Archive

Archive for the ‘Press/Release’ Category

Ovum warns BYOD is here to stay as 70% of employees use personal devices to access corporate data

June 17th, 2013 No comments

London, 6 June 2013 – Bring-your-own-device () is here to stay, states , as it reveals the findings of its 2013 multi-market BYOX (bring-your-own-anything) employee study*. With corporate activity by full-time employees (FTEs) remaining steady at almost 60% over the past two years, the global industry analysts warn business leaders to respond and adapt now to this change in employee behaviour, rather than being steamrollered by it.

Launching the research at its BYOX World Forum today in London, Ovum revealed that the BYOX phenomenon shows no signs of disappearing, as nearly 70% of employees who own a smartphone or tablet choose to use it to access corporate data. The personal tablet market continues to grow, and with personal tablet ownership by FTEs rising from 28.4% to 44.5% over the last 12 months, more businesses will see these devices on their networks. Moreover, this activity will continue whether the CIO wants it to or not. Ovum’s study shows that 67.8% of smartphone-owning employees bring their own smartphone to work, and 15.4% of these do so without the IT department’s knowledge and 20.9% do so in spite of an anti-BYOD policy.

“Trying to stand in the path of consumerized mobility is likely to be a damaging and futile exercise,” says Richard Absalom, consumer impact technology analyst at Ovum. “We believe businesses are better served by exploiting this behaviour to increase employee engagement and productivity, and promote the benefits of enterprise mobility.”

Ovum’s research also depicts the rise of the bring-your-own-application (BYOA) trend. While email and calendar remains the most commonly used application on both corporately provisioned and personally owned devices, the usage of new-generation cloud productivity applications, such as enterprise social networking, file sync and share and IM/VoIP, is growing fast. Worryingly, Ovum found that these types of apps are increasingly being sourced by employees themselves and not through managed corporate channels – 25.6% of employees discovered their own enterprise social networking apps, while 22.1% and 30.7% of employees discovered their own file sync and share apps and IM/VoIP apps, respectively.

“The thread that runs through all of the data is that IT is not keeping up with the changing demands and behaviour patterns of the new mobilized, consumerized workforce. Nowhere is this clearer than in the BYOA data. If employees are sourcing their own applications to do their job, then IT is not delivering the right tools or a good enough user experience for its employees,” concludes Absalom.

View :1199
Categories: Press/Release Tags: ,

ไอบีเอ็มแนะสถาบันการเงินสร้างรายได้จากฐานลูกค้า ด้วยการพลิกโฉมธุรกิจสู่รูปแบบดิจิตอล

June 17th, 2013 No comments

การแข่งขันอย่างรุนแรงของธุรกิจให้บริการด้านการเงินส่งผลให้สถาบันการเงินต่างจำเป็นจะต้องเฟ้นหานวัตกรรมเพื่อมาปรับใช้กับรูปแบบธุรกิจและขยายช่องทางรายได้ใหม่ๆ เพื่อเอาชนะคู่แข่ง ไอบีเอ็มชี้การพลิกโฉมและปรับเปลี่ยนธุรกิจสู่ระบบดิจิตอลโดยให้ความสำคัญกับลูกค้าเป็นหลักเป็นปัจจัยสำคัญสู่ความสำเร็จ

นับจากที่เริ่มมีโซเชียลมีเดียเกิดขึ้น โลกของเราได้ก้าวสู่ยุคของโมบายล์คอมพิวติ้งอย่างเต็มตัว ในขณะที่คลื่นลูกที่สองของการปฏิวัติเทคโนโลยีโมบายล์ซึ่งเกี่ยวข้องกับการปรับใช้ระบบโมบายล์ในแวดวงธุรกิจกำลังจะมาถึง หลายๆ บริษัทหันมาใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีโมบายล์เพิ่มมากขึ้น เพื่อผลักดันการติดต่อสื่อสารอย่างใกล้ชิดกับลูกค้า ซึ่งจะช่วยกระชับความสัมพันธ์ ส่งเสริมความผูกพันที่มีต่อแบรนด์ ปรับปรุงผลประกอบการธุรกิจ และก้าว “แซงหน้า” คู่แข่งในตลาดที่พัฒนาแล้ว

ควาโฟ โอโฟรี-โบอาเต็ง หัวหน้าฝ่ายโกลบอลโซลูชั่น – ตลาดบริการลูกค้าและข้อมูลเชิงลึก การธนาคารและการเงิน กล่าวว่า “เราได้กำหนดแนวทางหลัก 4 ข้อสำหรับการจัดการการปฏิรูปด้านดิจิตอล (Digital Trans-formation) และการ “สร้างรายได้” (Monetize) จากฐานลูกค้าที่มีอยู่ รวมถึงการปรับเปลี่ยนรูปแบบธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพ โดยแนวทางที่ว่านี้ได้แก่ 1. การผนวกรวมช่องทางจัดจำหน่ายที่มุ่งเน้นลูกค้าเป็นหลัก 2. การพัฒนาจาก “โซเชียลมีเดีย” ไปสู่ “โซเชียลบิสซิเนส” 3. การเพิ่มขีดความสามารถในการใช้ประโยชน์จากข้อมูลที่มีอยู่โดยใช้ระบบวิเคราะห์ข้อมูลแบบที่ไม่มีโครงสร้าง และ 4. การขยายขีดความสามารถเพื่อคาดการณ์ความต้องการในอนาคต”

ไอบีเอ็มระบุธุรกิจการเงินและประกันภัยจะได้รับประโยชน์จากแนวทางแต่ละข้อ ดังนี้

1. การผนวกรวมช่องทางจัดจำหน่ายที่มุ่งเน้นลูกค้าเป็นหลัก ช่วยให้สถาบันการเงินสามารถลดค่าใช้จ่ายในการประมวลผลธุรกรรม ด้วยอัตราส่วนธุรกรรมออนไลน์พื้นฐานที่เพิ่มขึ้นและ ประสบการณ์จากการใช้บริการผ่านหลายช่องทางที่มีประสิทธิภาพช่วยเพิ่มความรวดเร็วในการปรับปรุงเปลี่ยนแปลง ในขณะที่ลูกค้าสถาบันการเงินจะได้รับประโยชน์เพิ่มมากขึ้นจากบริการออนไลน์ของธนาคาร ทำให้ลูกค้ามีความภักดีต่อธนาคารมากขึ้น ลดอัตราการเปลี่ยนไปใช้บริการของสถาบันการเงินอื่น และปรับปรุงภาพลักษณ์ในสายตาของกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย

2. การพัฒนาจาก “โซเชียลมีเดีย” ไปสู่ “โซเชียลบิสซิเนส” ช่วยสถาบันการเงินเพิ่มรายได้ด้วยการจัดหานวัตกรรมทางด้านผลิตภัณฑ์และบริการให้แก่ลูกค้า เสริมสร้างความภักดีของลูกค้าด้วยการเพิ่มจำนวนลูกค้าที่ให้การสนับสนุนและช่วยโปรโมตผลิตภัณฑ์และบริการของธนาคาร รวมถึงฟื้นฟูความเชื่อมั่นและปรับปรุงประสบการณ์ของลูกค้า

3. การใช้ประโยชน์จากข้อมูลที่มีอยู่โดยใช้ระบบวิเคราะห์ข้อมูลที่ไม่มีโครงสร้าง (unstructured data) ช่วยเพิ่มรายได้จากลูกค้า (คาดว่าสูงสุด 40% ในตลาดใหม่ๆ) เพิ่มยอดขายผลิตภัณฑ์และบริการเสริมที่เกี่ยวข้อง 10-15%และเพิ่มความพึงพอใจให้แก่ลูกค้าและช่วยรักษาฐานลูกค้าที่มีอยู่

4. การขยายขีดความสามารถเพื่อคาดการณ์ความต้องการในอนาคต ทำให้สถาบันการเงินสามารถนำผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ออกสู่ตลาดได้อย่างรวดเร็ว ด้วยการนำบริการมาปรับใช้ใหม่และตอบสนองความท้าทายของตลาดและการสร้างสรรค์นวัตกรรมอย่างฉับไวต เพิ่มประสิทธิภาพในการจำหน่ายบริการเสริมที่เกี่ยวข้องและการนำเสนอแคมเปญ รวมทั้งตอบสนองความคาดหวังของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งทั้งหมดนี้จะช่วยสร้างเสริมภาพลักษณ์ของแบรนด์และเพิ่มความพึงพอใจให้แก่ลูกค้า

ไอบีเอ็มเชื่อว่าธุรกิจบริการด้านการเงินจะเติบโตรุดหน้าได้ จำเป็นที่จะต้องปรับปรุงระบบสารสนเทศให้สามารถพัฒนาและดำเนินการโดยอาศัยข้อมูลเชิงลึกใหม่ๆ ก่อนหน้าคู่แข่ง ทั้งนี้ ไอดีซีระบุว่าไอบีเอ็มครองตำแหน่งผู้นำอันดับ 1 ในด้านการจัดหาบริการและโซลูชั่นเทคโนโลยีด้านการเงินแก่ธนาคารชั้นนำระดับโลกที่ติดอันดับ Top 25 โดยไอบีเอ็มนำเสนอโซลูชั่นที่ครบถ้วนสมบูรณ์มากที่สุดในอุตสาหกรรม ครอบคลุมทั้งซอฟต์แวร์ ฮาร์ดแวร์ บริการ พร้อมความเชี่ยวชาญเชิงลึกเกี่ยวกับอุตสาหกรรม ส่งผลให้ไอบีเอ็มมีความพร้อมมากกว่าในการให้ความช่วยเหลือแก่ลูกค้าเพื่อกลั่นกรองข้อมูลเชิงลึกที่จะผลักดันการปฏิรูปธุรกิจและการสร้างสรรค์นวัตกรรมสำหรับการประสานงานร่วมกัน

View :1112

ดีแทคนำสัญญาณ TriNet บุกภาคเหนือ พร้อมดีแทคไตรเน็ตสมาร์ทโฟน ตอกย้ำวิสัยทัศน์ “Internet for All”กระตุ้นธุรกิจสร้าง SMEs เข้มแข็ง

June 17th, 2013 No comments

dtac
เผยโฉมคอลล์เซ็นเตอร์ 10 ภาษารองรับเศรษฐกิจเสรี AEC

14 มิถุนายน 2556 ดีแทครุกขึ้นเหนือเปิดสัญญาณ TriNet พร้อมนำมือถือ ดีแทคไตรเน็ตโฟน สมาร์ทโฟนคุณภาพ สอดรับวิสัยทัศน์ใหม่ “Internet for All” สมาร์ทโฟนสเป็คสูง ในราคาที่เป็นเจ้าของได้ง่าย ขยายโอกาสให้ทุกคนใช้ 3G เข้าถึงอินเตอร์เน็ตได้เร็วขึ้น พร้อมเพิ่มขีดความสามารถในการให้บริการลูกค้า พัฒนาศักยภาพดีแทคคอลล์ เซ็นเตอร์ ให้พนักงานบริการลูกค้าได้ถึง 10 ภาษา และขยายช่องทางจัดจำหน่ายร่วมมือกับพันธมิตรในภาคเหนือ เปิด TriNet Partner ช่วยอำนวยความสะดวกให้ลูกค้าเข้าถึงสินค้าและบริการของดีแทคได้มากขึ้น และยังเป็นการช่วยสร้างงานสร้างรายได้ให้ชาวเหนือ

