกรวมศูนย์ข้อมูล การทำเวอร์ช่วลไลเซชั่นของเครื่องเซิร์ฟเวอร์ การพัฒนาแอพพลิเคชั่นสำหรับการใช้งานบนระบบออนไลน์หรือเว็บ และความต้องการระบบรักษาความปลอดภัยใหม่ ส่งผลให้เกิดความท้าทายใหม่ๆ บนระบบเครือข่าย ซึ่งจะไม่สามารถทำได้บนระบบเครือข่ายแบบเก่า หรือในกระบวนการดำเนินงานแบบแมนวล แต่เทคโนโลยี OpenFlow จะช่วยขจัดปัญหาที่ทำให้เครือข่ายไม่มีความคล่องตัว และสนับสนุนการสร้างสรรค์นวัตกรรมระบบเครือข่ายในศูนย์ข้อมูลให้เป็นไปได้ง่ายดายยิ่งขึ้น ดังนั้น การสนับสนุนจากบริษัทผู้จำหน่ายอย่างเอชพีจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาเทคโนโลยี OpenFlow ให้เติบโตรุดหน้าในปี 2555 นี้”

เอชพีเป็นสมาชิกผู้ก่อตั้งมูลนิธิ Open Networking Foundation โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อพัฒนามาตรฐานเทคโนโลยี OpenFlow ให้รุดหน้าและล้ำสมัยอย่างต่อเนื่อง เพื่อลดค่าใช้จ่ายในการดูแลและบริหารระบบเครือข่ายในองค์กรต่างๆ โดยเดินหน้าพัฒนาระบบฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ และกระบวนการบริหารให้มีการทำงานง่ายขึ้น นอกจากนี้ เอชพียังมี HP Labs ซึ่งเป็นหน่วยงานกลางที่ทำการวิจัยของเอชพี โดยดูแลและรับผิดชอบด้านการพัฒนาระบบเครือข่ายตั้งแต่ปี 2551 เป็นต้นมา ทั้งยังได้จัดพิมพ์ผลการวิจัยเกี่ยวกับพัฒนาการของเทคโนโลยี OpenFlow เพื่อรองรับการนำไปใช้งานอย่างหลากหลายมากขึ้นในองค์กรต่างๆ อีกด้วย

View :1540
Categories: Press/Release Tags:

สวทช. กระทรวงวิทย์ ฯ เปิดตัวศูนย์นวัตกรรมการพิมพ์อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะฯ หรือ TOPIC

March 28th, 2012 No comments

เน้นจับมือเอกชนสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ที่มีมูลค่าทางการตลาดสูง นำร่องด้วยนวัตกรรมใหม่บนนิตยสารและบรรจุภัณฑ์อัจฉริยะหรือ Smart Magazine และ Smart Packaging

ดร.ทวีศักดิ์ กออนันตกูล ผู้อำนวยการสำนักพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี


ดร.ทวีศักดิ์ กออนันตกูล ผู้อำนวยการสำนักพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เป็นประธานเปิดศูนย์นวัตกรรมการพิมพ์อิเล็กทรอนิกส์ และอิเล็กทรอนิกส์ อินทรีย์ (Thailand Organic @ Printed Electronics Innovation Center ) หรือ เพื่อเป็นศูนย์กลางการผลิตนวัตกรรมใหม่ของอิเล็กทรอนิกส์แบบพิมพ์ได้ ( Organic & Printed Electronics) เน้นความร่วมมือกับภาคเอกชนเพื่อพลิกโฉมอุตสาหกรรมการพิมพ์ไทยให้ก้าวสู่นวัตกรรมแห่งโลกอนาคต นำร่องด้วยนวัตกรรมใหม่บนนิตยสารและบรรจุภัณฑ์ด้วยหมึกพิมพ์นำไฟฟ้าครั้งแรกในประเทศไทย หวังปลุกชีพอุตสาหกรรมสิ่งพิมพ์ และอุตสาหกรรมต่อเนื่อง ทั้งการโฆษณา สิ่งทอ บรรจุภัณฑ์ พาณิชย์ รวมถึงผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับเด็ก ฯลฯ เพื่อเป็นเครื่องมือสำคัญในการขยายตลาดการค้าให้ภาคธุรกิจไทยเติบโตได้อย่างมีศักยภาพทั้งในและต่างประเทศ โดย ดร.ทวีศักดิ์ เปิดเผยว่า

“อุตสาหกรรมสิ่งพิมพ์ถือเป็นอีกอุตสาหกรรมหลักในประเทศไทยที่มีความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจและมีศักยภาพเป็นผู้นำด้านการพิมพ์ของอาเซียน แต่ด้วยสถานการณ์ปัจจุบันอุตสาหกรรมการพิมพ์กำลังประสบกับวัฏจักร “ขาลง” ซึ่งฉุดอุตสาหกรรมต่อเนื่องทั้งระบบให้ตกต่ำอีกด้วย ดังนั้นประเทศไทยจึงต้องเร่งหาเทคโนโลยี ที่จะมาเปลี่ยนแปลงหรือสร้างมูลค่าเพิ่มทางด้านสิ่งพิมพ์อย่างเร่งด่วน สวทช.เองซึ่งมีบทบาทสำคัญในการกำหนดเป้าหมายและมุ่งมั่นพัฒนางานวิจัยให้เกิดการนำไปใช้ประโยชน์ได้จริงทั้งในเชิงเศรษฐกิจและสังคม รวมถึงพัฒนางานวิจัยที่สามารถรับมือกับสภาพปัญหาได้ทันเหตุการณ์ ทั้งในแง่การคิดค้นสิ่งใหม่ๆไปล่วงหน้า และการสนับสนุนภาคเอกชนในด้านการบริการวิจัยให้เอกชน การรับจ้างทดสอบ หรือแม้กระทั่งการร่วมลงทุนตั้งบริษัทกับเอกชน เพื่อนำนวัตกรรมใหม่ๆออกสู่ตลาดอย่างรวดเร็ว และโดยอาศัยองค์ความรู้และงานวิจัยต่างๆที่ สวทช.ได้ริเริ่มดำเนินการไว้ และการทำงานที่เชื่อมโยงกับหน่วยงานหลักๆ ในภาครัฐและเอกชนทั้งในและต่างประเทศ สวทช.ได้ประสบความสำเร็จในการพัฒนาหมึกพิมพ์นำไฟฟ้า ที่สามารถพิมพ์ลงบนพื้นผิวต่างๆ ทำให้เราก้าวข้ามข้อจำกัดของอุตสาหกรรมการพิมพ์และอิเล็กทรอนิกส์ ไม่ว่าจะเป็นการสร้างสรรวัสดุที่มีคุณสมบัติหลากหลาย ก่อให้เกิดนวัตกรรมใหม่ๆ อาทิ Smart Packaging บรรจุภัณฑ์ที่สามารถแสดงข้อมูลหรือภาพเคลื่อนไหวบนหีบห่อ เพื่อแสดงวิธีการใช้งานผลิตภัณฑ์ บอกคุณภาพของสินค้ากระตุ้นการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภค และสามารถส่งข้อมูลกลับมายังผู้ผลิตเพื่อการปรับปรุงคุณภาพสินค้าในอนาคต หรือ หมึกพิมพ์อิเล็กทรอนิกส์ ที่สามารถนำมาใช้พิมพ์ RFID ไปพร้อมกับการพิมพ์ฉลากบรรจุภัณฑ์ ในราคาที่ถูกกว่า RFID แบบที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน , E-paper หรือกระดาษอิเล็กทรอนิกส์ที่ม้วนได้ สามารถติดลงบนพื้นผิวโค้งงอเพื่อใช้ในงานโฆษณา หรือสิ่งพิมพ์อัจฉริยะ จอแสดงผลชนิด OLED ซึ่งนำไปเป็นส่วนประกอบในกล้องดิจิตอลหรือโทรศัพท์มือถือ ซึ่งจะให้ภาพที่คมชัดยิ่งขึ้น มีสีสันงดงาม ใช้พลังงานน้อยลง และต้นทุนการผลิตที่ต่ำ หรือเซลล์แสงอาทิตย์ที่เป็นฟิล์มบาง น้ำหนักเบาสามารถคลุมลงบนหลังคาหรือห่อหุ้มอาคารแทนการใช้ฟิลม์กรองแสงและสามารถผลิตกระแสไฟฟ้าได้ในตัว ,อาคารประหยัดพลังงาน ที่นำเทคโนโลยีกระจกอัจฉริยะ ซึ่งสามารถควบคุมปริมาณแสงและความร้อนจากภายนอกที่จะส่องเข้าไปในตัวอาคารในระดับที่ต้องการ ซึ่งจะเป็นก้าวสำคัญของอุตสาหกรรมการก่อสร้างอาคารอนุรักษ์พลังงาน หรือแม้แต่นวัตกรรมทางการแพทย์เช่น เซ็นเซอร์ตรวจวัดน้ำตาลและไขมันในเลือด และเซ็นเซอร์เพื่อการตรวจสอบคุณภาพอาหาร เช่น สารตกค้างในอาหาร ด้วยเทคโนโลยีการพิมพ์อิเล็กทรอนิกส์สามารถสร้างเซ็นเซอร์ที่มีราคาถูก ใช้แล้วทิ้ง ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการตรวจสอบทำให้การบริโภคอาหารมีความปลอดภัย ตลอดจนเป็นการเพิ่มคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

ทั้งนี้ ศูนย์นวัตกรรมการพิมพ์อิเล็กทรอนิกส์ฯ จะเป็นศูนย์รวมเครือข่ายการทำงานระหว่างภาครัฐ และเอกชน โดยจะมีห้องปฏิบัติการ และบริการทางเทคนิค เพื่อบริการแก่ภาคอุตสาหกรรม รวมถึงการให้คำปรึกษาในการใช้เทคโนโลยีการพิมพ์ด้วยหมึกอิเล็กทรอนิกส์ หรือหมึกนำไฟฟ้า นอกจากนี้ ไทยยังเข้าร่วมเป็นสมาชิกของ Organic Electronics Association หรือ O-EA ซึ่งเป็นสมาคมด้านอิเล็กทรอนิกส์และอินทรีย์ระดับโลกเพื่อเชื่อมโยงงานวิจัยระหว่างกลุ่มสมาชิกของ O-EA ที่มีอยู่ทั่วโลก ซึ่งจะทำให้ไทยมีฐานข้อมูล และเครือข่ายการพัฒนางานวิจัยที่กว้างมากขึ้น ซึ่งทั้งหมดนี้จะเป็นการปฏิวัติวงการพิมพ์ของไทยให้ก้าวไปสู่โลกอนาคต ซึ่งผมมั่นใจว่าภาคธุรกิจที่เข้ามาร่วมกับ สวทช.จะได้รับประโยชน์จากนวัตกรรมใหม่นี้ที่สามารถนำไปสร้างมูลค่าเพิ่มแก่สินค้าและบริการได้หลากหลายให้สามารถแข่งขันได้ ตลอดจนเป็นทางเลือกใหม่ให้แก่ผู้บริโภคได้เข้าถึงนวัตกรรมใหม่ๆที่ใช้ประโยชน์ได้จริงในชีวิตอีกด้วย” ดร.ทวีศักดิ์กล่าว

View :2412