Archive

Archive for the ‘Technology’ Category

สพฐ. ดัน ห้องเรียนกลับทาง ดึง มศว.ลุยพัฒนา เน้นเด็กค้นคว้าด้วยตนเองด้วยเนื้อหาดิจิตอล

February 9th, 2014 No comments

IMG_6965

สพฐ. เร่งพัฒนา “” ผนึก มศว. ประสานมิตร ดำเนินการพัฒนาระบบการเรียนการสอนให้เน้นเด็กค้นคว้าด้วยตนเองด้วยเนื้อหาดิจิตอล ที่ได้มาตรฐานเพื่อเป็นการพัฒนาความรู้ความสามารถ และเปิดโลกทัศน์ให้กับเยาวชน สำหรับใช้เป็นรูปแบบการเรียนการสอนด้วยการค้นคว้าจากเนื้อหาที่หลากหลายประกอบไปด้วยภาพวีดีโอ.บทเรียน.และบททดสอบ ที่รองรับภาษาต่างๆ รวมถึงภาษาไทย ดึงตัวแทนครู อาจารย์กว่า 200 ชีวิต จาก 100 โรงเรียนทั่วประเทศ ร่วมอบรมเพื่อพัฒนาวิธีการสอนแบบห้องเรียนกลับทาง หวังกระตุ้นให้เด็กไทยรู้จัก และเข้าใจ กระบวนการคิด และวิเคราะห์ ให้เป็นการพัฒนาการรับรู้แบบบูรณาการทั้ง ฟัง คิด พูด อ่าน และเขียน ให้เยาวชนไทยได้เข้าถึงบทเรียนที่มีคุณภาพเท่าเทียมกับเยาวชนในต่างประเทศ และเป็นการเติมเต็มนโยบายของรัฐบาลใน “โครงการแท็บเล็ตพีซีเพื่อการศึกษาไทย” ให้มีครบทั้งอุปกรณ์ และเนื้อหาที่สมบูรณ์

ดร.พิเชฎษ์ จับจิตต์ ผู้อำนวยการสถาบันวิทยาศาสตร์สำนักงานวิชาการและมาตรฐานการศึกษาสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน. (สพฐ.) เปิดเผยว่า จากนโยบายของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน.ที่ส่งเสริมการเรียนรู้ด้วยแนวคิด หลักการ และการดำเนินการเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับทาง (Flipped Classroom) และการศึกษาค้นคว้าด้วยตนเอง (Independent Study) ด้วยกระบวนการบันได 5 ขั้นของการจัดการเรียนการสอนในโรงเรียนมาตรฐานสากล จากการศึกษาพบว่า มีความเป็นไปได้ในการใช้ระบบการเรียนการสอนด้วยสื่อดิจิตอลตามมาตรฐานสากลเพื่อให้ผู้เรียน และผู้สอนสามารถดำเนินกิจกรรมตามแนวคิดดังกล่าวได้ แต่อุปสรรคที่สำคัญคือการผลิตสื่อที่มีคุณภาพ และมาตรฐาน ดังนั้นการช่วยเหลือที่สำคัญคือการให้โอกาสครู และผู้เรียนสามารถเข้าถึงสื่อดิจิตอลที่มีคุณภาพ และเรียนรู้ผ่านอินเตอร์เน็ตหรือแบบไม่เชื่อมต่ออินเตอร์เน็ต โดยเน้นไปที่การมีปฏิสัมพันธ์กับสื่อผสมที่ประกอบด้วยเนื้อหา และแบบทดสอบ ทาง สพฐ. จึงได้ร่วมกับ ศูนย์บริการวิชาการ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร ในการทำโครงการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียน การสอนในรูปแบบ ห้องเรียนกลับทาง และการศึกษาค้นคว้าด้วยตัวเอง และได้รับความร่วมมือจากครู อาจารย์กว่า 200 คน จาก 100 โรงเรียน มาร่วมพัฒนาหลักสูตร

โดยโครงการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้แบบ ห้องเรียนกลับทาง และการศึกษาค้นคว้าด้วยตัวเอง จัดขึ้นเพื่อพัฒนาวิชาชีพครูโดยการจัดฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการ การติดตามการดำเนินงานโดยวิธีนิเทศติดตามและให้ข้อมูลย้อนกลับการดำเนินงาน โดยเริ่มจากครูชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 และจะทำการวิจัยศึกษาผลการดำเนินงาน โดยเน้นการปฏิบัติงานของครู และการเรียนรู้ของผู้เรียนผ่านการดำเนินการเรียนการสอนด้วยเนื้อหาดิจิตอล โดยกิจกรรมในโครงการนี้ แบ่งออกเป็น 3 กิจกรรม หลัก ๆ ที่ไม่เกี่ยวกับการทำวิจัย ได้แก่

การอบรมเชิงปฏิบัติการ โดยจะอบรมเชิงปฏิบัติการในส่วนกลาง โดยคัดเลือกโรงเรียน ในสังกัด สพฐ ที่เข้าเกณฑ์ ได้แก่ เป็นโรงเรียน World Class และมี Program EP (English Program) จำนวน 100 โรงเรียน ส่งตัวแทนเข้าร่วมอบรมโรงเรียนละ 2 คน โดยจะอบรม 3 วัน วันละ 7 ชั่วโมง รวม 21 ชั่วโมงนอกจากนี้ยังมีการอบรมเชิงปฏิบัติการ ติดตามผล ระดับภูมิภาค พร้อมติดตามผลเชิญตัวแทนจากโรงเรียน 100 โรงเรียน เข้ารับการอบรมระดับภูมิภาค โดยมีระยะเวลาอบรม 1 วัน วันละ 7 ชั่วโมง หลังจากอบรมระดับภูมิภาค ผู้ที่เข้ารับการอบรมครบทั้ง 2 ครั้ง จะได้รับใบประกาศนียบัตร จาก สพฐ เพื่อรับรองการผ่านการอบรมหลักสูตรการเรียนรู้แบบ ห้องเรียนกลับทาง (Flipped Classroom) และการศึกษาค้นคว้าด้วยตัวเอง (Independent Study) จาก discovery education และ มศว.

การประกวดแผนการสอน ซึ่งผู้ผ่านการอบรมมีสิทธิส่งแผนการสอนในรูปแบบ การเรียนรู้แบบ ห้องเรียนกลับทาง และการศึกษาค้นคว้าด้วยตัวเองเข้าประกวด เพื่อชิงรางวัลถ้วย และโล่รางวัล จาก สพฐ โดยการแข่งขันแบ่งออกเป็น ระดับภูมิภาค 4 ภาค ภูมิภาคละ 3 รางวัล รวม 12 รางวัล ซึ่งการส่งผลงานเริ่มส่งได้ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป และปิดรับผลงานสิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2557 และประกาศผลในวันปิดโครงการ เดือนมีนาคม 2557 ซึ่งสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Fan Page ของโครงการ www.facebook.com/flippedclassroomthailand

ดร.พิเชฎษ์ จับจิตต์ กล่าวต่อไปว่า นอกจากนี้ยังมีการนิเทศติดตาม ผู้เข้ารับการอบรมในแต่ละภูมิภาค ภาคละ 1 โรงเรียน อีกด้วย โดยจะเริ่มจาก ภาคกลางโรงเรียนบ้านท่ากลอย, โรงเรียนอนุบาลระยอง ภาคเหนือโรงเรียนอนุบาลเชียงใหม่ และโรงเรียนพุทธิโสภณ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือโรงเรียนอนุบาลขอนแก่น และภาคใต้ โรงเรียนอนุบาลชุมพรอีกด้วย

View :1389

สวทช. เปิดรับสมัคร โครงการ “ เถ้าแก่น้อยเทคโนโลยี ปี 3”

January 27th, 2014 No comments

สวทช. ซอฟต์แวร์พาร์ค เปิดรับสมัคร “เถ้าแก่น้อยเทคโนโลยี ปี 3” ชิงรางวัลกว่า 8 แสน พร้อมต่อยอดไอเดีย สร้างธุรกิจทำเงิน

เขตอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ประเทศไทย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เปิดรับสมัครโครงการ “เถ้าแก่น้อยเทคโนโลยี ปีที่ 3” ( Samart Innovation Award 2014 ) โดยโครงการดังกล่าว ฯ มีจุดประสงค์เพื่อ เฟ้นหา สุดยอดนักคิด นักพัฒนา นวัตกรรมต้นแบบ เพื่อสร้างผู้ประกอบการธุรกิจเทคโนโลยีรุ่นใหม่ นำแนวคิดเทคโนโลยีสู่ผลิตภัณฑ์สอดคล้องกับการตลาดในปัจจุบันและผลักดันสู่ธุรกิจที่จับต้องได้อย่างเป็นรูปธรรม พร้อมกันนี้ผู้ที่มีไอเดียและผลงานโดดเด่น จะได้รับการคัดเลือกให้ได้รับรางวัล Samart Innovation Award 2014 เพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้นักพัฒนารุ่นใหม่ต่อไป

กลุ่มเป้าหมาย

นิสิตนักศึกษาจากสถาบันการศึกษาทั่วประเทศ(ไม่จำกัดระดับการศึกษา)


บุคคลทั่วไปคุณสมบัติ
มีไอเดียสร้างสรรค์ด้านเทคโนโลยีและมีความมุ่งมั่นและพร้อมจะเตรียมตัวเป็นเจ้าของธุรกิจเทคโนโลยีอายุ20-35ปี


เงินรางวัล
รางวัลชนะเลิศ หรือ รางวัล Samart Innovation Award 2014 มูลค่า 200,000 บาท + ดูงานต่างประเทศ
รางวัลรองชนะเลิศ อีก 2 รางวัล คือ 100,000 บาท และ 50,000 บาท + ดูงานต่างประเทศ
รางวัลที่ 4 – 23 รับทุนเถ้าแก่น้อย ทุนละ 20,000 บาท

กิจกรรมโครงการ
อบรมพื้นฐานธุรกิจ (ระยะเวลาโครงการฯ 7เดือน ) พบที่ปรึกษากิจกรรม Workshop ทดสอบตลาด Idea to Market กิจกรรมพบนักลงทุนโดยพาออกสู่ตลาด/ประสานแหล่งเงินทุน


การสมัครเข้าร่วมโครงการฯ ลงทะเบียนออนไลน์ได้ที่เว็บ http://www.samartsia.com/ ตั้งแต่วันนี้ – 31 มีนาคม 2557

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทร:02-583-9992 ต่อ 1510 , 1513 Email:thinkbic@nstda.or.thWebsite: www.nstda.or.th/bic

View :1206

Further Growth of Big Data, Wearable Devices and B2B Online Retailing Lead the Pack of Global Trends that Will Shape 2014

January 27th, 2014 No comments

In 2014, will grow bigger, will become more abundant, and online retailing will become more prevalent amongst business-to-business.

New analysis from Frost & Sullivan (www.frost.com), Top 14 Ideas and Innovations for 2014, finds that the trends mentioned above are the top three key global game changers for 2014.

Big data is growing at a rate of 40 percent annually generating a massive pool of data offering valuable insights and opportunity for predictive analytics. This year will see increased activity from businesses in using this big data to offer personalized, customized and intelligent services that are more real-time or proactive, thus making its augmentation the top prediction of 2014.

“Virtualization of data and analytics will become imperative to businesses.” said Frost & Sullivan’s Visionary Innovation Team Leader and Senior Research Analyst Archana Vidyasekar. “Online retail giants, such as Amazon, have already launched interesting services, such as Amazon Kinesis, that analyses data in the real-time to offer customized services.”

Much like the first trend, wearable devices have already started to create a buzz that is only expected to become louder in 2014. Last year saw the launch of wearable smart gadgets, such as smart watches and Google Glass that emulated functions of a smartphone perfectly. While there is skepticism and hype surrounding this market, its potential in regards to new services, such as undisputed monitoring of health, has propelled these gadgets to the forefront of products to watch in the wellness industry. In fact, most of big technology and web companies are actively pursuing this market.

Finally, while e-Commerce has recently grown tremendously through B2C retail, many do not realize that there has been a massive upturn on in the past few years, contributing more to the e-commerce market than B2C.

“Electronic B2B that was traditionally comprised of conventional Electronic Data Interchange platforms with minimum choice of vendors and a costlier implementation system, is moving to the wider web of the internet toward online platforms that offer more choice, flexibility and price options,” said Vidyasekar.”These online platforms provide instant quotes, thus offering quicker responses and much more agile procurement and supply services.”

View :1205

ดีแทคเผยผลประกอบการไตรมาส 3 ปี 2556 รายได้จากการให้บริการ เติบโตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

October 30th, 2013 No comments

29 ตุลาคม 2556 – บริษัทโทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ เผยผลประกอบการยังคงเติบโตต่อเนื่อง ถึงแม้จะมีปัจจัยลบทางด้านเศรษฐกิจและการแข่งขันในตลาดที่สูงขึ้นประกอบกับการปรับลดอัตราค่าเชื่อมต่อโครงข่าย (Interconnection หรือ IC) ในช่วงไตรมาส 3 ที่ผ่านมา รายได้จากการให้บริการ (ไม่รวม IC) เพิ่มสูงขึ้นร้อยละ 10.2 จากไตรมาสเดียวกันปีก่อน (YoY) โดยมีปัจจัยสนับสนุนหลักจากการเติบโตของบริการอินเทอร์เน็ตไร้สายที่เติบโตมากกว่าร้อยละ 80 จากไตรมาสเดียวกันปีก่อน (YoY) เป็นไตรมาสที่ 7 ติดต่อกัน รายได้จากการขายเครื่องโทรศัพท์ปรับตัวสูงขึ้นร้อยละ 32.6 จากไตรมาสเดียวกันปีก่อน (YoY) แต่ปรับลดลงจากไตรมาส 2 ที่ผ่านมาเนื่องจากปัจจัยทางเศรษฐกิฐและการรอคอยการเปิดตัวไอโฟน 5s ในไตรมาส 4 สำหรับรายได้จากการดำเนินงานรวม 21.4 พันล้านบาท ปรับตัวขึ้นเพียงเล็กน้อยจากไตรมาสเดียวกันปีก่อน เนื่องมาจากการปรับลดอัตราค่าเชื่อมโยงโครงข่ายทั้งระบบ 2G และ 3G ที่มีผลตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2556

จุดเด่นในไตรมาสที่ 3 ยังคงเป็นรายได้จากบริการเสริมที่เติบโตต่อเนื่อง ถึงร้อยละ 54.5 จากไตรมาสเดียวกันปีก่อน (YoY) และร้อยละ 10.3 จากไตรมาสก่อน (QoQ) อยู่ที่ 5.9 พันล้านบาท แรงขับเคลื่อนหลักของรายได้จากบริการเสริมยังคงเป็นการใช้อินเทอร์เน็ตไร้สายที่เติบโตอย่างต่อเนื่องร้อยละ 85.8 จากไตรมาสเดียวกันปีก่อน (YoY) และร้อยละ 14.1 จากไตรมาสก่อน (QoQ) ซึ่งเป็นผลจากความนิยมในสมาร์ทโฟนและแอพพลิเคชั่นสังคมออนไลน์ที่ยังคงมีสูงต่อเนื่อง และการขยายพื้นที่ให้บริการ 3G บนคลื่นความถี่ย่าน 2.1 GHz ครอบคลุมพื้นที่การให้บริการได้ครบ 77 จังหวัดทั่วประเทศของดีแทค

EBITDA สำหรับไตรมาสที่ 3 ปี 2556 เท่ากับ 7.2 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.5 จากไตรมาสเดียวกันปีก่อน จากการเติบโตของรายได้และการบริหารจัดการต้นทุนที่มีประสิทธิผล EBITDA margin ปรับตัวสูงขึ้นมาอยู่ที่ร้อยละ 33.4 เนื่องจากการปรับลดอัตราค่าเชื่อมโยงโครงข่าย กำไรสุทธิสำหรับงวดเท่ากับ 2.7 พันล้านบาท ลดลงร้อยละ 4.7 จากไตรมาสเดียวกันปีก่อน เนื่องจากการปรับตัวเพิ่มขึ้นของค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายของค่าธรรมเนียมใบอนุญาตและการลงทุนในระบบ 3G 2.1GHz