ปัจจุบันผู้ใช้บริการโทรศัพท์มือถือมีแนวโน้มการใช้งานดาต้าเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมีจำนวนลูกค้าดีแทคที่ใช้งานดาต้าถึง 9 ล้าน ในขณะที่การเปิดให้บริการเครือข่าย 3 จี บนคลื่น 2100 เมกะเฮิร์ตซ์ ส่งผลให้ประเทศไทยมีศักยภาพในการรองรับการให้บริการสื่อสารเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล แต่ปัจจุบัน โทรศัพท์มือถือที่รองรับ 3 จี บนคลื่น 2100 ในเมืองไทยมีจำนวนเพียง 20% เท่านั้น ในขณะที่การใช้งานดาต้าในภาคเหนือ มีการใช้ปริมาณข้อมูลต่อคน ค่อนข้างน้อยเมื่อเทียบกับภาคอื่นๆ

จากข้อมูลหอการค้า จังหวัดเชียงใหม่ ภาวะเศรษฐกิจภาคเหนือไตรมาส 1 ปี 2556 ขยายตัวดีแต่มีอัตราชะลอลง โดยการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนชะลอตัวหลังจากมาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายของภาครัฐสิ้นสุดในไตรมาสก่อนหน้า สาหรับการผลิตสินค้าอุตสาหกรรมทรงตัว ด้านการท่องเที่ยวขยายตัวดีโดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจากจีน จากข้อมูลของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา สถิตินักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทยในปีนี้ อันดับหนึ่งคือ นักท่องเที่ยวชาวจีน โตขึ้นถึง 60% เมื่อเทียบกับช่วง 3 เดือนแรกของปีที่แล้ว ซึ่งมาจากความนิยมหนังดัง Lost in Thailand ทำให้เกิดกระแสการทะลักเข้ามาของนักท่องเที่ยวชาวจีน ประกอบกับมีการจัดกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวและประชุมสัมมนา การส่งออกที่ขยายตัวดีมาก โดยเฉพาะการค้าชายแดนไปประเทศเพื่อนบ้าน และนโยบายการเปิดประเทศของพม่าส่งผลให้มีความต้องการสินค้าอุปโภคบริโภคเพิ่มขึ้น เป็นโอกาสที่ผู้ประกอบการรายย่อย หรือ SMEs ที่มีผลิตผลทางการเกษตร และผลิตภัณฑ์ที่เป็นของพื้นบ้านที่มีคุณภาพ และสามารถทำรายได้ส่งออกให้กับประเทศ โดยมีการติดต่อค้าขายกับประเทศจีน พม่า ลาว เพื่อเปิดตลาดการค้าไปสู่ AEC

จากความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภาคลุ่มแม่น้ำโขง (Greater Mekong Subregion: GMS) ที่เป็นกุญแจสำคัญของการเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) โดยเฉพาะการเชื่อมโยงกับตลาดใหญ่อย่างประเทศ จีน สิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตก็คือการเป็นอนุภูมิภาคที่มีความเจริญรุ่งเรือง และเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน โดยมีทำเลที่ตั้งอยู่ บริเวณศูนย์กลางของทวีปเอเชียตะวันออกเฉียงเหนือที่มีพลวัตมากที่สุดของโลก

นอกจากนี้เชียงใหม่ ยังเป็นหนึ่งในจังหวัดที่กำลังจะเป็น ไมซ์ ซิตี้” (Mice City) หรือศูนย์กลางการจัดการแสดงสินค้าภายในประเทศ เป็นหนึ่งแนวทางในการผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมไมซ์ หลังจากเปิดเขตประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือเออีซี ในปี 2558 ซึ่งถือเป็นปัจจัยเกื้อหนุนที่จะช่วยส่งเสริมให้เศรษฐกิจของประเทศไทยเติบโตได้อย่างมั่นคงและมีเสถียรภาพ ลดการพึ่งพิงจากต่างประเทศ อีกทั้งยังเป็นการกระจายรายได้จำนวนมหาศาลให้หมุนเวียนจากส่วนกลางไปยังส่วนภูมิภาค

นายจอน เอ็ดดี้ อับดุลลาห์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น หรือ ดีแทค กล่าวว่า “ดีแทคได้จัดโครงการ 77/77 อินเตอร์เน็ต ฟอร์ ออล โรด ทริป (77/77 Internet for All Road Trip) ต่อไปยังภาคเหนือ เพื่อทดสอบสัญญาณ TriNet และนำวิสัยทัศน์ Internet For All เป้าหมายสำคัญที่ดีแทคได้ประกาศไว้ให้เป็นจริง ในการสร้างความเท่าเทียมเข้าถึงอินเทอร์เน็ตทุกพื้นที่ เพื่อยกระดับคุณภาพ ชีวิตของประชากร และยังสร้างมิติใหม่ให้ภาคโทรคมนาคมช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศ

ดังนั้นเมื่อตลาดมีศักยภาพการเติบโตที่ชัดเจน เครือข่ายดีแทค TriNet ก็พร้อมให้บริการในปลายเดือนมิถุนายนนี้ ประกอบกับการมี โทรศัพท์มือถือจากดีแทคไตรเน็ต สมาร์ทโฟนที่มีสเป็คสูงในราคาสมเหตุผล จึงเป็นจังหวะดีที่ดีแทคจะได้มุ่งมั่นพัฒนาสินค้าและบริการ ให้สนองตอบความต้องการของลูกค้า ได้เข้าถึงข้อมูลข่าวสารจากอินเตอร์เน็ตได้สะดวก รวดเร็ว นอกจากนี้ดีแทคยังได้เพิ่มศักยภาพ คอลล์ เซ็นเตอร์ รับสายลูกค้าได้มากถึง 10 ภาษา และยังได้มีการปรับโฉมหน้า ศูนย์บริการดีแทค และร่วมมือกับพันธมิตรแต่งตั้ง TriNet Partner ช่องทางจัดจำหน่ายให้ลูกค้าได้รับความสะดวกสบายในการใช้บริการของดีแทคได้มากขึ้น”

นายชัยยศ จิรบวรกุล รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มลูกค้า ดีแทค กล่าวเพิ่มเติมว่า “ ในปีนี้ดีแทคได้ปรับโฉมงานบริการลูกค้า และพัฒนาขีดความสามารถของพนักงานในการให้บริการลูกค้าครั้งใหญ่ ด้วยงบลงทุนกว่า 800 ล้านบาท ด้วยปรัชญาในการให้บริการลูกค้ากว่า 26.5 ล้านราย โดยการยึดให้ลูกค้าเป็นศูนย์กลาง (Customer Centricity) เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้แบบครบถ้วน ทั้งเรื่องการใช้งานและเรื่องของจิตใจเพราะดีแทครู้ว่าเราคือเพื่อนที่อยู่ด้วยกันมานาน ดีแทคจึงใส่ใจดูแลทุกรายละเอียด และพร้อมให้คำปรึกษากับผู้ใช้บริการทุกคนเหมือนกัน

ปัจจุบันลูกค้ามีหลากหลายเชื้อชาติและภาษา และมีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการใช้งานที่มีแนวโน้มใช้ดาต้าในการค้นหาข้อมูล ข่าวสาร และติดต่อกันทางโซเชียลมีเดียมากขึ้น เมื่อมี 3G ลูกค้าเริ่มเปลี่ยนมาใช้สมาร์ทโฟน และอุปกรณ์พกพา ซึ่งมีหลายคนที่เริ่มต้นใช้สมาร์ทโฟนเป็นครั้งแรก และต้องการคำแนะนำที่ถูกต้องทั้งการเลือกซื้อ รวมถึงการใช้งานฟังก์ชั่นและแอพพลิเคชั่นที่ถือเป็นเรื่องใหม่ ดีแทคจึงได้พัฒนาความสามารถในการให้บริการลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงไป โดยการเปิดดีแทค คอลล์ เซ็นเตอร์ 10 ภาษาได้แก่ ภาษาจีน, พม่า, ลาว, กัมพูชา, Bahasa มาลายู, Bahasa อินโดนีเซีย, เวียดนาม, ยาวี, ญี่ปุ่น, อังกฤษ เพื่อรองรับนักท่องเที่ยว และแรงงานต่างชาติ และยังพัฒนาการให้บริการลูกค้าทางโซเชียลมีเดีย ทั้ง Facebook บริการ E-Service ทางดีแทคเว็บไซต์ เว็บไซต์ Pantip และ Line เพื่อให้ตอบสนองไลฟ์สไตล์ของลูกค้ายุคใหม่

พร้อมกันนี้ดีแทคยังได้ปรับโครงสร้างช่องทางใหม่ เพื่ออำนวยความสะดวกให้ลูกค้าในการติดต่อกับดีแทค ให้ได้รับสะดวกสบาย สอดคล้องกับรูปแบบการใช้บริการของลูกค้ามากขึ้น สามารถสร้างประสบการณ์ที่ดี
ให้กับลูกค้าทุกคน โดยการปรับโฉมศูนย์บริการดีแทค ที่มีทั้งการขายและบริการแบบครบวงจร (Sales & Service Integration) จัดเสนอให้ตรงใจลูกค้าแต่ละกลุ่ม ซึ่งได้ทยอยปรับปรุงจะครบ 100 สาขาไปแล้ว และมีแผนปรับปรุงกว่า 300 สาขาทั่วประเทศ

และการขยายช่องทางการจัดจำหน่ายเพิ่มเติม ด้วยการแต่งตั้ง TriNet partner ซึ่งเป็นการยกระดับศักยภาพการขายและให้บริการของลูกตู้ขึ้นมาเป็นพันธมิตร ที่มีความพร้อมในการขายสินค้ามือถือไม่ว่าจะเป็นอินเตอร์แบรนด์และ Phone สมาร์ทโฟนและบริการให้คำปรึกษาแนะนำการใช้งาน สมาร์ทโฟนและแท๊บเล็ต โดยตั้งเป้าที่จะขยายให้ครบ 300 แห่ง ทั่วประเทศ

การปรับปรุงประสิทธิภาพของงานบริการลูกค้าทั้งในส่วนของ Call Center และการขยายศูนย์บริการ ดีแทค ฮอลล์, ดีแทค เซ็นเตอร์ และดีแทค เอ็กซ์เพรส จะเป็นการสร้างงานสร้างรายได้เพิ่มขึ้นในพื้นที่ภาคเหนือ” นายชัยยศ กล่าวสรุปในตอนท้าย

View :1324
Categories: Press/Release Tags:

ดีแทคตอกเปิดตัวแพ็กเกจใหม่ “smartphone More Choice”

