Archive

Archive for the ‘Press/Release’ Category

โนเกียเปิดตัว 3 สมาร์ทโฟนใหม่บน Symbian Belle มาพร้อมเทคโนโลยี NFC

August 26th, 2011 No comments

, และ พร้อมหูฟังสเตอริโอ NFC

โนเกียประกาศเปิดตัวสมาร์ทโฟน 3 รุ่นใหม่พรั่งพร้อมด้วยฟังก์ชั่นในราคาดึงดูดใจ
และนวัตกรรมนำตลาดบนแพลทฟอร์ม ได้แก่ Nokia 700, Nokia 701 และ Nokia 600 เสริมทัพสมาร์ทโฟน Symbian ครบทั้งดีไซน์ ฟีเจอร์ และฟังก์ชั่น เพิ่มศักยภาพด้วยประสบการณ์การท่องเว็บที่ทรงพลังมากขึ้นกว่าเดิม และเทคโนโลยี NFC ซึ่งเป็น user interface ที่ให้ความเป็นส่วนตัวมากที่สุดในปัจจุบัน ด้วยการแบ่งปันข้อมูลระหว่างโทรศัพท์ 2 เครื่องและจับคู่อุปกรณ์เสริมอื่นๆ อาทิ ลำโพงหรือหูฟังที่มีเทคโนโลยี NFC โดยเพียงแค่แตะอุปกรณ์เข้าด้วยกัน และเพื่อเป็นการขยายฐานอุปกรณ์ NFC โนเกียยังได้เปิดตัว Nokia Essence Bluetooth Stereo Headset ซึ่งเป็นหูฟังสเตริโอบลูทูธให้คุณได้จับคู่กับสมาร์ทโฟน NFC รุ่นใดก็ได้

โนเกียได้นำฟีเจอร์หลักที่เป็นเอกลักษณ์ของโนเกียใส่ไว้ในสมาร์ทโฟนทั้ง 3 รุ่น และแต่ละรุ่นยังมีความโดดเด่นที่แตกต่างกันเพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถเลือกสมาร์ทโฟนที่เหมาะสมที่สุดสำหรับพวกเขา Nokia 700 สมาร์ทโฟนโมโนบล็อคหน้าจอสัมผัสที่มีขนาดกะทัดรัดที่สุดในโลก Nokia 701 สมาร์ทโฟนมีสไตล์ที่เพรียวบางและมีหน้าจอที่สว่างที่สุดสำหรับการใช้งานทั้งในที่ร่มหรือกลางแจ้ง และ Nokia 600 สมาร์ทโฟนเพื่อความบันเทิงที่มาพร้อมลำโพงที่ดังที่สุดของโนเกีย ถือได้ว่าสมาร์ทโฟนทั้ง 3 รุ่นได้นำความเป็นที่สุดมาสู่กลุ่มผลิตภัณฑ์สมาร์ทโฟนของโนเกีย

“หลังจากที่ได้นำเสนอฟีเจอร์ใหม่ๆ บนแพลทฟอร์ม Symbian Anna แก่ผู้ใช้งานสมาร์ทโฟน Symbian ไปเมื่อเร็วๆนี้ โนเกียยังคงพัฒนาแพลทฟอร์มอย่างต่อเนื่องเพื่อมอบประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น” มร. ไอลารี่ เนอร์มี่ รองประธาน โนเกีย กล่าว “Symbian Belle และสมาร์ทโฟนใหม่ทั้ง 3 รุ่น แสดงให้เห็นว่าเรายังคงขับเคลื่อนผลิตภัณฑ์ Symbian เพื่อให้ผู้คนสามารถเลือกสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขา ไม่ว่าจะเป็นประสบการณ์การใช้งาน การออกแบบ ฟังก์ชั่น และราคา
และนี่ไม่ไช่ผลิตภัณฑ์รุ่นสุดท้ายบนแพลทฟอร์ม Symbian”

“การประกาศเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ในวันนี้ โนเกียแสดงให้เห็นชัดว่า Symbian ยังคงมีบทบาทสำคัญในกลุ่มผลิตภัณฑ์ของโนเกียเคียงคู่ไปกับ Windows Phone 7 เห็นได้จากการปรับปรุงแพลทฟอร์มอย่างรวดเร็ว พร้อมด้วยนวัตกรรมที่สะท้อนให้เห็นว่าโนเกียยังคงทุ่มเทให้กับผลิตภัณฑ์ Symbian เพื่อให้สมาร์ทโฟน Symbian ที่มีความน่าสนใจสำหรับผู้ใช้งานสมาร์ทโฟน” มร.นิค แมคไควร์ แห่งบริษัทวิจัย IDC กล่าว

Nokia 700: สมาร์ทโฟนที่เล็กที่สุดของโนเกีย

ด้วยปริมาตรเพียงแค่ 50 ลูกบาศก์เซนติเมตร น้ำหนัก 96 กรัม ขนาด 110×50.7×9.7 มิลลิเมตร Nokia 700 ไม่เพียงแค่เป็น สมาร์ทโฟนที่เล็กที่สุดในกลุ่มสมาร์ทโฟน Symbian ของโนเกีย แต่ยังเป็นสมาร์ทโฟนโมโนบล็อคหน้าจอสัมผัสที่เล็กที่สุดในโลกอีกด้วย แต่กลับเต็มเปี่ยมด้วยฟังก์ชั่นต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยี NFC สำหรับแบ่งปันและจับคู่อุปกรณ์ หน่วยประมวลผล 1Ghz หน้าจอ Amoled ClearBlack ขนาด 3.2 นิ้ว หน่วยความจำภายใน 2 GB (ซึ่งสามารถขยายได้โดยใช้ microSD 32 GB รวมกันเป็น 34 GB) วิดีโอ HD และกล้อง full focus 5 MP พร้อมแฟลช LED Nokia 700 ยังเป็นสมาร์ทโฟนที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากที่สุดด้วยแบตเตอรี่ที่มีอายุการใช้งานที่ยาวนานกว่า ทำจากวัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และมีฟีเจอร์ที่ช่วยประหยัดพลังงานแบตเตอรี่ จึงเป็นสมาร์ทโฟน สำหรับผู้บริโภคที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม

Nokia 701 สมาร์ทโฟนที่มีหน้าจอสว่างที่สุดของโนเกีย


Nokia 701 เป็นสมาร์ทโฟนดีไซน์เพรียวบางพร้อมหน้าจอที่สว่างที่สุด ด้วยหน้าจอ ClearBlack 3.5 นิ้ว ทำให้ Nokia 701 สมบูรณ์แบบทั้งการใช้ภายในร่มหรือกลางแจ้ง ทั้งยังมีระบบตัดเสียงรบกวน ช่วยให้มีคุณภาพเสียงที่ชัดเจนที่สุด พร้อมด้วยเทคโนโลยี NFC ช่วยให้คุณได้แบ่งปันข้อมูลหรือฟังเพลงผ่านหูฟังหรือลำโพงได้อย่างง่ายดาย

Nokia 701 ออกแบบโดยพัฒนาจาก Nokia C7 ที่ได้รับความนิยม มีหน่วยประมวลผล 1 GHz กล้อง full focus 8MP พร้อมแฟลชคู่ LED และดิจิตอลซูม 2 เท่า กล้องตัวที่ 2 ด้านหน้า (2nd front-facing camera) และวิดีโอ HD มาพร้อมกับหน่วยความจำ 8GB ซึ่งสามาถขยายไปจนถึง 40 GB โดยใช้ micro SD ขนาด 32 GB

Nokia 600 สมาร์ทโฟนที่ดังที่สุดของโนเกีย

Nokia 600 มอบเสียงกระหึ่มเผยความเป็นตัวตนของคุณด้วยลำโพง 106 Phons เสาอากาศวิทยุเอฟเอ็มในตัวสำหรับฟังวิทยุโดยไม่ต้องอาศัยหูฟังและเครื่องรับสัญญาณ Nokia 600 นับเป็นสมาร์ทโฟนในฝันของผู้รักเสียงดนตรี ด้วยความสามารถในการเล่นเพลงได้นานถึง 60 ชั่วโมง ลำโพงอันทรงพลังและสามารถเล่นเพลงไร้สายผ่านอุปกรณ์ NFC ได้ จึงถือเป็น สมาร์ทโฟนที่สมบูรณ์แบบที่สุดสำหรับงานปาร์ตี้ของคุณ

ในราคาที่ถูกกว่า Nokia 700 และ Nokia 701 Nokia 600 ก็ยังครบครันด้วยหน่วยประมวลผล 1 GHz กล้อง full focus 5 MP และหน่วยความจำภายใน 2GB ซึ่งสามารถขยายได้ถึง 34 GB ด้วย MicroSD ขนาด 32 GB

Symbian Belle

Symbian Belle เป็นเวอร์ชั่นล่าสุดของแพลทฟอร์ม Symbian ซึ่งได้มีการวางแผนการอัพเดตอย่างต่อเนื่องโดยเริ่มจากSymbian Anna และจะพัฒนาต่อไปจนกระทั่งถึงปี 2012 Symbian Belle เพิ่มจำนวน home screen จาก 3 เป็น 6 home screen ช่วยเพิ่มพื้นที่ ในการแสดงแอพพลิเคชั่นและบริการต่างๆ พร้อมมี widget ให้เลือก 5 ขนาด ทำให้หน้าจอมีชีวิตชีวาและช่วยให้ผู้ใช้ปรับแต่งประสบการณ์การใช้งานได้ด้วยตัวเอง นอกจากนี้ยังมีเมนูและtaskbar ที่สามารถดึงลงมาเพื่อดู การแจ้งเตือนต่างๆ ไม่ว่าจะอยู่ home screen ไหน ตลอดจนเพิ่มประสิทธิภาพในการท่องเว็บ Symbian Belle จึงมอบประสบการณ์การใช้งานที่ราบรื่น รวดเร็วและแข่งขันได้ในตลาด

ฟีเจอร์ที่น่าตื่นเต้นที่สุดของ Symbian Belle คือ เทคโนโลยี NFC ที่ให้คุณได้แบ่งปันข้อมูล (share) และจับคู่อุปกรณ์ (pair) ด้วยการแตะอุปกรณ์เข้าด้วยกันเพียงครั้งเดียว คุณจึงสามารถแบ่งปันรายชื่อผู้ติดต่อ วิดีโอ รูปภาพ กับสมาร์ทโฟน NFC อื่นๆ รวมไปถึงอุปกรณ์เสริมอย่างลำโพงหรือหูฟัง คอเกมส์ยังได้รับประโยชน์จาก NFC ด้วยการปลดล็อคด่าน Angry Birds หรือค้นพบดาบที่ซ่อนไว้ในเกมส์ Fruit Ninja เพียงแค่แตะโทรศัพท์ NFC เข้าด้วยกัน นอกจากนี้ Nokia 701 ยังติดตั้ง Asphalt 5 ไว้ในเครื่องเพื่อให้คุณและเพื่อนได้จับคู่เพื่อแข่งในสนามเดียวกันอีกด้วย

หูฟังสเตอริโอบลูทูธ Nokia Essence

Nokia Essence เป็นหูฟังสเตอริโอบลูทูธที่ใช้เทคโนโลยีตัดเสียงรบกวนขั้นสูง ช่วยกำจัดเสียงรบกวนได้ถึง 99.8% มอบเสียงที่ชัดใสไม่เพี้ยนแม้ในสภาพแวดล้อมที่มีเสียงดัง เหมาะอย่างยิ่งสำหรับคนที่ต้องการคุณภาพเสียงระดับสูงแม้ในยามเคลื่อนที่ ด้วยเทคโนโลยี NFC ยังช่วยให้ Nokia Essence สามารถจับคู่กับสมาร์ทโฟน NFC ได้ง่ายๆ เพียงแค่แตะอุปกรณ์เข้าด้วยกัน

Symbian Belle จะมาพร้อมกับสมาร์ทโฟนล็อตใหม่ของรุ่น Nokia N8, Nokia E6, Nokia E7, Nokia X7, Nokia C7, Nokia C6-01, และ Nokia Oro และสามารถดาวน์โหลดได้ ซึ่งจะประกาศให้ทราบอีกครั้งเมื่อใกล้วางจำหน่าย

View :1852

เวลคอมปรับกลยุทธ์การตลาด เทงบ 45 ล้าน ออกแคมเปญใหม่ ดึง โดม-ริต้า ชูมือถือฮิป “มิวสิค ปาร์ตี้” – “พราว คอลเลคชั่น”

August 25th, 2011 No comments

เวลคอมปรับโฉมใหม่เปลี่ยนโลโก้ ออกมือถือฮิปจับกลุ่มวัยรุ่น-วัยทำงานตอนต้น ทุ่มงบ 45 ล้านบาทเปิดตัว 2 รุ่นสุดจี๊ด “มิวสิค ปาร์ตี้” จับตลาดคอเพลง ดึงหล่อขั้นเทพ ” เป็นพรีเซ็นเตอร์ / “ศรีริต้า เจนเซ่น” ชูรุ่น “พราว คอลเลคชั่น” ประดับอัญมณี “สวารอฟสกี้” ดึงดูดใจสาวอินเทรนด์ ประกาศร่วมทุน Si2i ค่ายโทรคมนาคมยักษ์สิงคโปร์ ขยับเป็นแบรนด์อินเตอร์

นายรุด จารุจันทร์ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท นิวเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด เปิดเผยว่า ได้ปรับโลโก้ใหม่ ปรับกลยุทธ์การตลาด สร้างความชัดเจนในสินค้าแต่ละรุ่น มีแคมเปญโฆษณาใช้ดาราดังเพื่อเสริมภาพลักษณ์ของแบรนด์ ขยายช่องทางการจำหน่าย ปรับกลยุทธ์การสื่อสารถึงผู้บริโภคเพื่อสร้างความชื่นชอบอย่างต่อเนื่อง ใช้สื่อแปลกใหม่ให้ถึงกลุ่มเป้าหมายโดยตรง มีกิจกรรมส่งเสริมการขาย ปรับปรุงการบริการหลังการขายให้รวดเร็ว เพื่อให้ผู้บริโภคได้รับความคุ้มค่ามากขึ้น

ในการปรับตัวทางการตลาดครั้งสำคัญนี้ บริษัทฯ ได้เปิดตัวมือถือ “เวลคอม” รุ่นใหม่อินเทรนด์สุดๆ 2 รุ่น คือ รุ่น “พราว คอลเลคชั่น” มี 4 แบบให้เลือกคือ Smart S8118, Stylish S5115, Spirit S3113 และ Slim S1111 ทุกแบบเป็นมือถือที่โดดเด่น สวยงาม ประดับอัญมณีจากแบรนด์ชั้นนำ “สวารอฟสกี้” มี Function ครบครัน สามารถเลือกรุ่นได้ตามไลฟ์สไตล์ผู้ใช้ อาทิ แบบ 2 ซิม แบบมี วิทยุ FM และเครื่องเล่น MP3 เชื่อมต่อสังคมออนไลน์สุดฮิป Facebook ,Twitter, MSN โดยมี “ศรีริต้า เจนเซ่น” ดาราสาวสวยชื่อดังมาเป็นพรีเซ็นเตอร์ เพื่อดึงดูดใจสาวอินเทรนด์กลุ่มวัยรุ่น – วัยทำงานตอนต้น

และเปิดตัวรุ่น “มิวสิค ปาร์ตี้” มือถือที่มีดีไซน์และลูกเล่นไม่ซ้ำแบบใคร เขย่าทุกอารมณ์ทั้งแสงสี สลับเรืองแสงตามจังหวะเพลง ลำโพงดัง ตอบสนองความบันเทิงครบครันทั้ง MP3 วิทยุ ทีวี วิดีโอ มี 3 แบบให้เลือกคือ Dance S5001, Live S5003 และ Rock S5005 เหมาะกับวัยรุ่น – วัยทำงานตอนต้นผู้ที่ชื่นชอบเสียงเพลง โดยได้เชิญ “โดม ปกรณ์ ลัม” พระเอกหนุ่มฉายาหล่อขั้นเทพ มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ของรุ่นนี้

โดยแคมเปญนี้จะมีกิจกรรมต่อเนื่อง 1 ปี ใช้งบประมาณ 45 ล้านบาท ใช้สื่อโฆษณาหลากหลาย คือภาพยนตร์โฆษณาโทรทัศน์ 3 เรื่อง โฆษณาในรถไฟฟ้าใต้ดิน / รถไฟลอยฟ้า / สิ่งพิมพ์ ฯลฯ โดยมีกลยุทธ์ทางการตลาดใหม่คือ การคัดสรรมือถือคุณภาพสูงในราคาที่เหมาะสมกับผู้บริโภค จัดกลุ่มสินค้าเพื่อตอบสนองทุกไลฟ์สไตล์ กลุ่มที่ 1. ราคาคุ้มค่าเหมาะกับการใช้งานประจำวัน กลุ่มที่ 2. มีนวัตกรรมเรื่องดีไซน์ของเครื่องมีลูกเล่นที่ไม่ซ้ำแบบใคร ตอบสนองความบันเทิงครบครัน กลุ่มที่ 3. สวยงามโดดเด่นร่วมกับแบรนด์ชั้นนำ เช่น สวารอฟสกี้ กลุ่มที่ 4. ล้ำนำหน้าด้วย เทคโนโลยีกับ Android และ Mobile Purse

พร้อมกันนี้ ได้มีการร่วมมือทางการค้าครั้งสำคัญในระดับอินเตอร์เนชันแนล โดยนำ แบรนด์ “เวลคอม” เข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มธุรกิจ Si2i ประเทศสิงคโปร์ ซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มธุรกิจสื่อสารยักษ์ใหญ่ระดับโลก เพื่อเปลี่ยนโครงสร้างทางการตลาดระดับภูมิภาคให้โทรศัพท์มือถือไทยภายใต้ชื่อแบรนด์ “เวลคอม” แข็งแรงเติบโตยิ่งขึ้นในเอเชีย

อนึ่ง ปี 2547 “เวลคอม” ประกาศตัวเป็นโทรศัพท์มือถือแบรนด์คนไทย ที่มีราคาเหมาะสมเพื่อคนไทย ได้รับการต้อนรับจากผู้บริโภคจนมีอัตราการเติบโตสูงถึง 10 เท่า และพร้อมจะเติบโตก้าวขึ้นเป็น แบรนด์ชั้นนำระดับอินเตอร์ โดยสร้างประวัติศาสตร์ให้วงการโทรศัพท์มือถือในไทยมามากมาย อาทิ เป็นแบรนด์แรกที่มี 2 ซิมในเครื่องเดียว ปัจจุบันพัฒนามาเป็น 4 ซิมในเครื่องเดียว เป็นแบรนด์แรกที่จัดจำหน่ายโทรศัพท์มือถือดูทีวีได้ เป็นต้น

View :2400

เอ็มบี โมบาย รุกตลาดประเทศไทย เจาะกลุ่มผู้ใช้เฟซบุ๊ค มั่นใจ ได้ลูกค้ากว่า 2 ล้านคนภายในปี 2556

August 24th, 2011 No comments

จับมือ เอ็ม ซี เอ็น ไทยแลนด์ เปิดตัว ไทยแลนด์ ให้กลุ่มเป้าหมายร่วมกิจกรรม-รับแต้ม แลกค่าโทรศัพท์ฟรีเป็นเจ้าแรก และเจ้าเดียวในประเทศไทย จับมือ3 โอเปอร์เรเตอร์ยักษ์ใหญ่ ทั้งเอไอเอส ดีแทค และทรูมูฟ ตั้งเป้ากวาดผู้ใช้โซเชียลมีเดียสุดฮิตอย่างเฟซบุคเป็นลูกค้ากว่า 2 ล้านคน

นาย มาร์ค บุ๊คแมนต์ ประธานบริหาร บริษัท โมบายล์ คอนเทนท์ เน็ทเวิร์ค จำกัด หรือ เอ็ม ซี เอ็น (MCN) ผู้ให้บริการโซลูชั่นค้นหาข้อมูล และการโฆษณา ทางโทรศัพท์มือถือ เปิดเผยว่า เอ็ม ซี เอ็น ร่วมกับ เอ็มบี โมบายล์ (Embee Mobile) บริษัทผู้ให้บริการจัดหาบริการทางโทรศัพท์มือถือ และเนื้อหาบนโทรศัพท์มือถือ เปิดตัว “เอ็มบีเปย์ ไทยแลนด์” ( Thailand) บริการใหม่ล่าสุด เป็นครั้งแรกในประเทศไทยหลังประสบความสำเร็จมาแล้วในกว่า 90 ประเทศ ทั่วโลก

“จำนวนผู้ใช้อินเตอร์เน็ตในประเทศไทยเติบโตอย่างรวดเร็วมาก และมีแนวโน้มที่จะเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันมีผู้ใช้อินเตอร์เน็ตแล้วถึงกว่า 20 ล้านคน (ข้อมูลจากทรูฮิต) และมีอัตราการเติบโตเป็นตัวเลข 2 หลักมาโดยตลอดในช่วง 2-3 ปีที่ผ่าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งจำนวนผู้ใช้เฟซบุคที่มีการเติบโตแบบก้าวกระโดด โดยในครึ่งปีแรกของปี 2554 อัตราการเติบโตของผู้ใช้เฟซบุคในประเทศไทยสูงถึง 53.89% ดังจะพบว่าในเดือนมิถุนายน 2554 มีผู้ใช้เฟซบุคในประเทศสูงถึง 10,361,120 คน (ข้อมูลจาก www.Socialbakers.com) นอกจากจำนวนผู้ใช้อินเทอร์เน็ตที่เติบโตอย่างต่อเนื่องแล้ว ผู้ใช้อินเตอร์เน็ตชาวไทยยังมีแนวโน้มที่จะรับเทคโนโลยีหรือบริการใหม่ๆ บนโลกอินเตอร์เน็ตได้มากขึ้นอีกด้วย ทำให้เป็นประเทศไทยเป็นตลาดที่น่าจับตามองอย่างมาก และทำให้เอ็มซีเอ็น ตัดสินใจดึง เอ็มบี โมบายล์ มาร่วมลงทุนในตลาดนี้” นาย มาร์ค บุ๊คแมนต์ กล่าว

“เอ็มบีเปย์” (EmbeePay) เป็นบริการที่ได้รับความนิยมอย่างสูงจากผู้ใช้โซเชียลเน็ทเวิร์คทั่วโลก เนื่องจากเป็นบริการที่ใช้งานง่าย ไม่มีค่าใช้จ่าย โดยผู้ใช้เพียงแค่มีเฟซบุค และลงทะเบียนเบอร์โทรศัพท์มือถือกับ EmbeePay Thailand ก็สามารถทำคะแนน สะสมแต้มกับกิจกรรมต่างๆ บน EmbeePay Thailand และสามารถนำแต้มที่ได้นั้นมาใช้เปลี่ยนเป็นค่าโทรศัพท์ หรือ SMS, MMS หรือแม้แต่การค้นหาข้อมูลต่างๆ บนอินเตอร์เน็ต ผ่านโทรศัพท์มือถือระบบเติมเงิน (พรีเพด) ของ 3 ค่ายยักษ์ใหญ่ ได้แก่ เอไอเอส ดีแทค และ ทรูมูฟ” นายอีริค ชาน ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท เอ็มบี โมบาย กล่าว

“ผลการสำรวจพฤติกรรมการใช้อินเทอร์เน็ตของคนไทย โดย Asia Digital Marketing Association ยังพบว่า 85% ของผู้ใช้อินเตอร์เน็ตในประเทศไทยใช้โซเชียลเน็ทเวิร์คหลายครั้งต่อสัปดาห์ และมีค่าเฉลี่ยการใช้งานโซเชียลเน็ทเวิร์คสูงถึงกว่า 7 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ซึ่งนับว่าสูงที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ บริษัทจึงมีความมั่นใจว่าบริการของ EmbeePay Thailand จะได้รับความนิยมเป็นอย่างสูงในกลุ่มผู้ใช้โซเชียล เน็ทเวิร์ค เพราะบริการของ EmbeePay นั้นผู้ใช้จะใช้เวลาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่ได้รับผลตอบแทนที่คุ้มค่ากับเวลาของพวกเขา โดยคาดว่าจะมีผู้ลงทะเบียนใช้งานกับ EmbeePay อย่างน้อย 2 ล้านคนภายในปี 2556 นี้” ดร.มนตรี วีรยางกูร กรรมการผู้จัดการ บริษัท โมบายล์ คอนเทนท์ เน็ทเวิร์ค จำกัด กล่าวเพิ่มเติม

ผู้ใช้ที่สนใจสามารถลงทะเบียนได้ที่ http://bit.ly/embee-thailand

View :1828

รีเสิร์ช อิน โมชั่น เปิดตัวสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ล่าสุด แบล็กเบอร์รี่ โบลด์ 9900 ในประเทศไทย

August 24th, 2011 No comments

รีเสิร์ช อิน โมชั่น หรือ ริม () (NASDAQ: RIMM; TSX: ) วันนี้ ประกาศเปิดตัวสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ล่าสุด แบล็กเบอร์รี่® โบลด์™ 9900 (BlackBerry® Bold™ 9900) ในประเทศไทย สำหรับลูกค้าที่สนใจสามารถสั่งจองล่วงหน้าผ่านทางเอไอเอส ดีแทค

และทรูมูฟ และคาดว่าจะวางจำหน่ายในวันที่ 16 กันยายนนี้ รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับโปรโมชั่นสำหรับลูกค้าผู้สั่งจองล่วงหน้า จากพันธมิตรโอเปอเรเตอร์แต่ละราย สามารถเข้าไปดูที่ http://th.blackberry.com/

แบล็กเบอร์รี่ โบลด์ 9900 นับเป็นแบล็กเบอร์รี่® สมาร์ทโฟนที่มีขนาดบางที่สุด ด้วยความหนาเพียง 10.5 มิลลิเมตร และยังเป็นโทรศัพท์รุ่นแรกที่นำเสนอการผสมผสานอย่างสมบูรณ์แบบระหว่างคีย์บอร์ดประสิทธิภาพสูง และหน้อจอระบบสัมผัส ภายใต้การดีไซน์อันเป็นเอกลักษณ์ของแบล็กเบอร์รี่ โบลด์ โดยสมาร์ทโฟนแบล็กเบอร์รี่ โบลด์ 9900 รุ่นใหม่ล่าสุด ยังเป็นแบล็กเบอร์รี่สมาร์ทโฟนรุ่นแรกที่มาพร้อมการรองรับ NFC (Near Field Communications) เทคโนโลยีใหม่ที่ช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการใช้งานใหม่ๆ และน่าสนใจมากมาย ประกอบด้วย ความสามารถในการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์เสริม หรือการอ่านแท็ก SmartPoster ง่ายๆ ด้วยการแตะไปบนสมาร์ทโฟน

ภายใต้รูปลักษณ์การดีไซน์อย่างงดงาม คีย์บอร์ดที่ใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และหน้าจอระบบสัมผัสแสดงผลชั้นยอด แบล็กเบอร์รี่ โบลด์ 9900 ถูกรังสรรค์ขึ้นด้วยวัสดุระดับพรีเมี่ยม ทั้งตัวเครื่องทำจากสแตนเลสสตีลขัดลาย และฝาหลังตัวเครื่องน้ำหนักเบา ทว่าแข็งแรง ทนทาน สร้างความประทับใจให้แก่ทุกสัมผัส

มร. เกรกอรี่ เวดด์ กรรมการผู้จัดการระดับภูมิภาค ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออก รีเสิร์ช อิน โมชั่น กล่าวว่า “แบล็กเบอร์รี่ โบลด์ 9900 ได้สร้างนิยามใหม่ล่าสุดให้กับแบล็กเบอร์รี่พอร์ตโฟลิโอ ด้วยรูปโฉมระดับ

พรีเมี่ยม คีย์บอร์ดชั้นเลิศ และหน้าจอระบบสัมผัสแสดงผลชั้นยอด สมาร์ทโฟนทรงประสิทธิภาพรุ่นล่าสุดนี้ นำเสนอประสบการณ์ของระบบการสื่อสารบนมือถือชั้นนำ ควบคู่กับการตอบสนองที่ฉับไว การท่องเว็บแบบไร้ช่องโหว่ ลูกเล่นของระบบมัลติมีเดีย รวมถึงประสิทธิภาพการทำงานโดยรวมที่มีความสมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ เรามีความยินดีอย่างยิ่งที่ได้ร่วมมือกับพันธมิตรโอเปอเรเตอร์ เพื่อนำเสนอแบล็กเบอร์รี่ โบลด์ 9900 ให้แก่ลูกค้าในประเทศไทย”

ระบบปฏิบัติการแบล็กเบอร์รี่ 7 ใหม่ล่าสุด นำเสนอความเหนือชั้นอีกหนึ่งขั้นของระบบเว็บเบราว์เซอร์ของแบล็กเบอร์รี่ โดดเด่นด้วยการตอบสนองที่ฉับไว มอบประสบการณ์การท่องเว็บที่สมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น หนึ่งในระดับชั้นนำของอุตสาหกรรม ทั้งยังผสานรวมการทำงานของเบราว์เซอร์ตระกูล WebKit อันล้ำหน้าที่ได้รับการพัฒนาขึ้นอย่างเต็มที่ เข้ากับการยกระดับวัสดุฮาร์ดแวร์ที่เปี่ยมประสิทธิภาพ ไว้บนสมาร์ทโฟนที่ทำงานด้วยระบบปฏิบัติการแบล็กเบอร์รี่ 7 นำเสนอการแสดงผลภาพได้เร็วกว่าสมาร์ทโฟนที่ทำงานด้วยระบบปฏิบัติการแบล็กเบอร์รี่ 6 (BlackBerry® 6) ถึง 40 เปอร์เซ็นต์ และเร็วกว่าสมาร์ทโฟนที่ทำงานด้วยระบบปฏิบัติการแบล็กเบอร์รี่ 5 (BlackBerry® 5) ถึง 100 เปอร์เซ็นต์* ทั้งนี้ ความสามารถที่ถูกพัฒนาไว้ในระบบเว็บเบราว์เซอร์ของแบล็กเบอร์รี่รุ่นล่าสุดนี้ ยังจะช่วยปรับระบบการซูมและขยายภาพ เพื่อการท่องเว็บไซต์แบบไร้ช่องโหว่มากยิ่งขึ้น รวมทั้งปรับความสามารถของ HTML5 เพื่อประสบการณ์การเล่นเกมส์และเล่นวิดีโอที่ยอดเยี่ยมที่สุด

สุดยอดระบบปฏิบัติการรุ่นล่าสุด “แบล็กเบอร์รี่ 7”

ระบบปฏิบัติการแบล็กเบอร์รี่ 7 นำเสนอระบบเว็บเบราว์เซอร์ของแบล็กเบอร์รี่รุ่นล่าสุด โดดเด่นด้วยการตอบสนองที่ฉับไว มอบประสบการณ์การท่องเว็บที่สมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น หนึ่งในระดับชั้นนำของอุตสาหกรรม ทั้งยังผสานรวมการทำงานของเบราว์เซอร์ตระกูล WebKit อันล้ำหน้าที่ได้รับการพัฒนาขึ้นอย่างเต็มที่ เข้ากับการยกระดับวัสดุฮาร์ดแวร์ที่เปี่ยมประสิทธิภาพ ไว้บนสมาร์ทโฟนที่ทำงานด้วยระบบปฏิบัติการแบล็กเบอร์รี่ 7 นำเสนอการแสดงผลภาพได้เร็วกว่าสมาร์ทโฟนที่ทำงานด้วยระบบปฏิบัติการแบล็กเบอร์รี่ 6 (BlackBerry® 6) ถึง 40 เปอร์เซ็นต์ และเร็วกว่าสมาร์ทโฟนที่ทำงานด้วยระบบปฏิบัติการแบล็กเบอร์รี่ 5 (BlackBerry® 5) ถึง 100 เปอร์เซ็นต์* ทั้งนี้ ความสามารถที่ถูกพัฒนาไว้ในระบบเว็บเบราว์เซอร์ของแบล็กเบอร์รี่รุ่นล่าสุดนี้ ยังจะช่วยปรับระบบการซูมและขยายภาพ เพื่อการท่องเว็บไซต์แบบไร้ช่องโหว่มากยิ่งขึ้น รวมทั้งปรับความสามารถของ HTML5 เพื่อประสบการณ์การเล่นเกมส์และเล่นวิดีโอที่ยอดเยี่ยมที่สุด

รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ แบล็กเบอร์รี่ โบลด์ 9900 สามารถเข้าไปชมได้ที่ http://th.blackberry.com/Bold9900

View :1921

“ไซเบอร์แพลนเน็ตฯ” อินเทรนด์ ประกาศความร่วมมือทางธุรกิจกับ “นู ไลฟ์” ผลิตแท็บเล็ตให้สมาชิกของนูไลฟ์

August 24th, 2011 No comments

” อินเทรนด์ ประกาศความร่วมมือทางธุรกิจกับ “” ผลิตแท็บเล็ตให้สมาชิกของนูไลฟ์ โดยมีความโดดเด่นอยู่ที่ซอฟท์แวร์ซึ่งสร้างเป็น Social network ภายในกลุ่มธุรกิจ ให้เชื่อมต่อกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งยังสามารถสั่งซื้อสินค้าผ่านเครื่องแท็บเล็ตได้เลย และมีคอนเท้นส์ช่วยเสริมความรู้หลากหลาย งานนี้ “ชนินทร์เดช วานิชวงศ์” เผยมูลค่าขายทั้งโปรเจ็กประมาณ 140 ลบ. ระบุเป็นก้าวใหม่ในการทำธุรกิจของ CYBER อนาคตจะเป็นธุรกิจตัวใหม่ที่ทำรายได้หลักให้บริษัท วางแผนจะยึดหัวหาดเป็นเจ้าแรกๆ ของไทย ระบุปัจจุบันอยู่ระหว่างเจรจากับผู้ประกอบการอีกหลายราย

นายชนินทร์เดช วานิชวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไซเบอร์แพลนเน็ต อินเตอร์แอคทีฟ จำกัด (มหาชน) (CYBER) เปิดเผยว่าได้ร่วมมือทางธุรกิจกับ บริษัท นู ไลฟ์ อินเตอร์เนชั่นแนล (ไทยแลนด์) จำกัด โดย CYBER จะมอบแท็บเล็ตให้กับสมาชิกของนูไลฟ์ฯ ฟรี ซึ่งภายในแท็บเล็ตดังกล่าวได้มีการพัฒนา Software ที่เอื้อประโยชน์ต่อการใช้ในการดำเนินธุรกิจของสมาชิกนูไลฟ์ โดยมีความโดดเด่นด้าน Content ที่หลากหลาย เอื้อประโยชน์ต่อการพัฒนาและเสริมศักยภาพในการทำงาน อาทิ ช่วยเสริมในเรื่องของการ
เทรนนิ่ง การเปิด-ปิดการขาย การสร้างทีมงาน การนำเสนอข้อมูล นอกจากนี้ยังสามารถสั่งซื้อสินค้าผ่านทางแท็บเล็ตได้ด้วย ที่สำคัญได้มีการเพิ่มตัว Social network ซึ่งจะช่วยให้สามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีความรวดเร็ว ด้วยโปรแกรมที่พัฒนาขึ้นมาเพื่อการใช้งานของนู ไลฟ์ โดยเฉพาะ

สำหรับความร่วมมือทางธุรกิจในครั้งนี้ CYBER จะเป็นผู้ผลิตทั้ง Hardware และ Software โดยสมาชิกนูไลฟ์จะได้รับเครื่องฟรี แต่จะต้องเสียค่าใช้จ่ายเป็นรายเดือนเป็นค่าบริการข้อมูลเดือนละ 550 บาท (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)โดยจะเริ่มส่งมอบเครื่องแท็บเล็ตให้กับสมาชิกนูไลฟ์ได้ตั้งแต่ปลายเดือนตุลาคมเป็นต้นไป ซึ่ง CYBER จะรับรู้รายได้เมื่อสมาชิกนูไลฟ์นำเครื่องแท็บเล็ตไปใช้ พร้อมกันนี้ในเบื้องต้นได้ตั้งเป้าการขายไว้ที่ 10,000 เครื่องต่อปี จากจำนวนสมาชิกของนูไลฟ์ในปัจจุบันที่มีประมาณหนึ่งแสนคน ดังนั้นจึงเป็นโอกาสของการขยายธุรกิจในอนาคต โดยทั้งโครงการมีสัญญาขายทั้งหมดคิดเป็นมูลค่ารวมประมาณ 140 ล้านบาท

“โครงการนี้เกิดขึ้นเพราะก่อนหน้านี้ CYBER มีนโยบายแจกแท็บเล็ตให้กับนักเรียนในสถาบันเสริมทักษะการเรียนรู้สำหรับเด็ก “Genius planet” ซึ่งผลจากการนำไปใช้ในระบบโรงเรียนแล้วประสบความสำเร็จ นักเรียนส่วนใหญ่สอบผ่านและมีผลคะแนนที่ค่อนข้างดี ดังนั้นผู้บริหารจึงมองว่าอุปกรณ์ดังกล่าวน่าจะใช้

ประโยชน์กับธุรกิจอื่นๆ ได้อีก และจากการวิเคราะห์แล้วพบว่าธุรกิจขายตรงเป็นธุรกิจที่มีศักยภาพ มีแนวโน้มการเติบโตสูง อีกทั้งมีจำนวนสมาชิกค่อนข้างมาก จึงได้นำเสนอโครงการนี้ให้กับนูไลฟ์ ซึ่งก็ได้รับการตอบรับที่ดีและใช้ระยะเวลาในการหารือร่วมกันประมาณ 4 เดือนที่ผ่านมา จนกระทั่งสามารถตกลงเป็นความร่วมมือทางธุรกิจในวันนี้”

เขากล่าวต่อว่าในอนาคตธุรกิจการทำแท็บเล็ตจะเพิ่มสัดส่วนรายได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยมีโอกาสที่จะขยับมาเป็นรายได้หลักให้กับ CYBER เพราะธุรกิจการผลิตและจำหน่ายเกมส์ ที่เป็นรายได้หลักในปัจจุบันมีแนวโน้มว่าสัดส่วนรายได้จะค่อยๆ ลดลง เนื่องจากลูกค้าฝั่งยุโรปและอเมริกา มีปัญหาด้านการสั่งซื้อและบางบริษัทมีการปิดตัวลงไปพอสมควร ทำให้เป็นอุปสรรคต่อการขยายตลาดและสร้างรายได้ของบริษัท ทั้งนี้ในปัจจุบัน CYBER อยู่ระหว่างการเจรจากับผู้ประกอบการ ประเภทขายตรงรายอื่นๆ อีกหลายแห่ง ซึ่งหากประสบความสำเร็จจะเพิ่มฐานลูกค้าที่ใช้งาน Software ของบริษัทผ่านการใช้ข้อมูลรายเดือนมากขึ้น และการเข้ามาเป็นเจ้าแรกในตลาดนี้ จะทำให้มีความได้เปรียบกว่าคู่แข่ง แต่ถือเป็นเรื่องธรรมดาที่ธุรกิจทางด้านไอทีมักมีการแข่งขัน แต่การเข้ามาก่อนจะทำสามารถสร้างตลาดได้เร็วและเชี่ยวชาญกว่า

ด้าน นายสุเทพ ยืนยงค์วิทยากุล ประธานกรรมการบริหาร บริษัท นู ไลฟ์ อินเตอร์เนชั่นแนล (ไทยแลนด์) จำกัด เปิดเผยว่า การร่วมธุรกิจกับ CYBER ในครั้งนี้ นู ไลฟ์ ได้เล็งเห็นว่าในยุคปัจจุบันเป็นยุคไฮเทคโนโลยีที่มีการสื่อสารไร้พรมแดน ธุรกิจสามารถเจริญเติบโตได้ทุกที่ ไม่ว่าตัวเราจะอยู่ ณ ที่แห่งใด อีกทั้งในอนาคตเราได้เตรียมพร้อมที่จะรองรับนักธุรกิจรุ่นใหม่ที่เป็นกลุ่มนักศึกษา และเยาวชนที่มีศักยภาพ ทั้งด้านความรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยี และมีทัศนคติเชิงบวก ที่กล้าฉีกแนวความคิด กล้าทำ กล้าเริ่มต้น ดังนั้นจึงได้เตรียมเครื่องมือสื่อสารดังกล่าว ที่จะช่วยผลักดันให้ยอดขายพุ่งสูงขึ้น และช่วยให้นักธุรกิจสามารถประสบความสำเร็จและขยายฐานองค์กรให้เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว โดย นู ไลฟ์ ได้นำ ฐานข้อมูลทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น ข้อมูลผลิตภัณฑ์ การฝึกอบรม แผนการตลาด และข้อมูลองค์กรของสมาชิกให้ CYBER นำไปพัฒนาเป็น Application ที่ใช้ง่ายและสะดวก ทำให้สมาชิกสามารถติดต่อสื่อสารและนำเสนอธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ และความร่วมมือระหว่าง นูไลฟ์ และ CYBER ในครั้งนี้ จะช่วยยกระดับอุตสาหกรรมขายตรงไปสู่อีกมิติหนึ่งที่ไม่ใช่เพียงแต่เป็นการทำธุรกิจเท่านั้น แต่เป็น 3 in 1 Business Education & Entertainment ซึ่งเป็นการส่งเสริมและพัฒนาทั้งด้านความรู้ และความบันเทิง ควบคู่ไปกับการทำธุรกิจ

View :1715

แอร์เอเชียแนะ “เช็คอินด้วยตนเอง” ฟรี..ง่าย..เร็ว มั่นใจลดความหนาแน่นผู้โดยสารหน้าเคาน์เตอร์เช็คอิน

August 24th, 2011 No comments

เดินหน้าดันนวตกรรมบริการ “” หลากหลายวิธี ตอบสนองเทรนด์การเดินทางสมัยใหม่สำหรับผู้โดยสาร เพื่อหลีกหนีความวุ่นวายที่สนามบินในการต่อคิวเพื่อเช็คอินบัตรโดยสารหน้าเคาน์เตอร์ในชั่วโมงเร่งด่วน ภายใต้แนวคิด “ฟรี ง่าย และรวดเร็ว” ชี้อนาคตอาจเก็บค่าบริการเช็คอินเคาน์เตอร์ เพื่อกระตุ้นผู้โดยสารใช้ “

นายทัศพล แบเลเว็ลด์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายการบินไทยแอร์เอเชีย กล่าวว่า เว็บเช็คอินและโมบายเช็คอิน เป็นส่วนหนึ่งของนวตกรรมทางเลือกที่ให้ผู้โดยสารสามารถเช็คอินด้วยตนเองได้อย่างสะดวกรวดเร็ว และช่วยลดความแออัดที่สนามบิน ประหยัดเวลาโดยที่ผู้โดยสารไม่ต้องไปเข้าคิวนานเพื่อเช็คอินที่เคาน์เตอร์ในชั่วโมงเร่งด่วน นอกจากนี้ยังถือเป็นการช่วยให้สายการบินบริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะเป็นผลดีต่อการนำเสนอโปรโมชั่นตั๋วราคาประหยัดต่อผู้โดยสารต่อไป

นายทัศพลกล่าวถึงการเช็คอินด้วยตนเองของสายการบินแอร์เอเชียว่า เป็นเรื่องง่ายและสะดวกสบายมาก โดยการใช้ “” หรือการเช็คอินผ่านเว็บไซต์นั้น ผู้โดยสารสามารถพิมพ์บัตรขึ้นเครื่อง(Boarding Pass) ด้วยตนเองจากที่บ้าน และนำบัตรที่นั่งไปแสดงเพื่อขึ้นเครื่องที่สนามบินได้ทันที ในขณะที่ “” หรือการเช็คอินผ่านโทรศัพท์มือถือนั้น ผู้โดยสารจะได้รับ 2D Barcode หลังเช็คอิน ซึ่งสามารถนำบาร์โคดนั้นไปสแกนที่สนามบินเพื่อพิมพ์บัตรที่นั่งได้ อย่างไรก็ตามผู้โดยสารยังสามารถเช็คอินด้วยตนเองในทุกสนามบินได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย ผ่านเครื่อง ” ซึ่งแอร์เอเชียจะติดตั้งเพิ่มเติมจำนวนมาก และพร้อมกระจายไปทั่วทุกสนามบินที่ให้บริการ เพื่อรองรับความต้องการในการเช็คอินด้วยตนเอง

หลังจากเช็คอินด้วยตนเองแล้ว สำหรับผู้โดยสารที่มีสัมภาระ สามารถนำกระเป๋าไปฝากลงใต้ท้องเครื่องและตรวจเอกสารการเดินทางได้ที่เคาน์เตอร์ฝากสัมภาระ (Drop-off counter) และสำหรับผู้โดยสารที่ไม่มีสัมภาระฝากใต้ท้องเครื่องเส้นทางในประเทศ สามารถนำบัตรโดยสารขึ้นเครื่องได้ทันที ในขณะที่เส้นทางระหว่างประเทศสามารถไปตรวจเอกสารการเดินทางที่เคาน์เตอร์ ผ่าน ตม. และตรงไปยังทางออกขึ้นเครื่องได้ทันที ทั้งนี้แอร์เอเชียเตรียมเพิ่มเคาน์เตอร์ฝากสัมภาระเพิ่มมากขึ้น เพื่ออำนวยความสะดวกผู้เช็คอินด้วยตนเองทุกคน

ต่อข้อถามถึงการเก็บค่าบริการเช็คอินเคาน์เตอร์ นายทัศพลกล่าวว่า อาจจะเรียกเก็บค่าบริการเคาน์เตอร์เช็คอินในอนาคต เพื่อกระตุ้นให้ผู้โดยสาร “เช็คอินด้วยตนเอง” แต่ทั้งนี้ต้องประเมินความพร้อมต่างๆ อีกครั้งหนึ่ง ซึ่งยังไม่มีการกำหนดระยะเวลาการเก็บค่าบริการแต่อย่างใด

แอร์เอเชียนำเสนอบริการ “เช็คอินด้วยตนเอง” ภายใต้แนวคิด “ฟรี ง่ายและรวดเร็ว” โดยสำหรับผู้โดยสารทุกคนมีรูปแบบการเช็คอินด้วยตนเองง่ายๆ ให้เลือกผ่าน “เว็บเช็คอิน” ที่เว็บไซต์ www.airasia.com “โมบายเช็คอิน” ทางโทรศัพท์มือถือ ด้วยแอพพลิเคชันบนแบลคเบอรี่ ไอโฟน และแอนดรอย แอพพลิเคชันต่าง ๆ นี้สามารถดาวน์โหลดได้ง่าย ๆ เพียงใส่คำค้นหา “AirAsia” บน Blackberry App World, Apple App Store และ Android Marketplace สำหรับผู้ที่ใช้โทรศัพท์ที่เชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตผ่าน GPRS หรือ 3G ยังสามารถเช็คอินผ่านโทรศัพท์มือถือได้โดยการ log-in ไปที่ mobile.airasia.com

สำหรับเที่ยวบินแอร์เอเชีย (FD, AK และ QZ) การเช็คอินผ่านเว็บไซต์และโทรศัพท์มือถือสามารถทำได้ตั้งแต่ 400 วันล่วงหน้าจนถึง 1 ชั่วโมงก่อนกำหนดการเดินทาง สำหรับเที่ยวบินของแอร์เอเชีย เอ๊กซ์ (D7) สามารถเช็คอินได้จนถึง 4 ชั่วโมงก่อนออกเดินทาง

ทั้งนี้ผู้โดยสารสามารถติดตามข่าวสารความเคลื่อนไหวต่างๆ ของแอร์เอเชียได้ที่
เฟสบุ้ค (Facebook.com/Airasiathailand) ทวิตเตอร์ (Twitter.com/Airasiathailand) และ www.airasia.com

View :7157

Google เปิดสำนักงานประจำประเทศไทย

August 24th, 2011 No comments

ยกระดับการบริการสำหรับผู้ใช้และผู้ลงโฆษณา ทีมไทยมุ่งเพิ่มการเข้าถึงอินเทอร์เน็ต นำเสนอนวัตกรรม สนับสนุนการสร้างเนื้อหาภาษาไทย
และช่วยเหลือธุรกิจไทย

Google ประกาศแผนการลงทุนเพิ่มเติมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ด้วยการเปิดสำนักงานสาขาแห่งใหม่ในกรุงเทพฯ ซึ่งนับเป็นการเปิดสำนักงานประจำประเทศแห่งที่สองในปี 2554  สำนักงานแห่งใหม่นี้คืออีกก้าวย่างหนึ่งที่สำคัญสำหรับ Google ในการนำเสนอแพลตฟอร์มชั้นนำระดับโลก อย่างโฆษณาออนไลน์ที่มีประสิทธิภาพ พร้อมด้วยบริการเว็บเซอร์วิสต่างๆ และประสบการณ์ในการค้นหาข้อมูลอย่างเหนือชั้นสำหรับผู้ใช้ ผู้ลงโฆษณา รวมถึงคู่ค้าและพันธมิตรธุรกิจ โดยรองรับภาษาไทยได้อย่างสมบูรณ์แบบ
 
เมื่อ 6 เดือนที่แล้ว ประเทศไทยมีผู้ใช้อินเทอร์เน็ตราว 20 ล้านคน ณ วันนี้ตัวเลขดังกล่าวเพิ่มเป็น 25 ล้านคน สอดคล้องกับผลการวิจัยจากบริษัท นีลเส็น (Nielsen) และสถิติล่าสุดจากศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (NECTEC) เนื่องจากผู้ใช้ชาวไทยเชื่อมต่อออนไลน์เพิ่มมากขึ้นทุกวัน ดังนั้นโอกาสที่คนไทยจะได้รับรู้ถึงประโยชน์ที่แท้จริงของอินเทอร์เน็ตก็เพิ่มขึ้นด้วย ไม่ว่าจะใช้เป็นวิธีหนึ่งในการติดต่อสื่อสาร แบ่งปันข้อมูลและเรื่องราว แสดงความเป็นตัวเองออกสู่สังคมระดับโลก หรือใช้เป็นเครื่องมือในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ โดยเป็นแพลตฟอร์มที่จะช่วยให้องค์กรธุรกิจและผู้ประกอบการสามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้า และขยายธุรกิจสู่ตลาดโลกได้ด้วย
 
“เรารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งสำหรับการจัดตั้งบริษัทสาขาใหม่ล่าสุดในเมืองไทย ซึ่งเป็นประเทศที่มีบุคลากรคุณภาพสูง เต็มไปด้วยความสามารถ ความสร้างสรรค์ และความชำนาญในการให้บริการแก่ผู้ใช้ชาวไทย รวมถึงลูกค้าและพาร์ทเนอร์ ที่มีคุณค่ามากสำหรับองค์กรของเรา และมอบคุณประโยชน์ให้แก่สังคมไทย” จูเลียน เพอร์ซูด กรรมการผู้จัดการ Google เอเชียตะวันออกเฉียงใต้กล่าว
 
เมื่อเรานำความคิดสร้างสรรค์และความมุ่งมั่นของไทยมารวมกับพลังของเว็บ อะไรก็เป็นจริงขึ้นมาได้อย่างไร้ขีดจำกัด Google มองเห็นศักยภาพของไทยในการเสริมสร้างความแข็งแกร่งในตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งนับเป็นภูมิภาคที่เติบโตเร็วที่สุดในเอเชีย-แปซิฟิก และเอเชีย-แปซิฟิกก็มีอัตราการเติบโตสูงที่สุดในโลก
 
นายอริยะ พนมยงค์ หัวหน้าฝ่ายธุรกิจประจำประเทศไทยคนใหม่ของ Google กล่าวว่า “ผมรู้สึกดีใจมากที่ได้รับการต้อนรับที่อบอุ่นจากลูกค้าและพาร์ทเนอร์ที่เรามีอยู่แล้วในเมืองไทย ในนามของทีมไทย ผมต้องขอขอบคุณทุกๆ ท่านโดยเฉพาะผู้ใช้ชาวไทยไว้ ณ ที่นี้ ความไว้วางใจที่คนไทยมีต่อผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยีของ Google เป็นสิ่งลํ้าค่าสำหรับเรา  Google รู้สึกเป็นเกียรติที่ได้ทราบว่าผลิตภัณฑ์ของเราส่งผลดีต่อชีวิตของผู้คน ไม่ว่าเราจะทำอะไรต่อไปในอนาคต ก็จะยังคงมุ่งมั่นให้บริการที่เป็นเลิศแก่ผู้ใช้ และเชื่อว่าสิ่งดีอื่นๆ ก็จะตามมาเองในที่สุด”
 
การเปิดตัวสำนักงานของ Google ในเมืองไทยสอดคล้องกับนโยบายของ Google ในการขยายธุรกิจในต่างประเทศ รวมถึงความพยายามในการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับท้องถิ่นของไทย เพื่อเพิ่มความสะดวกในการทำกิจกรรมต่างๆ ในชีวิตประจำวัน เช่น Google Maps, Google News และ Google Translate  ตอนนี้ Google กำลังเปิดรับสมัครพนักงานสำหรับตำแหน่งงานต่างๆ ในเมืองไทย  ผู้ที่สนใจสมัครสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์

http://www.google.co.th/intl/en/jobs/

 

View :1466

ลูกค้าเอไอเอสจอง BlackBerry Bold 9900 รุ่นใหม่ล่าสุดได้แล้ววันนี้

August 24th, 2011 No comments


เอไอเอส เปิดให้สาวก BlackBerry สั่งจอง BlackBerry Bold 9900 ใหม่ล่าสุดจากตระกูล Bold ให้คุณทั้ง Touch และ Type ได้ก่อนใคร ตั้งแต่วันนี้  – 7 กันยายน 2554 ในราคา 19,900 บาท (รวม VAT)  โดยจองพร้อมชำระเงิน 1,000 บาท ได้แล้วที่ เอไอเอส     ช็อป ทั่วประเทศและที่ www.ais.co.th/onlineshopping/ ทั้งนี้สามารถรับเครื่องได้ตั้งแต่วันที่ 9 กันยายน 2554 เป็นต้นไป
 
พิเศษสุดๆ 500 ท่านแรก ที่สั่งจอง รับฟรี!  BlackBerry Charging Pod และ BlackBerry Hard Shell (มูลค่ารวม 2,500 บาท) สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม เอไอเอส คอลล์เซ็นเตอร์ 1175

View :1710

ECIT ปี 55 กับยุค Mobile App เพื่อ SMEs อุตสาหกรรม

August 24th, 2011 No comments

กรมส่งเสริมอุตสาหกรรมจับมือม.ศรีปทุม บ่มเพาะมือดีโปรแกรมมือถือ ดึงจับคู่เจ้าของโรงงานสร้างแอพฯรองรับ เร่งเครื่องเดินหน้า ปี 55 ต่อ หลังผลงานดีต่อเนื่อง  3 ปี ทีโอที ซอฟต์แวร์พาร์ค ม.พระนครเหนือ สร้างผลงานแจ๋ว พัฒนาระบบคลาวด์และอีซัพพลายเชนรองรับ

นายวีรพล ศรีเลิศ รองอธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ในปี 2555 เพื่อตอบสนองความต้องการของภาคอุตสาหกรรมที่ต้องการแอพพลิเคชันผ่านโทรศัพท์มือถือที่มากขึ้น กรมส่งเสริมอุตสาหกรรมจึงจะใช้โอกาสนี้เป็นปีเริ่มต้น โดยได้ร่วมมือกับมหาวิทยาลัยศรีปทุม ซึ่งเป็นองค์กรภาคการศึกษาที่เน้นหนักการพัฒนาบุคลากรด้านนี้อย่างจริงจัง โดยอาศัยฐานจากแนวทางการพัฒนาเดิมของกรมส่งเสริมอุตสาหกรรมทั้งหมดเข้ามาสนับสนุน ตั้งแต่การใช้ระบบ ERP ออนไลน์ หรือระบบ e-commerce และ e-supply chain โดยโปรแกรมบนโทรศัพท์มือถือสามารถเข้ามาต่อยอดทั้งฐานลูกค้าเดิม และแอพพลิเคชันเดิมที่มีอยู่ได้

ที่ผ่านมาโครงการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันอุตสาหกรรมไทยด้วยเทคโนโลยีสารสนเทศ (Enhancing SMEs Competitiveness Through IT: ECIT ) มีลำดับขั้นการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เริ่มจากการปรับเปลี่ยนซอฟต์แวร์ ERP และซอฟต์แวร์เชิงเดี่ยวให้มาบริการในระบบ SaaS หรือ Software as a Service บนระบบ Cloud Computing ทำให้ SMEs ภาคอุตสาหกรรมได้ใช้ซอฟต์แวร์ที่มีคุณภาพในราคาประหยัด ต่อจากนั้นก็มาพัฒนาระบบ e-commerce และต่อเนื่องไปยัง e-supply chain เพื่อทำให้ SMEs มีเครื่องมือในการเพิ่มประสิทธิภาพขององค์กร ขณะเดียวกันก็มีช่องทางการตลาดใหม่ๆ โดยใช้ระบบไอทีเข้าไปจัดการ

วิวัฒนาการนี้ โครงการ ECIT ยังพัฒนาต่อเนื่องตลอดเวลา โดยในปี 2555 ที่ถือว่าเป็นปีที่เริ่มโครงการใหม่อีกครั้ง ทางกรมส่งเสริมอุตสาหกรรมพิจารณาว่า ทิศทางของการใช้งานแอพพลิเคชันผ่านระบบโทรศัพท์มือถือได้รับความนิยมมากขึ้น ขณะที่อุตสาหกรรมภาคบริการนั้นได้นำระบบนี้มาใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่สำหรับภาคอุตสาหกรรมการผลิตยังไม่มีนักพัฒนาซอฟต์แวร์ให้ความสนใจ อาจเป็นเพราะตลาดกลุ่มนี้มีความซับซ้อน ขณะที่จำนวนนักพัฒนาซอฟต์แวร์ด้านนี้กำลังขาดตลาดทำให้ Mobile Application ของภาคอุตสาหกรรมเกิดปัญหาการขาดแคลนอย่างมากสวนทางกับความต้องการที่เพิ่มขึ้น

สิ่งที่จะเกิดขึ้นนอกจากจะทำให้ภาคอุตสาหกรรมได้มีนักพัฒนาซอฟต์แวร์ด้านโทรศัพท์มือถือเข้ามาสนับสนุนเทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพแล้ว ยังทำให้เกิดการจับคู่ทางธุรกิจระหว่างกัน ทำให้เกิดการเรียนรู้ของทั้งสองฝ่ายจนเกิดเป็นแอพพลิเคชันที่ดีและทำงานตรงกับความต้องการได้ คาดว่าในช่วงปีแรกจะมีแอพพลิเคชันทางด้านอุตสาหกรรมมารองรับประมาณ 10-20 โปรแกรม โดยทางกรมส่งเสริมอุตสาหกรรมและศรีปทุมจะร่วมกันหาแนวทางการสนับสนุนทั้งในส่วนของนักพัฒนาซอฟต์แวร์ และกลุ่มภาคอุตสาหกรรมที่จะนำโปรแกรมไปใช้งาน

สำหรับเป้าหมายในปี 2555 ในโครงการ ECIT นั้น กรมส่งเสริมอุตสาหกรรมยังวางตัวเลขและงบประมาณหลักอยู่ที่การมุ่งเน้นให้ภาคอุตสาหกรรม SMEs เข้ามาใช้ระบบ ERP ผ่านทางออนไลน์ให้ได้จำนวน 120 ราย และใช้โปรแกรมทั่วไปผ่านทางออนไลน์อีก 80 ราย และมุ่งเน้นให้กลุ่มอุตสาหกรรมต่างๆ เข้ามาสู่ระบบ e-commerce และระบบ e-supply chain จำนวน 2,000 ราย โดยมีการอบรมการใช้งานไอทีให้ได้ 700 รายเพื่อเป็นพื้นฐานในการเข้ามาใช้ระบบไอทีของ ECIT ต่อไป รวมถึงจัดสัมมนาให้ความรู้แก่ภาคอุตสาหกรรมอีก 1,000 ราย ส่งเสริมระบบ Dead Stock Management จำนวน 200 กิจการ โดยใช้งบประมาณทั้งโครงการในปี 2555 ประมาณ 50 ล้านบาท
 
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ชัยวัฒน์ อุตตมากร ผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายเทคโนโลยี และคณบดีเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยศรีปทุม เปิดเผยว่า ทางม.ศรีปทุมได้ทำโครงการร่วมมือกับกรมส่งเสริมอุตสาหกรรมใน โครงการความร่วมมือพัฒนาศักยภาพ SMEs ด้วยไอที โดยจะเข้ามาช่วยให้ SMEs ภาคอุตสาหกรรมมีแนวทางในการประยุกต์ใช้ไอทีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น มีเป้าหมายที่จะให้โรงงานจำนวน 700 โรงได้เข้ามาฝึกอบรมด้านไอทีในเชิงลึก แตกต่างจากเดิมที่จะเน้นแค่พื้นฐาน โดยจะนำหลักสูตรที่อยู่ในมหาวิทยาลัยตั้งแต่ระดับปริญญาตรี และหลักสูตร คพอ. ที่กรมส่งเสริมอุตสาหกรรมจัดอยู่แล้วมาเป็นแกนหลักในการพัฒนาบุคลากร

เมื่อได้โรงงานที่มีพื้นฐานและเข้าใจในการนำระบบไอทีไปใช้ในการเพิ่มประสิทธิภาพแล้ว ก็จะทำความร่วมมือกับกรมส่งเสริมอุตสาหกรรมใน 2 ด้าน ในส่วนแรกทางศรีปทุมจะสร้าง Incubation Center หรือศูนย์บ่มเพาะของกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีความตั้งใจและมีพื้นฐานในการนำไอทีไปใช้  หลังจากนั้นจะมีการผลักดันให้กลุ่มโรงงาน SMEs เหล่านี้ได้เข้าในโครงการหลักของ ECIT ด้วยการคัดเลือกและประสานกับซอฟต์แวร์เฮ้าส์ที่ให้บริการด้านซอฟต์แวร์ในระบบ SaaS หรือ Software as a Service ที่ทำงานผ่านระบบ Cloud Computing จากการคัดเลือกของกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม
ในส่วนที่ 2 นั้นทางศรีปทุมจะจัดทำโครงการ Econovation Appcenter and Incubator for Mobile Developers เนื่องจากปัจจุบันประเทศไทยขาดแคลนนักพัฒนาซอฟต์แวร์ทางด้านโทรศัพท์มือถืออย่างหนัก ความต้องการในปัจจุบันมีมากกว่าแรงงานกว่า 3 เท่า ขณะเดียวกันนโยบายของศรีปทุมต้องการสร้างแนวทางการพัฒนาคนให้เน้นหนักทางด้าน ICT ทั้งในส่วนของระดับ Certified หรือระดับประกาศนียบัตร และ Standard หรือหลักสูตรทั่วไป รวมถึงการเพิ่มในระดับ Success Entrepreneur หรือการสร้างผู้ประกอบการให้ประสบความสำเร็จด้วยไอที

ในโครงการนี้ศรีปทุมจะผลักดันให้เกิดวิสาหกิจทางด้านแอพพลิเคชันทางโทรศัพท์มือถือขึ้นมาไม่ว่าจะใช้ระบบปฏิบัติการ IOS ของแอปเปิ้ล, ระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ของกูเกิล และระบบปฏิบัติการ Black Berry ของ ด้วยการผลักดันให้นักศึกษาของศรีปทุมที่มีความเชี่ยวชาญด้านการเขียนโปรแกรมโทรศัพท์มือถือ ที่คาดว่าในปีแรกจะมีประมาณ 40 ราย ได้จัดตั้งบริษัทใหม่ของตนเองขึ้น รวมถึงรับนักพัฒนาโปรแกรมทางโทรศัพท์มือถือที่โดดเด่นจากภายนอกมหาวิทยาลัยมาเข้าร่วมอีก 20 ราย ทั้งหมดจะคดเลือกให้เหลือ 20 ราย โดยจะมีหน่วยงานเครือข่ายเพื่อทำหน้าที่ Coaching หรือผู้ฝึกสอนจากหน่วยงานที่เชี่ยวชาญเรื่องนี้ไม่ว่าจะเป็น เขตอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ประเทศไทย หรือ ซอฟต์แวร์พาร์ค, สำนักงานส่งเสริมอุตคสาหกรรมซอฟต์แวร์แห่งชาติ หรือ SIPA, สมาคมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ไทย หรือ ATSI และทาง True Appcenter เป็นต้น

สิ่งที่ศรีปทุมจะเข้าไปสนับสนุนจะเริ่มตั้งแต่การให้สิ่งอำนวยความสะดวกในการเริ่มต้นธุรกิจ เช่น การให้ใช้ Mobile Application Lab หรือห้องทดลองการสร้างแอพพลิเคชันสำหรับโทรศัพท์มือถือ ซึ่งถือว่าเป็นห้องแล็บชั้นนำของประเทศไทยเลยทีเดียว นอกจากนั้นยังจะมีศูนย์ศึกอบรมของแอปเปิ้ลโดยตรง หรือ Authorized Training Center โดยมี Registered IOS Developer Program ที่เน้นหนักการพัฒนาซอฟต์แวร์บนไอโฟนที่ผ่านมาตรฐาน รวมถึงโครงการ iTune U ที่เป็นโครงการสำหรับนักพัฒนาจากมหาวิทยาลัยเท่านั้น

เมื่อทางศรีปทุมได้เข้ามาบ่มเพาะทั้งทางผู้ประกอบการอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ในระดับ SMEs ได้เตรียมความพร้อมทางด้านไอทีแล้ว บวกกับได้เตรียมการทางด้านผู้ผลิตซอฟต์แวร์ด้านโทรศัพท์มือถือเอาไว้ ต่อจากนั้นทางศรีปทุมจะจับคู่ทางธุรกิจ หรือ Business Matching ระหว่างทั้งสองกลุ่ม เพื่อให้ทางผู้ประกอบการ SMEs ได้นำเสนอความต้องการทางด้านภาคอุตสาหกรรมของตนเอง ขณะที่นักพัฒนาซอฟต์แวร์ทางด้านโทรศัพท์มือถือสามารถพัฒนาโปรแกรมใหม่ๆ เพื่อนำมาใช้ในภาคอุตสาหกรรมขึ้นมา ซึ่งขณะนี้ซอฟต์แวร์ทางด้านนี้ยังมีจำนวนที่น้อยมาก

สำหรับรายละเอียดของผู้ที่จะเข้าร่วมโครงการบ่มเพาะการสร้างแอพพลิเคชันทางโทรศัพท์มือถือนั้น คาดว่าจากจำนวน 20 รายนั้น จะมาจากนักศึกษาจบใหม่ที่มีแนวคิดและตั้งใจจะเป็นผู้ประกอบการใหม่ หรือเป็นผู้ว่างงานที่มีความตั้งใจเป็นผู้ประกอบการ หรือเป็นผู้ประกอบการซอฟต์แวร์ที่เริ่มต้นประกอบธุรกิจในระยะเวลา 1-3 ปีที่ผานมาแต่ธุรกิจยังไม่เข้มแข็งและมีความสนใจทางด้านนี้ รวมถึงผู้ประกอบอาชีพอื่นอยู่แล้วหรือผู้รับจ้างอิสระแต่ตั้งใจจะเปลี่ยนมาเป็นผู้ประกอบการ สุดท้ายคาดว่าโครงการนี้จะทำให้เกิดวิสาหกิจทางด้าน Mobile Application ไม่น้อยกว่า 10 รายต่อปี

อย่างไรก็ตามทางศรีปทุมจะมีโครงการที่ผลักดันทางด้านนี้อย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นโครงการแอพพลิเคชันเฉลิมพระเกียรติ 84 พรรษา หรือ 84AppsForTheKing โครงการ mLearning, โครงการ Mobile SMEs : BI-Cloud ที่จะร่วมมือกับกรมส่งเสริมอุตสาหกรรมในอีก 2 ปีข้างหน้า, โครงการ Software Camp และอื่นๆ ซึ่งจะทำให้กลุ่มพัฒนาซอฟต์แวร์ทางด้านโทรศัพท์มือถือที่เข้ามาอยู่ในเครือข่ายของศรีปทุมมีความแข็งแกร่ง ซึ่งจะตรงกับแนวทางการสร้างศรีปทุมให้เป็นมหาวิทยาลัยที่โดดเด่นทางด้าน ICT

View :1688
Categories: Press/Release Tags: ,

อนุกรรมการ กสทช. ประสาน 13 บริษัทร่วมแก้ปัญหามือถือ-เน็ต

August 23rd, 2011 No comments

อนุฯ คุ้มครองผู้บริโภคโทรคมนาคมผนึกกำลัง 13 บริษัท หวังแก้ปัญหาผู้ใช้บริการมือถือ เน็ตและโทรศัพท์บ้าน โดยทำให้เรื่องร้องเรียนได้รับการแก้ไขอย่างมีประสิทธิภาพและมีการหาทางออกร่วมกันในเรื่องเชิงนโยบาย ผลประชุมเบื้องต้นทุกบริษัทเห็นชอบในหลักการแล้ว ขั้นต่อไปจะพัฒนาสู่การลงนามบันทึกความตกลงร่วมกัน

นางสาวสารี อ๋องสมหวัง ประธานคณะอนุกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคในกิจการโทรคมนาคม ในคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช) เปิดเผยว่า ขณะนี้คณะอนุกรรมการฯ ได้มีการทำความตกลงเบื้องต้นกับผู้ให้บริการโทรคมนาคมทั้งโทรศัพท์มือถือ อินเทอร์เน็ตและโทรศัพท์บ้านจำนวน 13 ราย เพื่อพัฒนางานด้านการคุ้มครองผู้บริโภคร่วมกัน ทั้งในมิติของปัญหาที่ผู้บริโภคร้องเรียน และในมิติที่เป็นประเด็นเชิงนโยบาย

แนวคิดที่จะทำความร่วมมือนี้เกิดจากการที่คณะอนุกรรมการฯ มีประสบการณ์การพิจารณาเรื่องร้องเรียนของผู้บริโภคที่ร้องเรียนกับสถาบันคุ้มครองผู้บริโภคในกิจการโทรคมนาคม หรือ สบท. ซึ่งพบว่าในแต่ละปีมีผู้บริโภคที่ประสบปัญหาและใช้สิทธิร้องเรียนหลายพันราย บางส่วน สบท. สามารถให้คำปรึกษาในการแก้ไขได้ อีกส่วนเป็นเรื่องที่ต้องส่งต่อให้บริษัทผู้ให้บริการแก้ไข เฉลี่ยมากกว่า 2,000 เรื่องต่อปี ส่วนใหญ่เป็นเรื่องที่แก้ไขได้ แต่ยังใช้ระยะเวลาค่อนข้างนาน จึงเป็นเรื่องที่ควรต้องเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการเรื่องร้องเรียนร่วมกัน อีกส่วนหนึ่งเป็นเรื่องที่แก้ไขไม่ได้ เนื่องจากสาเหตุต่างๆ เช่น ยังไม่มีแนวนโยบาย เป็นเรื่องของระบบการให้บริการ ฯลฯ ซึ่งจำเป็นต้องแสวงหาแนวทางแก้ไขในภาพรวม

“เราทำเรื่องร้องเรียนโทรคมนาคมโดยตรงและเรารู้ว่าปัญหาที่เข้ามาเป็นเรื่องอะไร จึงต้องการแก้ปัญหาเรื่องร้องเรียนให้ได้มากที่สุด ทั้งที่เป็นรายกรณีและที่เป็นภาพใหญ่ อีกสิ่งที่ต้องการให้เกิดขึ้นก็คือ การผลักดันให้งานคุ้มครองผู้บริโภคเป็นสาระหลักประการหนึ่งที่ทุกบริษัทโทรคมนาคมต้องให้ความสำคัญ อันนี้คือเรื่องใหญ่”นางสาวสารีกล่าว

ทั้งนี้ ที่ผ่านมาคณะอนุกรรมการฯ มีการประชุมร่วมกับผู้แทนบริษัทต่างๆ ไปแล้ว 2 ครั้ง ผลจากการหารือครั้งล่าสุดปรากฏว่า คณะอนุกรรมการฯ และบริษัทผู้ให้บริการโทรคมนาคม 13 ราย ได้บรรลุข้อตกลงเบื้องต้นที่เพิ่มประสิทธิภาพการแก้ไขปัญหาเรื่องร้องเรียน ด้วยวิธีการพัฒนาช่องทางการรับเรื่องและการร่วมมือแก้ปัญหา ไม่ว่าจะเป็นการประชุมหารือกรณีร้องเรียนเป็นประจำ การจัดไกล่เกลี่ยข้อร้องเรียน ๓ ฝ่ายทางโทรศัพท์ เป็นต้น ส่วนการพัฒนามาตรการแก้ไขปัญหาร่วมกันในเชิงนโยบาย มีแนวทางเช่น การจัดตั้งคณะทำงานร่วมรายประเด็น การประชุมปฏิบัติการ การจัดเวทีรับฟังความคิดเห็นผู้บริโภค และการให้ความรู้แก่ผู้บริโภคในประเด็นปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

สำหรับขั้นตอนต่อไปจะมีการพัฒนาเนื้อหาของ MOU ภายใต้กรอบที่ตกลงแล้ว จากนั้นคณะอนุกรรมการฯ จะนัดหมายลงนามกับบริษัทต่างๆ ตามความพร้อมและความสมัครใจของแต่ละบริษัท

ในส่วนของรายชื่อ 13 บริษัทที่เห็นชอบในหลักการเบื้องต้น โดยมีการทำบันทึกการประชุมร่วมกันแล้วได้แก่ บริษัท 365 คอมมูนิเคชั่น จำกัด บริษัท กสท. โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) บริษัท ทริปเปิลที อินเทอร์เน็ต จำกัด บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน ) บริษัท ทรูมูฟ จำกัด บริษัท ทรูอินเทอร์เน็ต จำกัด บริษัท ทีทีแอนด์ที จำกัด บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด บริษัท ล็อกเล่ย์ จำกัด บริษัทสามารถ ไอ-โมบาย จำกัด บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด และบริษัท ฮัทชิสัน ซีเอที ไวร์เลส มัลติมีเดีย จำกัด

View :1395