ในส่วนผู้ใช้บริการสมาร์ทโฟนต่อผู้ใช้บริการทั้งหมดของดีแทคเพิ่มขึ้นสู่ร้อยละ 29.1 ในไตรมาส 3 ของปี 2556 จากการทำตลาดดีแทค ไตรเน็ต โฟน และ ราคาสมาร์ทโฟนที่ลดลงในตลาด การเพิ่มขึ้นของผู้ใช้บริการสมาร์ทโฟนส่งผลดีให้ดีแทคในการเติบโตของรายได้บริการอินเทอร์เน็ตและความต้องการของลูกค้าปัจจุบันที่มีความประสงค์โอนย้ายสู่ระบบ 3G 2.1GHz

ดีแทค ไตรเน็ต ได้โอนย้ายลูกค้าตามความต้องการ ที่จะมาใช้งานไปแล้วจำนวน 3.7 ล้านราย โดยยังมีลูกค้าที่แจ้งความต้องการย้ายมาใช้บริการดีแทค ไตรเน็ตอีก 8.2 ล้านราย ซีงดีแทคมั่นใจว่า จะทำให้บรรลุเป้าหมายที่จะมีลูกค้าเข้ามาใช้ดีแทค ไตรเน็ตจนถึงสิ้นปีนี้ครบ 10 ล้าน

นายจอน เอ็ดดี้ อับดุลลาห์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ดีแทค กล่าวว่า “รายได้การให้บริการที่เติบโตต่อเนื่อง เป็นผลมาจากการใช้งานโมบายล์อินเทอร์เน็ต และสมาร์ทโฟนที่ได้รับความนิยมมากขึ้น และความแข็งแกร่งในการดำเนินธุรกิจและการทำตลาด ที่จัดแคมเปญต่อเนื่องเพื่อดึงดูดให้ลูกค้าเครือข่ายอื่นย้ายเข้ามาใช้ดีแทค ไตรเน็ต

คาดว่าในปลายปีนี้ภาวะการแข่งขันในอุตสาหกรรมโทรคมนาคมจะทวีความเข้มข้นมากขึ้น จากความพร้อมทางด้านเครือข่าย 3G ของทุกค่ายที่ครอบคลุมทั่วประเทศ ทำให้แต่ละค่ายจะต้องออกแคมเปญมาช่วงชิงลูกค้ากันอย่างร้อนแรง สำหรับจุดยืนของดีแทค เรายังคงมุ่งเน้นในการขยายและพัฒนาคุณภาพเครือข่ายดีแทค ไตรเน็ต ซึ่งได้ดำเนินการติดตั้งและเปิดให้บริการได้ครบแล้วใน 77 จังหวัดทั่วประเทศ ซึ่งด้วย ไตรเน็ต 3 โครงข่ายอัจฉริยะ จะช่วยให้การเชื่อมต่อสัญญาณ เพื่อการใช้งานเป็นไปอย่างราบรื่นไร้รอยต่อ ลูกค้าสามารถใช้งานต่อเนื่องบน 3G ได้โดยไม่สะดุดและสามารถทำให้ลูกค้าของเราได้รับบริการที่มีคุณภาพสูงตลอดการใช้งาน”

ปัจจุบันดีแทค และ ดีแทค ไตรเน็ต มีสถานีฐานรวมกันแล้วประมาณ 20,000 สถานีฐาน ซึ่งจะครอบคลุมประชากรร้อยละ 55 ได้ภายในสิ้นปีและจะยังคงขยายพัฒนาสถานีฐานต่อไป สร้างความพึงพอใจในการใช้บริการให้ลูกค้าดีแทคอย่างต่อเนื่อง

View :1624
Categories: Technology, Telecom Tags:

ไซแมนเทคเผยรายได้รวมไตรมาส 2 ปี 2014

October 30th, 2013 No comments

ไซแมนเทคผลประกอบการในปี 2014 แสดงให้เห็นถึงช่วงเปลี่ยนผ่านครั้งสำคัญที่กำลังดำเนินอยู่ โดยมีเป้าหมายการเติบโตในระยะยาว แม้ว่ารายได้จะลดลง แต่ไซแมนเทคสามารถสร้างผลตอบแทนในรูปของมาร์จินและรายได้ต่อหุ้นที่ดีกว่าคาด ไซแมนเทคคอร์ป (Nasdaq: SYMC) รายงานผลประกอบการไตรมาสสองของปีงบประมาณ 2014 สิ้นสุด ณ วันที่ 27 กันยายน 2013 ว่ามีรายได้รวม 1.64 พันล้านดอลลาร์ ลดลงร้อยละ 4 เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา และลดลงร้อยละ 3 หลังการปรับอัตราแลกเปลี่ยนแล้ว

MOUNTAIN VIEW, Calif. – October 28, 2013 : มร.สตีฟ เบนเน็ตต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของไซแมนเทค กล่าวว่า นับตั้งแต่มีการประกาศกลยุทธ์ของไซแมนเทคในเดือนมกราคม ไซแมนเทคได้มีการเปลี่ยนแปลงสำคัญๆ ที่จะช่วยให้ประสบความสำเร็จในธุรกิจ มีการการส่งมอบงานให้กับลูกค้า และคู่ค้ามากขึ้น ได้จัดสรร ทรัพยากรเพื่อพัฒนาข้อเสนอแบบบูรณาการใหม่ๆ การแยกหน่วยงานด้านการขายออกเป็นทีม ที่ดูแลการต่ออายุผลิตภัณฑ์ของลูกค้าเก่า และทีมขายสำหรับธุรกิจใหม่ ตลอดจนทำให้โครงสร้างการจัดการของไซแมนเทคให้มีความเรียบง่ายมากขึ้น ตัวเลขการเติบโตในไตรมาสนี้เป็นไตรมาสที่ท้าทายในปีแห่งการเปลี่ยนแปลงของไซแมนเทค ซึ่ง คาดหวังว่าการดำเนินธุรกิจของไซแมนเทคจะนำไปสู่การเติบโต ไซแมนเทคยังคง มุ่งมั่นที่จะทำให้บรรลุเป้าหมายให้ได้ในปี งบประมาณ 2015- 2017 และ มั่นใจว่าจะกลับมาอยู่บนเส้นทางที่ถูกต้องได้อีกครั้ง

มร.ดริว เดล แมทโต รักษาการแทนหัวหน้าเจ้าหน้าที่การเงินของ กล่าวว่า “การปรับกลยุทธ์เป็นเรื่องที่มีความจำเป็น และจะ สร้างรากฐานที่แข็งแกร่งสำหรับการเติบโต ในระยะยาวต่อไป รายได้ของไซแมนเทคจะลดลงในไตรมาสที่สิ้นสุดเมื่อเดือนกันยายน แต่กลับทำรายได้จากการดำเนินงาน และกำไรต่อหุ้นได้มากขึ้น เนื่องจากการรายได้ที่ลดลงในไตรมาส ที่สอง และการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญของไซแมนเทค กำลังดำเนินการอยู่ ทำให้มีรายได้ในปีงบประมาณ 2014 ต่ำกว่าที่คาดการณ์เอาไว้”

ผลประกอบการไตรมาสสองปีงบประมาณ 2014 ตามมาตรฐาน GAAP
· อัตรากำไรการดำเนินงานตามมาตรฐาน GAAP อยู่ที่ร้อยละ 15.1 เทียบกับร้อยละ 17.5 ในช่วงไตรมาสเดียวกันของปีที่ผ่านมา
· กำไรสุทธิตามมาตรฐาน GAAP อยู่ที่ 241 ล้านดอลลาร์ เทียบกับกำไรสุทธิในช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา 189 ล้านดอลลาร์
· กำไรต่อหุ้นตามมาตรฐาน GAAP อยู่ที่ 0.34 ดอลลาร์ต่อหุ้น เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาร้อยละ 26
· รายได้ล่วงหน้ามาตรฐาน GAAP ณ วันที่ 27 กันยายน 2013 อยู่ที่ 3.50 พันล้านดอลลาร์เทียบกับ3.62 พันล้านดอลลาร์ ณ วันที่ 28 กันยายน 2012 ลดลงร้อยละ 3 ต่อปี
· กระแสเงินสดจากการดำเนินงานมีมูลค่า 191 ล้านดอลลาร์เพิ่มขึ้นร้อยละ 7 เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา

ผลประกอบการไตรมาสสองปีงบประมาณ 2014 (non-GAAP)
· อัตรากำไรจากการดำเนินงานอยู่ที่ร้อยละ 27.6 เทียบกับร้อยละ 27.0 ในช่วงไตรมาสเดียวกันของปีที่ผ่านมา เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.60 เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา และเท่าเดิมหลังปรับอัตราแลกเปลี่ยน
· กำไรสุทธิอยู่ที่ 355 ล้านดอลลาร์เทียบกับกำไรสุทธิของปีที่ผ่านมา 318 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นร้อยละ 12 เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา
· กำไรต่อหุ้นอยู่ที่ 0.45 ดอลลาร์ต่อหุ้นเทียบกับ 0.42 ของไตรมาสเดียวกันในปีที่ผ่านมา เพื่อขึ้นร้อยละ 7

ข้อมูลโดยสรุปแยกตามกลุ่มธุรกิจ และภูมิภาคในไตรมาส
เพื่อให้สอดคล้องกับกลยุทธ์ 4.0 ของไซแมนเทค ดังนั้นไซแมนเทคได้แยกธุรกิจออกเป็น 3 กลุ่มใหม่ ต่อไปนี้เป็นรายงานผลประกอบการตามส่วนงาน และภูมิภาคที่ได้แบ่งไว้

ส่วนการป้องกัน และเพิ่มผลผลิตในการทำงานของผู้ใช้ (User Productivity & Protection)
ซึ่งประกอบด้วยการรักษาความปลอดภัยและการจัดการอุปกรณ์ปลายทาง (endpoint) , การเข้ารหัส และการให้บริการแก่ผู้ใช้งานแบบโมไบล์คิดเป็นร้อยละ 44 ของรายได้รวมทั้งหมด และลดลงร้อยละ 3 เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านม ร้อยละ( 2 หลังจากปรับอัตราแลกเปลี่ยน) ถึง 719 ล้านดอลลาร์

ส่วนการรักษาความปลอดภัยข้อมูล (Information Security)
ลดลงร้อยละ 2 เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ( ร้อยละ 1 หลังจากปรับอัตราแลกเปลี่ยน) $ 316 ล้านดอลลาร์ ส่วนนี้คิดเป็นร้อยละ 19 ของรายได้รวม และรวมถึงความสามารถในการรักษาความปลอดภัยต่างๆ ของไซแมนเทค เช่น การรักษาความปลอดภัยอีเมล์ และเว็บของเรา บริการการตรวจสอบตัวตน การรักษาความปลอดภัยศูนย์ข้อมูล บริการรักษาความปลอดภัยแบบ Managed Security Services (MSS) บริการการรักษาความปลอดภัยแบบเช่าใช้ และการป้องกันการสูญหายของข้อมูลทางธุรกิจ (DLP )

ส่วนการจัดการข้อมูล (Information Managemen)
คิดเป็นร้อยละ 37 ของรายได้รวมทั้งหมด และลดลงร้อยละ 5 เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ( ละร้อย 6 หลังจากปรับอัตราแลกเปลี่ยน ) ถึง 602 ล้านดอลลาร์ ส่วนนี้จะ ประกอบไปด้วยการให้บริการที่เกี่ยวข้องกับการสำรอง และการกู้คืนข้อมูล ระบบข้อมูลอัจฉริยะ ซึ่งรวมถึงการเก็บรักษาข้อมูล และการค้นหาแบบอิเล็กทรอนิกส์ และความพร้อมในการใช้งานของข้อมูล ซึ่งก่อนหน้านี้ ที่ไซแมนเทค เรียกว่าการจัดการระบบจัดเก็บข้อมูล
· รายได้ในระดับนานาชาติคิดเป็นร้อยละ 52 ของรายได้รวมทั้งหมด และลดลงร้อยละ 3 เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ร้อยละ( 2 หลังจากปรับอัตราแลกเปลี่ยน)
· ภูมิภาคยุโรปตะวันออกกลาง และแอฟริกา คิดเป็นร้อยละ 28 ของรายได้รวมทั้งหมด เพิ่มขึ้นร้อยละ 4 เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ลดลงร้อยละ( 1 หลังจากปรับอัตราแลกเปลี่ยน)
· ภูมิภาคเอเชีย แปซิฟิก / ญี่ปุ่น คิดเป็นร้อยละ 18 ของรายได้รวมทั้งหมด และลดลงร้อยละ 14 เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา (ร้อยละ 5 หลังจากปรับอัตราแลกเปลี่ยน)
· อเมริกา รวมทั้งสหรัฐอเมริกา , ละตินอเมริกา และแคนาดา คิดเป็นร้อยละร้อยละ 54 ของรายได้รวมทั้งหมด และลดลงร้อยละ 3 เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา (ร้อยละ 4 หลังจากปรับอัตราแลกเปลี่ยน)
การจัดสรรเงินทุน
ไซแมนเทคปิดไตรมาสด้วยเงินสด รายการเทียบเท่าเงินสด และเงินลงทุนระยะสั้นที่ 3.8 พันล้านดอลลาร์เทียบกับ 4 พันล้านดอลลาร์ในปีที่ผ่านมา ลดลงร้อยละ 4 เมื่อวันที่ 18 กันยายน 2013 ได้จ่ายเงินปันผลที่ 0.15 ดอลลาร์ต่อหุ้นรวมเป็นเงินทั้งสิ้น 105 ล้านดอลลาร์ นอกจากนี้ในระหว่างไตรมาส ไซแมนเทคได้ซื้อหุ้นคืนทั้งสิ้น 5 ล้านหุ้นด้วยเงิน 125 ล้านดอลลาร์ที่ราคาเฉลี่ย 24.99 ดอลลาร์ต่อหุ้น ณ วันสิ้นสุดไตรมาสสองไซแมนเทคยังมีเงินคงเหลือ 908 ล้านดอลลาร์สำหรับการซื้อหุ้นคืนในอนาคต ซึ่งขณะนี้แผนการซื้อหุ้นคืนได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมการแล้ว

คณะกรรมการของไซแมนเทคได้ประกาศจ่ายเงินปันผลรายไตรมาสที่ 0.15 ดอลลาร์ต่อหุ้นสามัญที่จะจ่ายให้ในวันที่ 18 ธันวาคม 2013 แก่ผู้ถือหุ้นทั้งหมดที่ถือหุ้นไว้จนถึงวันที่ 25 พฤศจิกายน 2013 วันที่ซื้อหุ้นโดยไม่ได้รับเงินปันผลจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 21 พฤศจิกายน 2013