June 14th, 2013 No comments

ครั้งแรกที่ลูกค้าสามารถเลือกจับคู่แพ็กเกจการใช้โทรศัพท์และอินเทอร์เน็ตได้ตามการใช้งานจริง ให้เลือกได้มากกว่าบน สามโครงข่ายอัจฉริยะ
dtac_7714
ดีแทคเปิดแพ็กเกจใหม่ “smartphone More Choice” ต่อยอด TriNet สามโครงข่ายอัจฉริยะ จากการที่ดีแทคได้เปิดบริการโครงข่ายใหม่ ได้มีลูกค้าเข้ามาลงทะเบียนบนเครือข่ายใหม่แล้วกว่า 1.5 ล้านคนแล้ว โดยกลุ่มลูกค้าที่ลงทะเบียนใช้โครงข่ายใหม่นี้ เป็นกลุ่มลูกค้าที่มีการใช้สมาร์ทโฟนในสัดส่วนที่สูงมาก และคาดการณ์ว่าในปี 2556 นี้จะมีผู้ใช้สมาร์ทโฟนในประเทศจะเพิ่มขึ้นกว่า 20ล้านเครื่อง และโดยเฉพาะ กลุ่มลูกค้ารายเดือนพบว่าพฤติกรรมของผู้บริโภคมีความต้องการแตกต่างกันจากการใช้งานทั้งการใช้งานเพื่อโทรปกติ และ การใช้งานดาต้า ทางดีแทคจึงออกแบบแพ็กเกจ ที่หลากหลายเพื่อตอบสนองตามความต้องการให้ลูกค้าสามารถเลือกได้ตามต้องการ ไม่ว่าจะใช้งานเพื่อโทรปกติ และ การใช้งานดาต้า เพื่อให้ได้ความคุ้มค่ามากกว่า โดยแนวคิด smartphone More Choice เกิดจากกลยุทธ์การมุ่งให้ความสำคัญกับลูกค้า Customer Centricity ด้วยการศึกษาความต้องการของลูกค้าอย่างจริงจังเพื่อนำมาสร้างสรรค์แพ็กเกจบริการ และผลิตภัณฑ์อุปกรณ์สื่อสารที่หลากหลายยิ่งขึ้น พร้อมระดับราคาที่มีความเหมาะสม คุ้มค่าที่สุด เพื่อตอบสนองทุกความต้องการของลูกค้าทุกกลุ่มทั่วประเทศ ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่ลูกค้าสามารถเลือกจับคู่แพ็กเกจการใช้โทรศัพท์และอินเตอร์เน็ตได้ตามการใช้งานจริงด้วยตัวเองอย่างแท้จริง เพื่อสัมผัสประสบการณ์การสื่อสารที่เหนือชั้นกว่าครั้งใหม่บน TriNet สามโครงข่ายอัจฉริยะอย่างเต็มประสิทธิภาพ โดยแพ็กเกจแบ่งออกเป็น smartphone more choice เลือกจับคู่การใช้ internet และโทร ได้ตามการใช้งานและ smartphone starter แพ็กเกจทั้งโทรทั้งเน็ตสุดคุ้ม สำหรับผู้เริ่มใช้สมาร์ทโฟน

แพ็กเกจ smartphone more choice การใช้อินเทอร์เน็ตออกเป็น 3 แบบตามปริมาณการใช้งาน

1. Unlimited starter 249บาท ใช้ความเร็ว 3G ได้ 750 MB
2. Unlimited super 349บาท ใช้ความเร็ว 3G ได้ 1.5 GB
3. Unlimited pro 449บาท ใช้ความเร็ว 3G ได้ 3 GB

แพ็กเกจการโทรออกเป็น 3 แบบตามปริมาณการใช้งาน

1. โทรฟรีทุกเครือข่าย 250 นาที 180 บาท
2. โทรฟรีทุกเครือข่าย 400 นาที 300 บาท
3. โทรฟรีทุกเครือข่าย 800 นาที 500 บาท

คู่แพ็กเกจแนะนำตามไลฟ์สไตล์เลือกอินเทอร์เน็ตบวกโทร
แพ็กเกจที่เลือกได้ลงตัวกับชีวิตคุณ

Unlimited starter 249บาท ใช้ความเร็ว 3G ได้ 750 MB บวกด้วย
โทรฟรีทุกเครือข่าย 250 นาที 180 บาท รวม 429 บาท
เหมาะสำหรับคนใช้เน็ตน้อย โทรน้อย เน้นการใช้งาน อีเมล์และเว็บไซต์ทั่วไป

Unlimited super 349บาท ใช้ความเร็ว 3G ได้ 1.5GB บวกด้วย
โทรฟรีทุกเครือข่าย 250 นาที 180 บาท รวม 529 บาท
เหมาะสำหรับคนใช้เน็ตปานกลาง โทรน้อย เน้นการใช้งานโซเชียลเน็ตเวิร์กต่างๆเช่น Facebook ,twitter,instagram

Unlimited pro 449บาท ใช้ความเร็ว 3G ได้ 3GB บวกด้วย
โทรฟรีทุกเครือข่าย 400 นาที 300 บาท รวม 749 บาท
เหมาะสำหรับคนใช้เน็ตมาก โทรปานกลาง เน้นการใช้งานมัลติมีเดียต่างๆ เช่น Youtube, DEEZER

แพ็กเกจที่ตอบชีวิตมันส์ๆ แบบ unlimited โทรฟรีทุกเครือข่ายพร้อมเล่นเน็ตไม่จำกัด เริ่มต้นเพียง 299 บาท

นอกจากนี้ยังมีแพ็กเกจ smartphone starter 299 แพ็กเกจทั้งโทรทั้งเน็ตสุดคุ้ม สำหรับผู้เริ่มใช้สมาร์ทโฟนเริ่มต้นเพียง 299 บาท ให้โทรฟรีทุกเครือข่าย พร้อมเล่นเน็ต unlimited นานถึง 6 เดือน

และแพ็กเกจใหม่นี้ดีแทคได้มีการปรับลดราคา 15% ตามประกาศของคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ ซึ่งมีผลตั้งแต่ 27 พฤษภาคม 2556 เป็นต้นมา พร้อมกันนี้ได้รับสิทธิพิเศษทันทีจาก dtac rewards ทุกเดือน ทั้งโทรฟรี ดูหนังฟรี และรับส่วนลดจากร้านค้าต่างๆ ทั่วประเทศ สามารถสมัครได้ที่ศูนย์บริการดีแทคทั่วประเทศ

Screen Shot 2556-06-14 at 2.54.31 AM

View :1331
Categories: Press/Release Tags:

ซัมซุง ร่วมกับ ทรูมูฟ เอช มอบข้อเสนอที่ดีที่สุดด้วย TrueMove H Galaxy Package ครั้งแรกกับเอ็กซ์คลูซีฟแพ็กเกจ สำหรับลูกค้าซัมซุง

June 14th, 2013 No comments

ซัมซุง ผู้นำสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตบนระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ ผนึก ทรูมูฟ เอช ผู้นำเครือข่าย 3G ที่ดีที่สุด เปิดตัวแพ็กเกจใหม่ “TrueMove H Galaxy Package” กับข้อเสนอที่แรงที่สุด คุ้มที่สุด ในราคาเบาๆ ด้วยส่วนลดค่าบริการรายเดือน 50% นาน 18 เดือน กับแพ็กเกจ Galaxy Lite เหลือเดือนละ 350 และ Galaxy Bonus เหลือเดือนละ 550 บาทให้โทรและเล่นเน็ตไม่อั้น พิเศษสำหรับสาวกซัมซุงกาแล็คซี่โดยเฉพาะ! เมื่อซื้อสมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ตทุกรุ่น พร้อมเปิดเบอร์ทรูมูฟ เอช หรือย้ายค่ายเบอร์เดิมเป็นทรูมูฟ เอช ที่ร้านทรูช้อป และตัวแทนจำหน่ายกว่า 1,000 สาขาทั่วประเทศ…สัมผัสสุดยอดประสบการณ์ที่เหนือกว่าผ่านเครือข่ายทรูมูฟ เอช 3G+ ที่ใหญ่ที่สุดในไทยได้แล้ววันนี้

ดร. กิตติณัฐ ทีคะวรรณ ผู้อำนวยการด้านบริหารผลิตภัณฑ์ดีไวซ์ บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ทรูมูฟ เอช ต่อยอดความร่วมมือกับซัมซุง เปิดตัวแพ็กเกจสุดคุ้ม “TrueMove H Galaxy Package” ที่ผสานความแข็งแกร่งของสุดยอดสมาร์ทโฟน และแท็ปเล็ตบนระบบแอนดรอยด์ เข้ากับสุดยอดเครือข่าย 3G มอบประสบการณ์การใช้งานที่เหนือกว่าให้กับสาวกกาแล็คซี่ได้ออนไลน์แรงและเร็วเต็มสปีดบนเครือข่าย 3G ที่ดีและครอบคลุมมากที่สุดในไทย โดยลูกค้าที่ซื้อซัมซุงกาแล็คซี่ ทั้งสมาร์ทโฟนและแท็ปเล็ตทุกรุ่น พร้อมเปิดเบอร์ ทรูมูฟ เอช หรือย้ายค่ายเบอร์เดิม รับส่วนลดค่าบริการรายเดือน 50% นาน 18 เดือน ด้วยแพ็กเกจสุดคุ้ม Galaxy Lite เหลือเดือนละ 350 บาท หรือ Galaxy Bonus เหลือเดือนละ 550 บาท ทั้งโทรและเล่นเน็ตไม่อั้น ซึ่งถือเป็นข้อเสนอที่ดีสุด คุ้มที่สุดที่ ทรูมูฟ เอช ตั้งใจมอบให้กับลูกค้าซัมซุงกาแล็คซี่โดยเฉพาะ”

คุณวิชัย พรพระตั้ง รองประธานธุรกิจโทรคมนาคม บริษัท ไทยซัมซุง อิเลคโทรนิคส์ จำกัด กล่าวว่า “ซัมซุงและทรูมูฟ เอช เป็นพันธมิตรทางธุรกิจที่ดีต่อกันมาอย่างยาวนาน ได้ร่วมกันจัดทำโปรโมชั่นต่างๆ ให้กับลูกค้าของเรามาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีมาโดยตลอด สำหรับความร่วมมือในการเปิดตัว “TrueMove H Galaxy Package” นี้ถือว่าพิเศษสุดๆ เป็นแพ็กเกจที่ดี และคุ้มค่าที่สุดเท่าที่ซัมซุงเคยได้รับมา เหมาะอย่างยิ่งกับการใช้งานของสาวกกาแล็คซี่มากที่สุด เพราะการมีเครือข่ายที่เร็วและแรง เป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้เกิดการใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพของเครื่อง ได้สัมผัสประสบการณ์ที่สมบูรณ์แบบบนสมาร์ทโฟน และแท็บเล็ตซัมซุงกาแล็คซี่ทุกรุ่น

Screen Shot 2556-06-14 at 2.50.44 AM

ค่าบริการส่วนเกินในแพ็กเกจ : ค่าโทร.นาทีละ 1.25 บาท SMS ข้อความละ 2 บาท MMS ครั้งละ 5 บาท
*ผู้ใช้บริการจะได้รับสิทธิใช้ 3G/EDGE/GPRS ได้ที่ความเร็วสูงสุด 42 เมกะบิตต่อวินาที (Mbps.) เป็นจำนวน 1 กิกกะไบต์ (GB) สำหรับแพ็กเกจ Galaxy Lite และ 2 กิกกะไบต์(GB) สำหรับแพ็กเกจ Galaxy Bonus หลังจากนั้นใช้ได้ไม่จำกัดปริมาณที่ความเร็วสูงสุด 128 กิโลบิตต่อวินาที (Kbps)
**WiFi ความเร็วสูงสุด 100 Mbps. ตรวจสอบพื้นที่การให้บริการของ WiFi by TrueMove H ได้ที่ www.truewifi.net

ลูกค้าที่สนใจเป็นเจ้าของซัมซุงกาแล็คซี่ สมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตที่ดีที่สุด บนเครือข่าย 3G ที่ดีที่สุด ครอบคลุมพื้นที่มากที่สุดในไทย พร้อมรับแพ็กเกจสุดคุ้มได้แล้ว ตั้งแต่วันนี้ – 30 กันยายน ที่ร้านทรูช้อป และตัวแทนจำหน่ายกว่า 1,000 สาขาทั่วประเทศ อาทิ เจมาร์ท, ทีจีโฟน, Banana IT, CSC, เทสโก้ โลตัส, บิ๊กซี, พาวเวอร์ บาย, โฮมโปร และทรู พาร์ทเนอร์

View :1185
Categories: Press/Release Tags:

dtac TriNet Phone สมาร์ทโฟนสายพันธุ์ใหม่ครั้งแรกในเมืองไทย พร้อมเชื่อมโยงคนไทยทุกคนผ่านโครงข่ายอัจฉริยะ

June 12th, 2013 No comments

Resize of IMG_2437

ดีแทคเปิดตัว Phone สมาร์ทโฟนสายพันธุ์ใหม่ กับแนวคิด “สมาร์ทกว่ากับดีแทคสมาร์ทโฟน” สอดรับวิสัยทัศน์ใหม่ “Internet for All” ด้วยสเป็คสูงกว่า ราคาเบาๆ ที่ทุกคนเป็นเจ้าของได้บน TriNet – 3 โครงข่ายอัจฉริยะจากดีแทค ชัดกว่า เร็วกว่า บนแบนด์วิธที่กว้างที่สุด ด้วยแคมเปญรับฟรีค่าเครื่อง พร้อมสุดคุ้มกับแพ็จเกจทั้งโทรและเน็ต รับประกันเครื่องนาน 15 เดือน
นายปภาพรต ภู่ประเสริฐ ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานบริหารอุปกรณ์สื่อสาร กล่าวว่า “การพัฒนาผลิตภัณฑ์ dtac TriNet Phone เกิดขึ้นจากวิสัยทัศน์ใหม่ “Internet for All” ซึ่งดีแทคมุ่งหวังให้คนไทยทุกคนทั่วประเทศสามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้ เพื่อการรับรู้ข้อมูลข่าวสารและโอกาสต่าง ๆ ที่เท่าเทียมกัน ด้วยสมาร์ทโฟนคุณภาพ พรั่งพร้อมด้วยคุณสมบัติการใช้งานที่ตอบสนองทุกความต้องการด้านการสื่อสารปัจจุบันในราคาที่ทุกคนสามารถเป็นเจ้าของได้ ไม่ล็อกซิม มีให้เลือกถึง 3 รุ่น ตามลักษณะการใช้งาน พร้อมแพ็กเกจสุดคุ้ม”

dtac TriNet Phone เป็นผลิตภัณฑ์จากความร่วมมือระหว่างดีแทคและ Huawei ผู้ผลิตสมาร์ทโฟนและอุปกรณ์เครือข่ายชั้นนำระดับโลก ผู้ผลิตอุปกรณ์สื่อสารให้กับผู้ให้บริการเครือข่ายกว่า 500 รายใน 140 ประเทศทั่วโลก
ในขณะที่การเปิดให้บริการเครือข่าย 3 จี บนคลื่น 2100 เมกะเฮิร์ตซ์ ที่ผ่านมา ส่งผลให้ประเทศไทยมีศักยภาพในการรองรับการให้บริการสื่อสารเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล แต่ในปัจจุบัน โทรศัพท์มือถือที่รองรับ 3 จี บนคลื่น 2100 ในเมืองไทยมีจำนวนเพียง 20% เท่านั้น ตลาดโทรศัพท์มือถือที่รองรับ 3 จี บนคลื่น 2100 จึงยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก
“เมื่อเครือข่ายมีความพร้อมเต็มที่ และตลาดมีศักยภาพการเติบโตที่ชัดเจน จึงเป็นจังหวะที่ดีให้ dtac TriNet Phone เป็นทางเลือกใหม่ที่คุ้มค่าสำหรับผู้บริโภคไทย” นายปภาพรตกล่าว
dtac TriNet Phone สมาร์ทโฟนสายพันธุ์ใหม่มีให้เลือก 3 รุ่น ตามลักษณะการใช้งานที่แตกต่าง ประกอบด้วย
· ชีต้าห์ (Cheetah) หน้าจอกว้าง ถ่ายรูปกริ๊ป – ครบครันด้วยคุณสมบัติด้านเอนเตอร์เทนเมนต์ ถ่ายภาพและแชร์ภาพได้ทันใจ ด้วยหน้าจอสัมผัสขนาด 4.5 นิ้ว IPS ความละเอียด 854 X 480 ระบบประมวลผล Dual-Core 1.2 GHz ระบบปฏิบัติการ Android 4.1 Jelly Bean กล้อง 5 ล้านพิกเซล พร้อมกล้องหน้า 0.3 ล้านพิกเซล และหน่วยความจำ 4 GB ราคา 4,590 บาท (รวม VAT)
· โจอี้ (Joey) โซเชียลจัด ราคาจิ๋ว – ครบเครื่องเรื่องโซเชียล โหลด แชท และแชร์ กับสมาร์ทโฟนหน้าจอสัมผัสขนาด 3.5 นิ้ว TFT ความละเอียด 480 X 320 ระบบประมวลผล 1.0 GHz ระบบปฏิบัติการ Android 2.3 Gingerbread กล้อง 2 ล้านพิกเซล และหน่วยความจำภายใน 512 MB เพิ่ม Micro SD ได้สูงสุด 32 GB ราคา 2,590 บาท (รวม VAT)

· เม๊าซี่ (Mousey) แบตอึด เมาท์กระจาย – ดีแทคโฟน 3G สุดคุ้ม ด้วยหน้าจอ 2.4 นิ้ว TFT ความละเอียด 320 X 240 ฟังเพลงผ่านวิทยุ FM โดยไม่ต้องเสียบหูฟัง ใช้เป็นโมเดมเพื่อเชื่อมต่อออนไลน์ได้รวดเร็ว กล้อง 1.3 ล้านพิกเซลพร้อมบันทึกวีดิโอ แบตเตอรีใช้งานนาน 4 ชม. เพิ่มหน่วยความจำ Micro SD ได้สูงสุด 16 GB ราคา 1,290 บาท (รวม VAT)

แพ็กเกจสุดคุ้มสำหรับ dtac TriNet Phone
ฟรี ค่าเครื่อง! เมื่อสมัครพร้อมแพ็กเกจ สำหรับลูกค้าแบบรายเดือน
· สำหรับรุ่น Cheetah เมื่อซื้อพร้อมแพ็กเกจ smartphone Cheetah ราคา 999 บาท/เดือน นาน 10 เดือน ใช้เน็ตไม่จำกัด 5GB โทรฟรี 400 นาที Wifi ไม่จำกัด
· สำหรับรุ่น Joey เมื่อซื้อพร้อมแพ็กเกจ smartphone Joey ราคา 799 บาท/เดือน นาน 10 เดือน ใช้เน็ตไม่จำกัด 3GB โทรฟรี 200 นาที WiFi ไม่จำกัด

ฟรี ทั้งโทรและเน็ต เท่าราคาเครื่อง! สำหรับลูกค้าเติมแบบเติมเงิน
· รับโบนัสค่าโทรฟรี 200 บาท พร้อมอินเทอร์เน็ต 100MB ระยะเวลาการรับสิทธิ สูงสุดนาน 16 เดือน

ทั้งนี้ dtac TriNet Phone จะวางจำหน่ายที่ศูนย์บริการดีแทคทั่วประเทศ dtac online store เซเว่น อีเลฟเว่น และร้านขายมือถือทั่วประเทศ สบายใจกับการรับประกันที่มากกว่านานถึง 15 เดือน และการดูแลหลังการขายกับศูนย์บริการหลังการขายทั่วประเทศ

ในการเปิดตัว dtac TriNet Phone ดีแทคได้จัดสรรงบประมาณกว่า 100 ล้านบาทเพื่อจัดกิจกรรมส่งเสริมการตลาดอย่างเต็มรูปแบบ ทั้งโฆษณาในสื่อหลักต่าง ๆ รวมทั้งสื่อออนไลน์ ตลอดจนกิจกรรมการตลาดในพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศ

View :1132
Categories: Press/Release Tags:

เอ-โฮสต์ ลั่นใช้ High Value Service บุกอุตฯไอที สบช่องลูกค้าหันใช้บริการมืออาชีพรับธุรกิจแข่งดุ

May 31st, 2013 No comments

เอ-โฮสต์ ผู้นำด้านการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ซอฟต์แวร์ของออราเคิล และ พร้อมให้บริการหลังการขายอย่างมืออาชีพและครบวงจรระดับมาตรฐานสากล เดินหน้าขยาย แนวรบธุรกิจไอที มุ่งใช้บริการ High Value Service เจาะลูกค้ากระเป๋าหนักที่ต้องการบริการแบบมืออาชีพ รับการแข่งขันทางธุรกิจที่จะเกิดขึ้นอย่างรุนแรง ใน 3 ผลิตภัณฑ์ ทั้ง Application Service , System Service และ BI หลังซุ่มเพาะบ่มบุคลากรคุณภาพจนเพียงพอ มั่นใจปีนี้สร้างผลงานโต 20% จากปีก่อนได้สำเร็จ ขณะที่แผนยาวหวังปูทางขึ้นแท่นผู้นำในบริการ High Value Service ของอุตสาหกรรมไอทีไทยเต็มตัว

นายจรูญรัฐ ปิงคลาศัย รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ-โฮสต์ จำกัด ผู้นำด้านการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ซอฟต์แวร์ของออราเคิล และ ไอบีเอ็ม พร้อมให้บริการหลังการขายอย่างมืออาชีพและครบวงจรระดับมาตรฐานสากล และเป็นหนึ่งใน MFEC Alliance กล่าวถึงแผนการขยายธุรกิจในปี 2556 ว่าจะเน้นการให้บริการแบบมูลค่าเพิ่ม (High Value Service) ให้กับทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่เอ-โฮสต์ดำเนินธุรกิจในปัจจุบัน ซึ่งประกอบไปด้วย กลุ่มผลิตภัณฑ์แอพพลิเคชั่น เซอร์วิส ( Application Service) กลุ่มผลิตภัณฑ์ให้บริการดูแลระบบ (System Service) และ กลุ่มผลิตภัณฑ์ให้บริการระบบบริหารข้อมูลเชิงวิเคราะห์(Business Intelligence – BI) เนื่องจากมีบุคลากรและทีมงานที่มีความเชี่ยวชาญทั้งในส่วนของฮาร์ดแวร์ และซอฟต์แวร์ มีทักษะงานที่ครอบคลุมเทคโนโลยีชั้นสูงของทั้งออราเคิล และ ไอบีเอ็มสามารถให้บริการแก่ลูกค้าอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ซึ่งการให้บริการแบบมูลค่าเพิ่มนอกจากจะสร้างฐานลูกค้าเฉพาะที่มีกำลังซื้อสูงแล้ว ยังเป็นส่วนสำคัญที่สนับสนุนให้อัตรากำไรขั้นต้นของแต่ละผลิตภัณฑ์ปรับตัวดีขึ้นด้วย เนื่องจาก การแข่งขันไม่รุนแรงเท่ากับบริการทั่วไป ประกอบกับลูกค้ากลุ่มดังกล่าวมีทิศทางเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะสะท้อนให้รายได้จากการให้บริการและกำไรเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ

“ในปีนี้เราจะให้ความสำคัญกับงาน High Value Service เป็นหลัก เพราะเรามีทั้งความพร้อมด้านบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญถึงทักษะงานเทคโนโลยีขั้นสูง ในผลิตภัณฑ์ทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ของทั้งออราเคิลและไอบีเอ็ม ไว้คอยให้บริการลูกค้าอย่างครบวงจร ประการสำคัญงานที่เราให้บริการ เป็นกระบวนการทำงานที่เป็นมาตรฐานสากล ทำให้บริการของเอ-โฮสต์ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในเรื่องการให้บริการอย่างมืออาชีพและครบวงจร ซึ่งกลุ่มลูกค้าเป้าหมายในปีนี้ได้แก่กลุ่มบริษัทที่ดำเนินธุรกิจให้บริการด้านระบบ System Integrator (SI) และบริษัทผู้พัฒนาระบบ ( Independent Software Vendor-ISV) ที่เน้นด้านโซลูชั่น ทั้งฮาร็ดแวร์ ซอฟต์แวร์ การติดตั้งและการเชื่อมโยงระบบให้สามารถใช้งานได้ (Implement) โดยเน้นบริษัทที่ปรึกษาและเป็นบริษัทจากต่างประเทศ ซึ่งเชื่อว่าจะเป็นปัจจัยสำคัญที่สนับสนุนให้ผลประกอบการของบริษัทเติบโตในอัตรา 20% จากปีก่อนได้สำเร็จ”นายจรูญรัฐ กล่าว

นายจรูญรัฐกล่าวอีกว่า การให้ความสำคัญกับให้บริการแบบมูลค่าเพิ่มในปีนี้ เพื่อเป็นการสร้างฐานทางธุรกิจในอนาคต โดยบริษัทมีเป้าหมายจะเป็นผู้นำในงานบริการไอทีแบบมูลค่าเพิ่ม หรือ High Value Service ในอนาคต นอกเหนือจากการเป็นผู้แทนจำหน่ายผลิตภัณฑ์ไอทีอย่างครบวงจร เนื่องจากมีความพร้อมเป็นอย่างดีในด้านบุคลากรที่มีคุณภาพ จากที่เอ-โฮสต์ มีการสร้างและพัฒนาบุคลากรรวมทั้งองค์ความรู้มาอย่างต่อเนื่อง ทำให้การบริหารจัดการห่วงโซ่บุคลากรในองค์กรเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ มีผลให้มีบุคลากรอย่างเพียงพอและการพัฒนาคุณภาพอย่างยั่งยืน ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญของงานด้านไอทีทั้งในปัจจุบันและในอนาคต

ส่วนการขยายฐานลูกค้าเขากล่าวว่า ในกลุ่มผลิตภัณฑ์แอพพลิเคชั่น เซอร์วิส ที่ผ่านมาลูกค้าหลักของบริษัทจะอยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรม และ ธุรกิจค้าปลีก ซึ่งในปีนี้จะยังคงเน้นเพิ่มจำนวนลูกค้าในกลุ่มธุรกิจเดิมให้มากยิ่งขึ้น เช่นเดียวกับกลุ่มซิสเต็มส์ เซอร์วิส ยังคงมุ่งขยายฐานลูกค้าในกลุ่มอุตสาหกรรมเดิม คือ กลุ่ม อุตสาหกรรม โรงพยาบาลและสุขภาพ รวมทั้งกลุ่มสถาบันการเงิน ในขณะที่ผลิตภัณฑ์บิสซิเนส อินเทลลิเจนท์ หรือ BI จะให้ความสำคัญกับกลุ่มสถาบันการศึกษาเพิ่มขึ้น เนื่องจากความต้องการใช้ข้อมูลเชิงวิเคราะห์เพื่อธุรกิจมีความต้องการเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะเพื่อรองรับระบบการศึกษา และการแข่งขันที่จะเกิดขึ้นในระดับนานาชาติภายหลังการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ AEC จากปัจจุบันที่กลุ่มลูกค้าหลักของกลุ่มผลิตภัณฑ์นี้คือ กลุ่ม ธนาคารและสถาบันการเงิน

View :1380
Categories: Press/Release Tags:

ดีแทคเทสต์สัญญาณมือถือทั่วอีสานผ่านมาตรฐานตามเป้าหมาย จากโครงการ 77/77 ดีแทค อินเทอร์เน็ต ฟอร์ ออล โรด ทริป ผลักดันอินเทอร์เน็ตสู่ทั่วประเทศ

May 31st, 2013 No comments

31 พฤษภาคม 2556 – ดีแทคเผยผลเทสต์สัญญาณมือถือทั่วอีสานประสบความสำเร็จตามเป้าหมาย ผลออกมาดีตามคาด มั่นใจนำประสบการณ์ที่ดีที่สุดทั้งการใช้งานเพื่อการโทร และใช้งานดาต้าบนอินเทอร์เน็ตสู่ลูกค้าภาคอีสานเรียบร้อย และยังลงทุนต่ออีก 7,000 ล้านบาท เพื่อสร้างโอกาสในการนำอินเทอร์เน็ตสู่ทุกพื้นที่ในสังคมไทยอย่างเท่าเทียมจากโครงการ 77/77 ดีแทค อินเทอร์เน็ต ฟอร์ ออล โรด ทริป (77/77 dtac internet for all road trip)

นายประเทศ ตันกุรานันท์ ผู้อำนวยการอาวุโสสายงานปฏิบัติการโครงข่าย บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ดีแทค กล่าวว่าตามที่ดีแทคผลักดันโครงการ 77/77 ดีแทค อินเทอร์เน็ต ฟอร์ ออล โรด ทริป (77/77 dtac internet for all road trip) เพื่อสร้างโอกาสในการนำอินเทอร์เน็ตสู่ทุกพื้นที่ในสังคมไทยอย่างเท่าเทียม และเป็นการวัดสัญญาณพื้นที่อีสานเพื่อนำข้อมูลมาปรับปรุงและสร้างความมั่นใจให้ลูกค้าจะได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุดทั้งโทรและการใช้งานดาต้า มั่นใจลูกค้าดีแทคขณะนี้จะได้รับรู้ถึงการโทรที่มีคุณภาพเสียงชัดเจนมากขึ้น และเสถียรยิ่งขึ้น อีกทั้งการใช้งานดาต้าหรืออินเทอร์เน็ตที่เร็วขึ้นกว่าเดิมในทุกอำเภอทั่วประเทศไทย

ผลการทดสอบจากทริปนี้ มีเส้นทางการทดสอบเริ่มต้นจาก กรุงเทพ มุ่งสู่ 20 จังหวัดภาคอีสาน ได้แก่ นครราชสีมา บุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ อุบลราชธานี อำนาจเจริญ ยโสธร ร้อยเอ็ด มหาสารคาม กาฬสินธิ์ มุกดาหาร นครพนม สกลนคร บึงกาฬ หนองคาย เลย หนองบัวลำภู อุดรธานี ขอนแก่น และชัยภูมิ ในเวลาทั้งหมด 11 วัน

“การทดสอบภาคอีสานในครั้งนี้ได้ใช้ซิมการ์ดระบบพรีเพด (เติมเงิน) ของดีแทค และค่ายอื่นอีก 2 ซิมเพื่อเปรียบเทียบ โดยทั้งหมดคือซิมทั่วไปที่มีจำหน่ายในตลาด และนำซิมใส่ในมือถือเพื่อทำการทดสอบโทรเข้า-ออก ตามเส้นทางในภาคอีสาน สำหรับผลออกมาทุกค่ายผ่านมาตรฐานการใช้งาน โดยดีแทคได้ทำการโทร (Call Attempt) รวม 929 ครั้ง โทรสำเร็จ (Call Setup Success) 913 ครั้งคิดเป็น 98.28% อัตราสายหลุด (Dropped Call) จำนวน 16 ครั้ง หรือคิดเป็น 1.75% ซิมค่ายอื่นเบอร์แรกโทรรวม 934 ครั้ง โทรสำเร็จ 916 ครั้งคิดเป็น 98.07% อัตราสายหลุดจำนวน 17 ครั้ง หรือคิดเป็น 1.86% และซิมค่ายอื่นอีกเบอร์ทำการโทรรวม 948 ครั้ง โทรสำเร็จ 899 ครั้งคิดเป็น 94.83% อัตราสายหลุดจำนวน 20 ครั้ง หรือคิดเป็น 2.22%” นายประเทศ กล่าวในที่สุด

ทั้งนี้ การทดสอบไดร์ฟเทสต์ (drive test) เป็นการพิสูจน์และสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าดีแทคทั่วประเทศได้มั่นใจกับโครงข่ายดีแทค และที่สำคัญดีแทคยังจะนำวิสัยทัศน์ Internet for All ที่เกิดขึ้นจากความมุ่งมั่นของดีแทคไปสู่คนไทยทุกคนทั่วประเทศให้สามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้ เพื่อการรับรู้ข้อมูลข่าวสารและโอกาสต่างๆ ที่เท่าเทียมกัน พร้อมทั้งส่งผลให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นครบทุกอำเภอในประเทศไทย

View :1256
Categories: Press/Release Tags:

คอมมาร์ต เน็กซ์เจน 2013 ชอปโน้ตบุ๊ค แท็บเล็ต สมาร์ทโฟน พร้อมแจกฟรีแอพฯ กว่า 2,000 ชิ้น รับกระแส 4G งานแรกในไทย

May 31st, 2013 No comments

ไฮบริดโน้ตบุ๊ค

เออาร์ไอพีประกาศจัด “คอมมาร์ต เน็กซ์เจน 2013” มหกรรมไอทียิ่งใหญ่กลางปี จับมือ สพฐ. ให้สิทธิ์ซื้อแท็บเล็ตปุ๊บโหลดแอพพลิเคชันเพื่อการศึกษา กว่า 2,000 แอพฯ ฟรี ! ตลาดไอทีครึ่งปีหลังเวน เดอร์ปรับกลยุทธ์หนีตายมุ่งไปที่นวัตกรรมไฮบริด เทคโนโลยีสายพันธุ์ใหม่ที่ขนมาให้เลือกชอปหลาก แบรนด์ พร้อมแท็บเล็ต สมาร์ทโฟนหลากรุ่น พร้อมเทคโนโลยี 4G ของ True ครั้งแรกในประเทศไทย โดยงานจัดขึ้นระหว่างวันที่ 20 – 23 มิถุนายน 2556 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์

รร. ดิเอมเมอร์รัล รัชดา – 30 พฤษภาคม 2556 – นายพรชัย จันทรศุภแสง ผู้อำนวยการธุรกิจสื่อไอทีและการศึกษา บริษัท เออาร์ไอพี จำกัด (มหาชน) ผู้จัดงานแสดงและจำหน่ายสินค้าไอที ภายใต้ชื่อ “คอมมาร์ต” กล่าวว่า งานครั้งนี้จะรองรับกระแส 4G ครั้งแรกในเมืองไทย เวนเดอร์ต่างปรับกลยุทธ์เพื่อดันยอดขายพัฒนาโน้ตบุ๊คสายพันธุ์ใหม่ ที่เรียกกันว่า “โน้ตบุ๊คไฮบริด” ซึ่งจะสามารถรองรับการใช้งานได้หลากหลาย พร้อมอัลตราบุ๊ค แท็บเล็ตและสมาร์ทโฟนที่ตอบโจทย์เวิร์คแอนด์เพล์ของผู้บริโภคในยุคนี้

“ภายในงานนี้เราจะได้เห็นภาพการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีอย่างชัดเจน เพื่อตอบสนองกับไลฟ์สไตล์กลุ่มผู้บริโภคที่ต้องการใช้งานมากกว่าแค่ทำงาน ส่วนตลาดสมาร์ทโฟนในงานนี้จะได้เห็นมือถือบวกกับแท็บเล็ต ที่เรียกว่าแฟ้บเล็ต หลายขนาดหน้าจอ และหลากหลายแบรนด์ให้เลือกในราคาที่จับต้องได้ ทั้งนี้ในงานจะมีโน้ตบุ๊คกว่า 100 รุ่น อัลตร้าบุ๊คกว่า 10 ยี่ห้อ สมาร์ทโฟนกว่า 20 ยี่ห้อ และแท็บเล็ตให้เลือกซื้อกว่า 30 ยี่ห้อ โดยจะลดราคาลงมาจากครั้งที่แล้วประมาณ 10 -30 % และมีโปรโมชันลด แลก แจก แถม ต้อนรับเปิดเทอมอีกด้วย” นายพรชัย กล่าว

นายพรชัย กล่าวต่อว่า งานคอมมาร์ต เน็กซ์เจน 2013 จะเป็นเวทีของนวัตกรรมไอทีใหม่ๆ เพื่อการใช้งานที่หลากหลายของไลฟ์สไตล์ผู้บริโภค และรองรับการเชื่อมต่ออย่างไร้ขีดจำกัดของเทคโนโลยี 4G จากเครือข่าย True อย่างสมบูรณ์แบบ และที่สำคัญภายในงานครั้งนี้ คอมมาร์ต ได้ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) จุดกระแสการนำเอาคอนเทนส์แอพพลิเคชันเพื่อการศึกษามาใช้ประโยชน์ โดยให้สิทธิ์สำหรับผู้ที่ซื้อแท็บเล็ต แอนดรอยน์ทุกรุ่น ทุกยี่ห้อภายในงาน สามารถดาวน์โหลดแอพพลิเคชันเพื่อการศึกษา ฟรี ! กว่า 2,000 แอพฯ ซึ่งเหล่านี้มีการพัฒนามาจากครู และบุคลากรทางการศึกษาจากทั่วประเทศ ในโครงการประกวดสื่อการเรียนรู้สู่แท็บเล็ต และเข้าดูรายละเอียดได้ที่ www.commmartthailand.com

นอกจากนี้ ในงานคอมมาร์ต เน็กซ์เจน 2013 ยังมีมุมโชว์ Gadget สุดล้ำ อาทิ NeuroSky Mindwave Mobile เล่นเกมได้ไม่ต้องใช้มือ ด้วยอุปกรณ์อ่านคลื่นสมองตัวแรกของโลก, Sphero Robotic Ball ลูกบอลอัจฉริยะ เคลื่อนที่ได้อย่างอิสระ, Ticktock Bluetooth Alarm Clock นาฬิกาปลุกบลูธูท ฯลฯ

ส่วนกิจกรรมเสวนา Workshop ที่น่าสนใจอาทิ ทำอย่างไรเมื่อสมาร์ทโฟนหายและใช้สมาร์ทโฟนอย่างไรให้ปลอดภัย และหัวข้ออื่นๆที่น่าสนใจอีกมายมาย นอกจากนี้ ยังมีมุม Buyer’s Guide ปรึกษาก่อนเลือกซื้อ โดยทีมบรรณาธิการจากนิตยสาร Commart พิเศษสุดกับ Commart Big Bonus สำหรับผู้ที่ซื้อสินค้าไอทีครบทุก 3,000 บาท รับคูปองชิงโชคลุ้น รถยนต์นิสสัน มาร์ช มูลค่า 4 แสนบาท พร้อมลงทะเบียนเข้างานลุ้นรับของรางวัลอีกมากมาย และกิจกรรมสร้างความสนุกสนานอื่นๆ อีก อาทิ การแสดงดนตรีและการประมูลสินค้าไอทีเริ่มต้นที่ 1 บาท ในวันอาทิตย์ที่ 23 มิถุนายน เวลา 18.00 น. ที่เวทีกิจกรรมกลาง โดยสามารถโหลดคอมมาร์ตแอพพลิเคชัน ได้ทั้งบนไอโอเอส และแอนดรอยน์ พร้อมติดตามข่าวสาร และโปรโมชันงานได้ที่ www.commmartthailand.com

สำหรับบริษัทไอทีชั้นนำ และพันธมิตรที่เข้าร่วมสนับสนุนหลักอย่างเป็นทางการในการจัดงาน “คอมมาร์ต เน็กซ์เจน ไทยแลนด์ 2013” ประกอบด้วย บริษัท อินเทล ไมโครอิเล็กทรอนิกส์ (ประเทศไทย) จำกัด, บริษัท เดลล์ คอร์ปอเรชั่น (ประเทศไทย) จำกัด, บริษัท เอซุสเทค คอมพิวเตอร์ (ไทยแลนด์) จำกัด, บานาน่าไอที (บริษัท คอมเซเว่น อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด) และมหาวิทยาลัยศรีปทุม

View :1413
Categories: Press/Release Tags:

ระดมทีมก่อตั้งอินเทอร์เน็ตในประเทศไทยประสานผู้เชี่ยวชาญระดับโลก จัดงาน INET Bangkok 2013

May 31st, 2013 No comments

ระดมทีมก่อตั้งอินเทอร์เน็ตในประเทศไทยประสานผู้เชี่ยวชาญระดับโลก จัดงาน INET Bangkok 2013 วางยุทธศาสตร์พัฒนาทุกมิติ หลังเทคโนโลยี เปลี่ยนแปลงเร็ว เชื่อในงาน 6-7-8 มิถุนายนนี้เกิดทางออกของภูมิภาค

นายสมบูรณ์ เมฆไพบูลย์วัฒนา รองปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร หรือไอซีที เปิดเผยว่า เมื่อปลายปีที่ผ่านมารัฐบาลไทยได้ร่วมกับอินเทอร์เน็ตโซไซตี้ประเทศไทย หรือ ISOC ในการแสดงเจตนารมย์ไม่บรรจุคำนิยามเกี่ยวกับอินเทอร์เน็ตเข้าไว้ในวาระการประชุมของ ITU เพื่อทำให้อินเทอร์เน็ตเป็น สิ่งที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้โดยไม่มีข้อจำกัดทาง ธุรกิจมาเป็นตัวขัดขวาง ทำให้ทั้งฝ่ายรัฐบาลและตัวแทนภาคเอกชนของไทยได้ใกล้ชิด และมอง เห็นแนวทางที่จะ ร่วมกันพัฒนาระบบอินเทอร์เน็ตของไทยให้เติบโตขึ้นอย่างมีแบบแผน โดยมี องค์กรในระดับโลกเข้ามาช่วยเหลือ

งาน INET Bangkok ซึ่งเป็นงานด้านอินเทอร์เน็ตระดับภูมิภาค จึงเป็นรูปธรรม ของการจะพัฒนาอินเทอร์เน็ตของประเทศไทยและประเทศในภูมิภาคนี้ที่เกิดจากความร่วมมือของกระทรวงไอซีที สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ หรือ สวทช., สำนักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์, สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์, ทีโอที, ทีเฮชนิค และกลุ่มผู้ร่วมงานรายอื่นๆ อีกจำนวนมาก จับมือกับ ISOC ซึ่งเป็น เจ้าของงาน และเลือกประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ ที่ถือว่าเป็นครั้งแรก ต้อนรับการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีครั้งใหญ่ของโลก ทำให้ไทยกลายเป็นจุดสำคัญในภูมิภาคนี้ขึ้นมาทันที

ในรอบปีที่ผ่านมากระทรวงไอซีที แม้จะเร่งความเร็วในการขับเคลื่อนโครงสร้างพื้นฐานทางด้านอินเทอร์เน็ต ไม่ว่าจะผ่านสำนักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ และสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ แต่ก็ได้เพียงระดับหนึ่งเท่านั้น แต่การที่ยุทธศาสตร์ของกระทรวงในช่วงนี้ถือเป็นการปูพื้นฐานเพื่อที่จะรองรับการก้าวกระโดด ไม่ว่าจะเป็นการทำให้ระบบ GIN กลายเป็น Sup er GIN ทำให้หน่วยงานภาครัฐไม่ว่าจะอยู่ใน สถานที่ใดก็สามารถเข้ามาใช้โครงข่ายสารสนเทศภาครัฐ ได้ทั้งหมด ก็จะทำให้เกิด การพลิกโฉมหน้าครั้งใหญ่ในการทำงานต่อไป

ยิ่งการที่สำนักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ เปิดให้บริการคลาวด์คอมพิวติ้งภาครัฐ ก็นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงแนวทางการทำงาน และทัศนคติในการให้บริการประชาชนแนวใหม่ ถือเป็นการขับเคลื่อนโดยการใช้เทคโนโลยีอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ซึ่งลูกเล่นที่จะตามมาไม่ว่าจะเป็นการสร้างระบบ Software as a Service ภาครัฐ และการสร้างระบบ Government App Store ขึ้นมาเพื่อ ให้ประชาชนสามารถโหลด โปรแกรมการบริการของภาครัฐไปใช้ในอุปกรณ์ต่างๆ ได้ ก็จะยิ่งทำให้การวาง ยุทธศาสตร์ใหญ่ทางด้านอินเทอร์เน็ตมีความจำเป็นมากขึ้น

ขณะเดียวกันกระทรวงไอซีทีก็ให้สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ ยกร่างแผนแม่บทเกี่ยวกับธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ของประเทศ เพื่อให้เกิดกฎหมายรองรับอนุสัญญาว่าด้วยการใช้การติดต่อสื่อสารทางอิเล็กทรอนิกส์ในสัญญาระหว่างประเทศ หรืออนุสัญญา e-Contracts ขึ้นมา และเกิดมาตรฐานการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ National Payment Message Standard หรือ NPMS สำหรับภาคการเงิน นอกจากนี้ยังได้ทำกฎหมายที่รองรับการจัดทำสิ่งพิมพ์ให้กับระบบการออกใบรับรองนิติบุคคลทางอิเล็กทรอนิกส์ e-Certificate ของกระทรวงพาณิชย์ รวมถึงต้องลดปัญหาภัยคุกคาม Phishing ที่ช่วยปกป้องมูลค่าทางเศรษฐกิจได้มากกว่า 3,500 ล้านบาท

แม้ปัจจุบันการทำธุรกรรมทางออนไลน์ หรือ e-Transaction จากผู้ใช้คอมพิวเตอร์ประมาณ 32% ของประชากร มีผู้ใช้โทรศัพท์มือถือประมาณ 66.4% มีผู้ใช้อินเทอร์เน็ตประมาณ 23.7% มีบัญชีผู้ใช้เฟซบุ๊ค (Facebook) ซึ่งเป็นโซเชียลมีเดียยอดนิยมสูงถึง 12,797,500 บัญชี ตัวเลขจากมูลค่าพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ปี 53 หรืออีคอมเมิร์ซ จากมูลค่าที่สำนักงานสถิติแห่งชาติสำรวจได้ คือ 608,587 ล้านบาท ขณะที่ตัวเลขของการโอนเงินและการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ ก็มีตัวเลขที่สูงถึง795,495พันล้านบาท ตัวเลขทั้งหมดจะเติบโตขึ้นอย่างไม่หยุดยั้ง ดังนั้นยุทธศาสตร์การพัฒนาอินเทอร์เน็ตจึงต้องถูกวางให้สอดคล้องกับเทคโนโลยีใหม่ที่กำลังเข้ามาโดยเร่งด่วน

ในงาน INET Bangkok 2013 ในครั้งนี้ กระทรวงไอซีทีเองก็คาดหวังเช่นกันว่า ประเทศไทยจะได้เห็นแนวทางการรับมืออันเกิดจากเทคโนโลยีใหม่ ไม่ว่าจะเป็น IPV6, WebRTC หรือแม้กระทั่ง Big Data ที่กำลังพูดถึงในขณะนี้จะได้ถูกขยายและทำให้ ทุกภาคส่วนให้มองเห็นภาพได้ชัดเจน จนสามารถเข้ามารับมือได้อย่างถูกต้อง ซึ่งงานนี้มีผู้เชี่ยวชาญที่เป็นเจ้าของเทคโนโลยีมาชี้นำแนวทาง และมีผู้เข้าร่วมทั้งจากภาครัฐของไทย ภาคธุรกิจอินเทอร์เน็ตทั้งของไทยและจากทุกมุมโลก มาร่วมกันหาแนวทาง แน่นอนจะทำให้ทุกภาคส่วนของประเทศไทยได้ตื่นตัวและเห็นความสำคัญของประเด็นเหล่านี้ได้อย่างทันท่วงที

ดร.ทวีศักดิ์ กออนันตกูล ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ หรือ สวทช. เปิดเผยว่า 25 ปีที่ผ่านมา อินเทอร์เน็ตได้เปลี่ยนแปลงระบบสื่อสารของคนทั่วโลกจากโทรศัพท์ราคาแพง กลายเป็นการหลอมรวมของสื่อจดหมาย ข้อความสั้น ประชุมทางไกลด้วยภาพ การกระจายเสียง สื่อสิ่งพิมพ์ กลายเป็นสื่อสังคมทั้งในสภาพข้อความ เสียง ภาพเคลื่อนไหว ควบคู่ไปกับอุปกรณ์ (devices) ราคาถูก อินเทอร์เน็ตความเร็วสูง และเครื่องมือค้นหาข้อมูล (search engines) ที่ทรงพลัง น่าจะกล่าวได้ว่า อินเทอร์เน็ตเป็นของทุกคน

และอีก 25 ปี ข้างหน้าเราจะเห็นภาพอนาคตอย่างไร อำนาจทางเศรษฐกิจ และการเมืองระดับโลกจะอยู่กับชาติใด ย่อมขึ้นอยู่กับความพร้อมของคนในชาตินั้นๆ ประเทศไทยพร้อมที่จะยืนอยู่ในสังคมไซเบอร์จริงหรือไม่ อินเทอร์เน็ตยุคหน้า, ประเด็นความมั่นคง, การคุ้มครองชื่อการค้า การค้าข่ายในอินเทอร์เน็ต, การสร้าง/สื่อสารกับมวลชนในอินเทอร์เน็ต และการพัฒนากองทัพผู้ชำนาญการเข้าสู่วงการค้าปกติที่ต้องซื้อขายผ่านอินเทอร์เน็ต รวมถึงการไล่จับผู้ร้ายทางอินเทอร์เน็ต และการดูแลข้อมูลมหาศาล (Bigdata) ที่เกิดจากข้อมูลที่หลั่งไหลมาจากอุปกรณ์นานาชนิด (Internet of Things) กับระบบการบริการเก็บข้อมูล และคำนวณแบบคลาวด์ ซึ่งในงาน INET Bangkok 2013 ที่จะจัดขึ้นในวันที่ 6-7-8 มิถุนายนนี้ จะเป็นการจุดประกาย ให้กับประเทศไทยในครั้งนี

ISOC เจาะลึกงาน INET Bangkok

อนาคตอินเทอร์เน็ตภูมิภาคเปลี่ยน

นางสาวดวงทิพย์ โฉมปรางค์ ผู้บริหารอินเทอร์เน็ตโซไซตี้ประเทศไทย (ISOC) เปิดเผยว่า งาน INET Bangkok ถือว่าเป็นการจัดงาน INET ในระดับภูมิภาค ซึ่งแต่ละปีจะมีประเทศในแต่ละภูมิภาคที่มีศักยภาพเท่านั้นที่ได้รับการยอมรับให้เป็นผู้จัดงาน ซึ่งลักษณะงานจะแตกต่างจากการจัดงาน INET Global ซึ่งจะเน้นทิศทางในระดับโลก แต่สำหรับงานนี้ ISOC มุ่งเน้นแค่การเกิดยุทธศาสตร์ใหม่ของประเทศไทยเกี่ยวกับเรื่องอินเทอร์เน็ต และทิศทางโดยรวมของภูมิภาคเอเชีย ซึ่งหัวข้อในปีนี้คือ The Power to Create หรือ อินเทอร์เน็ต : พลังแห่งการ สร้างสรรค์

ปกติแล้วงาน INET จะไม่ใช่เป็นเพียงงานเวทีเสวนาวิชาการในเรื่องเกี่ยวกับพัฒนาการและบทบาทของอินเทอร์เน็ตที่มีต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และวิถีชีวิตของผู้คนในประเทศเท่านั้น แต่จะเป็นเวทีที่ผลักดันให้เกิดการรวมตัวของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการพัฒนาและการใช้อินเทอร์เน็ต ทั้งจาก ภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคการศึกษา และภาคประชาชน โดยมุ่งหวังว่าผลจากการจัดงานจะเกิดกลุ่มเครือข่ายเพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาอินเทอร์เน็ตของประเทศไทย ที่เข้มแข็ง และสามารถผลักดันให้เกิดการทำงานที่เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมได้ขึ้นต่อไป

งาน INET Bangkok ครั้งนี้ ทาง ISOC ได้ร่วมกับกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร หรือ ICT กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ หรือสวทช. และหน่วยงานพันธมิตรที่มีส่วนในการร่วมพัฒนาอินเทอร์เน็ตของประเทศไทย โดยในงานจะมีทั้งส่วนที่เป็นการสัมมนาและนิทรรศการ ในส่วนการสัมมนา จะมี 4 เรื่อง ได้แก่ Technology Track, Innovation Track, iSociety Track, และ Futu re Track

ในส่วนของหมวดเทคโนโลยี หรือ Technology Track จะมีการนำเสนอประเด็นด้านโครงสร้างพื้นฐานอินเทอร์เน็ตและเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจะชี้ให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีที่รวดเร็ว กับผลกระทบต่อการทำธุรกิจและกิจกรรมต่างๆ ในชีวิตประจำวัน ได้แก่ IPv6, Cloud Computing Software Development, และ WebRTC

ประเด็นสำคัญของ IPV6 ที่จะมีการหายุทธศาสตร์การบริหารต่อไปคือ สาเหตุที่ประเทศไทยต้องนำ IPv6 มาใช้, ข้อได้เปรียบเสียเปรียบ และผลกระทบในระยะยาวจะมีต่อกลุ่มใดมากที่สุด, คำตอบที่ถูกต้องสำหรับอนาคตของประเทศไทยกรณี IPV6 ส่วนประเด็นของ WebRTC ถือเป็นเรื่องใหม่อย่างมากในระดับโลกและหลายคนในวงการคาดว่าจะเปลี่ยนโฉมการใช้งานของอินเทอร์เน็ตโดยสิ้นเชิง โดยในงาน INET Bangko k จะเปิดการสาธิตวิธีการใช้งานใหม่ที่หายาก จากการนำเสนอโดยผู้ริเริ่มคิดเทคโนโลยี WebRTC เอง คือ Dr. Cullen Jennings ซึ่งปัจจุบันเป็นประธานคณะทำงานกลุ่มพัฒนามาตรฐาน Web RTC กับหน่วยงาน IETF และ W3C ซึ่งเป็นองค์กรกลางที่กำหนดมาตรฐานอินเทอร์เน็ตและเว็บเทคโนโลยี งานนี้จะทำให้ผู้เข้าร่วมได้สัมผัสนวัตกรรมใหม่ของโลกที่ยังไม่ได้นำไปใช้ที่ใดในโลกมาก่อน สามารถนำแนวคิดใหม่ๆ มาสร้างโอกาสให้กับตัวเอง เช่น การประยุกต์บริการใหม่ๆ สินค้าใหม่ๆ หรือแม้ธุรกิจใหม่ๆ ภายใต้แนวคิดอนาคตของ “Internet of Things”

ด้านหมวดนวัตกรรม หรือ Innovation Track นั้นจะมีการนำเสนอเรื่องนวัตกรรมที่ส่งผล ต่อการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการใช้งานทั้งในระดับองค์กร และพฤติกรรมของผู้ใช้ในระดับปัจเจกบุคคล เช่น Mobile-Commerce, E-Commerce, Cloud Computing, e-Government (Cloud), และ Smart Devices/ Systems 4. Smart Service/ System โดยจะนำประสบการณ์ของประเทศไทยมาวิเคราะห์ทั้งระบบ รวมถึงมีการสาธิตระบบเกษตรกรอัจฉริยะ e-farming และระบบคุณหมอไร้สาย e-healthcare

ส่วนทางด้านหมวดอินเทอร์เน็ตเพื่อสังคม หรือ i-Society Track จะมีการนำเสนอประเด็นเกี่ยวกับความท้าทายและความกังวลที่เกิดขึ้นในสังคมข้อมูลข่าวสาร และเศรษฐกิจยุคดิจิตอล ตั้งแต่ ยุทธศาสตร์การเชื่อมโยงแนวทางพัฒนาอินเทอร์เน็ต หรือ Integrated Internet Development Strategies, ยุครัฐบาลโปร่งใสด้วยอินเทอร์เน็ตและการเปิดเสรีทางการค้า หรือGovernance in the Age of the Internet and Free Trade Agreements (FTA), และ Digital Footprint

โดยเฉพาะ Digital Footprint จะมีการจัดเวิร์คชอปเพื่อให้ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตได้รับรู้เรื่องสิทธิประโยชน์และความแตกต่างจากผู้บริโภคทั่วๆไป, เรียนรู้กฎหมายอินเทอร์เน็ตที่ปกป้องผู้ใช้, เข้าใจคำศัพท์เฉพาะทางที่เกี่ยวกับสังคม ในยุคดิจิตอลและนัยสำคัญเช่น Net neutrality, Privacy, Trust ,digital identity, intermediary liability เป็นต้น ภายใต้แนวคิดที่ว่าสังคมยุคใหม่จะต้องรู้มากกว่าไม่รู้ เพราะกฎหมายจะบังคับให้ทุกๆ คนไม่สามารถเพิกเฉยได้ การไม่รู้ถือว่าเป็นภัยกว่าและเสียโอกาส

ในเรื่อง Governance in the age of the Internet and Free Trade Agreements (FTAs) ในที่ประชุมจะมีการตรวจสอบประเทศไทยว่ามีการเตรียมพร้อมมากน้อยแค่ไหนในเวทีการต่อรองสนธิสัญญาการค้าของโลกในเรื่องเกี่ยวโยงกับอินเทอร์เน็ต เนื่องจากในอนาคต คู่ค้าและธุรกรรมจะอยู่บนอินเทอร์เน็ตทั้งหมด เช่นกฎหมายปกป้องทรัพย์สินทางปัญญา (Intellectual Property) เป็นต้น รวมถึงการเรียนรู้กติกาใหม่ๆ ที่มีผลกระทบต่อประเทศไทยทั้งในด้านบวกและลบ โดยนำบทเรียนและกรณีการศึกษาที่น่าสนใจจากต่างประเทศ และคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายระหว่างประเทศมานำเสนอ

สำหรับหมวดอนาคตหรือ Future Track นั้นจะนำเสนอประเด็นของอินเทอร์เน็ตที่เกี่ยวข้องกับการลดช่องว่างด้านดิจิตอลและการวิจัยพัฒนาด้าน Cloud และ Big Data ตัวอย่าง หัวข้อการบรรยายสำหรับ Track นี้คือ Rural Internet technologies และ Cloud and Big Data ซึ่งในปัจจุบันเกิดข้อถกเถียงกันอย่างมากเรื่องการเกิดของ Big Data แล้วใครจะเข้ามาบริหาร เนื่องจากระบบข้อมูลขนาดใหญ่กลายเป็นของสาธารณะ โดยในหมวดนี้จะรวม Enabling Smar t & Open government- Cloud computing ซึ่งจะมีการชี้แจงแผนงาน Smart Government อันเป็นรากฐานสำคัญในการขับเคลื่อน Smart Thailand ที่จะเปลี่ยนโฉมใหม่ของการให้บริการประชาชนโดยภาครัฐ และระบบ G-Cloud กับการใช้ประโยชน์จากเครือข่ายอินเทอร์เน็ต รวมถึงความท้าทายของประเทศกำลังพัฒนาอย่างประเทศไทยในการนำเทคโนโลยี Cloud Computing มายกระดับในการบริการประชาชนที่เทียบเท่าประเทศที่พัฒนาแล้ว

วิเคราะห์ภาคธุรกิจอินเทอร์เน็ต

ขานรับงาน INET Bangkok

นายอนันต์ แก้วร่วมวงศ์ นายกสมาคมผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตไทย เปิดเผยว่า สถานการณ์ของธุรกิจอินเทอร์เน็ตในประเทศไทยในขณะนี้ ถือเป็นการครอบครองตลาดโดยกลุ่มโทรคมนาคมรายใหญ่ โดยขณะนี้มีผู้ให้บริการโทรคมนาคม 3 รายที่สามารถครองส่วนแบ่งการตลาดถึง 97% ของรายได้ ขณะที่เหลืออีก 20-30 ราย โดยในกลุ่มนี้มีเพียง 2-3% เท่านั้นที่ให้บริการกับองค์กร ขนาดใหญ่ ส่งผลให้เกิดตัวเลขการใช้ อินเทอร์เน็ต ผ่านโทรศัพท์มือถือประมาณ 6-7 ล้านราย ขณะที่การใช้งานอินเทอร์เน็ต จากที่บ้านด้วยระบบ ADSL จะมีประมาณ 5 ล้านครัวเรือน ซึ่งทั้งสองกลุ่มอาจเป็น ตัวเลขทับซ้อน หรือเป็นกลุ่มเดียวกัน คาดว่ารูปแบบธุรกิจการให้บริการอินเทอร์เน็ต เช่นนี้จะยังคงอยู่ต่อไปไม่น้อยกว่าสิบปี หากยังไม่มีการเปลี่ยนกฎการออกใบอนุญาต ใหม่

อย่างไรก็ตามจากการเปลี่ยนแปลงทั้งในด้านเทคโนโลยีและพฤติกรรมของผู้บริโภคในปัจจุบัน โดยการเข้าสู่ยุค IP Base หรืออุปกรณ์ทุกอย่างเริ่มจะเชื่อมต่อ กับอินเทอร์เน็ตได้หมด ก็จะทำให้ยุคของการพัฒนาระบบโทรเข้าโทรออกมาเป็น การเล่นอินเทอร์เน็ตจนเติบโตมาเข้าสู่ยุค Social Media เริ่มเปลี่ยนแปลงในประเทศไทยอีกครั้งหนึ่ง โดยจะเริ่มเห็นการแตกตัวออกเป็นโซลูชั่นทางธุรกิจมากกว่าเชิงสังคม ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตจะหาจุดแตกต่างในการให้บริการและสร้างแนวทางธุรกิจเฉพาะของตนเองเพื่อเป็นตัวเลือกให้กับลูกค้าที่จะเปลี่ยน Life Style หรือการใช้ชีวิตเข้าสู่ ยุคใหม่ของดิจิตอล

ปัจจัยที่จะมีผลต่อการใช้อินเทอร์เน็ตในประเทศไทยหลังจากที่ผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือเริ่มให้บริการ 3G ต่อจากนี้ไปคือ เครื่องโทรศัพท์มือถือ โดยเฉพาะบรรดา Smart Phone ซึ่งจะมีลูกเล่นใหม่ที่จะทำให้เกิดการใช้งานผ่านอินเทอร์เน็ตง่ายและมากขึ้น และจะมีแอพพลิเคชันที่เกี่ยวกับ VDO เป็นตัวขับเคลื่อน สำคัญ หรือ Killer Application ที่จะทำให้ปริมาณการใช้ อินเทอร์เน็ตเพิ่มขึ้นอย่าง มหาศาล

สำหรับงาน INET Bangkok นั้น ทางสมาคมฯ ต้องการให้งานนี้มีส่วนช่วย ขับเคลื่อน ทิศทางอินเทอร์เน็ตของประเทศไทย โดยเฉพาะการชี้ช่องทางการทำธุรกิจ แนวใหม่ และแนวโน้มที่สำคัญ รวมถึงการสร้างความเชื่อมั่นให้กับภาคธุรกิจที่เกี่ยวข้อง กับอินเทอร์เน็ตเช่น ภาคการเงิน หรือภาคขนส่ง และยังต้องการชี้นำเรื่องความเปลี่ยนแปลงในทางเทคโนโลยีให้กับผู้เกี่ยวข้องเช่น การลงทุนเปลี่ยนระบบ IPV6 ของระบบเว็บไซต์ของไทย ดังนั้นงานนี้นอกจากจะเป็นการระดม ผู้เชี่ยวชาญด้าน อินเทอร์เน็ตจากทั่วโลก และประเทศไทย เพื่อนำเสนองานวิจัยที่สำคัญและมีผล ต่ออินเทอร์เน็ตโลกแล้ว ยังเป็นการสร้างความเชื่อมั่นกับธุรกิจแนวใหม่ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตของไทยอีกด้วย

เผยมิติทางสังคมไทย

THNIC จัด 25 ปีหาทางออกร่วม

ศ.ดร.กาญจนา กาญจนสุต รองประธานมูลนิธิศูนย์สารสนเทศเครือข่ายไทย หรือ THNIC เปิดเผยว่า งานประชุม INETจัดได้ว่าเป็นงานประชุมของประชาคมอินเทอร์เน็ตแรกของโลกที่มีความสำคัญยิ่งต่อการขยายการเชื่อมโยงและเจริญเติบโตของเครือข่ายอินเทอร์เน็ตโลกในช่วงก่อกำเนิด THNICซึ่งเป็นองค์กรที่ดูแลกลไกสำคัญของระบบอินเทอร์เน็ต นั่นก็คือ โดเมนเนม .TH และเจริญเติบโตคู่กับอินเทอร์เน็ตในประเทศไทยมาตั้งแต่แรกเริ่ม การเจริญเติบโตของอินเทอร์เน็ตและโดเมนเนม .TH ในประเทศไทยมีความสัมพันธ์กับการรับรู้เทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตในสังคมไทย มีลักษณะการเจริญเติบโตที่พิเศษ เนื่องจาก ชุมชนอินเทอร์เน็ตในประเทศไทยได้กำหนดให้นโยบายที่รัดกุมและป้องกันปัญหาอาชญากรรมที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอินเทอร์เน็ต ทำให้จำนวนโดเมนเนม .TH เติบโตอย่างต่อเนื่องและมั่นคง แต่ก่อให้่เกิดความเชื่อมั่นในความมีตัวตนของธุรกิจไทยที่ให้บริการบนอินเทอร์เน็ต

ในงาน INET Bangkok ครั้งนี้ทาง THNIC จะจัดงานฉลองครบรอบ 25 ปี .TH ภายใต้ชื่องาน “.TH 25 ปี ทบทวนอดีต พิจารณาปัจจุบัน ผลักดันอนาคต” โดยเนื้อหาภายในงานจะมีการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการเจริญเติบโตของอินเทอร์เน็ต และ สังคมอินเทอร์เน็ตไทย โดยจะมุ่งประเด็นไปที่โครงสร้างพื้นฐานของอินเทอร์เน็ตไทย รวมไปถึง Domain Name System, การไหลเวียนของข้อมูลภายในประเทศ และมุ่งไปสู่ประเด็นที่สร้างความปลอดภัยให้ผู้ใช้อินเทอร์เน็ต เพื่อให้โครงสร้างอินเทอร์เน็ตไทยมีประสิทธิภาพ เตรียมพร้อมที่จะก้าวสู่ทศวรรษต่อไป

ในงานจะมีการจัด TH-Neutral NIX Workshop ซึ่ง THNIC เห็นว่าปัจจุบันนี้ การประสานงานของผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตในประเทศไทยไม่สามารถเกิดขึ้นได้จริง ทำให้การเก็บแคช หรือการเก็บข้อมูล ของเว็บไซต์ที่ถูกเรียกซ้ำๆ ไว้ในเซิร์ฟเวอร์ของ ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตนั้น เป็นการทำแบบต่างคนต่างทำ ส่งผลให้ประเทศไทยเสียผลประโยชน์ในเรื่องการใช้จ่ายในการต่อเชื่อมแบนด์วิชไปต่างประเทศจำนวนมาก ทาง THNIC ต้องการรณรงค์ให้เกิดการประสานงานให้มีระบบ การเก็บแคช ในที่เดียว เพื่อลด การซ้ำซ้อนและลดแบนด์วิชที่เป็นต้นทุนใหญ่ของประเทศลง โดย ในการประชุมครั้งนี้ ทาง THNIC จะหารือร่วมกับองค์กรที่เกี่ยวเนื่องทุกฝ่ายเพื่อทำให้เกิดทิศทาง ที่สามารถ ดำเนินการจัดท ำ Internet Exchange หรือ IX ให้เกิดขึ้นในเมืองไทยได้อย่างเป็นจริง

ส่วนการอบรมเชิงปฏิบัติการ DNSSEC เนื่องจากทาง THNIC เห็นว่า ในขณะนี้ปัญหาเรื่อง การใช้ Domain หรือชื่อทางอินเทอร์เน็ตของประเทศไทย ยังมีความปลอดภัยในระดับต่ำ โดยเฉพาะองค์กรที่เป็นหัวใจทางด้านการผลักดันอินเทอร์เน็ตในเมืองไทย ไม่ว่าจะเป็นภาคธุรกิจ การเงิน ราชการ ดังนั้นจำเป็นต้องมีการหารือแนวทางการทำ DNS Security ที่ถูกต้อง ซึ่งปัญหานี้สามารถแก้ไขได้โดยตัวองค์กรนั้นๆ เอง ดังนั้นจำเป็นที่ต้องเร่งรณรงค์ให้เกิดการลงทุนในด้านนี้หากต้องการพัฒนาระบบอินเทอร์เน็ตของไทยในระยะยาว

ในมิติทางสังคมที่สำคัญนั้น ทาง THNIC จะผลักดันผ่านเวที Thai Cyber Society เนื่อง จากขณะนี้เทคโนโลยีมีการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วมาก มีนวัตกรรมใหม่ๆ เกิดขึ้นทุกวัน ภาคสังคม เกิดการปรับตัวตามไม่ทัน เกิดคำถามทางสังคมตามมามากมาย เช่น ทำไมประเทศไทยถึงเป็นเมืองหลวงของการใช้ Facebook ฯลฯ โดยทาง THNIC จะอาศัยจุดแข็งของวัฒนธรรมทางอินเทอร์เน็ต ที่เน้นสังคมแบบประชาธิปไตยไม่มีใครเป็นเจ้าของรายใหญ่ เพื่อสร้างต้นแบบในเชิงสัญลักษณ์ โดยเน้นกระบวนการแบบ Bottom-Up Process หาคำตอบเหล่านี้ให้กับสังคมไทย

นอกจากนั้น THNIC ยังได้เชิญ Dr. Steve Crocker ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่งประธานกรรมการบริหารองค์กรอินเทอร์เน็ตโลก หรือ ICANN และคุณ Vint Cerf ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งอินเทอร์เน็ตของโลกมาวิเคราะห์แนวทางของอินเทอร์เน็ตทั่วโลก ซึ่งถือว่าเป็นปัญหาที่ล่อแหลมมากในปัจจุบันในงานนี้อีกด้วย

View :1388
Categories: Press/Release Tags: