Archive

Archive for the ‘Press/Release’ Category

เทรนด์ ไมโคร สรุปรายงานสถานการณ์ภัยคุกคามประจำไตรมาสที่สาม

November 21st, 2011 No comments

บริษัท สรุปรายงานสถานการณ์ภัยคุกคามประจำไตรมาสที่สาม ระบุว่ากูเกิลคว้าอันดับหนึ่งแทนที่ไมโครซอฟท์ในฐานะผู้ที่มีช่องโหว่ความปลอดภัยสูงสุด ด้วยจำนวนช่องโหว่ที่ได้รับรายงานทั้งสิ้น 82 รายการ ซึ่งพบในบราวเซอร์ Chrome ที่กำลังได้รับความนิยมอย่างมากของกูเกิล ขณะที่ออราเคิลมาเป็นอันดับที่สองด้วยจำนวนช่องโหว่ที่ได้รับรายงาน 63 รายการ ส่วนไมโครซอฟท์หล่นไปอยู่อันดับที่สามด้วยจำนวนช่องโหว่ที่ได้รับรายงานทั้งสิ้น 58 รายการ

นักวิจัยด้านภัยคุกคามของบริษัท เทรนด์ ไมโคร ยังพบแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญจากที่พุ่งเป้าสร้างความเดือดร้อนแบบวงกว้าง (มวลชน) ได้กลายไปเป็นการโจมตีแบบมีเป้าหมาย ซึ่งพุ่งเป้าไปที่องค์กรขนาดใหญ่และสถาบันต่างๆ ของภาครัฐโดยเฉพาะ การทำงานของนักวิจัยเหล่านี้ยังทำให้พบกลุ่มที่โจมตีแบบมีเป้าหมายที่มีชื่อเสียงอย่างมากกลุ่มหนึ่งในช่วงไตรมาสที่สาม ชื่อว่า LURID Downloader

บริษัท เทรนด์ ไมโคร ได้จัดประเภทของการโจมตีเหล่านี้ว่าเป็นภัยคุกคามต่อเนื่องขั้นสูง (Advanced Persistent Threat: APT) ซึ่งมีเป้าหมายเป็นบริษัทขนาดใหญ่และสถาบันต่างๆ ในกว่า 60 ประเทศ รวมถึงรัสเซีย คาซัคสถาน และยูเครน โดยอาชญากรไซเบอร์ที่อยู่เบื้องหลังการโจมตีเหล่านี้ได้ใช้งานมัลแวร์ไปแล้วกว่า 300 รายการเพื่อให้ได้มาซึ่งข้อมูลที่เป็นความลับและสามารถเข้าควบคุมระบบของผู้ใช้ที่ติดเชื้อได้อย่างสมบูรณ์โดยมีระยะเวลาที่ยาวนานกว่าเดิม จะเห็นได้ว่าความสำเร็จของ LURID นั้นมาจากการกำหนดเป้าหมายอย่างชัดเจน และจากการกำหนดโซนภายในตำแหน่งและสถานที่ตามภูมิศาสตร์เฉพาะนี่เองที่ทำให้ LURID สามารถทำอันตรายระบบไปแล้วเป็นจำนวนมากถึง 1,465 ระบบ
การโจมตี กลลวง การละเมิด และช่องโหว่อื่นๆ ที่รู้จักกันดี

· นักวิจัยด้านภัยคุกคามของบริษัท เทรนด์ ไมโคร พบสายพันธุ์ใหม่ DroidDreamLight ที่มีชุดคำสั่งความสามารถเพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยมีการปลอมตัวเป็นโปรแกรมหรือเครื่องมือตรวจสอบแบตเตอรี่หรือเครื่องมือแสดงรายการงานที่อ้างว่าจะช่วยให้ผู้ใช้สามารถมองเห็นรายการต่างๆ ที่อนุญาตให้โปรแกรมซึ่งได้รับการติดตั้งไว้สามารถใช้ประโยชน์ได้ แต่จริงๆ แล้วเป็นสำเนาของมัลแวร์ใหม่สำหรับ Android ที่มีการซ่อนตัวอยู่เป็นจำนวนมากในร้านค้าโปรแกรมสัญชาติจีนแห่งหนึ่ง

· ในช่วงครึ่งแรกของเดือนกรกฎาคม นักวิจัยบริษัท เทรนด์ ไมโคร ได้ระบุเว็บเพจที่ล่อลวงให้ผู้ใช้คลิกลิงก์เพื่อรับคำเชิญฟรีจากการร่วมใช้งาน Google+ ซึ่งเป็นบริการสื่อสังคมออนไลน์ใหม่ล่าสุดจากกูเกิล แต่แทนที่จะเป็นการเชิญเข้าร่วมใช้บริการดังกล่าว สิ่งที่ผู้ใช้ที่ตกเป็นเหยื่อจะได้รับก็คือ “โอกาส” ในการร่วมทำแบบสำรวจที่จะนำพวกเขาตกอยู่ในภาวะเสี่ยงได้

· ผู้ใช้ LinkedIn ก็ตกเป็นเหยื่อของกลลวงอาชญากรรมออนไลน์เช่นกัน โดยจะมีการล่อลวงให้พวกเขาคลิกลิงก์ที่เป็นอันตรายที่อ้างว่าจะนำไปชมวิดีโอของ จัสติน บีเบอร์ แต่เมื่อคลิกแล้วก็จะมีการเปลี่ยนเส้นทางไปยังเว็บไซต์ที่เป็นอันตรายแทน

· สแปมที่มีชื่อเสียงที่สุดในไตรมาสนี้ได้นำไปสู่การดาวน์โหลดและการปฏิบัติการของโทรจันสองตัวที่เกี่ยวข้องกับธนาคาร โดยสแปมรายการแรกแอบอ้างว่ามาจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติสเปน ขณะที่ สแปมรายการที่สองแอบอ้างว่ามาจากสำนักงานสรรพากรสหรัฐฯ

· อินเดียและเกาหลีใต้ยังคงเป็นประเทศที่มีการส่งสแปมสูงสุดสามอันดับแรก โดยสหรัฐอเมริกาซึ่งมักจะติดอยู่ในกลุ่มอันดับสูงสุดกลับไม่ได้ติดอันดับอยู่ 10 อันดับแรกของประเทศที่มีการส่งสแปมสูงสุด เนื่องจากมีการจับกุมผู้ดำเนินการสแปมบ็อตแล้วเป็นจำนวนมาก

นอกจากการค้นพบ LURID Downloader แล้ว ในไตรมาสที่สามนี้ บริษัท เทรนด์ ไมโคร และทีมงานรักษาความปลอดภัยทั่วโลกทีมอื่นๆ ยังได้สร้างความสำเร็จที่น่าประทับใจดังนี้

· หลังจากดำเนินการติดตามตรวจสอบเป็นระยะเวลาหลายเดือน นักวิจัยของบริษัท เทรนด์ ไมโคร ได้เปิดเผยการทำงานของ SpyEye ที่ควบคุมโดยอาชญากรไซเบอร์ที่ใช้ชื่อว่า “Soldier” ซึ่งอาศัยอยู่ในรัสเซียและยังมีผู้สมรู้ร่วมคิดที่อาศัยอยู่ในฮอลลีวูด มลรัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกาอีกด้วย การดำเนินการของบ็อตเน็ตชนิดนี้ สร้างความเสียหายไปแล้วกว่า 3.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ภายในระยะเวลาหกเดือน และได้ตั้งเป้าไปที่องค์กรขนาดใหญ่และสถาบันภาครัฐต่างๆ ในสหรัฐอเมริกา รวมทั้งองค์กรต่างๆ ในแคนาดา สหราชอาณาจักร อินเดีย และแม็กซิโก สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถดูได้ในรายงานการวิจัยของบริษัท เทรนด์ ไมโคร เรื่อง “From Russia to Hollywood: Turning Tables on a SpyEye Cybercrime Ring”

· นักวิจัยของบริษัท เทรนด์ ไมโคร ยังสามารถรวบรวมข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับเครือข่ายร่วม FAKEAV (โปรแกรมป้องกันไวรัสปลอม) ขนาดใหญ่ที่สุดสองเครือข่ายในปัจจุบันไว้ด้วย ได้แก่ BeeCoin และ MoneyBeat โดยรายละเอียดเกี่ยวกับวิธีการทำงานของเครือข่ายร่วม FAKEAV สามารถดูได้ในรายงานการวิจัยเรื่อง “Targeting the Source: FAKEAV Affiliate Networks”

View :1442

ทรู ไอดีซี จัดโครงการ “Free True Cloud Services for Flood Crisis” ใช้บริการทรู คลาวด์ ฟรี พลิกฟื้นธุรกิจประสบภัยน้ำท่วม

November 18th, 2011 No comments

ร่วมช่วยเหลือองค์กรธุรกิจที่ประสบภัยหรือเสี่ยงประสบภัยน้ำท่วม จัดโครงการ “Free ” ให้ใช้บริการทรู คลาวด์ พร้อมระบบสำรองและกู้คืนข้อมูล (Back up & Disaster Recovery) ฟรี นาน 60 วัน เพื่อให้ธุรกิจและผู้ประกอบการสามารถเตรียมระบบสำรองและกู้คืนข้อมูลไว้ล่วงหน้า เพิ่มความมั่นใจในการดำเนินธุรกิจอย่างราบรื่นแม้ในภาวะวิกฤตจากเหตุอุทกภัย ผู้ที่สนใจบริการทรู คลาวด์ สามารถขอเปิดใช้บริการได้แล้ววันนี้ หรือดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.trueidc.co.th

ทั้งนี้ โครงการ “Free True Cloud Services for Flood Crisis” มอบความช่วยเหลือในช่วงวิกฤตน้ำท่วมหลายพื้นที่ในกรุงเทพฯ อาทิ ศูนย์เทคโนโลยีอิเลิกทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) ซึ่งตั้งอยู่บริเวณมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ในพื้นที่ประสบภัยพิบัติน้ำท่วม ดำเนินการย้ายเซิร์ฟเวอร์ http://traffy.in.th/i เว็บไซต์แสดงภาพการจราจร และปัจจุบันเพิ่มรายงานภาพสถานการณ์น้ำท่วมในแต่ละพื้นที่ด้วย นอกจากนี้ ยังรับฝากเซิร์ฟเวอร์ของเว็บไซต์ www.gamling.org ศูนย์กลางแบ่งปันข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับพื้นที่ประสบภัยน้ำท่วม ผ่านสังคมออนไลน์ทั้ง facebook และ twitter เป็นต้น

View :1358

แวลลูฯ รวมน้ำใจ ช่วยภัยน้ำท่วม จับมือหัวเว่ยมอบอุปกรณ์เน็ตเวิร์คกว่า 10 ล้านบาท ช่วยฟื้นนิคมอุตสาหกรรม 7 แห่ง

November 18th, 2011 No comments

จากภาพ… มร. หยาง หัว (ซ้าย) ประธานกลุ่มธุรกิจเอนเตอร์ไพรส์ ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ บริษัทหัวเว่ย เทคโนโลยี จำกัด และนายสมศักดิ์ เพ็ชรทวีพรเดช (ขวา) ประธานกรรมการบริหาร บริษัทเดอะแวลลูซิสเตมส์ จำกัด ประกาศความร่วมมือระหว่างทั้งสองฝ่าย ในการออกมาตรการช่วยเหลือเร่งด่วนสำหรับผู้ประกอบการในนิคมอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบจากเหตุอุทกภัย ด้วยการมอบอุปกรณ์เน็ตเวิร์คมูลค่ากว่า 10 ล้านบาท พร้อมบริการติดตั้งฟรี และรับประกันสินค้านาน 1 ปี เพื่อเป็นการให้ความช่วยเหลือภายหลังจากนิคมฯ ทั้ง 7 แห่งได้รับความเสียหายจากมหาอุทกภัย

บริษัทเดอะแวลลูซิสเตมส์ จำกัด จับมือร่วมกับหัวเว่ย ผู้นำด้านโซลูชันเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ประกาศมาตรการช่วยเหลือเร่งด่วนสำหรับภาคอุตสาหกรรมหลังน้ำท่วม มอบอุปกรณ์ Ethernet LAN switch จำนวน 300 ชุด พร้อมเตรียมโซลูชันพิเศษอื่นๆ สำหรับผู้ประกอบการในนิคมอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบจากเหตุอุทกภัย เพื่อฟื้นฟูกิจการให้กลับมาดำเนินการได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

มร. หยาง หัว ประธานกลุ่มธุรกิจเอนเตอร์ไพรส์ ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ บริษัท จำกัด กล่าวว่า “หัวเว่ย เอนเตอร์ไพรส์ตระหนักดีถึงผลกระทบจากภาวะอุทกภัยที่เกิดขึ้น ซึ่งถือว่าเป็นเหตุภัยพิบัติร้ายแรงครั้งใหญ่ของประเทศไทย ที่ได้สร้างความเสียหายอย่างมากแก่ภาคอุตสาหกรรม ในโอกาสนี้ เราได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากบริษัทเดอะแวลลูซิสเตมส์ จำกัด ผู้จัดจำหน่ายโซลูชันเอนเตอร์ไพรส์ของหัวเว่ยอย่างเป็นทางการในประเทศไทย ในการนำเสนอมาตรการฟื้นฟูเร่งด่วน เพื่อจัดหาโซลูชันที่สอดรับกับความต้องการของภาคอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบ ให้พลิกฟื้นสู่สภาวะปกติโดยเร็วที่สุด อันจะเป็นการช่วยส่งเสริมเศรษฐกิจไทยในอีกทางหนึ่งด้วย”

มาตรการนี้มุ่งให้ความช่วยเหลือแก่บริษัทในภาคอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบจากเหตุน้ำท่วม ในรูปของการมอบอุปกรณ์อีเธอร์เน็ต แลน สวิทช์ รุ่น Huawei Quidway S2700 Series จำนวน 300 ชุด เพื่อทดแทนอุปกรณ์ที่ได้รับความเสียหาย โดยไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ ซึ่งอุปกรณ์ประสิทธิภาพสูงชิ้นนี้ สามารถช่วยเชื่อมโยงระบบเครือข่ายเข้าด้วยกันได้อย่างรวดเร็ว ปลอดภัย ใช้งานง่าย และยังประหยัดพลังงานอีกด้วย

จะให้บริการติดตั้งอุปกรณ์โดยไม่มีค่าใช้จ่าย ภายหลังจากที่ได้ประเมินความเสียหายจากเหตุน้ำท่วมแล้ว โดยอุปกรณ์ทุกชิ้นอยู่ภายใต้การรับประกันหนึ่งปี ทั้งนี้ บริษัทจะพิจารณาให้ความช่วยเหลือตามลำดับการร้องขอ บริษัทที่สนใจสามารถติดต่อหัวเว่ยและเดอะแวลลูซิสเตมส์เพื่อขอรับอุปกรณ์ได้ตั้งแต่วันนี้ จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2554 ได้ทางสายด่วน 0-2661- 6666 ต่อ 1471 หรืออีเมล huawei@value.co.th

นอกจากนี้ บริษัทที่ได้รับความเสียหาย และต้องการขอรับความช่วยเหลือในด้านอื่น นอกเหนือจากอุปกรณ์ แลน สวิทช์ ยังสามารถติดต่อหัวเว่ยและเดอะแวลลูซิสเตมส์เพื่อสอบถามรายละเอียดของโซลูชันพิเศษอื่นๆ ได้ตลอดไปจนถึงช่วงต้นปี 2555

นายสมศักดิ์ เพ็ชรทวีพรเดช ประธานกรรมการบริหาร บริษัทเดอะแวลลูซิสเตมส์ จำกัด กล่าวเสริมว่า “บริษัทฯ ได้จัดกิจกรรมช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยมาอย่างต่อเนื่อง ภายใต้โครงการ “แวลลูฯ รวมน้ำใจ ช่วยภัยน้ำท่วม” และความร่วมมือกับหัวเว่ยในครั้งนี้ ก็ถือเป็นโอกาสที่เราจะได้เข้าไปช่วยฟื้นฟูกิจการที่ได้รับผลกระทบใน 7 นิคมอุตสาหกรรมใหญ่ ได้แก่ โรจนะ, ไฮเทค, สหรัตนนคร, บางปะอิน, นวนคร, บางกะดี และแฟคตอรี่แลนด์ เพียงขอให้แต่ละโรงงานนำสวิทช์ตัวเก่าทีได้รับความเสียหาย มาแลกกับสวิทช์ตัวใหม่ของหัวเว่ยโดยทางบริษัทฯ จะส่งทีมงานเข้าไปให้บริการติดตั้งฟรีถึงที่โรงงาน พร้อมรับประกันตัวสินค้าให้อีกเป็นเวลา 1 ปีเต็ม นอกจากนี้ หากโรงงานในนิคมฯ ที่ประสบภัยน้ำท่วมต้องการซื้อสินค้าด้านระบบเครือข่ายเพิ่มเติม บริษัทฯ ยินดีที่จะจำหน่ายให้ในราคาพิเศษสุดอีกด้วย”

อนึ่ง โครงการ “แวลลูฯ รวมน้ำใจ ช่วยภัยน้ำท่วม” เริ่มดำเนินการตั้งแต่เดือนตุลาคม 2554 เพื่อช่วยบรรเทาทุกข์ให้แก่ประชาชนผู้ประสบภัยน้ำท่วม โดยได้ร่วมบริจาคเงินจำนวน 500,000 บาท และน้ำดื่ม ECS 10,000 ขวดให้แก่ ท่าอากาศยานดอนเมือง และยังได้มอบอาหารปรุงสำเร็จพร้อมรับประทานรวมทั้งสิ้น 8,700 กล่อง พร้อมน้ำดื่ม 360 ขวดให้แก่ศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย กองทัพภาคที่ 3

นอกเหนือจากมาตรการช่วยเหลือมูลค่าราว 10 ล้านบาทนี้ หัวเว่ย ประเทศไทยยังได้ร่วมช่วยเหลือบรรเทาทุกข์แก่ผู้ประสบภัยน้ำท่วม ด้วยการบริจาคเงินจำนวน 5 ล้านบาท และอุปกรณ์เทเลเพรสเซนส์ สำหรับการสื่อสารทางไกล มูลค่า 15 ล้านบาท เพื่อสมทบกองทุนช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัย นอกจากนี้ พนักงานบริษัทฯ ได้ร่วมกันบริจาคเงินจำนวน 50,000 บาทแก่สภากาชาดไทย เพื่อช่วยเหลือในอีกทางหนึ่งด้วย

View :1467

ก.ไอซีที ตั้งศูนย์ประสานการกำกับ ติดตาม ประสานงานและการสื่อสารเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย

November 17th, 2011 No comments

นาวาอากาศเอก อนุดิษฐ์ นาครทรรพ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เปิดเผยว่า ภายหลังได้รับคำสั่งจากนายกรัฐมนตรี เรื่อง การมอบหมายความรับผิดชอบป้องกันดูแลพื้นที่สำคัญ และช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล โดยให้ปฏิบัติหน้าที่กำกับ ติดตาม ประสานงานและการสื่อสาร พร้อมให้รายงานการปฏิบัติงานต่อนายกรัฐมนตรี รวมทั้งแจ้งให้ผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (ศปภ.) ทราบทุกวันนั้น กระทรวงไอซีที จึงได้มีการจัดตั้งศูนย์ประสานการกำกับ ติดตาม ประสานงานและการสื่อสารขึ้น เพื่อทำหน้าที่ประสานงานกับหน่วยงานหลักที่ปฏิบัติภารกิจต่างๆ ตามที่นายกรัฐมนตรีมอบหมาย 8 ด้าน คือ 1. การดูแลสถานที่สำคัญ 2. การดูแลพื้นที่สำคัญทางเศรษฐกิจ สาธารณูปโภค และเส้นทางคมนาคม 3. การอพยพผู้ประสบภัย 4. การจัดหาและการขนส่งสินค้าอุปโภคบริโภค 5. การระบายน้ำสู่ทะเลและการบำบัดน้ำเสีย 6. การรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนและการจราจร 7. การช่วยเหลือชาวต่างประเทศ สถานทูต และองค์กรระหว่างประเทศ และ 8. การประชาสัมพันธ์

สำหรับแนวทางการปฏิบัติงานของศูนย์ประสานงานฯ กระทรวงไอซีที นั้น ได้มีการจัดกลุ่มหน่วยงานภายในสำนักงานปลัดกระทรวงฯ 8 กลุ่ม เพื่อรับผิดชอบประสานงานกับหน่วยงานหลักที่ปฏิบัติภารกิจทั้ง 8 ด้านเกี่ยวกับการสรุปผลการดำเนินงานตามภารกิจที่ได้รับมอบหมายและข้อมูลรายละเอียดที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งรายงานความพร้อมของทรัพยากรที่จำเป็นและแผนการจัดหาให้เพียงพอ ตามการคาดการณ์ความต้องการใช้ ตลอดจนรายงานปัญหาอุปสรรคและข้อขัดข้องในการปฏิบัติงาน รวมถึงข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์ในการดำเนินงานของ ศปภ. โดยหลังจากได้รับรายงานสรุปจากหน่วยงานต่างๆ แล้ว ศูนย์ประสานงานฯ กระทรวงไอซีที จะทำการวิเคราะห์ข้อมูลและจัดทำรายงานสรุปภาพรวมเพื่อเสนอต่อผู้บริหาร และรายงานให้นายกรัฐมนตรี รวมทั้งผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ทราบเป็นประจำทุกวัน

และเพื่อให้การดำเนินการของศูนย์ประสานฯ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ กระทรวงไอซีที ได้จัดทำระบบ resource pool ซึ่งรวมฐานข้อมูลผู้ประสานงานหลักที่รับผิดชอบสนับสนุนทรัพยากร (resource) ในแต่ละเรื่องเอาไว้ เพื่อให้หน่วยงานสามารถเรียกใช้ข้อมูลได้อย่างสะดวกรวดเร็วเมื่อมีความต้องการการสนับสนุนทรัพยากรที่จำเป็น นอกจากนี้ยังได้มีการพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเพื่อการบริหารจัดการศูนย์อพยพ ระบบบริหารจัดการสิ่งของรับบริจาค และระบบการช่วยเหลือขึ้น โดยจะนำขึ้นเว็บไซต์เพื่อให้หน่วยงานที่รับผิดชอบภารกิจต่างๆ ได้นำไปใช้ประโยชน์อีกด้วย

View :1440

รีเสิร์ช อิน โมชั่น เปิดตัว แบล็กเบอร์รี่ โบลด์ 9790 และ แบล็กเบอร์รี่ เคิร์ฟ 9380 สมาร์ทโฟนใหม่ล่าสุด

November 17th, 2011 No comments

จาการ์ตา, อินโดนีเซีย และ วอเตอร์ลู ออนแทรีโอ – รีเสิร์ช อิน โมชั่น หรือ ริม (Research In Motion – RIM) (NASDAQ: RIMM; TSX: RIM) วันนี้ ประกาศเปิดตัวสมาร์ทโฟนสองรุ่นใหม่ล่าสุด ที่มาพร้อมการทำงานด้วยระบบปฏิบัติการแบล็กเบอร์รี่® 7 OS – ได้แก่ แบล็กเบอร์รี่® โบลด์™ 9790 และ

แบล็กเบอร์รี่® เคิร์ฟ™ 9380

BlackBerry Curve 9380 Smartphone


สมาร์ทโฟนสองรุ่นใหม่ล่าสุด มาพร้อมรูปโฉมที่เพรียวบางและทันสมัย และนำเสนอความล้ำหน้าอีกขั้นของฟีเจอร์ด้านการติดต่อสื่อสาร มัลติมีเดีย การทำงาน และการเชื่อมต่อกับเครือข่ายโซเชี่ยล

สมาร์ทโฟนทรงประสิทธิภาพและกะทัดรัด นำเสนอประสิทธิภาพการทำงานชั้นยอด และความสมบูรณ์แบบด้วยสองคุณประโยชน์จากหน้าจอระบบสัมผัสความละเอียดสูงและคีย์บอร์ดอันทรงประสิทธิภาพให้แก่ผู้ใช้งาน ในส่วนของแบล็กเบอร์รี่ เคิร์ฟ 9380 เป็นสมาร์ทโฟนรุ่นแรกในตระกูลแบล็กเบอร์รี่® เคิร์ฟ™ ที่มาพร้อมหน้าจอระบบสัมผัสทั้งหมด ซึ่งสานต่อการมอบสุดยอดประสบการณ์ด้านโซเชี่ยล การใช้งานที่ง่ายดาย พร้อมขนาดที่เล็กลง อันเป็นเอกลักษณ์ของสมาร์ทโฟนตระกูลแบล็กเบอร์รี่ เคิร์ฟ และขณะเดียวกันก็นำเสนอทางเลือกให้แก่ผู้ใช้เคิร์ฟ ด้วยขนาดหน้าจอที่ใหญ่ขึ้นและเป็นระบบสัมผัสทั้งหมด

มร. คาร์โล เชียเรลโล รองประธานระดับอาวุโส หน่วยธุรกิจบริหารจัดการผลิตภัณฑ์มือถือ บริษัทรีเสิร์ช อิน โมชั่น กล่าวว่า “เรามีความตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่งในการขยายพอร์ตโฟลิโอแบล็กเบอร์รี่ 7 ด้วยผลิตภัณฑ์สองรุ่นใหม่ล่าสุด แบล็กเบอร์รี่ โบลด์ 9790 และแบล็กเบอร์รี่ เคิร์ฟ 9380 ทั้งนี้ แบล็กเบอร์รี่สมาร์ทโฟนจะมอบประสบการณ์ด้านการติดต่อสื่อสารบนมือถือที่คัดสรรมาอย่างโดดเด่นที่ทุกคนชื่นชอบ และเราคิดว่าลูกค้าของเราจำนวนมากจะตื่นเต้นพอใจไปกับประสิทธิภาพการทำงานที่ฉับไวยิ่งขึ้น ความงามของระบบหน้าจอสัมผัส และรูปลักษณ์ที่โฉบเฉี่ยว ซึ่งผสานอยู่ในสมาร์ทโฟนสองรุ่นดังกล่าวที่มาพร้อมระบบปฏิบัติการแบล็กเบอร์รี่ 7”

แบล็กเบอร์รี่ โบลด์ 9790 สมาร์ทโฟน พร้อมหน้าจอระบบสัมผัส และคีย์บอร์ด

ภายใต้เอกลักษณ์ของแบล็กเบอร์รี่ โบลด์ แบล็กเบอร์รี่ โบลด์ 9790 สมาร์ทโฟนอันทรงพลัง ด้วยฟีเจอร์ที่ครบครัน ซึ่งถูกรังสรรค์ขึ้นด้วยวัสดุระดับพรีเมี่ยม และการขัดเงา มาพร้อมการผสมผสานกันระหว่างหน้าจอระบบสัมผัสแสดงผลด้วยความละเอียดสูงและการตอบสนองฉับพลัน คีย์บอร์ดประสิทธิภาพสูง และแป้นควบคุมด้วยปลายนิ้วสัมผัสที่แม่นยำ ภายใต้รูปลักษณ์ที่แคบลง ซึ่งง่ายต่อการพกพาและมีขนาดพอดีมือ และด้วยการทำงานด้วยระบบปฏิบัติการแบล็กเบอร์รี่ 7 และพลังการประมวลผลโปรเซสเซอร์ 1 GHz ทำให้แบล็กเบอร์รี่ โบลด์ 9790 สามารถมอบสุดยอดประสิทธิภาพการทำงานที่รวดเร็ว และลื่นไหลแบบไม่มีสะดุด เหมาะสำหรับการท่องเว็บ การใช้งานแอพพลิเคชั่น การทำงานบนไฟล์เอกสาร และเพลิดเพลินไปกับมัลมีเดีย นอกจากนี้ ยังมีหน่วยความจำ onboard memory ขนาด 8 กิกะไบต์พร้อมหน่วยความจำเสริมภายนอกแบบ microSD ที่สามารถขยายเพิ่มเติมได้สูงสุดถึง 32 กิกะไบต์

สมาร์ทโฟน พร้อมหน้าจอระบบสัมผัสทั้งหมด

แบล็กเบอร์รี่ เคิร์ฟ 9380 ภายใต้รูปลักษณ์ดีไซน์อย่างงดงาม ถือเป็นสมาร์ทโฟนหน้าจอระบบสัมผัสทั้งหมด รุ่นแรกในตระกูลแบล็กเบอร์รี่ เคิร์ฟ ซึ่งมาพร้อมสุดยอดหน้าจอแสดงผลขนาด 3.2 นิ้ว ที่ให้ความละเอียดสูง และการตอบสนองฉับไว นอกจากนี้ ยังมีแอพพลิเคชั่นโซเชี่ยลเน็ตเวิร์คจำนวนมากที่มาพร้อมกับตัวเครื่อง ได้แก่ แอพพลิเคชั่น BBM™ (BlackBerry® Messenger), Facebook®, Twitter™ และ Social Feeds ที่มอบประสบการณ์การใช้งานมือถือที่ครบครัน เต็มเปี่ยมไปด้วยความสนุกสนาน การใช้งานง่ายแบบไร้ขีดจำกัด มือถือขนาดกะทัดรัดดีไซน์ทันสมัยรุ่นนี้ ยังมาพร้อมกล้องถ่ายรูปที่ความละเอียดขนาด 5 ล้านพิกเซล พร้อมแฟลช และระบบบันทึกวิดีโอ ทำให้ผู้ใช้สามารถบันทึกภาพความทรงจำอันหลากหลาย และแชร์ให้กับครอบครัว กลุ่มเพื่อน และผู้ร่วมงานได้อย่างง่ายดาย

สุดยอดระบบปฏิบัติการ แบล็กเบอร์รี่ 7

แบล็กเบอร์รี่ โบลด์ 9790 และ แบล็กเบอร์รี่ เคิร์ฟ 9380 รองรับการทำงานด้วยระบบปฏิบัติการ

แบล็กเบอร์รี่ 7 ใหม่ล่าสุด มอบประสบการณ์ที่รวดเร็วและสมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้นให้แก่ผู้ใช้งาน ด้วยการใช้งานเว็บ การค้นหาด้วยคำสั่งเสียง และการรองรับ NFC (Near Field Communications) ทั้งหมดที่ได้รับการพัฒนาขึ้นอย่างเต็มที่ นอกจากนี้ ยังผสานความสามารถในการบริหารจัดการข้อมูลส่วนตัว ให้แยกออกจากข้อมูลขององค์กร รวมทั้งมาพร้อมกับแอพพลิเคชั่นสำหรับการใช้งานส่วนตัวและในเชิงการทำงานแบบไร้ขีดจำกัดอีกมากมาย

BlackBerry Bold 9790 Smartphone


ระบบปฏิบัติการแบล็กเบอร์รี่ 7 ยังนำเสนอการยกระดับระบบเว็บเบราว์เซอร์ โดดเด่นด้วยการตอบสนองที่ฉับไว มอบประสบการณ์การท่องเว็บที่สมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น ประกอบด้วย การทำงานของเบราว์เซอร์รูปแบบตัวแปล JIT (just in time) JavaScript ใหม่ล่าสุด ช่วยให้การโหลดข้อมูลของหน้าเว็บเร็วยิ่งขึ้น รวมทั้งปรับความสามารถของ HTML5 เพื่อประสบการณ์การเล่นเกมส์และเล่นวิดีโอที่ยอดเยี่ยมที่สุด ยิ่งไปว่านั้น ความสามารถของระบบ Universal Search ยอดฮิต ก็ได้ถูกพัฒนาด้วยความสามารถในการรองรับการค้นหาด้วยคำสั่งใช้เสียง โดยผู้ใช้งานเพียงพูดคำที่ต้องการค้นหา ทั้งการค้นหาข้อมูลภายในตัวเครื่องและเว็บไซต์

แบล็กเบอร์รี่ โบลด์ 9790 และ แบล็กเบอร์รี่ เคิร์ฟ 9380 สมาร์ทโฟน มาพร้อมการรองรับ Augmented Reality และ NFC (Near Field Communications) เทคโนโลยีใหม่ที่ช่วยเพิ่มขีดความสามารถในเชื่อมต่อในโลกของการสื่อสารด้วยวิธีการใหม่ๆ มากมาย และด้วยแอพพลิเคชั่น Wikitude Augmented Reality ผู้ใช้งานจะสามารถค้นหาผู้ใช้งาน BBM (BlackBerry Messenger) ที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงได้แบบเรียลไทม์ อ่านคำวิจารณ์ร้านอาหารในพื้นที่ใกล้เคียง หรืออ่านเรื่องราวเกี่ยวกับที่มาที่ไปและจุดที่น่าสนใจของสถานที่สำคัญๆ นอกจากนี้ เทคโนโลยี NFC ยังช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการใช้งานใหม่ๆ และน่าสนใจมากมาย ประกอบด้วย ความสามารถในการชำระเงินผ่านมือถือ การเชื่อมต่อกับอุปกรณ์เสริม หรือการอ่านแท็ก SmartPoster ง่ายๆ ด้วยการแตะไปบนสมาร์ทโฟน

ยิ่งไปกว่านั้น ระบบปฏิบัติการแบล็กเบอร์รี่ 7 ยังมาพร้อมกับแอพพลิเคชั่นที่เป็น preinstalled และความสามารถด้านการทำงานอื่นๆ อีกมากมาย เพื่อการใช้งานที่เป็นประโยชน์มากยิ่งขึ้น และการเชื่อมต่อแบบไร้ขีดจำกัด แอพพลิเคชั่น Documents To Go เวอร์ชั่นพรีเมี่ยม ได้ถูกรวมไว้ ซึ่งสามารถใช้งานได้แบบไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ โดยนำเสนอฟีเจอร์แก้ไขเอกสารชั้นยอด รวมทั้งฟีเจอร์สำหรับการเปิดดูเอกสาร PDF แบบต้นฉบับ ทั้งยังมาพร้อมกับแอพพลิเคชั่น BlackBerry® Protect แบบพรีโหลด* ที่จะทำให้ผู้ใช้งานสามารถวางใจได้ว่าสามารถทำการสำรองข้อมูลส่วนตัว และเก็บรักษาไว้ได้อย่างปลอดภัยบนระบบคลาวด์ แอพพลิเคชั่น BlackBerry® Balance ก็ได้ถูกรวมไว้ในระบบปฏิบัติการแบล็กเบอร์รี่ 7 ซึ่งทำให้ผู้ใช้งานเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การใช้งานแบล็กเบอร์รี่สมาร์ทโฟนได้

อย่างเต็มที่ทั้งในเชิงการทำงานและการใช้งานส่วนตัว โดยไม่ต้องกังวลกับความต้องการของเจ้าหน้าที่แผนกไอทีขององค์กร เพื่อระบบการรักษาความปลอดภัยอันล้ำหน้าและการควบคุมนโยบายไอที นอกจากนี้ แอพพลิเคชั่น Social Feeds (เวอร์ชั่น 2.0) ยังได้ถูกขยายออกให้รวบรวมการอัพเดทจากมีเดียและแอพพลิเคชั่นที่ผู้ใช้จัดให้อยู่ในหมวด favorites มารวมอยู่ในหมวดเดียวกันทั้งหมด รวมทั้ง แอพพลิเคชั่น Facebook® for BlackBerry smartphones (2.0) ซึ่งมาพร้อมฟีเจอร์ใหม่ๆ อย่าง Facebook chat และการเชื่อมต่อเข้ากับโปรแกรม BBM ซึ่งทำให้ผู้ใช้สามารถเชื่อมต่อกับกลุ่มเพื่อนบน Facebook ในรูปแบบเรียลไทม์

แบล็กเบอร์รี่ โบลด์ 9790 และ แบล็กเบอร์รี่ เคิร์ฟ 9380 สมาร์ทโฟน จะเริ่มวางจำหน่ายผ่านผู้ให้บริการทั่วโลกเร็วๆ นี้ โดยรายละเอียดวันการวางจำหน่ายสมาร์ทโฟนแต่ละรุ่นจากผู้ให้บริการแต่ละรายนั้น จะประกาศให้ทราบทั่วกันร่วมกับพันธมิตรคู่ค้าของริม

View :1706

ไอดีซีปรับลดการคาดการณ์ตลาดฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์และตลาดพีซีโลกอันเนื่องมาจากวิกฤตการณ์น้ำท่วมในไทย

November 14th, 2011 No comments

มหาอุทกภัยในประเทศไทยนั้นกำลังสร้างความเสียหายอันประเมินค่ามิได้ต่อทั้งชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ตลอดจนเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งอุตสาหกรรมการผลิตฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์เป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด อันเป็นผลจากการที่โรงงานผลิตฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์กว่า 6 โรงงานได้รับความเสียหายต้องหยุดการผลิตไป โดยงานวิจัยฉบับใหม่ของบริษัทวิจัยไอดีซีชี้ว่า เหตุการณ์นี้จะส่งผลกระทบโดยตรงต่อยอดการจัดจำหน่ายสินค้าคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลหรือพีซีในช่วงครึ่งแรกของปี 2555 ทั่วโลกเช่นกัน

ในช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้นั้น ประเทศไทยถือได้ว่าเป็นฐานการผลิตหลักของฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ โดยมีจำนวนการผลิตเป็น 40-45% ของโลก แต่หลังจากต้นเดือนพฤศจิกายนเป็นต้นมา น้ำที่หลากอยู่ทั่วที่ราบภาคกลางได้ทำให้สายการผลิตเกือบครึ่งต้องหยุดชะงักไป ไม่เพียงแต่โรงงาน และ สายการ ผลิตเท่านั้นที่ได้รับความเสียหาย แต่เหตุการณ์น้ำท่วมครั้งนี้ยังส่งผลให้พนักงานไม่สามารถเดินทางไปทำงานได้ และไฟฟ้าเองก็ใช้การไม่ได้ในหลายพื้นที่อีกด้วย ถึงแม้การประเมินความเสียหายทั้งหมดจะยังคงไม่สามารถทำได้จนกว่าระดับน้ำจะลดลง แต่ในขณะนี้ก็เป็นที่ชัดเจนแล้วว่าจะเกิดภาวะขาดแคลนฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ขึ้นในช่วงไตรมาสแรกของปีหน้าอย่างแน่นอน

ความร้ายแรงของภาวะการขาดแคลนครั้งนี้ขึ้นอยู่กับความสามารถของอุตสาหกรรมในการฟื้นตัวจากความเสียหายที่มีต่อสายการผลิตในประเทศไทย ไอดีซีเชื่อว่าผู้ผลิตจะฟื้นตัวและกลับมาเพิ่มกำลังการผลิตให้เป็นปกติได้ในระยะเวลาอันไม่นานนัก แต่อย่างไรก็ตามสินค้าฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์จะยังคงขาดตลาดต่อเนื่องไปอีกระยะหนึ่ง ดังนั้นผู้ผลิตสินค้าพีซีควรจะมีแผนรองรับสิ่งต่อไปนี้

• การขาดตลาดของฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์อย่างรุนแรงตั้งแต่กลางเดือนพฤศจิกายน 2554 และส่งผลต่อเนื่องไปยังไตรมาสที่ 1 ของปี 2555
• การผลิตสินค้าพีซีส่วนใหญ่ในไตรมาสที่ 4 ของปี 2554 นั้นสามารถทำได้โดยการใช้ฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ที่มีอยู่ในคลังของโรงงาน นั่นทำให้ยอดการผลิตพีซีในช่วงเวลาดังกล่าวได้รับผลกระทบน้อยกว่า 10% แต่สถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดคือยอดการผลิตพีซีในไตรมาสที่ 1 ของปี 2555 นั้นอาจต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ถึง 20% ซึ่งนี่คือผลมาจากการขาดแคลนฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญของพีซีนั่นเอง
• ราคาฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์จะถีบตัวสูงขึ้นเพราะปริมาณสินค้ามีน้อยกว่าความต้องการซื้อ อีกทั้งต้นทุนของผู้ผลิตเองก็สูงขึ้นอันเนื่องมาจากต้นทุนของวัตถุดิบ ค่าใช้จ่ายในการเร่งขนส่งสินค้า และค่าใช้จ่ายในการย้ายฐานการผลิตที่เพิ่มมากขึ้น
• อุตสาหกรรมฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์จะเริ่มฟื้นตัวในช่วงไตรมาสแรกของปีหน้า และราคาของฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์จะคงที่ภายในเดือนมิถุนายน โดยสิ่งต่างๆ จะกลับเข้าสู่ภาวะปกติในครึ่งหลังของปี 2555
• ผู้ผลิตพีซีรายเล็กจะสูญเสียลูกค้าระดับองค์กรให้กับผู้ผลิตรายใหญ่กว่า ซึ่งอาจนำไปสู่การควบรวมกิจการระหว่างผู้ผลิตด้วยกันมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตลาดที่มีอัตราการเติบโตสูง

นายจอห์น ริดนิ่ง รองประธานฝ่ายงานวิจัยตลาดฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์และเซมิคอนดัคเตอร์ของไอดีซีได้แถลงว่า “เพื่อที่จะรับมือกับวิกฤติครั้งนี้ ผู้ผลิตฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์จะให้ความสำคัญกับการจัดส่งสินค้าไปให้ลูกค้าที่มียอดการสั่งซื้อสูงอย่างเช่นผู้ผลิตพีซีรายใหญ่ๆ ในขณะเดียวกันก็มุ่งเน้นไปที่การจัดส่งสินค้าที่มีกำไรสูงซึ่งก็คือสินค้าที่เป็นส่วนประกอบของเซิร์ฟเวอร์และสตอเรจระดับองค์กร แต่อย่างไรก็ตามผู้ผลิตฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์คงไม่สามารถละเลยลูกค้ารายเล็กๆ ได้ เพราะลูกค้าเหล่านี้จะยังคงมีความสำคัญเมื่อกำลังการผลิตกลับเข้าสู่ภาวะปกติแล้ว”

“เราน่าจะได้เห็นวิธีการจัดการด้านการผลิตและการทำข้อตกลงกับลูกค้าแบบต่างๆ ที่น่าสนใจ เนื่องจากผู้ผลิตฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์จะต้องทำทุกวิถีทางเพื่อฟื้นฟูกำลังการผลิต และในขณะเดียวกันจะต้องวางแผนที่จะพลิกวิกฤติให้เป็นโอกาสด้วย”

ซึ่งนายไบรอัน มา รองประธานฝ่ายงานวิจัยตลาดอุปกรณ์ต่อพ่วงประจำภาคพื้นเอเชียแปซิฟิกของไอดีซีได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า “ตลาดพีซีในเอเชียแปซิฟิก (ยกเว้นญี่ปุ่น) น่าจะได้รับผลกระทบมากกว่าตลาดในภูมิภาคอื่นๆ เพราะยอดขายของพีซีที่ประกอบตามร้านนั้นมีปริมาณสูงในภูมิภาคนี้ แต่นั่นก็อาจเป็นโอกาสอันดีของผู้ผลิตพีซีแบรนด์เนมที่สามารถสั่งซื้อฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ได้ในปริมาณมาก ในการเพิ่มส่วนแบ่งตลาดได้”

“การบริโภคสินค้าพีซีภายในประเทศไทยเองก็ยังเป็นคำถามสำคัญ เพราะมีปัจจัยเกี่ยวข้องมากมายตั้งแต่เรื่องของความสามารถในการขนส่งและกระจายสินค้าไปจนถึงแผนการใช้จ่ายงบประมาณของภาครัฐ แต่เราเคยเห็นตัวอย่างจากในอดีตมาหลายครั้งแล้วว่าตลาดในประเทศไทยมักจะฟื้นตัวจากวิกฤตการณ์ได้อย่างรวดเร็ว และเราก็หวังว่าจะไปเห็นการฟื้นตัวแบบนั้นอีกครั้งหนึ่งในครึ่งปีหลังของปีหน้า”

โดยไอดีซีได้จัดทำงานศึกษาวิจัยที่มีชื่อว่า “The PC Market Is Disrupted By HDD Shortages: The Severity, Resulting Opportunities, And Expected PC Market Reactions” ซึ่งเป็นงานวิจัยที่จะประเมินถึงผลกระทบจากภาวะการขาดแคลนสินค้าฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์อันเกิดจากวิกฤติอุทกภัยในประเทศไทย ที่มีต่อตลาดพีซีในไตรมาส 4 ปี 2554 และในครึ่งปีแรกของปี 2555 ซึ่งได้มีการนำสมมุติฐานในเรื่องของระยะในการฟื้นฟูอุตสาหกรรมฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์และระยะเวลาที่ใช้ในการเพิ่มปริมาณฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ในคลังสินค้าให้กลับมาสู่ภาวะปกติเข้าไปในกรอบการวิเคราะห์ อีกทั้งงานวิจัยชิ้นนี้ยังได้ประมาณการณ์ราคาของฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ในช่วงเวลาดังกล่าวด้วย

View :1420

ฟูจิตสึเปิดแผนรุกตลาดครึ่งปีหลังมุ่งเจาะตลาดองค์กรพร้อมเน้นเพิ่มยอดขายต่างจังหวัดยิ่งขึ้น

November 14th, 2011 No comments

ฟูจิตสึเชื่อกำลังซื้อกลับมาแน่หลังสถานการณ์น้ำท่วมดีขึ้น พร้อมเปิดแผนเดินหน้าลุยทำตลาดครึ่งปีหลัง โฟกัสตลาดองค์กรเน้นการขายแบบโปรเจค ปูพรมเพิ่มยอดขายตลาดต่างจังหวัดมากขึ้น มั่นใจสร้างธุรกิจเติบโต 30-40% พร้อมประกาศแคมเปญ 123 ตอกย้ำความเป็นผู้นำทางธุรกิจโน้ตบุ๊กระดับโลก หลังครองผู้จัดจำหน่ายคอมพิวเตอร์พกพาอันดับหนึ่งในประเทศญี่ปุ่น

นายวรวุฒิ โกศลกิจวงศ์ ผู้จัดการประจำประเทศไทย บริษัท เอเชีย แปซิฟิก จำกัด เปิดเผยว่า ในช่วงครึ่งปีแรกนั้นผลการดำเนินธุรกิจ (เริ่มตั้งแต่เดือนเมษายน 2554) ที่ผ่านมาของฟูจิตสึ โน้ตบุ๊ก ในตลาดเมืองไทยนั้นมีการเติบโตขึ้นถึง 40% เมื่อเปรียบเทียบกับผลการดำเนินธุรกิจช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา โดยฟูจิตสึมีส่วนแบ่งทางการตลาดประมาณ 1-2% สำหรับแผนการรุกตลาดในช่วงครึ่งปีหลัง ทางบริษัทจะเน้นไปเจาะตลาดองค์กรในลักษณะของโปรเจคมากขึ้น รวมทั้งเน้นการขายผลิตภัณฑ์ไปยังตลาดต่างจังหวัดเพิ่มมากขึ้นด้วย

นายวรวุฒิ โกศลกิจวงศ์ ผู้จัดการประจำประเทศไทย บริษัท ฟูจิตสึ พีซี เอเชีย แปซิฟิก จำกัด


สำหรับกลยุทธ์และกิจกรรมทางการตลาดที่จะใช้เจาะตลาดในช่วงครึ่งปีหลัง ในส่วนของรีเทลทางบริษัทจะเน้นทำยอดขายโน้ตบุ๊กรุ่นหน้าจอ 14 นิ้วเป็นหลัก และจะมีการขยายช่องทางใหม่ๆ มากขึ้น ส่วนตลาดองค์กรจะเน้นการนำเสนอผลิตภัณฑ์รุ่น MIJ (Made in Japan) ทั้งหมด รวมไปถึงการทำตลาดแท็บเลต ซึ่งตอนนี้เป็นตลาดที่มีอัตราการเติบโตสูง พร้อมทั้งวางแผนการจัดกิจกรรมทางการตลาดเพิ่มขึ้น และเน้นในส่วนของโรดโชว์ตามตึกไอที โดยเฉพาะในตลาดต่างจังหวัด

ในด้านของผลิตภัณฑ์ใหม่ที่จะเข้ามาทำตลาดในประเทศไทยในช่วงครึ่งปีหลัง จะมีผลิตภัณฑ์วางจำหน่ายอีกหลากหลายรุ่น โดยมีรุ่นไฮไลต์ที่กำลังจะเข้ามาทำตลาดในเมืองไทย คือ ฟูจิตสึ ไลฟ์บุ๊ก SH771 โน้ตบุ๊กขนาดหน้าจอ 13.3 นิ้ว ที่ได้รับการออกแบบใหม่ทั้งหมด จนกลายเป็นโน้ตบุ๊กที่บางเบามากขึ้น ด้วยน้ำหนักเพียง 1.22 กิโลกรัม ยิ่งไปกว่านั้นยังตอบสนองการทำงานได้ยาวนานกับแบตเตอรี่ที่สามารถใช้ได้นานถึง 18 ชั่วโมง ที่สำคัญฟูจิตสึยังคงยึดมั่นในเรื่องของรักษาสิ่งแวดล้อม เพราะวัตถุดิบที่นำมาทำแบตเตอร์รี่เป็นรีไซเคิล รวมทั้งระบบรักษาความปลอดภัยที่ยังคงประสิทธิภาพอย่างสูงสุด

“เราตั้งเป้าหมายในช่วงครึ่งปีหลังจะต้องรักษาอัตราการเติบโตจากปีที่ผ่านมาประมาณ 30-40% และมีส่วนแบ่งทางการตลาดที่ 2%” นายวรวุฒิ กล่าวและเพิ่มเติมว่า “แนวโน้มการแข่งขันครึ่งปีหลังในตลาดคอนซูเมอร์โน้ตบุ๊กหน้าจอ 14 นิ้ว จะมีการแข่งขันกันอย่างรุนแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องของราคาที่จะลดลงต่ำมาก ทางฟูจิตสึจึงมีการเพิ่มน้ำหนักให้กับตลาดองค์กรมากขึ้นในช่วงครึ่งปีหลังนี้”

ส่วนผลกระทบที่เกิดจากภาวะน้ำท่วมใหญ่นั้น นายวรวุฒิ กล่าวว่าอาจจะมีผลกระทบกับยอดขายโดยรวมของฟูจิตสึบ้าง เนื่องจากตลาดหลักอยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯ ทำให้กำลังซื้อของลูกค้าลดลงประมาณ 20% อย่างไรก็ตามเชื่อว่ากำลังซื้อจะกลับมาดีขึ้นในไตรมาสถัดไปอย่างแน่นอน นอกจากนี้ผลกระทบจากน้ำท่วมที่เกิดขึ้นกับอุตสาหกรรมฮาร์ดดิสก์ไดร์ฟ จะมีผลให้ค่ายคอมพิวเตอร์มีการปรับขึ้นราคาผลิตภัณฑ์ในอนาคตอันใกล้นี้ แม้ว่าปัจจุบันยังคงราคาจำหน่ายเดิมอยู่ก็ตาม แต่เนื่องจากฮาร์ดดิสก์ไดร์ฟขาดตลาด ทำให้การผลิตโน้ตบุ๊กได้ไม่เพียงพอกับความต้องการตลาด

จากเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ในประเทศครั้งนี้ ทางฟูจิตสึได้มีการช่วยเหลือกลุ่มลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม โดยสามารถนำเครื่องโน้ตบุ๊กเข้ามารับบริการได้ที่ศูนย์บริการฟูจิตสึ อาคารคิวเฮ้าส์ เพลินจิต ซึ่งจะไม่คิดค่าบริการซ่อมสำหรับลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม

นอกจากนี้นายวรววุฒิ ยังได้กล่าวถึงแคมเปญใหม่ล่าสุดของฟูจิตสึ คือแคมเปญ 123 ซึ่งสามารถแสดงให้เห็นถึงความเป็นผู้นำตลาดโน้ตบุ๊กของโลกในโอกาสที่ฟูจิตสึได้ครองอันดับ 1 ในญี่ปุ่น โดยฟูจิตสึได้รับรางวัลให้เป็นผู้จัดจำหน่ายเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลอันดับ 1 ในประเทศญี่ปุ่น จากสถาบัน International Data Corporation หรือ IDC และฟูจิตสึยังมีประวัติศาสตร์ด้านการผลิตแท็บเลต ตั้งแต่สมัยแรกที่คอมพิวเตอร์แบบพกพาเพิ่งเป็นที่นิยม โดยในปี 1991 ฟูจิตสึได้ออกผลิตภัณฑ์พ็อกเก็ตพีซีเป็นเครื่องแรก และในปี 2011 นี้ฟูจิตสึได้เปิดตัว พีซีพกพาหน้าจอสัมผัส STYLISTIC Q550 เครื่องคอมพิวเตอร์แบบ slate ยิ่งไปกว่านั้นในปี 2011 ถือเป็นปีครบรอบที่ฟูจิตสึได้ผลิตและพัฒนาเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลมาครบ 30 ปี ตั้งแต่ปี 1981 ฟูจิตสึได้เติบโตเคียงข้างกับลูกค้าและได้ส่งมอบผลิตภัณฑ์ที่ตอบสนองทุกความต้องการ ด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีหลากหลายรุ่น แต่ละรุ่นมาพร้อมกับเทคโนโลยีระดับแนวหน้าและที่สำคัญเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

ในตอนท้ายนายวรวุฒิ ยังได้แนะนำ นางสาวบริจิต ผลดี ผู้จัดการฝ่ายการตลาด ของ บจก.ฟูจิตสึ พีซี เอเชีย แปซิฟิค ที่จะมาทำหน้าที่ดูแลเรื่องการตลาดทั้งหมดและกิจกรรมส่งเสริมการขาย รวมถึงกลยุทธ์ทางการตลาดที่จะผลักดันและเพิ่มยอดขายให้กับฟูจิตสึ

View :1400

“ดาต้าโปรคอมพิวเตอร์ซิสเต็มส์” ช่วยองค์กรธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤติน้ำท่วมให้ใช้ระบบ HR-Payroll ฟรี 6 เดือน

November 14th, 2011 No comments

บริษัท จำกัด (DCS) ผู้ให้บริการเทคโนโลยีสารสนเทศแบบครบวงจร (Total Enterprise IT Solution Provider) ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเหลือองค์กรธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์น้ำท่วม ซึ่งส่งผลให้ระบบงานบริหารงานทรัพยากรบุคคลและระบบเงินเดือน (HR-Payroll) ขององค์กรนั้นเกิดความขัดข้องและได้รับความเสียหาย โดยบริษัท จำกัด จะให้การสนับสนุนให้ใช้ระบบ HR-Payroll ทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟท์แวร์ โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายเป็นเวลา 6 เดือน ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป

ระบบงานดังกล่าว เป็นระบบงานบริหารงานทรัพยากรบุคคลและเงินเดือน เหมาะกับองค์กรธุรกิจที่มีพนักงานจำนวน 300 คนขึ้นไป โดยเป็นการใช้งานผ่านระบบ Internet และข้อมูลทั้งหมด จะได้รับการดูแลอยู่บน Data Center ของ DCS ที่ได้รับการรับรองมาตรฐานสากล ISO 27001 เรื่องความปลอดภัยของข้อมูล พร้อมการให้บริการที่ได้รับการรับรองมาตรฐานสากล ISO 20000 เรื่องการให้บริการทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ซึ่งทำให้องค์กรสามารถมั่นใจได้ว่า ข้อมูลทั้งหมดจะได้รับความปลอดภัย และมีเจ้าหน้าที่ให้ความช่วยเหลือและดูแลตลอดระยะเวลาการใช้งาน ระบบงาน HR-Payroll พัฒนาขึ้นโดยบริษัท ดาต้าโปรคอมพิวเตอร์ซิสเต็มส์ จำกัด ที่ออกแบบระบบงานให้สามารถใช้งานได้ง่าย สะดวกและรวดเร็ว สามารถนำข้อมูลมาคิดคำนวณให้อย่างเบ็ดเสร็จ ตามเงื่อนไขที่หลากหลายของการทำงานของพนักงาน อาทิ กะการทำงาน การคำนวณภาษี เงินชดเชย เป็นต้นองค์กรธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์น้ำท่วม สามารถติดต่อขอรับการสนับสนุนได้ที่ฝ่ายการตลาดและสื่อสารองค์กร โทรศัพท์ 0 2684 8484 ต่อ 792

View :1738

ทรูรายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 3 ปี 2554

November 14th, 2011 No comments

รายได้ของกลุ่มเพิ่มขึ้นจากผลประกอบการที่แข็งแกร่งของทรูออนไลน์และทรูมูฟ รวมทั้งรายได้จากทรูมูฟ เอช

บมจ. คอร์ปอเรชั่น รายงานผลการดำเนินงานประจำไตรมาส 3 ปี 2554 รายได้จากการให้บริการโดยรวมเติบโตแข็งแกร่ง ทรูออนไลน์มีราย
ได้เติบโตต่อเนื่อง และยอดผู้ใช้บริการบรอดแบนด์ใหม่สุทธิเพิ่มสูงเป็นประวัติการณ์ ขณะรายได้กลุ่มธุรกิจสื่อสารไร้สาย เพิ่มขึ้นจากรายได้และผลประกอบ
การที่ดีของทรูมูฟ การเปิดให้บริการทรูมูฟ เอช อย่างเป็นทางการ และการรวมผลประกอบการของฮัทช์ รวมทั้ง รายได้จากการรับทำการโฆษณาของทรูวิชั่นส์เติบโตแข็งแกร่งจาก ไตรมาสที่ผ่านมา

ในไตรมาส 3 ปี 2554 กลุ่มทรูมีรายได้จากการให้บริการโดยรวม (ไม่รวมค่าเชื่อมโยงโครงข่าย หรือ IC) 14.9 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 14.9 เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันปีก่อนหน้า ส่วนใหญ่จากการเติบโตอย่างแข็งแกร่งของรายได้จากบริการบรอดแบนด์ และกลุ่มธุรกิจสื่อสารไร้สาย หรือกลุ่มทรูโมบายล์ อย่างไรก็ตาม กลุ่ม ทรูมีกำไรจากการดำเนินงาน ก่อนดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย หรือEBITDA 4.3 พันล้านบาท ลดลงเล็กน้อย (ร้อยละ 0.8) จากไตรมาสเดียวกันของปีที่ผ่านมา ส่วนใหญ่จากค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นในการเปิดตัวบริการทรูมูฟ เอช

ผลการดำเนินงานปกติ (NIOGO) ไม่รวมภาษีเงินได้รอตัดบัญชี ปรับลดลงเป็นขาดทุน550 ล้านบาท จาก EBITDA ที่ลดลงและดอกเบี้ยจ่ายที่เพิ่มขึ้น ทั้งนี้ ทรูรายงานผลขาดทุนสุทธิจำนวน 1.4 พันล้านบาท รวมผล ขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยนทั้งสิ้น671 ล้านบาท ในการแปลงค่าหนี้สินต่างประเทศเป็นเงินไทย (Mark to Market) ตามอัตราแลกเปลี่ยน ณ วันสิ้นงวด

นายศุภชัย เจียรวนนท์ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานคณะผู้บริหาร กล่าวว่า “การเติบโตอย่าง แข็งแกร่งของรายได้จากการให้บริการโดยรวมของกลุ่มทรู ในไตรมาส3 แสดงถึงความสำเร็จของยุทธศาสตร์ การเป็นผู้นำบริการบรอดแบนด์ทั้งบนโครงข่ายโทรศัพท์พื้นฐานและโทรศัพท์เคลื่อนที่ ทั้งนี้ ทรูออนไลน์ ยังคงรักษาความเป็นผู้นำตลาดบรอดแบนด์สำหรับลูกค้าทั่วไป ด้วยการเปิดบริการมาตรฐานความเร็วใหม่ที่ให้ความคุ้มค่า สูงสุดในตลาด ซึ่งช่วยเพิ่มยอดผู้ใช้บริการรายใหม่สุทธิอย่างมาก รวมถึงการเปิดตัวบริการ Ultra Wi-Fi ความเร็ว สูงสุด 100 Mbps ขณะที่รายได้บริการที่ไม่ใช่เสียง ของทรูมูฟทั้งแบบรายเดือนและแบบเติมเงินเติบโตอย่างรวดเร็ว จากการเพิ่มประสิทธิภาพโครงข่ายข้อมูล รวมทั้งยอดขายสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เป็นปัจจัยผลักดันให้ปริมาณการใช้งานโมบายล์อินเทอร์เน็ตเพิ่มสูงขึ้น”

“ความได้เปรียบจากการก้าวเป็นผู้ให้บริการ 3G รายแรกในไทยของกลุ่มทรูโมบายล์ชัดเจนยิ่งขึ้น หลังเปิดบริการ 3G+ อย่างเป็นทางการภายใต้แบรนด์ทรูมูฟ เอช ช่วงปลายเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ซึ่งแคมเปญ FREEYOU ได้รับการตอบรับจากตลาดอย่างดีและคาดว่าการขยายบริการทรูมูฟ เอช ให้ครอบคลุมทั่วประเทศ จะช่วยเร่งการขยายฐานลูกค้าให้เติบโตเพิ่มขึ้นเป็นลำดับ

สำหรับทรูวิชั่นส์ รายได้จากการรับทำการโฆษณาในไตรมาส 3 เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ จากความทุ่มเทของ ทีมขายใหม่ที่มีความเชี่ยวชาญ ขณะที่กระแสความนิยมในรายการทรู อคาเดมี แฟนเทเซีย 8 เป็นปัจจัยหลักที่เพิ่มรายได้จากบริการของทรูวิชั่นส์ในไตรมาสนี้” นายศุภชัยกล่าว

กลุ่มทรูโมบายล์ ประกอบด้วย ทรูมูฟ ทรูมูฟ เอช และฮัทช์ มีรายได้จากการให้บริการ ไม่รวมค่า IC จำนวน 7.4 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 31.3 เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันปีก่อนหน้า จากการเติบโตอย่างแข็งแกร่งของทรูมูฟ รายได้ที่เพิ่มขึ้นใหม่จากทรูมูฟ เอช และการรวมผลประกอบการของฮัทช์

ทรูมูฟ มีรายได้จากการให้บริการ ไม่รวมค่า IC จำนวน 6.1 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 9.3 จากไตรมาส 3 ปีก่อนหน้า จากการฟื้นตัวต่อเนื่องของบริการเสียงจากบริการแบบเติมเงิน (เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.8 จากไตรมาสเดียวกันปีที่ผ่านมา) ซึ่งเป็นผลจากการขยายโครงข่าย (ส่วนใหญ่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ) และโปรโมชั่นใหม่ๆที่เปิดตัว ในช่วงครึ่งปีแรก ตลอดจนการเติบโตอย่างแข็งแกร่งของบริการที่ไม่ใช่เสียง ทั้งจากบริการแบบเติมเงิน และแบบรายเดือน (เพิ่มขึ้นร้อยละ 23.5 และ ร้อยละ 101 จากไตรมาสเดียวกันปีที่ผ่านมา ตามลำดับ)

ในไตรมาส 3 ปี 2554 ทรูมูฟและทรูมูฟ เอช มียอดผู้ใช้บริการรายใหม่สุทธิรวมทั้งสิ้น 236,000 ราย ซึ่งทำให้จำนวนผู้ใช้บริการรวมของกลุ่มทรูโมบายล์เพิ่มขึ้นเป็น 18.6 ล้านราย

ทรูออนไลน์ มีรายได้จากการให้บริการ 6.9 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.3 จากไตรมาส 3 ปีที่ผ่านมา เป็นผลจากความสำเร็จของแคมเปญใหม่ Ultra hi-speed Internet (ความเร็ว 7-100 Mbps) การเปิดบริการ Wi-Fi ความเร็ว 8 Mbps และบริการ UltraWi-Fi (ความเร็ว 100 Mbps) รวมทั้งการเพิ่มขึ้นของจำนวนผู้ใช้บริการบรอดแบนด์ เทคโนโลยี DOCSIS 3.0 จากการขยายโครงข่ายครอบคลุมพื้นที่เพิ่มขึ้นอีก6 จังหวัด รวมพื้นที่ให้บริการทั้งหมด 16 จังหวัด โดยในไตรมาสนี้ ทรูออนไลน์สามารถเพิ่มยอดผู้ใช้บริการบรอดแบนด์รายใหม่สุทธิได้ถึง 47,000 ราย ทำให้มีจำนวนลูกค้ารวมเพิ่มขึ้นเป็น 1.3 ล้านราย

ทรูวิชั่นส์ มีรายได้จากการให้บริการ 2.5 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.2 และร้อยละ 5.8 เมื่อเทียบกับไตรมาส 3 ปีที่ผ่านมา และไตรมาสก่อนหน้า ตามลำดับ จากความสำเร็จของรายการทรูอคาเดมี แฟนเทเซีย 8 และรายได้จากการรับทำการโฆษณาจำนวน191 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 33.7 จากไตรมาสที่ผ่านมา เนื่องจากการเพิ่มกิจกรรมส่งเสริมการขายของทีมขายที่มีความชำนาญงาน อย่างไรก็ตาม ผลกระทบจากการแข่งขันและการลักลอบใช้สัญญาณ ทำให้ทรูวิชั่นส์มีจำนวนผู้ใช้บริการลดลงเล็กน้อยเป็น 1.68 ล้านรายในไตรมาสนี้

นอกจากนี้ ในไตรมาส 3 ปี 2554 บริษัทชำระคืนหนี้ระยะยาว ทั้งสิ้น 3.8 พันล้านบาท (ไม่รวมสัญญาเช่าการเงิน) และมีหนี้สินระยะยาวเพิ่มขึ้นทั้งสิ้นประมาณ 11.1พันล้านบาท โดยส่วนใหญ่เพื่อรีไฟแนนซ์เงินกู้ของทรูออนไลน์และกลุ่มทรูโมบายล์รวมทั้งเพื่อขยายธุรกิจ โดยเฉพาะบริการ Ultra hi-speed Internet และ 3G นอกจากนี้ กลุ่ม ทรูโมบายล์ยังได้รับการสนับสนุนทางการเงินจากสินเชื่อระยะยาวจำนวนทั้งสิ้น 48.9 พันล้านบาท ซึ่งส่วนหนึ่งใช้เพื่อซื้อคืนหุ้นกู้สกุลดอลลาร์สหรัฐฯ ของทรูมูฟในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา

นายนพปฎล เดชอุดม หัวหน้าคณะผู้บริหารกลุ่มด้านการเงิน กล่าวว่า “แม้บริษัทจะมีหนี้สินระยะยาวเพิ่มขึ้นในไตรมาสนี้ เพื่อลงทุนในธุรกิจหลักที่มีการเติบโตสูง
ทั้ง ทรูมูฟ เอช และ Ultra hi-speed Internet บนเทคโนโลยี DOCSIS 3.0 อย่างไรก็ตามธุรกิจดังกล่าวจะเป็นปัจจัยสนับสนุนกลยุทธ์คอนเวอร์เจนซ์ในการขยายฐานลูกค้าระดับบน และเสริมสร้างโอกาสทางธุรกิจในระยะยาว ทั้งนี้ การซื้อคืนหุ้นกู้สกุลดอลลาร์สหรัฐฯ ของทรูมูฟ ช่วยให้สถานภาพทางการเงินของบริษัทปรับตัวดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ และ ลดความเสี่ยงทางการเงินและความผันผวนจากอัตราแลกเปลี่ยน”

View :1331

เอชพีเดินหน้าสานต่อธุรกิจพีซีต่อไป

November 10th, 2011 No comments

เอชพียืนยันดำเนินธุรกิจกลุ่มธุรกิจเพอร์ซันแนล ซิสเต็มส์อย่างต่อเนื่อง เพื่อนำเสนอความคุ้มค่าที่เหนือกว่าให้กับทั้งลูกค้าและผู้ถือหุ้น

ประกาศว่า ได้ทำการศึกษาการประเมินทางเลือกเชิงกลยุทธ์สำหรับกลุ่มธุรกิจเพอร์ซันแนล ซิสเต็มส์ (พีเอสจี) เป็นที่เรียบร้อยแล้ว และตัดสินใจที่จะยังคงกลุ่มธุรกิจพีเอสจีให้เป็นส่วนหนึ่งเอชพีต่อไป

นางเม็ก วิทแมน ประธานและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เอชพี กล่าวว่า“เอชพีได้ทำการประเมินอย่างถี่ถ้วนถึงผลกระทบทางด้านกลยุทธ์ ด้านการเงิน และด้านการดำเนินงานในการแยกกลุ่มธุรกิจพีเอสจี และหลังจากการวิเคราะห์ของเราเป็นที่แน่ชัดแล้วว่าการรักษากลุ่มธุรกิจพีเอสจีไว้กับเอชพีเป็นสิ่งที่เหมาะสมที่สุดสำหรับลูกค้า พันธมิตรคู่ค้า ผู้ถือหุ้น และพนักงานของเราเอชพีมุ่งมั่นที่จะทำให้กลุ่มธุรกิจพีเอสจีเติบโตไปพร้อม ๆ กับเอชพีอย่างแข็งแกร่งมากขึ้น”

การศึกษาทบทวนกลยุทธ์ในครั้งนี้เกี่ยวข้องกับผู้เชี่ยวชาญในสาขาต่างๆ ทั้งด้านธุรกิจและการปฏิบัติงานจากข้อมูลที่นำไปสู่การประเมินผลเพื่อการตัดสินใจชี้ให้เห็นว่าการบูรณาการเชิงลึกเกิดขึ้นในทุกส่วนของการดำเนินงานหลัก ๆ เช่นด้านซัพพลายเชน ระบบไอที และระบบจัดซื้อจัดจ้าง รวมทั้งยังให้ข้อมูลโดยละเอียดถึงระดับความสำคัญที่กลุ่มธุรกิจพีเอสจีมีต่อพอร์ทโฟลิโอโซลูชั่นของเอชพี และคุณค่าของแบรนด์เอชพีโดยองค์รวม โดยสรุปผลการศึกษาแสดงให้เห็นว่าต้นทุนในการสร้างสิ่งเหล่านี้ขึ้นมาสูงเกินกว่าประโยชน์ทั้งหมดที่จะได้รับจากการแยกส่วนธุรกิจออกไป

ผลลัพธ์จากการประเมินทางเลือกในครั้งนี้ ยังตอกย้ำโมเดลธุรกิจของเอชพี และคุณค่าสำหรับลูกค้าและผู้ถือหุ้น กลุ่มธุรกิจพีเอสจีนั้นเป็นส่วนประกอบสำคัญของกลยุทธ์ของเอชพี ในการนำเสนอคุณค่าที่เหนือกว่า ความสัมพันธ์ที่มีมาอย่างยาวนานกับผู้บริโภค ธุรกิจขนาดเล็กและกลาง และองค์กรขนาดใหญ่

ทั้งนี้ คณะกรรมการบริหารของเอชพีมั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่ากลุ่มธุรกิจพีเอสจีจะเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนการเติบโตของผลกำไร ในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งขององค์กรขนาดใหญ่ขึ้น และช่วยผลักดันโซลูชั่นของหน่วยธุรกิจอื่น ๆ ของเอชพี

กลุ่มธุรกิจพีเอสจี มีประวัติความเป็นผู้นำทั้งด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีล้ำสมัย รวมถึงด้านความสามารถในการทำกำไรระดับแนวหน้าของอุตสาหกรรม พร้อมกันนี้ ยังเป็นผู้ผลิตคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลอันดับ 1 ของโลก ด้วยรายได้ 40.7 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ในปีงบประมาณ 2553

มร. ทอดด์ แบรดลี่ย์ รองประธานบริหาร กลุ่มธุรกิจเพอร์ซันแนล ซิสเต็มส์ เอชพี กล่าวว่า “ในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของเอชพี กลุ่มธุรกิจพีเอสจีจะยังคงนำเสนอทั้งลูกค้า และพันธมิตรทางธุรกิจ ด้วยประโยชน์จากนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ และพอร์ทโฟลิโอขนาดใหญ่ที่สุดของวงการ ทั้งพีซี เวิร์คสเตชั่น และผลิตภัณฑ์อื่น ๆ อีกมาก โดยเรามุ่งมั่นที่จะพัฒนาธุรกิจพีซีชั้นนำระดับโลกให้ดียิ่งขึ้น”

View :1460