Archive

Archive for the ‘Press/Release’ Category

นักวิจัยเนเทค คว้ารางวัลสภาวิจัยแห่งชาติ ในเวที “วันนักประดิษฐ์” ประจำปี ๒๕๕๕

February 3rd, 2012 No comments


(ซ้ายมือ)ดร.อดิสร เตือนตรานนท์ นักวิจัยและหัวหน้าห้องปฏิบัติการนาโนอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องกลจุลภาค ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) ได้รับรางวัลสภาวิจัยแห่งชาติ: รางวัลผลงานประดิษฐ์คิดค้น ระดับดี ประจำปี ๒๕๕๕ ในสาขาด้านเกษตรศาสตร์และอุตสาหกรรมการเกษตร จากผลงานวิจัยเรื่อง “เครื่องวัดความขุ่นสำหรับตรวจเชื้อไวรัสในกุ้ง”

(ขวามือ) ดร.จันตรี ผลประเสริฐ นักวิจัยจากหน่วยปฎิบัติการวิจัยนวัตกรรมไร้สาย ข้อมูลความมั่นคง และนวัตกรรมอิเล็กทรอนิกส์เพื่ออนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อม ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ หรือเนคเทค ได้รับรางวัลวิทยานิพนธ์ระดับดี ในสาขาเทคโนโลยีสารสนเทศและนิเทศศาสตร์ จากวิทยานิพนธ์หัวข้อ “การส่งสัญญาณแบบความถี่กว้างบนช่องสัญญาณที่มีการกระจายทั้งในทางเวลาและความถี่ (Wideband Communications over Time and Frequency Spread Fading Channels)”, University of Washington, Seattle, USA

ในงานพิธีการมอบรางวัลสภาวิจัยแห่งชาติ ประกอบด้วยรางวัลนักวิจัยดีเด่นแห่งชาติ รางวัลผลงานวิจัย รางวัลวิทยานิพนธ์ และรางวัลผลงานประดิษฐ์ โดยมีพลเอกยุทธศักดิ์ ศศิประภา รองนายกรัฐมนตรี ร่วมเป็นประธานในพิธีมอบรางวัล ซึ่งพิธีการดังกล่าวจัดขึ้นในงาน “” ประจำปี ๒๕๕๕ ณ ฮอลล์ ๙ ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุม อิมแพ็ค เมืองทองธานี จังหวัดนนทบุรี

View :1660

นักวิชาการม.อ.คว้ารางวัลนักวิจัยดีเด่น ปี 2554

February 2nd, 2012 No comments

คิดค้นชุดตรวจวัดฟอร์มาลดีไฮด์ราคาถูก ลดเสี่ยงเกิดโรคมะเร็งในโรงงาน

นักวิชาการ คณะวิทยาศาสตร์ ม.อ.หาดใหญ่ คว้ารางวัลนักวิจัยดีเด่น ประจำปี 2554 สาขาวิทยาศาสตร์ เคมีและเภสัช จาก สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) หลังคิดค้นประดิษฐ์ชุดตรวจวัดฟอร์มาลดีไฮด์ราคาประหยัด ตรวจวัดระดับสารระเหยอินทรีย์ที่มีพิษก่อให้เกิดโรคมะเร็งในโรงงานอุตสาหกรรม

รองศาสตราจารย์ ดร.บุญสม ศิริบำรุงสุข อธิการบดี มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (ม.อ.) เปิดเผยว่า การคัดเลือกผู้ได้รับรางวัลนักวิจัยดีเด่นแห่งชาติประจำปี 2554 ซึ่งเป็นรางวัลอันทรงเกียรติสูงสุดสำหรับนักวิจัย โดยสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) นั้น ปรากฏว่า รองศาสตราจารย์ ดร.เพริศพิชญ์ คณาธารณา หัวหน้าทีมวิจัยและอาจารย์ประจำภาควิชาเคมี คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ ได้รับเลือกให้รับรางวัลดังกล่าว ในสาขาวิทยาศาสตร์ เคมีและเภสัช

โดยในปีนี้ มีนักวิจัย 10 คน ได้รับรางวัล “” ใน 8 สาขา ได้แก่ สาขาวิทยาศาสตร์กายภาพและคณิตศาสตร์ สาขาวิทยาศาสตร์การแพทย์ สาขาวิทยาศาสตร์เคมีและเภสัช สาขาเกษตรศาสตร์และชีววิทยา สาขาวิศวกรรมศาสตร์และอุตสาหกรรมวิจัย สาขารัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ สาขาเศรษฐศาสตร์ และสาขาสังคมวิทยา

สำหรับรางวัลนักวิจัยดีเด่นแห่งชาติ เป็นรางวัลที่สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ มอบให้นักวิจัยไทยที่มีคุณสมบัติโดดเด่น เป็นผู้ที่อุทิศตนให้แก่การวิจัยในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง หรือหลายเรื่อง ในกลุ่มวิชาการหรือสหวิทยาการอย่างต่อเนื่อง มีผลงานวิจัยดีเด่นที่แสดงถึงความคิดริเริ่มและเป็นผลงานวิจัยที่ทําสะสมกันมาไม่น้อยกว่า 5 ปี มีจริยธรรมของนักวิจัยจนเป็นที่ยอมรับและยกย่องในวงวิชาการนั้นๆ ผลงานวิจัยสร้างคุณูปการต่อวงวิชาการและประชาชน สมควรเป็นแบบอย่างแก่นักวิจัยผู้อื่นได้ และเป็นผู้ซึ่งได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการบริหารสภาวิจัยแห่งชาติ และสํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติให้เป็นนักวิจัยดีเด่นแห่งชาติ เพื่อส่งเสริมและเชิดชูเกียรติ เหมาะสมที่จะได้รับการยอมรับยกย่อง เพื่อเป็นแบบอย่างแก่นักวิจัยอื่นๆ ต่อไป

อธิการบดี ม.อ. กล่าวด้วยว่า รองศาสตราจารย์ ดร.เพริศพิชญ์ คณาธารณา หัวหน้าทีมวิจัยและเป็นผู้อำนวยการสถานวิจัยการวิเคราะห์สารปริมาณน้อยและไบโอเซนเซอร์ ภาควิชาเคมี คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ ซึ่งเป็นผู้ได้รับรางวัลนักวิจัยดีเด่นประจำปี 2554 ในสาขาวิทยาศาสตร์เคมีและเภสัชนั้น เป็นผู้เริ่มคิดค้นประดิษฐ์ชุดตรวจวัดฟอร์มาลดีไฮด์ราคาประหยัด โดยพัฒนาตัวดูดซับสำหรับการวิเคราะห์สารพิษ ด้วยวัสดุคอมโพสิทของท่อนาโนคาร์บอนและครัยโอเจล ที่ง่ายต่อการใช้งาน มีขนาดเล็ก เพื่อนำไปใช้ตรวจวัดฟอร์มาลดีไฮด์ ซึ่งเป็นสารระเหยอินทรีย์ที่มีพิษก่อให้เกิดโรคมะเร็งในโรงงานอุตสาหกรรมและอากาศทั่วไป ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งของแรงงานที่อยู่ในอุตสาหกรรมการผลิตกาว

“รองศาสตราจารย์ ดร.เพริศพิชญ์ เป็นหัวหน้าทีมวิจัยที่มีความเชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์เคมีและเป็นนักวิชาการที่มีผลงานวิจัยและการประดิษฐ์ที่ได้รับการยอมรับ ที่คิดค้นงานวิจัยด้านกระบวนการวิทยาศาสตร์เคมีที่มีความหลากหลาย ทั้งด้านสิ่งแวดล้อมและอุตสาหกรรม ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งจากการได้รับสารพิษ ซึ่งนับเป็นอีกหนึ่งความภาคภูมิใจของมหาวิทยาลัยที่ผลิตนักวิจัยที่มีคุณภาพ เพื่อพัฒนาประเทศไทยให้ก้าวหน้าในด้านวิทยาศาสตร์ และงานวิจัย ที่จะยังผลต่อการเติบโตอย่างมั่นคงของประเทศในอนาคต” อธิการบดี ม.อ.กล่าว

ทั้งนี้ พิธีมอบรางวัลแก่นักวิจัยดีเด่นแห่งชาติ จัดขึ้นในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2555 ในงานวันนักประดิษฐ์ ประจำปี 2555 ณ ฮอลล์ 9 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี จังหวัดนนทบุรี โดยรางวัลที่นักวิจัยดีเด่นแห่งชาติจะได้รับครั้งนี้ ประกอบด้วย เงินรางวัลมูลค่า 500,000 บาท เหรียญนักวิจัยดีเด่นแห่งชาติ และประกาศนียบัตรเชิดชูเกียรติคุณ

View :1610

สัมมนาประชาคมความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ ระดมความคิดเห็นในการจัดทำกรอบนโยบายการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์

February 2nd, 2012 No comments

รัฐมนตรีไอซีทีเร่งผลักดันกรอบนโยบายความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ไทย ตั้งเป้าเสร็จภายใน 3 เดือน จัดระดมความคิดเห็นจากกว่า 80 หน่วยงาน เผยทุกวันนี้ภัยคุกคามไซเบอร์สร้างความเสียหายรุนแรงขึ้น จำเป็นต้องมีกรอบนโยบายมารองรับความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและการใช้เทคโนโลยีเพื่อติดต่อสื่อสารหรือทำธุรกรรมที่มีแนวโน้มเพิ่มจำนวนมากขึ้น

เมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา ณ โรงแรมอมารี ดอนเมือง นาวาอากาศเอก อนุดิษฐ์ นาครทรรพ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ได้เป็นประธานเปิดงานและบรรยายพิเศษเรื่อง “ประเทศไทยกับการกำหนดทิศทางและกรอบนโยบายเพื่อรับมือภัยคุกคามความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์”โดยกล่าวถึงความจำเป็นของการมีกรอบนโยบายเกี่ยวกับการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ของประเทศไทย อันเนื่องมาจากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี และการใช้งานเทคโนโลยีเพื่อติดต่อสื่อสารและทำธุรกรรมด้านต่างๆ ที่มีแนวโน้มเพิ่มจำนวนสูงขึ้น

ปัจจุบันพัฒนาการทางเทคโนโลยีสารสนเทศมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เช่น การใช้การสื่อสารความเร็วสูงด้วยเทคโนโลยีทั้งมีสาย เช่น ADSL และเทคโนโลยีไร้สาย เช่น Wi-Fi และ 3G หรือเทคโนโลยีการทำงานแบบคลาวด์ (Cloud Computing) ซึ่งไม่จำเป็นต้องมีระบบฮาร์ดแวร์ (Hardware) และซอฟต์แวร์ (Software) ของตนเองในการดำเนินงานหรือจัดการกับระบบสารสนเทศ เป็นต้น และเมื่อประกอบกับจำนวนการใช้คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์เคลื่อนที่ และอินเทอร์เน็ต ในการติดต่อสื่อสารหรือใช้ในการทำธุรกรรมต่างๆ ที่เพิ่มสูงขึ้น จึงก่อให้เกิดสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการกระทำความผิด ไม่ว่าในรูปการก่อการร้าย การกระทำที่มีผลกระทบต่อความมั่นคงของรัฐ หรือการกระทำที่มีผลต่อโครงสร้างพื้นฐานสำคัญของประเทศ เช่น ระบบไฟฟ้า ระบบการขนส่งมวลชน เป็นต้น รวมทั้งการสร้างความตื่นตระหนกตกใจแก่ประชาชนหรือภัยที่มีผลคุกคามต่อสิทธิความเป็นส่วนตัวของประชาชน

นาวาอากาศเอกอนุดิษฐ์ฯ กล่าวว่า “สำหรับประเทศไทยนั้น ศูนย์ประสานการรักษาความมั่นคงปลอดภัยระบบคอมพิวเตอร์ หรือ ไทยเซิร์ต (ThaiCERT: Thailand Computer Emergency Response Team) ได้รวบรวมสถิติการแจ้งเหตุภัยคุกคามไซเบอร์ และพบว่ากิจกรรมที่เป็นภัยคุกคามนั้นมี 4 ประเภทหลักคือ หนึ่ง การฉ้อโกงหรือ Phishing พบมากที่สุด ซึ่งครอบคลุมทั้งกรณีที่ธนาคารต่างประเทศพบเว็บไซต์ในประเทศไทยซึ่งไปเลียนแบบเว็บไซต์ธนาคาร และกรณีที่ธนาคารไทยพบเว็บไซต์ในต่างประเทศซึ่งเลียนแบบเว็บไซต์ธนาคาร สองคือการบุกรุกเจาะระบบ ซึ่งรวมถึงกิจกรรมการเตรียมการเจาะระบบ ได้แก่การทดลองแสกนหาช่องโหว่ และเมื่อพบช่องโหว่แล้วจึงทดสอบเจาะระบบ สามคือสแปมเมล คือการส่งเมลออกไปถึงคนจำนวนมากโดยที่ผู้รับไม่ได้ร้องขอ หรือไม่ต้องการ และสี่คือ มัลแวร์ เป็นการส่งซอฟต์แวร์ไม่พึงประสงค์ไปฝังตัวในเครื่องผู้ใช้งาน”

ดังนั้น เพื่อเป็นการรับมือกับภัยคุกคามที่กระทำต่อเครือข่ายการติดต่อสื่อสารในรูปแบบต่าง ๆ ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วไม่อาจคาดเดาได้โดยง่ายว่าจะมาในรูปแบบหรือวิธีการเช่นใด เนื่องจากผู้กระทำสามารถลงมือกระทำความผิดได้แม้อยู่ต่างที่ต่างถิ่น และสามารถสร้างความเสียหายให้กับโครงสร้างพื้นฐานสำคัญของประเทศโดยอาศัยคอมพิวเตอร์เพียงหนึ่งเครื่องเป็นเครื่องมือในการกระทำความผิด จึงจำเป็นที่ประเทศไทยจะต้องมีการกำหนดทิศทาง นโยบาย มาตรการและโดยเฉพาะอย่างยิ่งการจัดทำแผนแม่บทด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติขึ้น โดยให้ครอบคลุมถึงมิติการรักษาความมั่นคงปลอดภัยทางการทหาร การรักษาความสงบเรียบร้อยภายในประเทศ โครงสร้างพื้นฐานสำคัญของประเทศ และรักษาความมั่นคงทางเศรษฐกิจ

โดยการระดมความคิดเห็นครั้งนี้แบ่งเป็นสี่กลุ่มสำคัญ ได้แก่ ด้านความมั่นคงของประเทศ ด้านความสงบเรียบร้อยภายในประเทศ ด้านเศรษฐกิจ และด้านสาธารณูปโภคสำคัญ ผลจากการระดมความคิดเห็นทั้ง 4 กลุ่ม พบว่าประเด็นหลักที่กล่าวถึงกันมากคือ ความกังวลเรื่องการโจมตีระบบ และการใช้เทคโนโลยีเพื่อแพร่กระจายข่าวสารที่บิดเบือน โดยสิ่งสำคัญที่จะช่วยป้องกันเหตุการณ์ดังกล่าวได้แก่ การสร้างความตระหนักเรื่องการรักษาความมั่นคงปลอดภัยให้แก่ผู้ใช้เทคโนโลยี การมีกฎหมายรองรับด้านไซเบอร์ ที่ชัดเจนและบังคับได้จริง การพัฒนาขีดความสามารถของบุคลากรด้านไอที และบุคลากรด้านกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เป็นต้น ส่วนปัญหาที่เหมือนกันในเกือบทุกหน่วยงานก็คือปัญหาทางงบประมาณด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัย และงบประมาณในการพัฒนาบุคลากรที่เกี่ยวข้อง

สำหรับกรอบนโยบายดังกล่าว สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) หรือ สพธอ. ซึ่งเป็นหน่วยงานน้องใหม่ของกระทรวงไอซีที เป็นหน่วยงานที่ได้รับนโยบายสำคัญจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในการผลักดันให้แล้วเสร็จในเดือนมีนาคมนี้ เพื่อใช้เป็นแนวทางการวางยุทธศาสตร์ในแผนแม่บทเป็นลำดับต่อไป โดยเมื่อร่างกรอบนโยบายฯ แล้วเสร็จและมีการนำเสนอต่อคณะกรรมการที่เกี่ยวข้องแล้ว สพธอ.จะนำร่างกรอบที่ผ่านการพิจารณามาพัฒนาให้เป็นแผนแม่บทความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ เพื่อนำไปสู่การเปิดรับฟังความคิดเห็นสาธารณะและนำความคิดเห็นมาแก้ไขเพิ่มเติมจนเป็นแผนแม่บทที่สมบูรณ์ ต่อจากนั้นจะนำเสนอเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเพื่ออนุมัติในที่สุด

View :1668

สวทช. ม.สงขลาฯ ม.ขอนแก่น ม.เทคโนโลยีสุรนารี เปิดหน้าร้านร่วมบริการเทคโนโลยีสู่ภูมิภาค

February 2nd, 2012 No comments

รวมพลัง 3 มหาวิทยาลัยชื่อดัง เปิดหน้าร้านร่วมบริการเทคโนโลยีสู่ภูมิภาคด้วยกัน เน้นนโยบายเชิงรุกปลุกสร้างอุตสาหกรรมปลายน้ำจากวัตถุดิบหลักในพื้นที่ เผยลดขั้นตอนการสนับสนุนพร้อมตอบโจทย์ธุรกิจท้องถิ่นได้ถูกต้อง

ดร.ทวีศักดิ์ กออนันตกูล ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เปิดเผยว่า สวทช.ได้ร่วมลงนามกับ เครือข่ายมหาวิทยาลัยที่มีฐานการวิจัยและมีความพร้อม คือ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น และ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี เพื่อจัดตั้ง หน่วยงานเครือข่ายส่งเสริมเทคโนโลยี สวทช. – หน่วยงานเครือข่าย โดยแต่ละหน่วยงานภายใต้ ความร่วมมือในครั้งนี้สามารถช่วยเหลือและสนับสนุนผู้ ประกอบการโดยใช้กลไกบริการสนับสนุนผู้ ประกอบการด้านต่างๆ ทั้งสวทช. และหน่วยงานเครือข่ายได้อย่างครบวงจรสิ่งที่ผู้ประกอบการในท้องถิ่นจะได้รับจากความร่วมมือครั้งนี้คือ เข้าถึงผลงานวิจัยพัฒนาการสนับสนุน ด้านการเงินจากโครงการสนับสนุนด้านสิน เชื่อดอกเบี้ยต่ำ (CD) ศูนย์ลงทุน (NIC) การให้บริการ ด้านทรัพย์สินทางปัญญา (IPS) โครงการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีที่สามารถขอรับการรับรองจาก สวทช. เพื่อขอยกเว้นภาษี 200% (RDC) หรือแม้แต่การสนับสนุนส่วนอื่นๆ อีกมากมายตามแต่ที่โจทย์ ของภาคธุรกิจในพื้นที่จะร้องขอ

“มหาวิทยาลัยทั้ง 3 นั้น แต่ละแห่งมีความโดดเด่นทางด้านงานวิจัย และฐานของธุรกิจที่รองรับ ถือ เป็นการผนึกกำลังกับภาคการศึกษาที่มีความพร้อม ใช้จุดแข็งของแต่ละฝ่ายเสริมซึ่งกันและกัน เพื่อ ประโยชน์และเสริมศักยภาพให้กับอุตสาหกรรมยุทธศาสตร์ในพื้นที่” ดร.ทวีศักดิ์กล่าว

การรวมพลังในครั้งนี้ถือเป็นยุทธศาสตร์เชิงรุกของสวทช. ที่เน้นความร่วมมือกับพันธมิตรเครือ ข่ายกระจายบริการลงสู่ภูมิภาคอย่างเป็น ระบบ สวทช. จะบูรณาการการทำงานร่วมกันกับเครือ ข่ายส่งเสริมเทคโนโลยีสู่ผู้ประกอบการแบบ ครบวงจรเพื่อผลักดันให้เกิดการใช้มูลค่าเพิ่มจากการคิด ค้นนวัตกรรมใหม่ๆ รวมทั้งการส่งเสริมให้เกิดธุรกิจเทคโนโลยีใหม่ ที่มีขีดความสามารถในการแข่ง ขันสูง อันจะนำไปสู่การเพิ่มศักยภาพการแข่งขันของภาคการผลิตและบริการ รวมถึงการกระตุ้น เศรษฐกิจของประเทศให้เข้มแข็งอย่างยั่งยืนความร่วมมือครั้งนี้เป็นการเพิ่มช่องทางให้กับผู้ประกอบการ มีโอกาสเข้าถึงกลไกบริการและองค์ ความรู้ต่างๆ ผ่านเครือข่ายในแต่ละพื้นที่ ซึ่งสามารถส่งต่อโจทย์ความต้องการของผู้ประกอบการ ระหว่างหน่วยงานเครือข่าย และสวทช. และหาแนวทางเพื่อตอบโจทย์ให้กับผู้ประกอบการให้ได้รับ ประโยชน์สูงสุด ในการนำเทคโนโลยีไปต่อยอดธุรกิจและสร้างโอกาสใหม่ๆ แก่ธุรกิจให้ประสบ ความสำเร็จ ในขณะ เดียวกันยังเป็นการลดขั้นตอนการประสานงานต่างๆ ให้กับผู้ประกอบการ

สำหรับภาพใหญ่ของสวทช. ส่วนหนึ่งจะเน้นการสนับสนุนให้เกิดการนำวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไปใช้ใน กลุ่มผลิตภัณฑ์ มันสำปะหลัง และยางพารา ในปีนี้นั้นการร่วมมือหน่วยงานเครือข่ายดังกล่าว ถือว่าสอดคล้องกับแผนนี้อย่างมาก โดยภาคอีสานจะมีความโดดเด่นในด้านข้าว และมันสำปะหลัง ส่วนในภาคใต้ก็โดดเด่นในด้านยางพาราการที่สวทช.ได้ตั้งเป้าหมายใหญ่ไปที่กลุ่มอุตสาหกรรมทั้งสามด้านนี้ เพื่อต้องการขับเคลื่อนให้เกิดการ นำเทคโนโลยีไปสร้างมูลค่าเพิ่ม เนื่องจากสวทช.มีงานวิจัยจำนวนมากที่สนับสนุน แต่ขณะเดียวกัน ภาคธุรกิจยังไม่ได้รับข้อมูลและการผลักดันในระดับพื้นที่มา ก่อน ทำให้สถานะของการใช้เทคโนโลยีด้านนี้ยังน้อยอยู่ และเกิดอุตสาหกรรมปลายน้ำไม่มากนัก ซึ่งหากบทบาทของหน่วยงานเครือข่ายส่ง เสริมเทคโนโลยีเกิดขึ้นได้จริงผลที่ เกิดขึ้นคือจะเกิดภาคธุรกิจเกิดใหม่ขึ้นจำนวนมากที่ใช้วัตถุดิบหลัก เหล่านี้ไปสร้างมูลค่าเพิ่ม ทำให้ภาคการผลิตของไทยพัฒนามากขึ้น และลดการนำเข้าสินค้าจากต่าง ประเทศไปได้อย่างมาก จนในที่สุดเกิดความแข็งแกร่งจนกลายเป็นจุดแข็ง เพราะมีตั้งแต่กระบวน การต้นน้ำถึงปลายน้ำแบบครบวงจร

รศ. ดร. ชูศักดิ์ ลิ่มสกุล รองอธิการบดี ฝ่ายวิจัยและบัณฑิตศึกษามหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (ม.อ.) เปิดเผยว่า แนวทางและดำเนินการความร่วมมือกับอุตสาหกรรมของมอ.ในพื้นที่ภาคใต้มี หลาก หลายรูปแบบมาเป็นเวลานาน ทั้งในส่วนที่ม.อ.ดำเนินการเอง และร่วมกับหน่วยงานภายนอก อื่นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับสวทช. และเพื่อให้ชัดเจนในการดำเนินการเชิงรุกอย่างต่อเนื่อง โดย เฉพาะการพัฒนาด้านวิจัยและพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ม.อ. จึงจัดตั้งอุทยานวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ซึ่งเป็นหน่วยงานอิสระขับเคลื่อนกลไกความร่วมมือนี้ และยังจัดตั้งสำนัก งานความร่วมมืออุตสาหกรรม หรือ “OIL” (Office of Industrial Liaison) ภายใน อุทยานวิทยาศาสตร์ เพื่อดำเนินการและประสานงานความร่วมมือกับอุตสาหกรรม ในการพัฒนาศักยภาพด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของภาคอุตสาหกรรมให้มีขีดความ สามารถเพิ่มมากขึ้น สอด คล้องกับความต้องการของอุตสาหกรรม เชื่อมโยงระหว่างงานวิจัยและพัฒนากับภาคอุตสาหกรรมมากขึ้นอุตสาหกรรมในภาคใต้จะขึ้นอยู่กับฐานวัตถุดิบในพื้นที่เป็นสำคัญ ซึ่งอันดับหนึ่งก็คือยางพารา ส่วนที่ กำลังมาแรงในขณะนี้ก็คือปาล์ม จากการให้ความสำคัญขององค์ความรู้ทางด้านการผลิตเกี่ยวกับ ยางพารา จะทำให้ สวทช. กับ ม.อ. ซึ่งมีองค์ความรู้และผลงานวิจัยจำนวนมากจะร่วมมือกันเข้า ไปส่งเสริมและสนับ สนุนการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีให้กับธุรกิจในภาคใต้เติบโตขึ้นได้ถึง 30%

ในระยะเวลาอันสั้นต่อจากนี้ ผู้ประกอบการในภาคใต้จะเข้ามาใช้บริการต่างๆ ของ สวทช. และ ของ ม.อ.มากขี้น ไม่ว่าจะเป็นการสนับสนุนผู้เชี่ยวชาญมาให้คำปรึกษาโดยเฉพาะทางด้าน เทคโนโลยี สามารถดึงงานวิจัยที่เกี่ยวกับยางพาราและอื่นๆ ตามที่ผู้ประกอบการสนใจมาใช้ในเชิง พาณิชย์ได้อย่างง่ายดาย และลดขั้นตอนการเข้าถึงและใช้บริการ มีแผนสนับสนุนทางการตลาดที่จะ ผลักดันงานวิจัยตั้งแต่ต้นน้ำไปยังปลายน้ำ และการตลาดที่จะเข้าไปช่วยตั้งแต่ต้นจนถึงการจับคู่ทาง ธุรกิจของผู้ ประกอบการ เกิดโรงงานใหม่ในภาคการผลิตระดับปลายน้ำมากขึ้น ซึ่งถือเป็นการสร้าง มูลค่าเพิ่มระยะยาวของการผลิตน้ำยางพารา

ส่วนอุตสาหกรรมอื่นๆ นั้น ม.อ.และ สวทช.จะร่วมกันนำเทคโนโลยีจากการค้นคว้าวิจัยจากทั้งสอง หน่วยงาน เข้ามา Matching หรือจับคู่ เพื่อทำให้ระดับการวิจัยมีความเท่าเที่ยมกัน จนสามารถ เกิดการคิดค้นเทคโนโลยีใหม่ต่อยอดไปได้ กระบวนการดำเนินการในเบื้องต้นต่อจากนี้ ทาง ม.อ.กับสวทช.จะร่วมกันหารือเพื่อกำหนดขอบข่ายของการให้บริการร่วมกัน กลุ่มเป้าหมาย และ สร้างทิศทางในการสนับสนุน ทั้งนี้ทางสวทช. จะอบรมและพัฒนาเจ้าหน้าที่ของ ม.อ. เพื่อให้ใช้ บริการที่มีอยู่ของสวทช.อย่างเต็มที่ ซึ่งจะเป็นการลดขั้นตอนในการเข้ามาใช้บริการอย่างมาก และ ต่อไปก็จะทำให้หน่วยงานในท้องถิ่นมีความเข้มแข็ง สามารถนำแหล่งทุนและเทคโนโลยีมาสนับสนุนผู้ ประกอบการท้องถิ่นได้อย่างสะดวก ในอนาคต

รศ. ดร. รังสรรค์ วงศ์สรรค์ รองอธิการบดี ฝ่ายพัฒนา มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี เปิดเผย ว่า การที่สวทช. ร่วมกับ มทส. จัดตั้งศูนย์เครือข่ายในพื้นที่จะทำให้ผู้ประกอบการจะได้รับ ประโยชน์จากการ ให้บริการของอุทยานวิทยาศาสตร์ มทส. มากขึ้นตั้งแต่ การมีพื้นที่วิจัยที่อยู่ใกล้กับ นักวิจัย มทส. ซึ่งจะทำให้การดำเนินการวิจัยร่วมกันได้เสร็จเร็ว สะดวกขึ้น ค่าใช้จ่ายในการวิจัย และพัฒนาน้อยลง ด้วยการบริการแบบ One Stop Service ของอุทยานวิทยาศาสตร์ มทส. และ การเดินทางที่ไม่ไกล ได้รับการให้บริการด้านธุรกิจและบริการด้านอื่นๆ ของ อุทยานวิทยาศาสตร์ มทส. ที่สอดคล้องกับความต้องการของพื้นที่ ได้รับความสะดวกในการหาข้อมูลนักวิจัย และข้อมูล เทคโนโลยี เมื่อต้องการวิจัย ได้รับข้อมูลและการสนับสนุนช่วยเหลือของภาครัฐอื่นๆ ได้ง่ายขึ้นและ ครบถ้วนสิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังจากความร่วมมือคือ สามารถยกระดับผลิตภัณฑ์และความสามารถการแข่งขันให้สูง ขึ้น เป็นการส่งเสริมให้เกิดการใช้วัตถุดิบภายในประเทศ ส่งผลให้เกิดการสร้างรายได้ เกิดการ จ้างงานในท้องถิ่นทำให้ไม่ต้องย้ายถิ่นฐานเพื่อไปทำมาหากินที่อื่น เกิดความช่วยเหลือเกื้อกูลกันของ คนในชุมชน ทำให้เกิดการพัฒนาในระดับภูมิภาคอย่างยั่งยืนต่อไป มทส. จึงเป็นกลไกที่สำคัญในการ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจควบคู่ไปกับการพัฒนาเศรษฐกิจได้ อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล

View :1529

รัฐ ผนึกกำลังภาคเอกชน สร้างปรากฏการณ์ 4G บรอดแบนด์ไร้สายความเร็วสูงครั้งแรกในประเทศไทย

February 1st, 2012 No comments

ครั้งแรกของประเทศไทยที่ภาครัฐและเอกชน ประกอบด้วยกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร, คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ , ทีโอที, กสท.โทรคมนาคม, เอไอเอส และดีพีซี ผนึกกำลังเปิดประสบการณ์ บรอดแบนด์ไร้สายความเร็วสูงครั้งแรกในประเทศไทยด้วยเทคโนโลยี 4G หรือ Long Term Evolution-LTE ยืนยันศักยภาพความพร้อมเต็มรูปแบบ พร้อมเปิดให้ผู้บริโภคได้สัมผัสเทคโนโลยี 4G ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ก่อนเตรียมเปิดประมูลอย่างเป็นทางการเร็วๆนี้

นาวาอากาศเอกอนุดิษฐ์ นาครทรรพ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศ และการสื่อสาร กล่าวในพิธีเปิดงาน “ The First 100 Mbps” ว่า “จากแนวนโยบาย “สมาร์ท ไทยแลนด์” ของกระทรวง ICT ซึ่งนอกเหนือจากการเร่งเดินหน้านำเทคโนโลยีเข้ามาพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการสื่อสารของประเทศ สร้างการเติบโตของอัตราการเข้าถึงอินเตอร์เน็ตของคนไทยแล้ว อีกด้านคือ การหาเทคโนโลยีใหม่ๆที่มีความทันสมัยสร้างโอกาสในการเข้าถึงอินเตอร์เน็ตความเร็วสูงให้แก่ประชาชนทุกกลุ่ม อันจะเป็นการสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศด้วยอีกทางหนึ่ง นำไปสู่ที่มาของการจัดทดสอบเทคโนโลยี 4G หรือ Long Term Evolution-LTE ในวันนี้ ภายใต้การผนึกกำลังระหว่างภาครัฐและเอกชน ประกอบด้วย คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ ในฐานะมีบทบาทสำคัญที่สุดในการอนุมัติให้เกิดการทดสอบครั้งนี้ , บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) , บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) , บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) และ บริษัท ดิจิตอลโฟน จำกัด ในฐานะผู้ประกอบการ อันถือเป็นปรากฏการณ์ครั้งแรกและเป็นนิมิตรหมายอันดียิ่งถึงความร่วมมือที่จะนำพาให้ประเทศเดินหน้าอย่างเข้มแข็งโดยมีเทคโนโลยีสื่อสารโทรคมนาคมที่ทันสมัยที่สุดสนับสนุน”

ด้าน พลอากาศเอก ธเรศ ปุณศรี ประธานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ และ พันเอกเศรษฐพงค์ มะลิสุวรรณ รองประธานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติและประธานคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคม ในฐานะองค์กรผู้กำกับดูแลและอนุมัติให้เกิดการทดสอบทดลองในครั้งนี้ได้ร่วมกันเปิดเผยถึงรายละเอียดการทดสอบครั้งนี้ว่า “บทบาทหน้าที่ของ กสทช. นอกเหนือจากหน้าที่ในการจัดสรรคลื่นความถี่ ตลอดจนเทคโนโลยี ทั้งในส่วนของกิจการโทรคมนาคม กิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ เพื่อให้ผู้ใช้บริการและประเทศชาติได้รับบริการที่มีประสิทธิภาพ รวดเร็ว ถูกต้อง เกิดประโยชน์ และสร้างความเท่าเทียมกันแล้ว เรายังมีหน้าที่ติดตามเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่เล็งเห็นว่าจะเพิ่มโอกาสให้แก่ประชาชน และประเทศ จากนั้นนำมาทดลอง ทดสอบเพื่อกำหนดมาตรฐานก่อนที่จะเปิดประมูลอย่างเป็นทางการในอนาคต”
“เทคโนโลยี LTE-Long Term Evolution หรือ ที่เรารู้จักกันในชื่อของ 4G เป็น 1 ในเทคโนโลยีอนาคต ซึ่งมีคุณสมบัติที่สามารถตอบสนองการใช้งานบรอดแบนด์ไร้สายความเร็วสูง การเรียนรู้เพื่อเข้าใจถึงคุณสมบัติของเทคโนโลยีนี้อย่างถ่องแท้จึงเป็นเรื่องสำคัญ ดังนั้น กสทช.จึงได้อนุมัติให้ บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน), บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) , บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) และ บริษัท ดิจิตอลโฟน จำกัด ได้ทำการติดตั้งอุปกรณ์ดำเนินการทดสอบใน 2 เทคโนโลยี และ 2 พื้นที่ ประกอบด้วย

1. โครงการทดสอบและทดลองระบบบรอดแบนด์ไร้สายความเร็วสูง Broadband Wireless Access-BWA ในย่านความถี่ 2300 MHz ด้วยเทคโนโลยี Long Term Evolution ซึ่งใช้คลื่นความถี่ในลักษณะ Time Division Duplex หรือ TDD ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ทั้งในเขตพื้นที่ชั้นใน บริเวณถนนพระรามหนึ่งตั้งแต่ มาบุญครองถึงเซ็นทรัลเวิลด์ รวมถึงชั้นนอกจากศูนย์ราชการ กระทรวงไอซีที และ สำนักงานทีโอที แจ้งวัฒนะ โดยมีจำนวนสถานีฐาน 20 แห่ง เปิดให้ทดสอบถึงช่วงประมาณกลางเดือนพฤษภาคม 2555

2. โครงการทดสอบและทดลองระบบโทรศัพท์เคลื่อนที่ยุคที่ 4 ในย่านความถี่ 1800 MHz ด้วยเทคโนโลยี Long Term Evolution ซึ่งใช้คลื่นความถี่ในลักษณะ Frequency Division Duplex หรือ FDD ในพื้นที่ จ.มหาสารคาม ในเขตมหาวิทยาลัยมหาสารคาม และมหาวิทยาลัยราชภัฎมหาสารคาม โดยเบื้องต้นมีจำนวนสถานีฐาน 8 แห่ง เปิดให้ทดสอบถึงช่วงประมาณต้นเดือนมีนาคม 2555

โดยการทดสอบครั้งนี้เป็นรูปแบบของการทดสอบเชิงเทคนิคชั่วคราว หรือ Technical Trial ซึ่งมิได้แสวงหากำไรเชิงพาณิชย์ หรือ Non Commercial ทั้งนี้จะได้มีการเปิดโอกาสให้ทั้งกลุ่มเจ้าหน้าที่ทางเทคนิค พร้อมทั้งกลุ่มตัวอย่างของประชาชน นักเรียนนักศึกษา ได้ทำการทดสอบด้วย เพื่อเตรียมความพร้อมของผู้ประกอบการและเข้าใจถึงรูปแบบ

ความต้องการใช้งานของประชาชนในพื้นที่ได้อย่างครอบคลุม ก่อนที่ทางกสทช.จะได้นำข้อมูลดังกล่าวมาประกอบการจัดการประมูลที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ต่อไป”

ทั้งนี้ คุณธนวัฒน์ อัมพุนันทน์ รักษาการ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) ,คุณขจรศักดิ์ สิงหเสนี รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) ได้ร่วมกัน กล่าวว่า “ทั้ง ทีโอที และ กสท.นอกเหนือจากบทบาทของผู้ประกอบการที่มุ่งมั่นส่งมอบบริการที่ดีที่สุดให้แก่ลูกค้าแล้ว เรายังพร้อมร่วมกับพาร์ทเนอร์อย่าง เอไอเอส และ ดีพีซี ซึ่งทำงานร่วมกันมายาวนานและสร้างความสำเร็จมาด้วยกันในฐานะคู่สัญญาสัมปทาน เพื่อสรรหาและเรียนรู้เทคโนโลยีใหม่ ในอันที่จะเพิ่มพูนประสบการณ์และเตรียมความพร้อมก่อนที่ภาครัฐจะเปิดการประมูลอย่างเป็นทางการ”

“เรากำลังพูดถึงการเกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมของ “Smart Thailand” ซึ่งส่วนหนึ่งคือการขยาย Broadband ให้ประชาชนมีโอกาสในการเข้าถึงโลอินเตอร์เน็ต หรือ การใช้งาน Data ผ่าน High Speed Internet ได้ง่ายๆการมาถึงของเทคโนโลยี 4G นอกเหนือจากการใช้งานส่วนบุคคลแล้ว เรายังมองถึงการสร้างโอกาสทางการเข้าถึงอินเตอร์เน็ต ไร้สายความเร็วสูงผ่าน Wifi ได้ง่ายๆเพียงใช้ Aircard 4G และ WiFi Adaptor ซึ่งจะส่งผลทำให้ภาพของ National Broadband ตามนโยบายของกระทรวงICT มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้นอีกทางหนึ่ง” นายธนวัฒน์ กล่าว

“นอกจากนี้การเรียนรู้เชิงวิศวกรรมในพื้นที่หลากหลายก็สำคัญ วันนี้ตลาดต่างจังหวัด มีอัตราการเติบโตของ Data มากขึ้นอย่างก้าวกระโดด โดยเฉพาะในกลุ่มคนรุ่นใหม่ ซึ่งจ.มหาสารคามมีคุณสมบัตินี้อยู่ครบ จึงเป็นที่มา ของการเลือกเป็นจุดทดสอบ รวมถึงคลื่น 1800 MHz เองก็มีเพียงพอที่จะทำการทดสอบได้อย่างไม่เป็นอุปสรรคต่อการให้บริการปัจจุบัน เราจึงคาดหวังว่าจะได้ผลการทดสอบในภาพรวมอย่างครบถ้วนทั้งด้านเทคนิคและมุมมองความต้องการของผู้บริโภค”นายขจรศักดิ์กล่าว

ส่วนที่มาของการเปิดทดสอบรวมถึงรายละเอียดการทดสอบจากภาคเอกชนนั้น นายวิเชียร เมฆตระการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เอไอเอส และนายวีรวัฒน์ เกียรติพงษ์ถาวร กรรมการผู้อำนวยการ ดีพีซี กล่าวว่า “วันนี้ผู้ใช้บริการ Data โดยเฉพาะในเครือข่ายของเรามีมากกว่า 10 ล้านราย แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าความต้องการด้านนี้จะเติบโตอย่างก้าวกระโดดในเวลาอันใกล้ การมองหาเทคโนโลยีอนาคตที่จะตอบโจทย์ดังกล่าวจึงเป็น เรื่องสำคัญที่ต้องทำควบคู่กับการให้บริการปัจจุบันอย่างดีที่สุด เอไอเอสและดีพีซี ในฐานะเอกชนที่มีความพร้อม และมีประสบการณ์ในการให้บริการเทคโนโลยีสื่อสารไร้สายมากกว่า 20 ปี ไม่ว่าจะเป็นความรู้ ความชำนาญ ด้านวิศวกรรม, ทักษะในการปรับจูนเครือข่าย ตลอดจนความเข้าใจถึงการนำเสนอ Application ไปยังกลุ่มเป้าหมาย ที่จะเป็นไปในลักษณะของการส่งมอบประสบการณ์องค์รวม จึงเสนอขอทดลองทดสอบเทคโนโลยี 4G

ใน 2 รูปแบบ 2 คลื่นความถี่ และ 2 สถานที่ ดังกล่าวข้างต้น เพื่อจะได้เสริมทักษะ และเรียนรู้เทคโนโลยีใหม่ ตลอดจนมองถึงการผสมผสานเข้ากับเทคโนโลยีที่ให้บริการในปัจจุบัน เพื่อจะได้เตรียมความพร้อมอย่างเต็มที่รับกับการประมูลที่เชื่อมั่นว่าจะมาถึงในอนาคตอันใกล้”

“วัตถุประสงค์หลักอีกประการคือ เราตั้งใจทำเพื่อประเทศโดยการนำเทคโนโลยีใหม่ๆมาให้คนไทยได้สัมผัส ก่อนใคร อันจะทำให้มองเห็นถึงประโยชน์ที่จะปรับประยุกต์ใช้ในกลุ่มต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ด้านการศึกษา, ด้านการแพทย์, ด้านความบันเทิง ตลอดจนอุตสาหกรรมหลักทุกๆด้าน ที่ล้วนแล้วแต่ต้องอาศัยระบบสื่อสารไร้สายความเร็วสูงเป็นโครงสร้างพื้นฐานในการต่อยอดการเติบโต ซึ่งเราเองเชื่อมั่นว่าจะเป็นการเตรียมความพร้อมรับเทคโนโลยีใหม่จากทุกมุมมองที่จะทำให้เมื่อมีการประมูลเกิดขึ้น ทุกภาคส่วนจะพร้อมเริ่มงานได้ทันทีโดยไม่ต้องรอที่จะเรียนรู้”

นายวีรวัฒน์ กล่าวถึงรูปแบบการทดสอบในครั้งนี้ว่า “เอไอเอสและดีพีซีเน้นศึกษา 4G ในด้านความเร็วและความเสถียร, รัศมีในการส่งสัญญาณ (Coverage Area), ลักษณะการใช้งานในขณะเคลื่อนที่ การ Handover ภายใต้ Coverage ที่มีความต่อเนื่อง (เฉพาะการทดสอบที่ จ.มหาสารคาม) , ความสัมพันธ์ของย่านความถี่และช่วงกว้างความถี่ที่เหมาะสมสำหรับการใช้งานของเทคโนโลยี LTE, ความเร็วของการเข้าถึง Content ด้าน Multi Media แบบ HD , รูปแบบของ Application ที่เหมาะสมและตรงใจผู้บริโภค, ฯลฯ ทั้งนี้จากการศึกษาดูงานในต่างประเทศพบว่า การให้บริการ 3G และ 4G จะดำเนินควบคู่กัน โดย 3G จะเป็นโครงสร้างหลักที่ครอบคลุมทุกพื้นที่ตอบโจทย์คนที่ใช้งาน Data ใน Daily Life และ Lifestyle ในขณะที่ 4G จะเหมาะกับกลุ่มเฉพาะที่มีการใช้งานเชิงลึก เช่น สถาบันการศึกษา ที่ต้องเข้าถึงข้อมูลทางวิชาการ, โรงพยาบาล หรือศูนย์วิจัยทางการแพทย์ต่างๆผ่านทาง Telemedicine หรือแม้แต่กลุ่ม ที่ทำธุรกิจด้านความบันเทิงที่ต้องใช้งาน Multimedia มากๆ ซึ่งการทดลองทดสอบครั้งนี้จะช่วยยืนยันถึง Trend ดังกล่าวได้อย่างชัดเจน”

นายวิเชียร กล่าวตอนท้ายว่า “การทดสอบครั้งนี้เป็นไปในลักษณะของ Technology Trial ซึ่งภาครัฐได้ให้ความสำคัญและร่วมมือกับเราอย่างดียิ่ง โดยเราได้รับการสนับสนุนจากพาร์ทเนอร์ ผู้ผลิต ประกอบด้วย Cisco, Huawei, Nokia-Siemens Network โดยเราคาดหวังว่าผลจากการทดสอบที่ครบถ้วนในทุกมุมมองครั้งนี้ จะเป็นการยืนยันถึงความพร้อมของผู้ประกอบการอย่างเราที่มีความรู้ความสามารถในการนำเทคโนโลยีใหม่ๆเข้ามาใช้งาน รวมถึงความพร้อมในระดับประเทศที่จะนำเทคโนโลยีใหม่ๆอย่าง 4G หรือ แม้แต่ 3G ที่ล้วนแล้วแต่มีความสำคัญและจำเป็นต่อการพัฒนาคน สังคม และระบบเศรษฐกิจในภาพรวมของประเทศเข้ามาเริ่มให้บริการอย่างเป็นทางการผ่านการเปิดประมูลอย่างเป็นธรรม สำหรับภาคเอกชนอย่างเอไอเอส และ ดีพีซีนั้น ขอยืนยันผ่านการทำงานครั้งนี้ว่าเรามีความพร้อมเป็นอย่างยิ่งในทุกด้านที่จะดำเนินการและส่งมอบบริการแก่คนไทย

ไม่ว่าจะเป็น 3G หรือ 4G รวมถึงเทคโนโลยีอนาคตอื่นๆ ให้แก่คนไทยเสมอ หากเวลาที่ภาครัฐเปิดโอกาสผ่านการประมูลใบอนุญาตมาถึง”
การจัดทดสอบ 4G Thailand The First 100 Mbps นั้น เปิดให้ประชาชนได้ร่วมทดสอบเทคโนโลยี 4G ด้วยเช่นกัน โดยจะมีการตั้งจุดทดสอบในพื้นที่ซึ่งมี Coverage เพื่อจะได้รับมุมมอง ความเห็นของผู้บริโภคตัวจริงอันจะถือได้ว่าเป็นเสียงสำคัญที่สุดส่วนหนึ่งในการนำเทคโนโลยีเหล่านี้เข้ามาให้บริการอย่างเป็นทางการในอนาคตอันใกล้ ทั้งนี้จะมีการเผยแพร่จุดทดสอบ 4G ทั้งในกรุงเทพ และ จ.มหาสารคามให้ได้ทราบเพื่อร่วมทดสอบต่อไป

View :1883
Categories: 3G, Press/Release Tags:

รมว.ไอซีที หนุนศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ เดินหน้าพัฒนาแผนงานบูรณาการร่วม 3 ระบบ

February 1st, 2012 No comments

นาวาอากาศเอกอนุดิษฐ์ นาครทรรพ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เปิดเผยภายหลังเป็นประธานในพิธีเปิดการสัมมนาเชิงปฏิบัติการเพื่อจัดทำแผนงานและโครงการในการพัฒนาระบบฐานข้อมูล ระบบพยากรณ์ และระบบ เตือนภัยในเชิงบูรณาการ ว่า จากเหตุการณ์มหาอุทกภัยที่ผ่านมา รัฐบาลได้ให้ความสำคัญในการเตรียมพร้อมรับมือกับภัยพิบัติ ที่อาจเกิดขึ้นในระยะเวลาอันใกล้นี้ คณะรัฐมนตรีจึงได้มีมติ เมื่อวันที่ 10 มกราคม 2555 เห็นชอบกรอบวงเงินสำหรับแผนพัฒนาคลังข้อมูลระบบพยากรณ์และเตือนภัย โดยมีเป้าหมายที่จะดำเนินการพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร หรือ ไอซีที ใน 3 ระบบ คือ ระบบฐานข้อมูล ระบบพยากรณ์ รวมทั้งระบบเตือนภัย และเพื่อให้บรรลุเป้าหมายในการพัฒนาระบบไอซีทีดังกล่าว จำเป็นจะต้องมีการจัดทำแผนงานและโครงการในแนวทางของการบูรณาการระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมดให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน

ดังนั้น กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร จึงได้จัดสัมมนาเชิงปฏิบัติการเพื่อจัดทำแผนงานและโครงการในการพัฒนาระบบฐานข้อมูล ระบบพยากรณ์ และระบบเตือนภัยในเชิงบูรณาการ โดยเชิญผู้บริหารและผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งรับผิดชอบแผนงาน โครงการ รวมถึงงบประมาณของหน่วยงานด้านการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแบบบูรณาการทั้ง 17 ด้าน ได้แก่ การแจ้งเตือนภัย น้ำ นิวเคลียร์และรังสี พิสูจน์เอกลักษณ์บุคคลและนิติวิทยาศาสตร์ คมนาคม ฐานข้อมูลและสารสนเทศ เชื้อเพลิงและพลังงาน การศึกษา การบริหารจัดการภัยพิบัติ การแพทย์และสาธารณสุข การสื่อสาร การประชาสัมพันธ์ การบริจาค การฟื้นฟูบูรณะ การต่างประเทศ และความมั่นคง มานำเสนอแผนงานและโครงการในด้านที่รับผิดชอบ เพื่อให้มีการนำผลที่ได้จากการระดมความคิดเห็นไปปรับแผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแบบบูรณาการระดับกระทรวงทั้ง 17 ด้านของแต่ละหน่วยงานให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน และสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล รวมถึงสามารถนำไปปฏิบัติได้จริง ซึ่งจะช่วยลดความซ้ำซ้อนในการใช้งบประมาณ อีกทั้งยังเป็นการเสริมสร้างความเข้าใจ ความร่วมมืออันดีระหว่างหน่วยงานด้วย

ในการดำเนินโครงการดังกล่าวยังมีความสอดคล้องกับนโยบายของกระทรวงฯ ในการเพิ่มขีดความสามารถให้เป็นหน่วยงานที่มีเทคโนโลยีในการเป็นคลังและศูนย์กลางของข้อมูล เพื่อให้ผู้บริหารได้ใช้เป็นข้อมูลในการตัดสินใจ รวมทั้งหน่วยงานภาครัฐ และเอกชน ก็สามารถเข้ามาใช้ข้อมูลประกอบการปฏิบัติงานได้อีกด้วย นอกจากนี้ กระทรวงฯ ยังได้รับมอบหมายให้เป็นหน่วยงานหลักรับ ความคิดเห็น และข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง เทคโนโลยีระบบสัญญาณเตือนภัยจากภัยพิบัติ ดินถล่ม โดยให้พิจารณาร่วมกับหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง จึงถือเป็นโอกาสสำคัญที่จะให้หน่วยงานต่างๆ ได้มีการหารือในประเด็นดังกล่าวไปพร้อมๆ กันด้วย

การสัมมนาฯ ครั้งนี้ จะเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้รัฐบาลมีแผนปฏิบัติการในการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแบบบูรณาการในภาพรวมของประเทศในเชิงบูรณาการที่เป็นไปในทิศทางและมุ่งสู่ผลสัมฤทธิ์เดียวกัน โดยหน่วยงานด้านการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแบบบูรณาการ ระดับกระทรวงทั้ง 17 ด้าน จะมีแผนปฏิบัติการในด้านที่ตนรับผิดชอบไปใช้ในการปฏิบัติงานจริง และหน่วยงานระดับกรม สำนัก ศูนย์ฯ ต่างมีความเข้าใจอันดีในการจัดทำแผนงานร่วมกันอย่างรวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ

View :1380

เปิดตัวโครงการ SAS Curriculum Pathways บทเรียนออนไลน์การศึกษาแนวใหม่

January 31st, 2012 No comments

แซส ซอฟท์แวร์ ร่วมกับ สสวท. โรงเรียนมหิดลฯ และสพฐ. เปิดตัวโครงการ แซส เคอริคูลัม พาธเวย์ () ตามแนวพระราชดำริของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เผยเป็นบทเรียนออนไลน์ที่สามารถเรียนได้ทุกที่ทุกเวลา ช่วยเสริมทักษะการเรียน และการวิเคราะห์อย่างสร้างสรรค์ มีโรงเรียนในประเทศไทยนำไปใช้แล้วกว่า 60 แห่ง

รศ. ดร. คุณหญิง สุมณฑา พรหมบุญ ประธานโครงการ แซส เคอริคูลัม พาธเวย์ (SAS Curriculum Pathways) ตามแนวพระราชดำริของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี กล่าวถึงความเป็นมาของโครงการฯ ว่า ด้วยบริษัท แซส อินสติทิวท์ อิงค์ (SAS Institute, Inc.) เป็นบริษัทที่พัฒนาซอฟต์แวร์เพื่อการวิเคราะห์ข้อมูลทางธุรกิจที่มีชื่อเสียงเป็นลำดับต้นๆ ของโลก ได้พัฒนาบทเรียนออนไลน์เพื่อการศึกษา ชื่อว่า แซส เคอริคูลัม พาธเวย์ (SAS Curriculum Pathways) ผ่านเว็บไซต์ http://www.sascurriculumpathways.com/ มีความประสงค์ทูลเกล้าฯ ถวายบทเรียน แซส เคอริคูลัม พาธเวย์ (SAS Curriculum Pathways) แด่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เพื่อพระราชทานต่อยังโรงเรียนในประเทศไทยตามพระราชอัธยาศัยเมื่อปี 2553 โดยมีสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ในฐานะฝ่ายเลขานุการโครงการเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ และบริษัท แซส ซอฟท์แวร์ (ไทยแลนด์) จำกัด เป็นผู้ร่วมศึกษาบทเรียนและดำเนินงานโครงการเพื่อใช้ในโรงเรียนในประเทศไทย

ดร. ทวีศักดิ์ กออนันตกูล ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)ในฐานะฝ่ายเลขานุการโครงการเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เปิดเผยว่า ภายหลังจากการศึกษาบทเรียนออนไลน์ แซส เคอริคูลัม พาธเวย์แล้ว เห็นว่าเป็นเนื้อหาบทเรียนที่เน้นการคิดวิเคราะห์ทั้งในเชิงวิทยาศาสตร์ และคณิตศาสตร์ ซึ่งมีความน่าสนใจอย่างยิ่งและเข้าใจง่าย โดยเฉพาะด้านสังคมศาสตร์และประวัติศาสตร์ที่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้ทรงรับสั่งว่า มีเนื้อหาที่วิเคราะห์ที่ดีมาก หากได้นำมาใช้ก็น่าจะเป็นประโยชน์ ดังนั้นหน่วยงานสวทช. สสวท. สพฐ. และบริษัท แซส จึงเล็งเห็นประโยชน์ของแซส เคอริคูลัม พาธเวย์ ที่มีวิชาสอดคล้องกับการเรียนการสอนในหลักสูตรการศึกษาไทย
จึงได้ร่วมกันดำเนินโครงการตามแนวพระราชดำริฯ โดยส่งเสริมให้โรงเรียนต่างๆ ได้รู้จักบทเรียนแซส เคอริคูลัม พาธเวย์ และเข้าใช้งานได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายซึ่งได้เริ่มดำเนินการในปี 2553 มีโรงเรียนในระดับมัธยมศึกษา 10 แห่งเข้าร่วมนำบทเรียนแซส เคอริคูลัม พาธเวย์ไปนำร่องใช้งานในระยะแรก และเพิ่มขึ้นเป็น 65 โรงเรียน ในปี 2555 และคาดหวังว่าจะเพิ่มเป็น 195 โรงเรียนภายในอีก 2 ปี

“การนำบทเรียนออนไลน์ แซส เคอริคูลัม พาธเวย์ มาใช้ในโรงเรียนในประเทศไทย มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ครูและนักเรียนได้เข้าไปเรียนรู้เนื้อหาเพื่อเสริมบทเรียนที่เรียนอยู่ในปัจจุบัน โดยครูสามารถได้แนวคิดการเรียนการสอนที่เน้นการคิดวิเคราะห์และกระตุ้นให้แสวงหาความรู้เพิ่มเติม สำหรับนักเรียนสามารถพัฒนาความคิดทางวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ สังคม และประวัติศาสตร์ และยังช่วยพัฒนาศักยภาพการใช้ภาษาอังกฤษได้มากขึ้น และแม้ว่าบทเรียนแซส เคอริคูลัม พาธเวย์ จะเป็นสื่อที่ไม่ได้ผลิตขึ้นตรงตามหลักสูตรของประเทศไทย แต่ครูสามารถเลือกเฉพาะบทเรียนที่สอดคล้องกับหลักสูตรการศึกษาของประเทศไทย และนักเรียนยังมีโอกาสได้รับประโยชน์จากการศึกษาความรู้อื่นๆ เพิ่มเติมนอกเหนือจากบทเรียนในหลักสูตรอีกด้วย นอกจากนี้เพื่อให้ผู้ใช้บทเรียนแซส เคอริคูลัม พาธเวย์ ได้มีเวทีในการแลกเปลี่ยนแนวทางการใช้บทเรียนนี้ในวิชาต่างๆ ทางสวทช. จึงได้จัดเตรียมเครื่องมือ โซเชียล เน็ตเวิร์ค หรือเครือข่ายสังคมออนไลน์ คือ เฟซบุ๊ค และ Ning.com ไว้เพื่อให้คณะครูอาจารย์ได้ร่วมกันแบ่งปันแนวทางการใช้บทเรียนนี้ในวิชาต่างๆ เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนประสบการณ์และช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ซึ่งในขณะนี้มีโรงเรียนได้ใช้ประโยชน์จากโซเชียล เน็ตเวิร์ค เป็นเสมือนห้องเรียนออนไลน์ในการสื่อสารกันระหว่างครูกับนักเรียนอีกด้วย” ดร. ทวีศักดิ์ กล่าว

ด้านนายทวีศักดิ์ แสงทอง กรรมการผู้จัดการ บริษัท แซส ซอฟท์แวร์ (ไทยแลนด์) จำกัด เปิดเผยว่า บริษัท แซส อินสติทิวท์ อิงค์ (SAS Institute, Inc.) ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของแซส ในประเทศสหรัฐอเมริกา ได้พัฒนาบทเรียนออนไลน์ แซส เคอริคูลัม พาธเวย์ ในปี 2551 เพื่อให้นักศึกษาและนักเรียนในสหรัฐอเมริกาได้เข้าไปศึกษาบทเรียนด้วยตนเอง ใน 5 สาขาวิชา ได้แก่ วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ สังคมและประวัติศาสตร์ ภาษาอังกฤษ และภาษาสเปน ได้ในทุกที่ทุกเวลาโดยไม่คิดค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น ปัจจุบันมีครูจำนวน 70,000 คนและโรงเรียนในระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษา 18,000 แห่งนำไปใช้งานแล้ว

ทั้งนี้บทเรียนออนไลน์ แซส เคอริคูลัม พาธเวย์ เป็นโครงการที่ทำขึ้นเพื่อสังคม โดยมุ่งหวังให้นักเรียนสามารถเรียนรู้ได้ในทุกทีทุกเวลา และเตรียมความพร้อมของนักเรียนในการเข้าสู่การศึกษาในระดับวิทยาลัยหรือมหาวิทยาลัย อีกทั้งเพื่อเข้าสู่สังคมฐานความรู้ทางออนไลน์

“จากความสำเร็จในการนำบทเรียนทางออนไลน์ไปใช้ในสหรัฐอเมริกา บริษัทฯ จึงมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้นำบทเรียนดังกล่าวมาใช้ในโรงเรียนในประเทศไทย เพื่อเป็นการเสริมเนื้อหาหลักสูตรการศึกษาในประเทศไทยโดยได้ทูลเกล้าฯ ถวายบทเรียน แซส เคอริคูลัม พาธเวย์ ดังกล่าวแด่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เพื่อพระราชทานต่อยังโรงเรียนในประเทศไทยตามพระราชอัธยาศัย” นายทวีศักดิ์ กล่าว

ดร. พรพรรณ ไวทยางกูร ผู้อำนวยการสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.)เปิดเผยว่า หลังจากได้ศึกษาบทเรียนออนไลน์ แซส เคอริคูลัม พาธเวย์ ปรากฏว่า เป็นบทเรียนที่เข้าใจง่าย เนื่องจากมีภาพประกอบบทเรียนที่ใช้กราฟิกสวยงาม ทำให้ไม่รู้สึกเบื่อในการเรียนรู้ นอกจากนั้นยังสามารถปฏิสัมพันธ์กับผู้เรียนได้เป็นอย่างดี โดยทางสสวท. ได้จัดทำคู่มือการใช้และการจัดอบรมให้แก่โรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการฯ ซึ่งได้รับผลตอบรับเป็นอย่างดีจากโรงเรียน ครู และนักเรียนที่เข้าร่วมโครงการฯ

“คุณลักษณะของบทเรียนออนไลน์ แซส เคอริคูลัม พาธเวย์ ประกอบไปด้วยเครื่องมือช่วยในการเรียนรู้หลากหลาย ทั้งแบบปฏิสัมพันธ์กับผู้ใช้ (Interactive) และแบบดั้งเดิม (Traditional) ที่มีการสอนแบบบรรยายและมีเอกสารให้อ่าน ได้จัดเรียงเนื้อหาอย่างเป็นระบบทั้งแผนการเรียนการสอน กิจกรรมออนไลน์ แบบจำลอง และทรัพยากรในเว็บไซต์ที่เน้นการเพิ่มพูนความรู้และพัฒนาทักษะสำคัญในเนื้อหานั้นๆ สืบค้นง่าย ไม่ซับซ้อนมีคำแนะนำ ให้ปฏิบัติทุกขั้นตอน มีความยากง่ายหลายระดับ มีการออกแบบให้ครูทำหน้าที่เป็นผู้สนับสนุนการเรียนรู้ (Teaching Facilitator หรือ Coach) ให้แก่นักเรียน สามารถยืดหยุ่นในการนำไปประยุกต์ใช้ได้ตามความถนัด บริบทของห้องเรียน และดุลยพินิจของครูอีกด้วย” ผู้อำนวยการสสวท. สรุปความคืบหน้าการทำงานและจุดเด่นของบทเรียน

ผศ. ดร. ยุวดี นาคะผดุงรัตน์ ผู้อำนวยการโรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ กล่าวว่า ตามที่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงรับสั่งว่า เนื้อหาวิชาสังคมศึกษาและประวัติศาสตร์ของบทเรียน แซส เคอริคูลัม พาธเวย์นั้นมีการวิเคราะห์ที่ดี และน่าจะเป็นประโยชน์หากมีการนำไปใช้ ดังนั้นโรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์จึงได้สนองพระราชดำริโดยสนับสนุนนักวิชาการด้านสังคมศึกษาและประวัติศาสตร์ คือ อาจารย์วชิราวรรณ บุนนาค หัวหน้าสาขาวิชาสังคมศึกษาและศิลปะ โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ ให้มีส่วนร่วมในการศึกษานำร่องการใช้บทเรียนแซส เคอริคูลัม พาธเวย์ และวิเคราะห์ว่า จะสามารถนำไปใช้ประโยชน์ในการเรียนการสอนวิชาสังคมศึกษาและประวัติศาสตร์ได้อย่างไร โดยเฉพาะกิจกรรมลักษณะ Inquiry หรือการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ ตลอดจนได้ร่วมถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์การใช้งานให้แก่ครูในโรงเรียนต่างๆ เพื่อสร้างความรู้และความเข้าใจในการประยุกต์ใช้บทเรียนแซส เคอริคูลัม พาธเวย์ และสามารถนำไปใช้จัดการเรียนการสอนตามบริบทโรงเรียนของตนได้ต่อไป

View :1853

ซอฟต์แวร์พาร์คเร่งผนึกกำลัง 3 พาร์ค ร่วมขยายความเข้มแข็งอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ไทยสู่ระดับภูมิภาค เพื่อเตรียมความพร้อมก้าวสู่ AEC 2015

January 31st, 2012 No comments

เขตอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ประเทศไทย (ซอฟต์แวร์พาร์ค) หน่วยงานภายใต้สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ () ร่วมกับ 3 เขตอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ส่วนภูมิภาคใน 3 จังหวัดคือ อีสานซอฟต์แวร์พาร์ค ซอฟต์แวร์พาร์คภูเก็ต และโคราชซอฟต์แวร์พาร์ค ก่อตั้งกลุ่มเครือข่ายซอฟต์แวร์พาร์คในประเทศไทย หรือ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมไอทีไทยสู่ระดับภูมิภาค เตรียมความพร้อมเข้าสู่เศรษฐกิจประชาคมอาเซียนในปี 2558 (ASEAN Economic Community: AEC 2015)

ดร.ทวีศักดิ์ กออนันตกูล ผู้อำนวยการสวทช. กล่าวว่า “สวทช. เล็งเห็นว่าอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์และไอทีเป็นอุตสาหกรรมฟันเฟืองที่สำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจอื่นๆ และเป็นปัจจัยที่เพิ่มศักยภาพการแข่งขันของธุรกิจ และ สวทช. มีหน่วยงานที่ส่งเสริมอุตสาหกรรมไอที 2 หน่วยงานด้วยกัน คือ NECTEC ซึ่งมีมุ่งเน้นการทำวิจัยด้านไอทีและอิเลคทรอนิกส์ และซอฟต์แวร์พาร์ค มุ่งเน้นการส่งเสริมผู้ประกอบการและการพัฒนาอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ โดยเป็นพาร์คแห่งแรก และเป็นต้นแบบของการบริหารจัดการซอฟต์แวร์พาร์คในไทย ทั้งนี้เพื่อขยายผลการดำเนินงานของซอฟต์แวร์พาร์ค จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเร่งสร้างเครือข่ายและทำงานร่วมกับพันธมิตร เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนและสร้างผลกระทบในวงกว้างให้กับอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ของประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อเตรียมความพร้อมในการเปิดเสรี หรือ AEC 2015 เพราะหากไม่เตรียมความพร้อมของอุตสาหกรรมให้ทั่วถึงส่วนภูมิภาคของประเทศ อาจจะส่งผลกระทบต่อศักยภาพในการแข่งขันของผู้ประกอบการซอฟต์แวร์ไทยในอนาคต”

รศ.ดร.ธนชาติ นุ่มนนท์ ผู้อำนวยการซอฟต์แวร์พาร์ค กล่าวว่า “การรวมกลุ่ม Thailand Software Park Alliances (TSPA) นั้น เพื่อสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างกันอย่างเป็นรูปธรรม ให้เกิดผลในภาพรวมต่ออุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ของประเทศ โดยเป็นการขยายโอกาสทางธุรกิจให้แก่ผู้ประกอบการซอฟต์แวร์ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค การขยายผลการจัดกิจกรรมต่างๆ ของซอฟต์แวร์พาร์ค ออกสู่พาร์คต่างๆในภูมิภาค รวมถึงความร่วมมือในด้านอื่นๆ อาทิ 1. การถ่ายทอดเทคโนโลยีให้กับเจ้าหน้าที่และบริษัทผู้เช่าในพาร์คต่างๆ 2. การส่งเสริมผู้ประกอบการ และการขยายตลาดซอฟต์แวร์ ผ่านกิจกรรมจับคู่ธุรกิจ และการสร้างเครือข่ายผู้ประกอบการในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค เพื่อสร้างช่องทางในการทำธุรกิจและบุกตลาดในประเทศร่วมกัน 3. การเตรียมความพร้อมสำหรับผู้ประกอบการในส่วนกลางและส่วนภูมิภาคที่มีศักยภาพในการออกตลาดต่างประเทศ และเตรียมพร้อมรับมือการเปิดเสรีเศรษฐกิจอาเซียนในปี 2558 และ 4. กิจกรรมส่งเสริมการใช้ไอทีในภาคอุตสาหกรรมต่างๆ เป็นต้น โดยกิจกรรมต่างๆ ของซอฟต์แวร์พาร์คที่มีอยู่เดิมจะพยายามขยายผลออกสู่ภูมิภาคให้มากขึ้น ภายใต้ศักยภาพของเทคโนโลยีสารสนเทศในปัจจุบัน”

ผอ.ซอฟต์แวร์พาร์ค กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า “พาร์คต่างๆ ทั้งที่ดำเนินงานโดยภาครัฐ ภาคการศึกษาและภาคเอกชน แม้ว่าจะจัดตั้งขึ้นโดยมีจุดมุ่งเน้นที่ต่างกันในแต่ละแห่ง แต่ทุกพาร์คมีเป้าหมายร่วมเดียวกันคือการพัฒนาอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ของประเทศ จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องผนึกกำลังร่วมมือกัน โดยใช้จุดแข็งของแต่ละแห่ง เพื่อพัฒนาเป็นเครือข่าย และร่วมวางแนวทางในการพัฒนาอุตสาหกรรมและบุคลากรในอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ให้มีความเข้มแข็ง และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน เพื่อขยายโอกาสทางธุรกิจให้แก่ผู้ประกอบการซอฟต์แวร์ไทย และเพื่อเตรียมพร้อมรับมือการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ AEC ที่จะเกิดขึ้นในปี 2015 อันจะส่งผลให้มีการเปิดเสรีในด้านการตลาด การลงทุน และการเคลื่อนย้ายแรงงานฝีมืออย่างอิสระ ซึ่งหากผู้ประกอบการซอฟต์แวร์ไทย รวมถึงบุคลากรไอทีไทยไม่เตรียมพร้อมรับมือ จะทำให้เกิดความเสียเปรียบจากการเปิด AEC 2015 อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ รวมไปถึงในปัจจุบันนี้ Business Model ในการดำเนินธุรกิจซอฟต์แวร์กำลังจะมีการเปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิง โดยมีแนวโน้มว่ารูปแบบของซอฟต์แวร์จะเเปลี่ยนจาก Product เป็น Service มากขึ้น หากผู้ประกอบการไม่เตรียมตัวอาจจะทำให้เสียโอกาสทางธุรกิจและขาดศักยภาพในการแข่งขันโดยเฉพาะเมื่อมีปัจจัยของ AEC 2015 เข้ามาร่วมด้วย

โดยในปีนี้ซอฟต์แวร์พาร์คเองในฐานะหน่วยงานภาครัฐ ที่มีบทบาทในการส่งเสริมผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ และพัฒนาอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ไทย จึงได้มุ่งเน้นแผนการดำเนินงานเพื่อเตรียมความพร้อมกับสิ่งที่จะเกิดขึ้น ภายใต้หลักการตามที่คณะกรรมการบริหารของซอฟต์แวร์พาร์คได้ให้แนวทาง 3 ประการคือ 1. การดำเนินงานให้สอดคล้องกับหน่วยงานหรือองค์กรอื่นๆที่มีบทบาทหน้าที่ในการสนับสนุนส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ เพื่อลดความซ้ำซ้อนและเกิดความเป็นเอกภาพในการทำงาน อันจะส่งผลให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อผู้ประกอบการในอุตสาหกรรม 2. ผลักดัน Emerging Technology อาทิเช่น Cloud and Mobile Technology ให้เกิด Ecology ที่สมบูรณ์และมีการนำไปใช้อย่างกว้างขวาง เนื่องจากเป็นเทคโนโลยีที่คาดว่าจะสร้างประสิทธิภาพให้กับภาคอุตสาหกรรมไทยได้เป็นอย่างดี 3. ผลักดันการรวมตัวของเครือข่ายซอฟต์แวร์พาร์คในประเทศเพื่อขยายผลกิจกรรมออกสู่ภูมิภาค และร่วมวางแผนการดำเนินงานเพื่อเตรียมความพร้อมรับมือ AEC 2015 รวมถึงสร้างเครือข่ายระหว่างผู้ประกอบการซอฟต์แวร์ทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาค รวมไปถึงการขยายผลความร่วมมือของเครือข่ายซอฟต์แวร์พาร์คในระดับเอเชีย โอเชียเนีย (Asia Oceania Software Park Alliance) เพื่อสร้างเครือข่ายความร่วมมือและสร้างพันธมิตรทางธุรกิจระหว่างผู้ประกอบการซอฟต์แวร์ในกลุ่มประเทศอาเซียน”

ผศ.วันชัย สุ่มเล็ก ผอ.ศูนย์ประสานงานเขตอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ หรือ E-Saan Software Park กล่าวว่า “บทบาทของอีสานซอฟต์แวร์พาร์คที่ผ่านมาคือ ช่วยสนับสนุนจังหวัดขอนแก่นในนโยบายด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ การเผยแพร่ความรู้ให้กับบุคลากรทุกระดับ พัฒนานักพัฒนาซอฟต์แวร์ให้เป็นผู้ประกอบการด้านไอทีโดยผ่านกระบวนการบ่มเพาะผู้ประกอบการ (Incubate) พัฒนาบัณฑิตของสถาบันการศึกษาในจังหวัดขอนแก่นและจังหวัดใกล้เคียงให้มีความพร้อมในการเข้าสู่ภาคอุตสาหกรรม ในแต่ละปีสถาบันการศึกษาในจังหวัดขอนแก่นและจังหวัดใกล้เคียง ได้ผลิตบุคคลากรด้านซอฟต์แวร์และไอทีจำนวนกว่า 1000 คน แต่ปริมาณงานทางด้านไอที รวมถึงบริษัทซอฟต์แวร์และไอทีในจังหวัดขอนแก่นและใกล้เคียงยังมีไม่มากพอที่จะรองรับบุคคลากรที่สถาบันการศึกษาผลิตได้ ส่งผลนักศึกษาที่จบการศึกษาทางด้านไอทีเหล่านั้นต้องจากถิ่นฐานเข้ามาทำงานในกรุงเทพฯและปริมณฑลหรือเปลี่ยนไปทำงานในด้านอื่นที่ไม่ใช้ความรู้ด้านไอที สิ่งที่อีสานซอฟต์แวร์ปาร์ควางแผนที่จะดำเนินการต่อไป คือ ร่วมมือกับบริษัทซอฟต์แวร์ฯ สถาบันการศึกษาต่างๆ ในการพัฒนาศักยภาพของนักศึกษาผ่านกระบวนการสหกิจศึกษาโดยคาดหวังว่านักศึกษาจะเข้าใจธุรกิจด้านนี้ และมีคุณลักษณะสอดคล้องกับความต้องการของภาคธุรกิจมาก โดยจะนำจุดแข็งในเรื่องของการสร้างคน และมุ่งมั่นที่จะสร้างอีสานซอฟต์แวร์พาร์คให้เป็น “Thailand Local Outsourcing Center” เพื่อให้เกิดการจ้างงานในพื้นที่และสร้างบุคลากรไอทีให้พร้อมเพื่อรองรับการขยายตัวของ AEC 2015”

นางปวันรัตน์ ปานรักษา รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครราชสีมา กล่าวว่า ““จังหวัดนครราชสีมาเป็นจังหวัดขนาดใหญ่เป็นที่สองของประเทศไทย ที่มีแหล่งรายได้หลัก มาจากอุตสาหกรรมต่างๆ ได้แก่ อุตสาหกรรมแปรรูปผลิตผลทางการเกษตร อุตสาหกรรมผลิตชิ้นส่วน และอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว เป็นต้น ซึ่งการขับเคลื่อนกิจการต่างๆ ที่กล่าวมาแล้วนั้น จำเป็นต้องอาศัยเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT) เป็นกลไกสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งโปรแกรมคอมพิวเตอร์ หรือซอฟต์แวร์ ดังนั้นจึงเกิดความต้องการซอฟต์แวร์ ตลอดจนแรงงานทางด้าน ICT เป็นจำนวนมาก แต่ในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา จังหวัดนครราชสีมายังประสบปัญหาการขาดแคลนบุคลากรดังกล่าว ซึ่งเกิดจากสาเหตุที่สาคัญ 3 ประการ คือ 1. นักศึกษาทางด้าน ICT ที่จบมาจากสถาบันการศึกษาส่วนใหญ่ยังขาดทักษะในการประกอบอาชีพทางด้าน ICT ไม่อยู่ในสถานะพร้อมใช้งาน 2. ผู้ประกอบการ ICT ในพื้นที่มีจานวนน้อยเกินไป และมีขนาดเล็ก ซึ่งไม่สอดคล้องกับความต้องการของกิจการต่างๆที่มีในโคราชซึ่งส่วนใหญ่เป็นกิจการขนาดใหญ่ และ 3. ขาดการเชื่อมโยงระหว่างกิจการต่างๆ ที่มีความต้องการทางด้าน ICT กับผู้ประกอบการ ICT

สำหรับความร่วมมือในกลุ่ม Thailand Software Park Alliances ในครั้งนี้ จะทำให้เกิดกิจกรรมสำหรับผู้ประกอบการซอฟต์แวร์และการขยายฐานการตลาดของธุรกิจซอฟต์แวร์ออกสู่พื้นที่จังหวัดนครราชสีมามากขึ้น โดยกิจกรรมหลักของความร่วมมือจะเน้นไปในส่วนของการจับคู่ระหว่างธุรกิจผู้ประกอบการซอฟต์แวร์ส่วนกลางและส่วนภูมิภาค เพื่อสร้างเครือข่ายในการทำธุรกิจร่วมกัน อีกทั้งยังเป็นการส่งเสริมการใช้ไอทีเพื่อเพิ่มศักยภาพการแข่งขันให้กับอุตสาหกรรมหลักในพื้นที่จังหวัดนครราชสีมาและใกล้เคียง”

นายแพทย์ก้องเกียรติ เกษเพ็ชร์ ผู้อำนวยการเขตอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ภูเก็ต หรือ Software Park Phuket กล่าวว่า “การรวมตัวของเขตอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ในประเทศครั้งนี้ จึงถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีที่ ที่แต่ละพาร์คซึ่งมีจุดแข็งแตกต่างกัน สามารถมารวมตัวและผนึกกำลังกันเพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์และอุตสาหกรรมเป้าหมาย และพร้อมรับมือกับ AEC 2015 ต่อไป

ผลการดำเนินงานของเขตอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ภูเก็ต ที่ผ่านมา มีความก้าวหน้าขึ้นตามลำดับ เช่น การสนับสนุนผู้ประกอบการโดยการจัดกิจกรรมอบรมสัมมนา ถ่ายทอดเทคโนโลยี จำนวนกว่า 100 โครงการ รวมถึงการให้การสนับสนุนการบ่มเพาะธุรกิจด้านคอมพิวเตอร์ ซอฟต์แวร์ และ ICT จำนวน 22 ราย ความร่วมมือกับสถาบันการศึกษาในการสนับสนุนงานวิจัยให้ออกสู่เชิงพาณิชย์ นอกจากนี้แล้วยังสนับสนุนโครงการต่างๆ เพื่อสังคม เช่น เป็นแหล่งเรียนรู้และสร้างโอกาสในการทำงานของนักศึกษาผ่านกิจกรรมการศึกษาดูงานและการฝึกประสบการณ์วิชาชีพ การถ่ายทอดเทคโนโลยีแก่ผู้สูงวัยที่สนใจเทคโนโลยี เป็นต้น
ภายใต้ความร่วมมือและความพร้อมในโครงสร้างพื้นฐานของจังหวัดภูเก็ต ผนวกกับจุดแข็งของการเป็นเมืองน่าอยู่ในสายตาของนานาชาติ ล้วนเป็นปัจจัยบวกที่ส่งเสริมให้ภูเก็ตมีโอกาสในการสร้างอุตสาหกรรมใหม่ที่จะเข้ามาเสริมการท่องเที่ยว และอุตสาหกรรมใหม่นี้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและสร้างสังคมอุดมปัญญา ซึ่งเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิตได้ในอนาคต
เขตอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ภูเก็ต ยังคงมุ่งมั่นและพร้อมที่จะสร้างอุตสาหกรรมใหม่ที่เป็น “Value Creation” ด้วยแนวคิด “Lifestyle, Inspiration, Creativity” ด้วยวิถีชีวิตใกล้ชิดธรรมชาติ เพื่อจุดประกายแรงบันดาลใจ ในการสร้างสรรค์ผลงานและนวัตกรรม ผ่านการเชื่อมโยง สนับสนุนการสร้างและการพัฒนาสังคมผู้ประกอบการ (Entrepreneurship) เพื่อก้าวสู่ความเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจ เพื่อการเข้าถึงตลาดใหม่ในประชาคมโลก และเป็นฐานรากที่เข้มแข็งสู่การนำความมั่งคั่งสู่เศรษฐกิจของภูมิภาคและประเทศอย่างยั่งยืน”

View :2008

โซนี่มิวสิค ตั้งเป้าชิงแชร์ส่วนแบ่งตลาดคอนเทนต์บนแอนดรอยด์ 100%

January 30th, 2012 No comments

พร้อมเปิดตัวแอนดรอยด์มิวสิคสโตร์ รองรับการขยายตัวของตลาดสมาร์ทโฟน

โซนี่มิวสิค ตั้งเป้าชิงแชร์ส่วนแบ่งตลาดคอนเทนต์บนแอนดรอยด์ 100% พร้อมเปิดตัวแอนดรอยด์มิวสิคสโตร์ รองรับการขยายตัวของตลาดสมาร์ทโฟน ปี2012 ด้วยบริการ “ไอ-ฮัม มิวสิค”(i-hUMM Music) สำหรับผู้ที่ชื่นชอบและรักในการฟังเพลง โดยจุดเด่นของบริการนี้อยู่ที่การเป็นเว็บแอพพลิเคชั่นที่มีเพลงให้เลือกมากมายหลากหลายครบทุกอารมณ์ จากค่ายเพลงยักษ์ใหญ่อย่าง โซนี่มิวสิค ทั้งไทยและต่างประเทศ ซึ่งจะทำให้ลูกค้าแอนดรอยด์สามารถเข้าถึงคอนเทนต์ได้ง่ายยิ่งขึ้นผ่านทางแอนดรอยด์แอพพลิเคชั่น ด้วยอัตราค่าบริการที่มีให้เลือก 2 แบบ แบบแรกคิดค่าบริการแบบเหมาจ่ายในราคาเพียง 100 บาท/6เดือน หรือแบบที่สองคิดค่าบริการแบบเหมาจ่ายเพียง 150 บาท/ปี มั่นใจบริการดังกล่าวจะสามารถกินรวบฐานลูกค้าผู้ใช้แอนดรอยด์ในเมืองไทยได้เป็นอย่างดี

พอล มนัสถาวร ผู้อำนวยการกลุ่มงานดิจิตอล บริษัท โซนี่ มิวสิค เอนเตอร์เทนเมนต์ โอเปอเรติ้ง(ประเทศไทย) จำกัด


นายพอล มนัสถาวร ผู้อำนวยการกลุ่มงานดิจิตอล บริษัท โซนี่ มิวสิค เอนเตอร์เทนเมนต์ โอเปอเรติ้ง(ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า สืบเนื่องจากนโยบายของบริษัทฯในปีนี้ มุ่งเน้นที่จะพัฒนาแอพพลิเคชั่นเพื่อเป็นช่องทางใหม่ๆให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงคอนเทนต์ของโซนี่มิวสิคได้มากยิ่งขึ้น โดยเมื่อปีที่แล้วทางโซนี่มิวสิคได้ชิมลางตลาด iOS ด้วยการพัฒนาแอพพลิเคชั่นเพื่อเจาะกลุ่มลูกค้าที่ใช้มือถือประเภท iOS ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วนั้น และได้รับกระแสตอบรับจากกลุ่มเป้าหมายเป็นอย่างดี ด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้ในปีนี้โซนี่มิวสิคจึงได้พัฒนาแอพพลิเคชั่นใหม่ๆเพื่อตอบโจทย์และเข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่ใช้ระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์(Android) โดยเห็นได้จากส่วนแบ่งทางการตลาดของสมาร์ทโฟนที่เป็นแอนดรอยด์ในปีที่ผ่านมามียอดคนใช้งานสูงถึง 46.3% รองลงมาคือระบบปฏิบัติการ iOS ที่มียอดคนใช้งานสูงถึง 30% โดยในปีนี้ระบบปฏิบัติการแอนดรอย์ยังคงมีแนวโน้มการขยายตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ล่าสุด ทาง โซนี่มิวสิค ได้เปิดตัวแอนดรอยด์มิวสิคสโตร์รูปแบบใหม่ล่าสุด ภายใต้ชื่อ “ไอ-ฮัม มิวสิค” (i-hUMM Music) เพื่อให้ลูกค้าสามารถดาวน์โหลดคอนเทนต์ประเภท เพลง MP3 , มิวสิควีดีโอ ทั้งไทยและต่างประเทศมาเก็บไว้ในมือถือได้อย่างง่ายดาย ด้วยขั้นตอนง่ายๆไม่ยุ่งยาก เพียงแค่ดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่น “ไอ-ฮัม มิวสิค” (i-hUMM Music) จาก “แอนดรอยด์ มาร์เก็ต” (Android Market) ลงมาไว้ในมือถือ จากนั้นก็ทำการสมัครเป็นสมาชิก โดยอัตราค่าบริการสำหรับสมาชิกแบบเหมาจ่าย 100 บาท/6เดือน และ 150 บาท/1ปี เพียงเท่านี้ก็สามารถทำการดาวน์โหลดคอนเทนต์จากสังกัดโซนี่มิวสิคได้ทันที

““ที่ผ่านมาโซนี่มิวสิคให้ความสำคัญในการที่จะพัฒนาช่องทางใหม่ๆเพื่อให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงคอนเทนต์ของโซนี่มิวสิคได้ง่ายและมีประสิทธิภาพมากที่สุด เนื่องจากมองว่ายังไม่มีเจ้าของคอนเทนต์รายใดหันมาให้ความสำคัญกับตลาดกลุ่มนี้อย่างจริงจัง จึงมั่นใจว่าการเปิดตัวแอนดรอยด์มิวสิคสโตร์ในครั้งนี้จะส่งผลต่อภาพรวมของตลาดคอนเทนต์และตลาดดาต้าให้เติบโตขึ้นอีกด้วยเช่นกัน และ พิเศษสุดๆ…สำหรับลูกค้าโซนี่ อิริคสัน ที่ใช้ระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ สามารถใช้บริการดาวโหลดคอนเทนต์ต่างๆ อาทิ มิวสิควีดีโอ และเพลง MP3 ได้ฟรี!!!! ตั้งแต่วันนี้ – 31 ธันวาคม 2555 หรือสามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมผ่านทาง www.facebook.com/sonymusic ได้ตลอด 24 ชั่วโมง” นายพอลกล่าวทิ้งท้าย

View :2074

Thailand Mobile Expo 2012 คึกคักรับต้นปี ยอดเงินสะพัดทะลุเป้า

January 30th, 2012 No comments

เอ็ม วิชั่น ผนึกกำลังพันธมิตรโทรศัพท์มือถือกว่า 30 แบรนด์ชั้นนำ จัดงาน “” ครั้งที่ 12 มหกรรมโทรศัพท์มือถือที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ ต้อนรับศักราชใหม่ เมื่อวันที่ 26-29 มกราคม ที่ผ่านมา

นาย โอภาส เฉิดพันธุ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เอ็ม วิชั่น จำกัด เปิดเผยถึงภาพรวมของการจัดงาน “Thailand Mobile Expo 2012” ด้วยจำนวนผู้เข้าชมงานใกล้เคียงจากครั้งที่ผ่านมาประมาณ 6.3 แสนคน ส่วนยอดเงินสะพัดภายในงานสูงถึง 1,600 ล้านบาท ซึ่งมากกว่าที่คาดการณ์ไว้กว่า 10% เนื่องจากผู้บริโภคสนใจเลือกซื้อสินค้าในกลุ่มแท็บเล็ตมากขึ้นถึง 50% เห็นได้จากสัดส่วนในการจำหน่าย ซึ่งได้รับกระแสจาก โครงการ “One Tablet PC Per Child” ของรัฐบาล ทำให้เกิดการตื่นตัวของสินค้ากลุ่มแท็บเล็ต ประกอบกับในช่วงนี้ สินค้ากลุ่มสมาร์ทโฟน ยังไม่มีนวัตกรรมที่แปลกใหม่จากเดิมมากนัก ทำให้ผู้บริโภคหันไปให้ความสนใจแท็บเล็ตมากขึ้น อีกทั้งยังมีกิจกรรมให้ผู้บริโภคได้สัมผัส ทดลองและเรียนรู้เทคโนโลยีใหม่ ๆ พร้อมทั้งมีผู้เชี่ยวชาญคอยให้คำแนะนำ และสอนการใช้งานในเบื้องต้นอย่างใกล้ชิด สามารถใช้เป็นข้อมูลในการตัดสินใจเลือกซื้อโทรศัพท์มือถือได้อย่างคุ้มค่าและตรงตามความต้องการได้มากที่สุด ซึ่งถือว่าประสบความสำเร็จตามเป้าหมายของการจัดงาน อีกทั้งยังสามารถกระตุ้นตลาด สร้างความคึกคักให้กับวงการมือถือได้อีกครั้งหนึ่ง

นาย โอภาส กล่าวต่อว่า ตลอดการจัดงานที่ผ่านมาในครั้งนี้ แนวโน้มของกลุ่มผู้เข้าชมงานมีความเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย โดยกลุ่มวัยทำงานที่มีช่วงอายุระหว่าง 25-35 ปี นั้นมีจำนวน 50% ของผู้เข้าชมงานทั้งหมด ส่วนกลุ่มนักเรียน-นักศึกษาอายุระหว่าง 18-25 ปี นั้นลดลงกว่า 10% เนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงการเรียนการสอนในช่วงภาวะน้ำท่วม โดยเหตุปัจจัยที่ทำให้มีการเลือกซื้อสินค้าภายในงาน นอกจากโปรโมชั่นบัตรเครดิตและส่วนลดพิเศษต่างๆ แล้ว สินค้ากลุ่มแท็บเล็ตยังได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ทำให้ราคาแท็บเล็ตมีราคาถูกตั้งแต่ 9,900 บาท ไปจนถึง 22,000 บาทส่วนทางด้านของตลาดสมาร์ทโฟนระดับ Hi-End นั้นอยู่ในช่วงราคาตั้งแต่ 15,000 – 18,900 บาท ยกเว้นกลุ่ม iPhone และ iPad ที่มีราคามากกว่า 20,000 บาท และสมาร์ทโฟนระดับ Mid-End ซึ่งมีราคาอยู่ในช่วง 8,900 – 14,900 บาท ซึ่งก็เป็นอีกหนึ่งแรงจูงใจ เพราะแท็บเล็ตและสมาร์ทโฟนที่มีจำหน่ายภายในงานหลายต่อหลายรุ่นนั้นมาพร้อมฟังก์ชั่นที่ครบครันในราคาที่เหมาะสม ซึ่งก็ตอบโจทย์กลุ่มผู้บริโภคในปัจจุบันซึ่งมองไปที่ความคุ้มค่าในการใช้งานเป็นปัจจัยหลักสำหรับการเลือกซื้อ อีกทั้งการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตความเร็วสูงบนเครือข่าย 3G ก็มีความชัดเจนและครอบคลุมมากยิ่งขึ้นกระตุ้นให้เกิดความต้องการเปลี่ยนมือถือเครื่องใหม่เป็นสมาร์ทโฟนที่รองรับการใช้งานได้ โดยแอนดรอยด์ก็ยังคงเป็นระบบปฏิบัติการของสมาร์ทโฟนที่มาแรงเหมือนเช่นเคย ด้วยยอดจำหน่ายสูงถึง 90% ของโทรศัพท์มือถือทั้งหมดที่จำหน่ายภายในงาน

แล้วพบกันใหม่ที่งาน “Thailand Mobile Expo 2012 Showcase” ครั้งที่ 13 มหกรรมโทรศัพท์มือถือที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ ซึ่งจะจัดขึ้นในวันที่ 4 – 7 ตุลาคม 2555 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ตั้งแต่เวลา 10.00 – 20.00 น. เป็นต้นไป

View :1725