แนวทางปีงบประมาณ 2014
เนื่องจากรายได้จากไตรมาสเดือนกันยายนลดลง และการเปลี่ยนแปลงทางธุรกิจสำคัญๆ ที่ไซแมนเทคกำลังผลักดันอยู่ ได้ปรับลดตัวเลขการคาดการณ์รายได้ประจำปีลง โดยไซแมนเทคคาดว่า :
· รายได้จะลดลงร้อยละ 3-4 ในอัตราแลกเปลี่ยนคงที่
· กำไรจากการดำเนินงานแบบ non-GAAP ที่จะเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.30 ถึง 0.60
· กำไรต่อหุ้นแบบ non-GAAP จะอยู่ระหว่างร้อยละ -1.0 และ 1.5 เมื่อเทียบกับปีงบการเงินที่ผ่านมา
แนวทางปีงบประมาณ 2014 ไตรมาสสาม
สำหรับไตรมาสสามของปีงบการเงิน 2014 ไซแมนเทคคาดว่า:
· จะมีรายได้ 1.63 ถึง 1.67 พันล้านดอลลาร์เมื่อเทียบกับ 1.79 พันล้านในช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา
· จะมีกำไรจากการดำเนินงานแบบ GAAP ที่ร้อยละ 17.0 ถึง 17.6 เมื่อเทียบกับร้อยละ 17.0 ในช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา
· จะมีกำไรจากการดำเนินงานแบบ non-GAAP ที่ร้อยละ 25.6 ถึง 26.2 เมื่อเทียบกับร้อยละ 25.9 ในช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา
· จะมีกำไรต่อหุ้นแบบ GAAP อยู่ที่ 0.26 ถึง 0.28 ดอลลาร์ เมื่อเทียบกับ 0.31 ดอลลาร์ในช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา
· จะมีกำไรต่อหุ้นแบบ non-GAAP อยู่ที่ 0.41 ถึง 0.43 ดอลลาร์ เมื่อเทียบกับ 0.45 ดอลลาร์ในช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา

แนวทางอยู่บนสมมติฐานอัตราแลกเปลี่ยนที่ 1.35 ดอลลาร์ต่อยูโร สำหรับไตรมาสเดือนธันวาคม 2013 เทียบกับอัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักจริงที่ 1.30 ดอลลาร์ และ ณ วันสิ้นสุดของระยะเวลาในอัตรา 1.32 ดอลลาร์ต่อยูโรสำหรับไตรมาสเดือนธันวาคม 2012 แนวทางของเราอยู่บนสมมติฐานว่าอัตราภาษีอยู่ที่ร้อยละ 28 และรายการเทียบเท่าหุ้นสามัญทั้งหมดสำหรับไตรมาสอยู่ที่ประมาณ 707 ล้านหุ้น

View :1263

WD เปิดตัว WD Sentinel DS5100 และ DS6100

October 25th, 2013 No comments

WD Sentinel DS 5100 and 6100_PRN_re
อุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลบนเครือข่ายพร้อมเซิร์ฟเวอร์ไซส์กะทัดรัดใหม่ เล็งเจาะตลาดธุรกิจขนาดเล็ก ในราคาที่เป็นเจ้าของได้

กรุงเทพฯ –24 ตุลาคม 2556– –WD® บริษัทในเครือของเวสเทิร์น ดิจิตอล คอร์เปอเรชั่น และเป็นผู้นำระดับโลกด้านอุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลดิจิตอลประกาศขยายกลุ่มผลิตภัณฑ์จัดเก็บข้อมูลสำหรับองค์กรขนาดเล็กและขนาดกลาง (SMB) ระลอกใหม่ ด้วยการเปิดตัวอุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลบนเครือข่ายพร้อมเซิร์ฟเวอร์ขนาดสุดกะทัดรัดใหม่ล่าสุดสองรุ่นคือ WD Sentinel™ DS5100 และ (ซีรีส์ S) โดยผลิตภัณฑ์ WD Sentinel ซีรีส์ S สำหรับเครื่องเดสก์ท็อปนี้ใช้ตัวประมวลผล Intel® Xeon® ประสิทธิภาพสูง มีช่องเสียบฮาร์ดดิสก์สี่ช่อง และมีการติดตั้งซอฟต์แวร์ Windows Server 2012 R2 Essentials พร้อมกับอุปกรณ์ล่วงหน้า นอกจากนี้แล้ว ผลิตภัณฑ์ WD Sentinel ทุกตัวยังใช้ฮาร์ดดิสก์ระดับองค์กรของ WD สามารถจัดเก็บข้อมูลได้สูงสุดถึง 16 TB และยังแตกต่างจากระบบ NAS แบบเดิมๆ ตรงที่เปิดโอกาสให้บรรดาธุรกิจขนาดเล็กสามารถรันแอพพลิเคชันในสายธุรกิจบนแพลตฟอร์มการจัดเก็บข้อมูลบนเครือข่ายได้อย่างไม่ติดขัด

WD Sentinel ซีรีส์ S เป็นโซลูชันที่ได้รับการกำหนดค่าอย่างสมบูรณ์และเต็มรูปแบบ พร้อมการสำรองข้อมูลอัตโนมัติและการคืนค่าซอฟต์แวร์สำหรับผู้ใช้ได้สูงสุดจำนวน 25 ราย และคอมพิวเตอร์ได้สูงสุด 50 เครื่อง คุณสมบัติทั้งหมดนี้อยู่ในราคาที่เป็นเจ้าของได้ ราคาค้าปลีกแนะนำของผู้ผลิตเริ่มต้นที่ 109,000 บาท และด้วยการรวมโซลูชันที่เป็นหนึ่งเดียวสำหรับทั้งข้อกำหนดในการจัดเก็บข้อมูลและข้อกำหนดของเซิร์ฟเวอร์ อุปกรณ์ในซีรีส์ S นี้จึงถือเป็นสุดยอดระบบสำหรับธุรกิจขนาดเล็กใดๆ ก็ตามที่กำลังมองหาเซิร์ฟเวอร์ตัวแรกสำหรับบริษัท

การวางจำหน่าย
อุปกรณ์ WD Sentinel ซีรีส์ S นี้พร้อมวางจำหน่ายแล้ววันนี้โดยผ่านผู้ขายสินค้ามูลค่าเพิ่ม (VAR) บริษัทตัวแทนจำหน่ายและผู้จัดจำหน่ายทั่วโลกที่ได้รับการแต่งตั้ง โดย ซึ่งเป็นแบบ pre-populated จะมาพร้อมความจุสองขนาดคือ 4 TB และ 8 TB ขณะที่ WD Sentinel DS6100 มีจำหน่ายแล้วในรุ่นความจุ 8, 12 และ 16 TB

ราคาจำหน่าย
WD Sentinel ทั้ง 5 รุ่นจากซีรีส์ S นี้พร้อมวางจำหน่ายแล้ว ราคาแนะนำของผู้ผลิตเริ่มต้นที่ 109,000 บาท (สำหรับรุ่น WD Sentinel DS5100 ความจุ 4 TB) สำหรับ WD Guardian ™ ซึ่งเป็นบริการสนับสนุนด้านเทคนิคที่มีความยืดหยุ่น ราคาไม่แพงและไม่ยุ่งยาก มีให้บริการตามช่วงเวลาหนึ่งปีหรือมากกว่านั้น

View :1289

ทรูมูฟ เอช ได้รับคัดเลือกจาก Apple รายแรกในไทยและเอเชียตะวันออกฉียงใต้ เป็นช้อปต้นแบบ จัดทำโปรแกรม ACEP (Apple Channel Excellence Program)

October 24th, 2013 No comments

photo 02

กรุงเทพฯ 22 ตุลาคม 2556 – ผู้ให้บริการ 4G LTE รายแรก และ 3G ที่ดีที่สุดในไทย และในฐานะที่เป็นผู้ให้บริการรายแรกที่นำ iPhone เข้ามาจำหน่ายอย่างเป็นทางการในประเทศไทย ได้มุ่งมั่นพัฒนาอย่างต่อเนื่องไม่ว่าจะเป็นการขยายโครงข่าย และบริการอย่างครบวงจร เพื่อให้ลูกค้ามีประสบการณ์การใช้งานสมาร์ทดีไวซ์ต่างๆ ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ล่าสุดทรูมูฟ เอช เป็นผู้ให้บริการรายแรกในประเทศไทย และในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่ได้รับสิทธิจาก Apple ให้จัดทำโปรแกรม ACEP () ซึ่งเป็นโปรมแกรมที่ Apple ทำขึ้นร่วมกับผู้ให้บริการที่มีความพร้อมในทุกด้าน ที่ผ่านการคัดเลือกจาก Apple เพื่อยกระดับช่องทางการจัดจำหน่ายให้เป็นไปตามมาตรฐานสากลของ Apple Worldwide นับเป็นการยกระดับธุรกิจค้าปลีกครั้งใหญ่ในประเทศไทย นอกจากนี้ ทรูมูฟ เอชยังมุ่งมั่นพัฒนาบุคลากรจนได้ผ่านการทดสอบหลักสูตรเข้มข้นเกี่ยวกับความเชี่ยวชาญการใช้งานสมาร์ทดีไวซ์ผ่านระบบปฏิบัติการ iOS หรือที่เรียกว่า “iPhone Master” เพื่อเพิ่มความมั่นใจในเรื่องความแม่นยำให้กับลูกค้าและความน่าเชื่อถือของข้อมูล รวมถึงการแนะนำสินค้าและการให้คำปรึกษาต่างๆ ได้อย่างดีที่สุด

ดร.ปพนธ์ รัตนชัยกานนท์ หัวหน้าคณะผู้บริหารกลุ่มด้านการพาณิชย์ กลยุทธ์การขายและรีเทล / ทรูไลฟ์สไตล์รีเทล บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า “ทรูมูฟ เอช ได้รับความไว้วางใจจาก Apple คัดเลือกให้เป็นช้อปต้นแบบ เพื่อจัดทำโปรแกรม ACEP เนื่องจากทรูมูฟ เอชเป็นผู้ให้บริการที่มีความพร้อมในทุกด้าน โดยทรูช้อปสาขาแรกที่ได้รับมาตรฐานตามโปรแกรม ACEP ของ Apple คือ สาขาดิจิตอลเกตเวย์ เมื่อวันที่ 13 กันยายน 2556 และยังมีสาขาที่เข้าร่วมโปรแกรมนี้อีก 46 สาขา ซึ่งจะติดตั้งแล้วเสร็จภายในสิ้นปี 2556 โดยวัสดุที่ใช้ประกอบตกแต่งในร้านทุกชิ้นผ่านการคิดค้นมาเป็นพิเศษโดยดีไซเนอร์ระดับโลกของ Apple โดยหนึ่งในนักออกแบบระบบความปลอดภัย คือ Jonathan Ive หัวหน้าทีมออกแบบผลิตภัณฑ์ต่างๆ ของ Apple ที่ได้รับความนิยมทั่วโลก อาทิ iMac, iPod, iPhone, iPad Mini และล่าสุดระบบปฏิบัติการ iOS 7 นอกจากนี้ ทรูมูฟ เอชมีความมั่นใจที่จะมอบประสบการณ์ที่ดีผ่านทางผู้เชี่ยวชาญกว่า 600 คน ไม่ว่าจะเป็น iPhone Master, iT Friends และ iT Friends Service ที่พร้อมให้บริการอยู่ในทรูช้อปสาขาต่างๆ ทั่วประเทศ”

“ทรูมูฟ เอช มุ่งมั่นพัฒนาทางด้านเครือข่ายและบริการอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความแตกต่างของ True Retail Shop ให้มีประสิทธิภาพเทียบเท่ามาตรฐานสากล เพื่อมอบประสบการณ์การใช้งานสมาร์ทดีไวซ์ต่างๆ ที่สมบูรณ์แบบให้กับผู้บริโภคชาวไทย” ดร. ปพนธ์ กล่าวทิ้งท้าย

View :1326

อีริคสันแต่งตั้งนาง คามิลล่า วอลเทียร์ ขึ้นดำรงตำแหน่งประธานบริษัทอีริคสัน ประเทศไทยคนใหม่

October 14th, 2013 No comments

คามิลล่า วอลเทียร์ ประธานบริษัทอีริคสัน ประเทศไทย_3
· อีริคสันประกาศแต่งตั้ง นาง ขึ้นดำรงตำแหน่งประธานบริษัทอีริคสัน ประเทศไทยคนใหม่ ซึ่งมีผลตั้งแต่งวันที่ 1 ตุลาคม 2556 เป็นต้นไป

· ด้วยประสบการณ์การทำงานของนาง คามิลล่ากว่า 18 ปี จากการทำงานในตำแหน่งรับผิดชอบด้านฝ่ายเซลล์และการจัดการด้านการตลาดในหลากหลายภูมิภาค ทั้งในยุโรปและเอเชีย

ณ วันนี้อีริคสันมีการประกาศแต่งตั้ง นาง คามิลล่า วอลเทียร์ เป็นประธานบริษัทอีริคสัน ประเทศไทย คนใหม่ โดยอยู่ภายใต้ นายอารุณ บันเซาว์ ประธานอีริคสันประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิค

นาย อารุณ บันเซาว์ ประธานอีริคสันประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิค กล่าวว่า “ด้วยประสบการณ์การทำงานกว่า 18 ปีที่อีริคสัน จากการทำงานในตำแหน่งรับผิดชอบด้านฝ่ายเซลล์และการจัดการด้านการตลาดในหลากหลายภูมิภาค ทั้งในยุโรปและเอเชีย นาง คามิลล่าจะเข้ามาเป็นกำลังสำคัญในการสนับสนุนลูกค้า พร้อมทั้งขับเคลื่อนให้อีริคสันเติบโตตามแผนธุรกิจที่วางไว้ในประเทศไทย พร้อมทั้งทำงานร่วมกับลูกค้าของเราเพื่อเพิ่มสร้างนวัตกรรมบริการใหม่ๆ เพื่อตอบสนองตลาดอุตสาหกรรมเทเลคอมที่กำลังเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว
นาง คามิลล่า กล่าวว่า “ฉันรู้สึกดีใจกับการได้กลับมาทำงานในประเทศไทยในช่วงที่ตลาดของโมบายบรอดแบรนด์นั้นกำลังเติบโต โดยรายงานข้อมูลจากอีริคสันคอนซูเมอร์แล็บได้บ่งชี้ว่า ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีอัตราการเติบโตในการใช้งานของสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตสูงที่สุดในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิคและโอเชียเนีย และที่น่าสนใจอีกอย่างก็คือการใช้งานของสมาร์ทโฟนนั้นเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าและ แท็บเล็ตก็เพิ่มอีก3 เท่าในปี 2013 นี้เมื่อเทียบจากข้อมูลของปีที่ผ่านมา โดยทั้งนี้คนไทยเกือบ 27% มีการรับชมทีวีและวิดีโอคอนเทนต์ผ่านแท็บเล็ต และในขณะที่อีก 32% มีการใช้งานวิดีโอสตรีมมิ่งบนอุปกรณ์โมบายต่างๆอีกด้วย

“ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา อีริคสันประเทศไทยได้รับความสำเร็จและความเชื่อมั่นจากผู้ให้บริการทุกรายในฐานะที่เป็นพาร์ทเนอร์ทางธุรกิจที่สำคัญ โดยฉันและทีมงานต่างต้องการที่จะทำงานอย่างใกล้ชิดกับลูกค้าของเราอย่างต่อเนื้องเพื่อที่จะสานต่อความสำเร็จของลูกค้าและอีริคสันในประเทศไทย” นาง คามิลล่า กล่าวเสริม

ความร่วมมือระหว่างอีริคสันกับอุตสาหกรรมเทเลคอมในประเทศไทยนั้นเริ่มต้นกันมากว่า 107 ปีที่แล้ว โดยในฐานะของการเป็นผู้จัดหาระบบโทรศัพท์พื้นฐานเพื่อรองรับผู้ใช้บริการจำนวน 100 ราย และนับตั้งแต่นั้นมาอีริคสันก็ได้เติบโตและก้าวเดินเคียงข้างการพัฒนาในด้านการนำเอาเทคโนโลยีด้านเทเลคอมระดับชั้นนำมาสู่ตลาดในประเทศไทย

View :1375

เอไอเอสก้าวสู่ปีที่ 24 พร้อมประกาศความสำเร็จตามสัญญากับเครือข่าย 3G2100 ครบหัวเมืองทั้ง 77 จังหวัด

October 2nd, 2013 No comments

โชว์ฐานลูกค้า 3G กว่า 10 ล้านราย ภายในเวลาเพียง 8 เดือน
1_1

1 ตุลาคม 2556 : นายวิเชียร เมฆตระการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “เอไอเอส ได้ก่อตั้งและให้บริการมาจนก้าวสู่ปีที่ 24 โดยในแต่ละช่วงเวลาบุคลากรทุกคนต่างมุ่งมั่นอย่างเต็มที่ในการที่จะพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านสื่อสารโทรคมนาคม เพื่อสร้างรากฐานที่แข็งแกร่ง เป็นกำลังสำคัญให้แก่ประเทศ ทั้งนี้พบว่าล่าสุดในภาพรวมทั้งอุตสาหกรรม มีปริมาณการใช้งาน Mobile Data สูงขึ้นถึงกว่า 120% เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 3 ของปีที่แล้ว รวมไปถึงการขยายตัวของตลาดสมาร์ทโฟน หรือ Special Device ก็สูงขึ้นถึงกว่า 70% เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 3 ของปีที่ผ่านมา ดังนั้นนอกเหนือจากการเดินหน้าพัฒนาบริการบนคลื่น 3G2100 ในปัจจุบันแล้ว บริษัทฯยังมีความพร้อมเป็นอย่างยิ่งสำหรับการประมูล 4G ที่ กสท.กำลังผลักดันให้เกิดขึ้นในปี 2557 เพราะจะเป็นการตอบโจทย์อัตราการเติบโตดังกล่าว โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้งาน VDO ที่เติบโตเป็นอันดับต้นๆ”
“และในวันนี้ เราได้ทำในสิ่งที่หลายๆคนเห็นว่าไม่สามารถเป็นไปได้ ให้เป็นไปได้แล้ว โดยหลังจากได้รับใบอนุญาต 3G เมื่อปลายปีที่ผ่านมา เราได้ร่วมมือร่วมใจกันพัฒนาบริการเพื่อมอบให้แก่ลูกค้าอย่างรวดเร็วที่สุด โดยล่าสุดนับเป็นความสำเร็จในเป้าหมายแรกของเราหลังจากใช้เวลาเพียง 8 เดือน ประกอบด้วย

1. ขยายเครือข่าย ได้ครบทุกหัวเมือง ทั้ง 77 จังหวัด เรียบร้อยแล้ว และจะเดินหน้าขยายต่อเนื่อง โดยคาดว่าในราวไตรมาส 2 ของปี 2557 จะครอบคลุมได้เทียบเท่ากับเครือข่าย 2G เดิม ที่ได้รับการยอมรับว่าครอบคลุมสูงสุด

2. ได้รับความไว้วางใจจากลูกค้า เข้ามาใช้บริการ AIS 3G2100 เป็นจำนวนกว่า 10 ล้านราย โดยตั้งเป้าว่าภายในสิ้นปีจะมีลูกค้ากว่า 12 ล้านราย

3. มีการพัฒนาคุณภาพเครือข่ายให้ดีขึ้นเรื่อยๆ ทั้งนี้จะเห็นได้จากผลการทดสอบ (Drive test) ของ กสทช.และบล็อกเกอร์ล่าสุดที่ผ่านมา คุณภาพเครือข่ายของ AIS 3G2100 ดีเป็นอันดับ 1 ซึ่งแม้จะไม่ได้สะท้อนคุณภาพในภาพรวมทั้งหมด แต่ก็แสดงให้เห็นถึงการพัฒนาที่อย่างต่อเนื่องและรวดเร็ว

“ทั้งหมดถือเป็นการบรรลุเป้าหมายแรกของเรา โดยเป้าหมายต่อไปคือ การรักษาความเป็นผู้นำในทุกด้านเพื่อมอบบริการที่สร้างประโยชน์สูงสุดให้แก่คนไทยจากเทคโนโลยี 3G ต่อไป”

ด้านนายฐิติพงศ์ เขียวไพศาล ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการอาวุโส สายงานการตลาดและการขาย เอไอเอส กล่าวว่า “ตลอดเวลาที่ผ่านมา กับฐานลูกค้า AIS 3G2100 กว่า 10 ล้านราย เราได้พบว่า มีปริมาณการใช้งาน Data ที่ขยายตัวถึงกว่า120% และมีการเปลี่ยนเครื่องเป็นสมาร์ทโฟนแล้วสูงถึง 70% เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 3 ของปีที่แล้ว ในขณะเดียวกัน App ยอดนิยมสูงสุดก็คือ Facebook, LINE, Youtube ทั้งนี้มีผู้ใช้งาน Data มากกว่า 12 ล้านรายต่อเดือน ในขณะที่ Apps ของ AIS เอง ไม่ว่าจะเป็น AIS Bookstore, AIS Music Store, AIS Movie Store, Google Free Zone, AIS Mobile Barclays Premier League ก็มีผู้ใช้รวมกันมากกว่าเดือนละ 1 ล้านราย”

“ซึ่งจากพฤติกรรมดังกล่าวทำให้เรายิ่งให้ความสำคัญกับการพัฒนาบริการที่จะทำให้ AIS 3G สามารถตอบโจทย์ได้อย่างครบถ้วนยิ่งขึ้นตามหลักของ DNAs รวมไปถึงการสื่อสารไปยังลูกค้า ซึ่งในช่วงของการเปิดตัว เราสื่อสารด้วยแนวคิด AIS 3G2100 ตัวจริง มาตรฐานโลก ที่สะท้อนทั้งความเชื่อมั่นของการให้บริการ 3G 2100 ซึ่งเป็นเทคโนโลยีมาตรฐาน ที่ลูกค้าไม่ต้องกังวลกับการเปลี่ยนเครื่อง หรือ ยุ่งยากกับการนำไปใช้งานในต่างประเทศ รวมไปถึงสะท้อนมายังความมุ่งมั่นตั้งใจของบุคลากรเอไอเอสทุกคน ที่มีความเป็น “ตัวจริง” ในอุตสาหกรรมมือถือ ไม่ว่าจะเป็นความเชี่ยวชาญและความเป็นมืออาชีพตัวจริงที่เชื่อถือได้”

“ดังนั้นวันนี้ เราจึงตั้งใจที่จะก้าวไปอีกขั้นกับ “การเข้าใจความต้องการของลูกค้าในทุกแง่มุมของการใช้ชีวิต” อย่างชัดเจนยิ่งขึ้น เพราะเมื่อเทคโนโลยี 3G สามารถตอบ Lifestyle ที่แตกต่างของแต่ละท่านได้อย่างรอบด้าน มากกว่าเพียงระบบสื่อสารเช่นในยุคของ 2G ที่ผ่านมา สิ่งที่เอไอเอสทำคือ การพัฒนาบริการที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นโปรโมชั่น, Application, การคัดสรรสมาร์ทโฟน รวมถึงการพัฒนาช่องทางการจัดจำหน่ายและงานบริการลูกค้า อย่างสอดคล้องกับแนวคิดข้างต้น เพื่อให้ลูกค้าทุกกลุ่มสามารถเลือกใช้บริการต่างๆจากเราได้ตามความต้องการของแต่ละท่านได้อย่างตรงใจ อาทิ บริการแช็ตจากเอไอเอส ที่ไม่ว่าจะเป็นเด็ก, วัยรุ่น, วัยทำงาน หรือ ผู้สูงอายุ ก็สามารถใช้แช็ตที่มี Quality DNAs ในรูปแบบเอไอเอสได้อย่างง่ายดายและตอบโจทย์ไม่แตกต่างกัน”

“ส่วนการสื่อสารแนวคิดนี้ไปยังลูกค้า เราชูแนวคิด “เจมส์ แอนด์ เดอะแก็งค์” ที่เน้นให้เห็นภาพความต้องการของลูกค้าทุกกลุ่ม ที่แม้จะมี Lifestyle, อายุ , อาชีพ ที่แตกต่าง อย่าง คุณสมบัติ เมทะนี, คุณนุ้ย สุจิรา, คุณสมรักษ์ คำสิงห์ , น้องกันต์-น้องฝน ฮอร์โมน แต่ทั้งหมดนี้มีความต้องการใช้บริการที่ไม่แตกต่างกัน แม้จะมีวิธีการนำไปใช้ที่แตกต่าง โดยมี “เจมส์-จิรายุ” ทำหน้าที่เป็นเสมือนตัวแทนของ AIS 3G ที่จะนำเสนอบริการที่ตรงใจ ตรงสไตล์ เพื่อทุกคน ซึ่งเอไอเอส จะนำเสนอแนวคิดนี้อย่างต่อเนื่องจนถึงสิ้นปี 2557”

View :1816
Categories: 3G, Technology, Telecom Tags: ,

กระทรวงไอซีที – กสทช. – ทีเส็บเผยความคืบหน้าเตรียมงาน ITU Telecom World 2013 พร้อมรับผู้นำไอทีโลกถกรับมือการเปลี่ยนแปลงยุคดิจิตอล

September 26th, 2013 No comments

กรุงเทพฯ / 26 กันยายน 2556 – 3 หน่วยงานผนึกกำลังเป็นเจ้าภาพจัดงาน Telecom World 2013 งานนิทรรศการด้านเทคโนโลยีสื่อสารและสารสนเทศระดับโลก เผยความคืบหน้าการเตรียมงาน เพื่อรับผู้นำอุตสาหกรรมไอทีทั่วโลกกกว่า 20,000 คนถกแนวทางการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของโลกยุคดิจิตอลและการพัฒนามาตรฐานด้านไอทีและโทรคมนาคมของโลก ซึ่งประเทศไทยได้รับสิทธิ์เป็นเจ้าภาพจัดงานนี้เป็นครั้งแรก ในระหว่างวันที่ 19-22 พฤศจิกายนนี้ที่ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุม อิมแพ็ค เมืองทองธานี

น.อ. อนุดิษฐ์ นาครทรรพ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เปิดเผยว่า ITU Telecom World เป็นงานนิทรรศการใหญ่ระดับโลกประจำปีสำหรับผู้อยู่ในอุตสาหกรรมไอทีที่จัดขึ้นโดยสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ (ITU) “จากการที่ประเทศไทยได้รับสิทธิเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม ITU Telecom World 2013 ขณะนี้ คณะกรรมการอำนวยการจัดงาน ซึ่งมีกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) และสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ ทีเส็บ เป็นแกนหลัก ได้ประสานงานกับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและได้มีการเตรียมความพร้อมในทุกด้านอย่างต่อเนื่อง ทั้งในด้านการประชาสัมพันธ์การจัดนิทรรศการ การอำนวยความสะดวกในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการเดินทาง พิธีการ ที่พัก ความปลอดภัย และอื่นๆ เชื่อว่าประเทศไทยมีความพร้อมในการเป็นเจ้าภาพในงานนี้ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและภาพลักษณ์ที่ดีของประเทศไทยในเวทีโลก และตอกย้ำบทบาทของไทยในการสนับสนุนการพัฒนามาตรฐานและกฎเกณฑ์ในธุรกิจเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารของโลก รวมทั้งแสดงศักยภาพของประเทศที่จะเป็นศูนย์กลางด้านไอทีของภูมิภาคต่อไป”

แนวคิดหลักของการจัดงานในปีนี้คือ Embracing Change in a Digital World หรือการเตรียมความพร้อมสู่การเปลี่ยนแปลงในโลกยุคดิจิตอล ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญที่ทั่วโลกตระหนักและกำลังร่วมกันเตรียมการเพื่อให้ทุกฝ่ายได้รับประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยีดิจิตอลต่างๆ

หัวข้อหลักที่จะมีการพูดคุยกันในงานนี้ภายใต้แนวคิดหลักดังกล่าว จะเน้น 5 ประเด็น คือ ความเปลี่ยนแปลงในวิธีการสื่อสารของผู้คน ความจำเป็นของโมเดลธุรกิจในยุคข้อมูลเป็นใหญ่ พลวัตความเปลี่ยนแปลงของภาคอุตสาหกรรม การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี ตลอดจนความจำเป็นของระเบียบควบคุมใหม่ๆ และกระบวนการวางมาตรฐาน อันเกิดจากการพัฒนาเทคโนโลยีโมบาย โซเชียลเน็ตเวิร์ค คอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีดิจิตอลต่างๆ

งาน ITU TELECOM WORLD 2013 จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 19-21 พฤศจิกายน 2556 มีกิจกรรมหลายรูปแบบทั้งการประชุม การบรรยาย การอภิปรายโดยผู้แทนและผู้นำของหน่วยงานที่รับผิดชอบการกำหนดมาตรฐานด้านโทรคมนาคมของประเทศต่างๆ รวมถึงผู้นำอุตสาหกรรมไอทีและโทรคมนาคมของโลกเข้าร่วมประชุมเกี่ยวกับประเด็นที่กำลังเป็นที่สนใจของโลกไอที เพื่อกำหนดแนวทางอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารของโลก

นอกจากนี้ ยังมีการแสดงนิทรรศการและการสาธิตเทคโนโลยี นวัตกรรม โซลูชั่น ผลิตภัณฑ์และบริการต่างๆ ด้านสารสนเทศ การสื่อสาร และโทรคมนาคม ตลอดจนกิจกรรมอื่นๆ ที่เปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมงานได้พบปะ พูดคุยและแลกเปลี่ยนความเห็น และข้อมูลระหว่างกัน รวมทั้งเจรจาโอกาสทางธุรกิจหรือความร่วมมือต่างๆ ร่วมกัน เพื่อขับเคลื่อนธุรกิจโทรคมนาคมและการสื่อสารของโลกต่อไป

อีกส่วนหนึ่งของงานคือการประกวด Young Innovators Competition 2013 ซึ่งจัดขึ้นเพื่อเปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่ที่เรียกว่า “social technopreneur” ซึ่งมีความสามารถในการสร้างสรรค์โซลูชั่นด้านการสื่อสารโทรคมนาคม โดย ผู้เข้ารอบสุดท้าย 10 คนที่คัดมาจากผู้สมัครกว่า 600 คนจาก 88 ประเทศทั่วโลก จะได้มีโอกาสเข้าร่วมกิจกรรมเวิร์คช็อป นำเสนอโครงการ และได้มีโอกาสทำงาน พบปะ หรือทำความรู้จักกับผู้ที่อยู่ในอุตสาหกรรมจริง รวมทั้งได้รับโอกาสที่จะได้รับเงินสนับสนุนการพัฒนาสูงสุด 10,000 เหรียญสหรัฐอีกด้วย

# # #

เกี่ยวกับ ITU
ITU เป็นทบวงการชำนัญพิเศษภายใต้สหประชาชาติ ซึ่งมีหน้าที่พัฒนาเครือข่ายเทคโนโลยีข้อมูลและการสื่อสาร ด้วยประวัติการทำงานเกือบ 150 ปี ITU ได้ประสานความร่วมมือในการจัดสรรการใช้คลื่นวิทยุความถี่ของสังคมโลกส่งเสริมความร่วมมือของนานาชาติในการจัดสรรวงจรดาวเทียม ตลอดจนทำงานภายใต้วัตถุประสงค์เพื่อปรับปรุงระบบการสื่อสารโทรคมนาคมพื้นฐานในประเทศกำลังพัฒนา นอกจากนี้ ITU ยังมีบทบาทในการวางมาตรฐานโทรคมนาคมทั่วโลกเพื่อเชื่อมโยงระบบการสื่อสาร คมนาคมรูปแบบต่าง ๆ อย่างมีประสิทธิภาพ ITU มุ่งมั่นเชื่อมโยงโลกทั้งใบผ่านระบบสื่อสารต่างๆ ตั้งแต่เครือข่ายบรอดแบนด์ เทคโนโลยีไร้สายยุคใหม่ ระบบนำร่องเพื่อการบินและการเดินทะเล ระบบดาราศาสตร์วิทยุ ระบบพยากรณ์อากาศผ่านดาวเทียม การประสานเทคโนโลยีไร้สายและใช้สายเข้าด้วยกันเพื่อให้สื่อสารได้ทุกที่ทุก เวลา ไปจนถึงเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตและระบบออกอากาศของโทรทัศน์

View :1472
Categories: Technology, Telecom Tags: