Archive

Archive for the ‘Technology’ Category

บราเดอร์ ประกาศรุกตลาดสแกนเนอร์ ล่าสุดส่งสแกนเนอร์ 3 รุ่นใหม่ ปลุกกระแสครอบคลุมทุกกลุ่มกำลังซื้อ คาดตลาดพร้อมตอบรับ

November 15th, 2012 No comments


-พร้อมขายที่ ไอที ซิตี้ เป็นแห่งแรก และตัวแทนจำหน่ายที่สนใจ-

บราเดอร์ คอมเมอร์เชี่ยล (ประเทศไทย) ผู้นำด้านธุรกิจเครื่องพิมพ์ขยายความแกร่งสู่ตลาดสแกนเนอร์ ล่าสุดสร้างกระแสอีกครั้งด้วยการส่ง สแกนเนอร์ 3 รุ่นล่าสุด ADS-1000, DS-700D และ DS-600 ลงชิงชัยในเมืองไทย เผยมั่นใจสินค้าตอบโจทย์ตรงความต้องการ ภาพรวมตลาดสแกนเนอร์ไทยเติบโตสูงถึง 136% ในปีที่ผ่านมา เดินหน้าอัดเกมรุกพร้อมขายแล้ววันนี้เริ่มที่ ไอที ซิตี้ และจะขยายช่องทางขายให้กับตัวแทนที่สนใจทั่วไทย

นายธีรวุธ ศุภพันธุ์ภิญโญ ผู้จัดการทั่วไป ฝ่ายขายและการตลาด บริษัท บราเดอร์ คอมเมอร์เชียล (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยล่าสุดว่า ตลาดสแกนเนอร์ ถือเป็นตลาดใหม่สำหรับเมืองไทย ซึ่งปัจจุบันยังมีศักยภาพในการเติบโตสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง หากเปรียบเทียบตัวเลขอัตราการเติบโตของปี 2553 กับ 2554 พบว่า มีอัตราการเติบโตสูงถึง 136% ในขณะที่มีแบรนด์ลงมาเล่นในตลาดดังกล่าวน้อย แต่กลับมีโอกาสทางการตลาดอยู่อีกมาก เป็นเหตุให้ บราเดอร์ เล็งเห็นถึงโอกาสทางการตลาดดังกล่าว และส่ง บราเดอร์ สแกนเนอร์ 3 รุ่นใหม่สู่ตลาดเมืองไทย ในราคาที่สามารถแข่งขันได้ ทั้งยังมีฟังก์ชั่นการใช้งานที่ครบครัน ครอบคลุมทุกกลุ่มการใช้งาน

“พฤติกรรมของผู้บริโภค ณ ปัจจุบัน เริ่มหันมาเก็บเอกสารเป็น Soft file เพิ่มขึ้น ดูตัวอย่างจากเหตุอุทกภัยที่ผ่านมา ที่เอกสารฉบับจริงได้รับความเสียหาย ดังนั้น หากสามารถสำรองเป็น Soft File ได้ จะช่วยเพิ่มความปลอดภัยแก่ผู้ใช้ได้อย่างมาก และด้วยพัฒนาการในด้านดีไซน์ ทำให้วันนี้เรามีทางเลือกใหม่คือกลุ่ม Mobile scanner หรือ สแกนเนอร์แบบพกพาเข้ามาลดช่องว่างเรื่องข้อจำกัดในการใช้งานได้อย่างดี ซึ่งบราเดอร์มองว่าตลาดในกลุ่มดังกล่าวมีอัตราและทิศทางการเติบโตที่สูง จึงได้ส่งสแกนเนอร์ 3 รุ่นใหม่เจาะในกลุ่มตลาดส่วนนี้ที่ถือเป็นกลุ่มตลาดระดับกลางถึงบน ซึ่งปัจุบันการใช้งานมิได้จำกัดเพียงแค่กลุ่มธุรกิจเท่านั้น แต่ตัวเลขในส่วนกลุ่มครอบครัวก็เพิ่มสูงขึ้นด้วยเช่นกัน ซึ่งเรามั่นใจว่ากลุ่มลูกค้าในส่วนนี้จะตอบรับต่อ บราเดอร์ สแกนเนอร์ เพราะเราพัฒนาสินค้าให้ง่ายต่อการใช้งาน ทั้งยังพัฒนา Software เอกสิทธิ์เฉพาะที่ช่วยจัดการเรื่องเอกสารอีกด้วย โดยสินค้าใหม่ทั้ง 3 รุ่นนี้ จะพร้อมเปิดขายอย่างเป็นทางการพร้อมกันทั่วเอเชียในเดือนพฤศจิกายน ศกนี้” นายธีรวุธวิเคราะห์

ด้านนายไพโรจน์ อมตมหัทธนะ รองกรรมการผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการบริษัท ไอที ซิตี้ จำกัด กล่าวแสดงความเห็นเกี่ยวกับภาพรวมการขายกลุ่มสินค้าสแกนเนอร์ว่า “ตลาดในกลุ่มนี้ยังต้องถูกพัฒนาเรื่องความเข้าใจแก่ผู้บริโภคชาวไทยอีกมาก และก้าวกระโดดเข้ามาปลุกตลาดของบราเดอร์ ด้วยนวัตกรรม “โมบาย สแกนเนอร์” น่าจะมีส่วนช่วยให้ตลาดเติบโตและเข้าใจในประโยชน์ของสินค้ากลุ่มสแกนเนอร์ได้เป็นอย่างดี ปัจจุบัน สินค้าในกลุ่มสแกนเนอร์ แบ่งออกได้เป็น 3 ประเภท คือ 1. Mobile Scanner 2. Desktop Scanner และ 3. Flash base Scanner โดยเทรนด์ที่เติบโตอย่างมากจะเป็นกลุ่ม Mobile Scanner เพราะปัจจุบันกลุ่มลูกค้าระดับกลางถึงบนเกือบทุกคนที่มี Notebook ก็จะมี Mobile Scanner ด้วยเช่นกัน และองค์กรทั่วไปเริ่มหันมาจัดเก็บเอกสารเป็น Soft File มากขึ้น”

ทั้งนี้ เครื่องโมบายสแกนเนอร์ 3 รุ่นใหม่จาก บราเดอร์ ประกอบด้วย

1. เครื่องสแกนเอกสารแบบตั้งโต๊ะ รุ่น ADS-2100 โดดเด่นเรื่องประสิทธิภาพในเรื่องความเร็ว การสแกน การจัดการ
และจัดระเบียบของเอกสารได้อย่างสมบูรณ์แบบ
- ความเร็วในการสแกนเอกสารแบบ 2 หน้าสูงสุด 24 หน้าต่อนาที (48 หน้าต่อนาที (ipm))
- มีช่องป้อนกระดาษอัตโนมัติ รองรับกระดาษได้สูงสุด 50 แผ่น เพื่อการสแกนเอกสารแบบหลายหน้าได้อย่างคล่องตัว
- ความละเอียดในการสแกนสูงสุด 1200 dpi
- สร้างไฟล์ PDF ที่สามารถค้นหาคำได้ เพื่อการจัดเอกสารได้คล่องตัวยิ่งขึ้น
- สามารถสแกนเอกสารโดยตรงไปยัง USB เพื่อการสแกนเอกสารโดยไม่ต้องใช้คอมพิวเตอร์
- มาพร้อมชุด Software เอกสิทธิ์เฉพาะของ บราเดอร์ เพื่อการสแกนเอกสารอย่างมืออาชีพ

2. เครื่องสแกนเอกสารแบบพกพา DS-700D ประสิทธิภาพการทำงานแบบไร้ขีดจำกัด ทุกที่ทุกเวลา
- น้ำหนัก 603 กรัม
- การสแกนเอกสารแบบ 2 หน้าในการป้อนกระดาษครั้งเดียว
- การสแกนเอกสารเป็นไฟล์ PDF แบบค้นหาคำได้, PDF แบบมาตรฐาน JPEG และ TIFF
- เทคโนโลยีการสแกนแบบ One Touch
- Software ปฏิบัติการที่มาพร้อมกับเครื่องสำหรับ Windows และ MAC
- ความละเอียด 600X600 dpi
- จ่ายกระแสไฟฟ้าผ่านการเชื่อมต่อ USB

3. เครื่องสแกนเอกสารแบบพกพา DS-600 อีกหนึ่งประสิทธิภาพการทำงานแบบไร้ขีดจำกัด ทุกที่ทุกเวลา ด้วยขนาดกระทัดรัด
- น้ำหนัก 315 กรัม
- การสแกนเอกสารเป็นไฟล์ PDF แบบค้นหาคำได้, PDF แบบมาตรฐาน JPEG และ TIFF
- เทคโนโลยีการสแกนแบบ One Touch
- Software ปฏิบัติการที่มาพร้อมกับเครื่องสำหรับ Windows และ MAC
- ความละเอียด 600X600 dpi
- จ่ายกระแสไฟฟ้าผ่านการเชื่อมต่อ US

View :1581
Categories: Gadgets, Technology Tags:

อีริคสันเปิดตัวศูนย์บริการ Global Services Center แห่งใหม่ที่เมืองซีอานประเทศจีนเพื่อรองรับ Managed Services

October 31st, 2012 No comments

· อีริคสันขยาย Global Service Center ในประเทศจีน โดยเปิดสาขาใหม่ที่เมืองซีอาน (Xi’an) รวมทั้งได้เปิด Global Network Operations Center และ Standardized Service Delivery Center แห่งครั้งแรกในเอเชียตะวันออก

· ศูนย์บริการใหม่เหล่านี้จะช่วยตอบสนองความต้องการของลูกค้าในธุรกิจ managed services ที่ต้องการผู้ช่วยดูแลการดำเนินงานของเครือข่าย และในขณะเดียวกันก็สามารถให้บริการด้าน standardized service delivery สู่ลูกค้าทั่วโลกได้

· อีริคสันเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานสูงสุด ด้วยการให้บริการลูกค้าทั่วโลกผ่าน Global Service Center ในประเทศจีน อินเดีย เม็กซิโก และโรมาเนีย

ในอุตสาหกรรมไอซีทีที่มีธุรกิจหลากหลาย มักมีลักษณะที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนโครงสร้างไอทีขนาดใหญ่ ใช้ผลิตภัณฑ์ที่มาจากผู้ผลิตหลายเจ้า บนเครือข่ายที่ใช้เทคโนโลยีหลากหลาย เหล่านักวิเคราะห์ต่างคาดหวังกับผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ ให้ปรับปรุงคุณภาพของสัญญาณและระดับความพึงพอใจในการใช้งานของลูกค้า ในขณะที่ต้องสามารถลดต้นทุนในการดำเนินงานได้อีกด้วย และเพื่อตอบโจทย์ที่ท้าทายเช่นนี้ โอเปอร์เรเตอร์ทั่วโลกจำนวนมากต่างมองเห็นคุณค่าของการใช้บริการ outsourcing ในการดูแลเครือข่าย (network operations) และบริการพิเศษ (professional services) อื่นๆ โดยให้ผู้เชี่ยวชาญ เช่น อีริคสัน เข้ามาดำเนินงานแทน ด้วยแนวคิดนี้โอเปอร์เรเตอร์จะสามารถมุ่งเน้นพัฒนาธุรกิจหลัก เช่น การขาย การตลาด การสร้างและรักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้า ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

อีริคสันได้ให้บริการลูกค้าเหล่านี้ ผ่าน Global Service Center (GSC) จำนวนสี่ศูนย์ และหนึ่งในสี่นี้อยู่ในประเทศจีน โดยตั้งอยู่ที่เมืองปักกิ่ง (Beijing), อู่ฮั่น (Wuhan), กว่างโจว (Guangzhou) และ ต้าเหลียน (Dalian) เพื่อให้สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศ ด้วยบริการระดับคุณภาพภายใต้ต้นทุนที่เหมาะสม อีริคสันจึงขยาย Global Service Center ในประเทศจีนเพิ่มขึ้นเป็นสาขาที่ห้าที่เมืองซีอาน (Xi’an) ในวันนี้

ที่สาขาใหม่แห่งนี้ มีบุคลากรด้านไอซีทีซึ่งได้รับการฝึกฝนมาแล้วอย่างดี รวมทั้งผู้เชี่ยวชาญด้านต่างๆกว่า 300 คน และมีการเปิด Global Network Operations Center (GNOC) ขึ้นเป็นแห่งแรกในภาคพื้นเอเชียตะวันออก รวมไปถึงการเปิด Standardized Service Delivery Center แห่งใหม่อีกด้วย และศูนย์บริการใหม่เหล่านี้จะช่วยส่งเสริมและขยายขีดความสามารถขององค์กร Global Services ภายในอีริคสันได้

Orvar Hurtig หัวหน้าส่วน Service Delivery ของอีริคสัน กล่าวว่า “การให้บริการลูกค้าทั่วโลก จากศูนย์บริการขนาดใหญ่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน รวมทั้งคุณภาพของบริการต่อลูกค้า ดังเช่น Global Service Center แห่งใหม่ในประเทศจีนที่เมืองซีอาน ที่จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในบริการควบคุมดูแลเครือข่าย (network operations) สำหรับลูกค้าในพื้นที่ รวมทั้งช่วยขยายความสามารถของเราในบริการ standardized service delivery อีกด้วย”

Zhao Juntao ประธานบริษัทอีริคสันประเทศจีน กล่าวว่า “เรามีความยินดีเป็นอย่างยิ่ง ที่ได้เห็น Global Network Operations Center แห่งที่สี่ ณ เมืองซีอาน ที่ซึ่งเราได้ทำธุรกิจมาแล้วกว่าทศวรรษ ผมเชื่อว่า การพัฒนาทางเศรษฐกิจที่เข้มแข็งในด้านตะวันตกของประเทศจีน รวมไปถึงการที่เมืองซีอานเป็นแหล่งรวมของผู้เชี่ยวชาญด้านไอซีที จะช่วยพัฒนาศูนย์บริการแห่งนี้ให้เจริญก้าวหน้าได้อย่างรวดเร็ว และนี่คือผลประโยชน์อันชัดเจนสำหรับลูกค้าทั่วโลกที่จะได้รับบริการจากศูนย์แห่งนี้”

Global Service Center ของอีริคสัน ในประเทศจีน อินเดีย เม็กซิโก และโรมาเนีย ล้วนถูกสร้างควบคู่กับ Global Network Operations Center เพื่อเป็นการเกื้อหนุนซึ่งกันและกัน ทั้งในด้านคุณภาพ ปริมาณงานที่ทำได้ และเพื่อเป็นการบริหารต้นทุนของบริการเหล่านี้อย่างมีประสิทธิภาพ ศูนย์บริการเหล่านี้ให้บริการทั้งลูกค้าในพื้นที่ใกล้เคียง รวมไปถึงลูกค้าอื่นทั่วโลก โดยให้บริการที่หลากหลาย ตั้งแต่การเชื่อมต่อระบบ (integration), การดำเนินงานของเครือข่าย (network operations) รวมไปถึงการดูแลลูกค้า ในปัจจุบันอีริคสันทำหน้าที่ช่วยสนับสนุนดูแลเครือข่ายที่มีลูกค้ามากกว่า 2.5 พันล้านคน และบริหารจัดการเครือข่ายที่มีลูกค้ามากกว่า 900 ล้านคนทั่วโลก

View :1368

เดลล์ จัดงาน “IDentify Your Style by DELL”

October 17th, 2012 No comments


โชว์สุดยอดนวัตกรรมและเทคโนโลยีครบวงจรแบบหลากสไตล์ เพื่อสะท้อนความเป็นคุณ พร้อมตอกย้ำพัฒนาการด้านบริการผ่าน on-site Service เพื่อเพิ่มความเชื่อมั่น

เดลล์ ร่วมกับ อินเทล เนรมิตรงาน “IDentify Your Style by DELL” เผยโฉมนวัตกรรมสินค้าและเทคโนโลยีหลากสไตล์เสนอเป็นทางเลือกเพื่อเติมเต็มความต้องการ และสะท้อนความเป็นตัวตนของกลุ่มลูกค้าทุกไลฟ์สไตล์ ประกาศความพร้อมนำเสนอสินค้าอินเทรนด์สู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง พร้อมตอกย้ำความเชื่อมั่นผ่านบริการคุณภาพ DELL On-site Service โดยภายในงานได้รับเกียรติจาก 3 แขกรับเชิญคนพิเศษ มาร่วมนำเสนอความเป็นตัวตนผ่าน 3 กลุ่มผลิตภัณฑ์ของ เดลล์ ประกอบด้วย XPS โดยท็อป ณัฐเศรษฐ์ พูนทรัพย์มณี Vostro โดย กรณ์ ณรงค์เดช และ Inspiron โดย พลอย หอวัง

นายอโณทัย เวทยากร กรรมการผู้จัดการ บริษัท เดลล์ คอร์ปอเรชั่น (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดไอทีในเมืองไทย ณ ปัจจุบัน มีการเติบโตสูงขึ้น โดยในส่วนของตลาดรวมโน้ตบุ๊คส์ยังคงมีการเติบโตในอัตราที่ใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา ซึ่งในส่วนของเดลล์เองก็ได้มีการแนะนำผลิตภัณฑ์รุ่นใหม่ๆ สู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งสร้างสรรค์แคมเปญพิเศษเพื่อสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ในแต่ละกลุ่มสู่กลุ่มเป้าหมาย โดยแต่ละรุ่นก็จะมีความหลากหลายเพื่อตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์อย่างลงตัว และที่สำคัญที่สุดคือการแนะนำนวัตกรรมใหม่ที่มีความบางเบาในแบบ “เดลล์ อัลตร้าบุ๊คส์” ซึ่งจากการเปิดตัวล่าสุดที่ผ่านมา สามารถสร้างยอดขายได้อย่างน่าจับตา และเชื่อว่าเทรนด์ดังกล่าวจะยังคงได้รับความนิยมต่อเนื่องและเพิ่มมากยิ่งขึ้น ซึ่ง เดลล์ คงจะนำเสนอสินค้ารุ่นใหม่ในกลุ่มนี้ เพื่อสร้างความคึกคักยิ่งขึ้นแก่ตลาด

“ตลอดระยะเวลา 9 เดือนที่ผ่านมา เดลล์ สามารถสร้างอัตราการเติบโตทางธุรกิจได้เป็นไป ตามเป้า” นายอโณทัยกล่าว “เราพยายามศึกษากระแสนิยมของโลกและกระแสนิยมภายในประเทศ เพื่อคัดสรรผลิตภัณฑ์เข้ามานำเสนอได้อย่างตรงจุด ไม่ว่าจะเป็นกระแส Light & Thin ในสไตล์ อัลตร้าบุ๊คส์ หรือแม้กระทั่งพัฒนาศักยภาพของผลิตภัณฑ์ให้สามารถรองรับเทคโนโลยีสมัยใหม่ อาทิ BYOD และ Cloud เป็นต้น โดยในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 55 นี้ เราวางแผนเปิดตัวสินค้าใหม่หลายรุ่นในกลุ่มของ XPS, Vostro และ Inspiron โดยผู้สนใจสามารถเข้าชมรายละเอียดสินค้าเพิ่มเติมได้ที่ www.dell.co.th”

ด้านกลยุทธ์ในการสร้างความแข็งแกร่งทางธุรกิจของเดลล์นั้น นายอโณทัย กล่าวเสริมในประเด็นดังกล่าวว่า “เดลล์ ได้ตั้งเป้าที่จะพัฒนากลยุทธ์เพื่อสร้างความแข็งแกร่งผ่าน 3 กลยุทธ์หลัก ประกอบด้วย DELL Team โดยเพิ่มศักยภาพของทีมขายเพื่อมอบบริการที่มีคุณภาพสู่ลูกค้า ด้วยการจัดคอร์สฝึกอบรมแก่ทีมขายโดยผู้เชี่ยวชาญที่มากประสบการณ์เพื่อให้แน่ใจได้ว่า ทีมขายของเดลล์จะสามารถมอบคำแนะนำที่ดีที่สุดแก่ลูกค้าทุกราย Business Partner โดยให้การสนับสนุนด้านกิจกรรมส่งเสริมการขายแก่ตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ เพื่อให้ตลาดมีความคึกคักอยู่เสมอ นอกจากนี้ ยังมีการดีไซน์สื่อ ณ จุดขายให้มีความแปลกใหม่ เพื่อช่วยสร้างและกระตุ้นความสนใจแก่กลุ่มเป้าหมายอย่างต่อเนื่อง Consumer โดยเน้นที่จะสร้างความชัดเจนให้กลุ่มเป้าหมายทราบถึงรายละเอียดและสไตล์ของสินค้าแต่ละกลุ่ม เพื่อให้สามารถเลือกผลิตภัณฑ์ได้ตรงตามความต้องการ”

“ด้านงานบริการ DELL on-site Service ถือเป็นกลยุทธ์สำคัญที่สร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าของเรา ณ ปัจจุบัน โดย เดลล์ยังคงมุ่งเน้นที่จะพัฒนาศักยภาพด้านบริการเพื่อสร้างเป็นจุดขายหลักในสายตาผู้บริโภค ทั้งยังมีกลยุทธ์ด้าน CRM ผ่าน Yours DELL card ที่มอบสิทธิประโยชน์มากมายเอกสิทธิ์เฉพาะลูกค้า เดลล์ เพื่อสร้างความพึงพอใจอีกด้วย” นายอโณทัย กล่าวสรุป

View :1487
Categories: Technology Tags: , ,

กระทรวงวัฒนธรรม เปิดเว็บไซต์ “ร่วมด้วยช่วยใต้”

October 17th, 2012 No comments

นาย สมชาย เสียงหลาย ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) กล่าวว่า ความคืบหน้าการจัดทำโครงการจัดทำเว็บไซต์ “ร่วมด้วย ช่วยใต้” www.culturalmall.in.th เพื่อ เป็นพื้นที่สำหรับขายและเผยแพร่ข้อมูลของสินค้าผลิตภัณฑ์เชิงวัฒนธรรม ของท้องถิ่นจาก 3 จังหวัดชายแดนใต้ ได้แก่ จ.ยะลา ปัตตานีและนราธิวาสนั้น

ขณะนี้เว็บไซต์”ร่วมด้วย ช่วยใต้” www.culturalmall.in.th ได้ ดำเนินการเสร็จสมบูรณ์แล้ว สามารถเปิดตัวอย่างเป็นทางการได้ โดยรูปแบบของเว็บไซต์ดังกล่าว แบ่งออกเป็น 7 หมวด ได้แก่ 1.ผลิตภัณฑ์งานศิลปะและวัฒนธรรม 2.เครื่องใช้และอุปกรณ์แต่งบ้าน 3.อาหาร เครื่องดื่มและของขบเคี้ยว 4.ผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรและยา 5.เครื่องนุ่งห่ม 6.เครื่องประดับ และ7.ผลิตภันฑ์อื่นๆที่เป็นเอกลักษณ์ของแต่ละจังหวัด

ผม เชื่อว่า คนไทยทุกคนรัก สงสาร และเป็นห่วงคนใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่กำลังได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงมาก แต่ไม่รู้จะช่วยยังไง ? เพราะเราไม่ใช่ตำรวจ ทหาร เราเป็นแค่ประชาชนธรรมดา ไม่มีช่องทางใดๆเลยที่จะทำอะไรได้ เพราะขาดผู้ริเริ่มที่จะลุกขึ้นมานำคนไทยทั้งประเทศทำอะไรสักอย่าง ?

กระทรวง วัฒนธรรม โดยความสนับสนุนของศูนย์นวัตกรรมและการจัดการความรู้ วิทยาลัยศิลปะ สื่อ และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ จึงขออาสาเป็นผู้ริเริ่มสร้างกระแส กระตุ้นคนไทยทั้งประเทศให้สามารถมีส่วนร่วมช่วยเหลือในการช่วยเหลือคนใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้

ด้วยการสั่งซื้อสินค้าผ่านเว็บไซต์ “ร่วมด้วย ช่วยใต้” www.culturalmall.in.th ซึ่ง นอกจากจะเป็นการช่วยเหลือให้เจ้าของผลิตภัณฑ์ได้รับรายได้โดยตรงแล้ว กำไรทั้งหมดหลังหักค่าใช้จ่าย ยังจะนำไปบริจาคให้องค์กรการกุศลเพื่อช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ เสียชีวิต และได้รับผลกระทบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ทุกบาท ทุกสตางค์

นาย สมชาย กล่าวต่อไปว่า ขณะนี้ได้คัดเลือกสินค้าทางวัฒนธรรมจากผู้ประกอบการในพื้นที่ เพื่อนำมาจำหน่ายผ่านเว็บไซต์ดังกล่าวแล้วประมาณ 500 รายการ โดยมีเป้าหมายว่าจะคัดเลือกสินค้นที่มีคุณภาพและเอกลักษณ์จาก3 จังหวัดชายแดนใต้มาจำหน่ายเพื่อสร้างรายได้ให้คนในพื้นที่ทั้งหมด 3,000 รายการภายในปี 2556

“ทุกคนสามารถเข้าชมสินค้าวัฒนธรรมได้ในเว็บไซต์”ร่วมด้วย ช่วยใต้” www.culturalmall.in.th แล้วเลือกสั่งซื้อสินค้าตามที่ต้องการ จากนั้นรอรับสินค้าที่บ้าน ทั้งนี้สินค้าในแต่ละแบบ จะนำเสนอในแบบแอนนิเมชั่นและรูปแบบ 3D ด้วย เพื่อให้ดูสินค้าครบทุกมุมเหมือนได้สัมผัสจริง ที่สำคัญใกล้ช่วงเทศกาลปีใหม่ วธ. เตรียมส่งหนังสือขอความร่วมมือไปยังห้างสรรพสินค้าและหน่วยงานราชการให้ช่วย อุดหนุนสินค้าทาวัฒนธรรม เป็นของขวัญปีใหม่และส่งเสริมพี่น้องชายแดนใต้ให้มีรายได้ รวมทั้งขอความร่วมมือให้หน่วยงานราชการ ที่จัดสัมมนาแล้วต้องการเลือกซื้อของที่ระลึกก็ให้ช่วยอุดหนุนอีกทางด้วย”

View :1649

Intel-based Tablets with Windows 8 – Delivering a Whole New Computing Experience

October 3rd, 2012 No comments

Acer ICONIA W510

Acer ICONIA W510


The Acer ICONIA W510 comes in a hybrid design that combines the portability of a multitouch tablet and the full productivity of a standard notebook. Powered by the Next Generation ® Atom ™ processor Z2760, the Iconia W510 includes a detachable keyboard dock that doubles as an extended battery, enabling up to 18 hours of use.

ASUS Vivo Tab TF810

ASUS Vivo Tab TF810


The ASUS Vivo Tab transforms your tablet experience to significantly boost productivity. Based on the Intel® Atom™ processor Z2760, file transfer between the Vivo Tab and your other Windows devices is seamless.

DELLLatitude 10

Latitude 10


Built for business, the Latitude 10 tablet easily and securely snaps into your business environment while delivering all-day productivity with a swappable battery and optional docking solution.
The tablet is powered by the Intel® Atom™processor Z2760, which allows backward compatibility with Windows applicationsthat have already been deployed.

FUJITSU STYLISTIC Q702

FUJITSU STYLISTIC Q702


Powered by the Intel® Core™ i5 vPro™ processor, the Fujitsu STYLISTIC Q702 is the perfect choice for mobile professionals looking for high-performance computing that does not compromise on versatility.
With its attachable keyboard option, this lightweight hybrid tablet PC weighing at 0.85 kg enables easy content creation and consumption.

HPENVY x2

HPENVY x2


Flexible! Powered by the Intel® Atom™ processor Z2760, the HP ENVY x2 gives you the HP ENVY x2 delivers the power of a notebook and the freedom of a tablet in one stylish, lightweight device: A Windows® 8 notebook with a bright, vivid HD Touch display; and a tablet that slides off for those times when you want to carry even less.

Lenovo ThinkPad 2

Lenovo ThinkPad 2


The ThinkPad 2 enables extreme mobility. With up to 10 hours battery life, it keeps going for as long as you need it to. Use 3G and 4G support to stay connected to colleagues, family and friend.

Besides the new, fun and immersive Apps, this Intel® Atom Z2760 based tablet will also run productivity ones, including Adobe® Photoshop®, Quicken®, TurboTax® and more.

SAMSUNG Smart PC

SAMSUNG Smart PC


Designed for Windows 8 and powered by the new Intel® Atom™ Quad Core Z2760 Processor, the Samsung Smart PC, aka the Series 5 Slate, targets both consumer and enterprise audiences for a powerful PC experience.

ZTE V98

ZTE V98


ZTE’s V98 Windows 8 tablet is powered by the Z2760 Intel® Atom™ processor. It is designed for multi-tasking and an outstanding user experience. Weighing lesser than 700g, the V98 is only about 8.9mm in thickness.

Intel, Atom, Core and the Intel logo are trademarks of Intel Corporation in the United States and other countries.

*Other names and brands may be claimed as the property of others.

View :1383

ก.วิทย์ฯ ติดปีกเศรษฐกิจไทยสู่ AEC จัดงาน NSTDA Investors’ Day 2012 โชว์นวัตกรรมเด่นแห่งปี

September 12th, 2012 No comments

สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จัดงาน NSTDA Investors’ Day ประจำปี 2555 ในวันพฤหัสบดี ที่ 20 กันยายน 2555 เวลา 08.00-16.30 น. ณ โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ แอท เซ็นทรัลเวิลด์ ภายใต้แนวคิด “นักวิจัยคิด นักธุรกิจลงทุน หนุนเศรษฐกิจไทยสู่ AEC” ทั้งนี้เพื่อให้กลุ่มนักธุรกิจเป้าหมายมีโอกาสเข้าถึงผลงานของนักวิจัยไทยที่มีศักยภาพในเชิงพาณิชย์ และสื่อถึงความสำคัญของการสร้างธุรกิจเทคโนโลยีเพื่อรับมือกับผลกระทบของการเปิดเสรีทางการค้าของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในปี 2558

ดร. ปลอดประสพ สุรัสวดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ซึ่งเป็นประธานในการแถลงข่าวครั้งนี้เปิดเผยว่า กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ มีนโยบายเร่งด่วนที่จะพัฒนาให้ประเทศไทยเป็นสังคมที่อยู่บนพื้นฐานขององค์ความรู้ โดยเฉพาะการเร่งสร้างนักวิทยาศาสตร์เพื่อพัฒนางานวิจัย เทคโนโลยีและนวัตกรรมต่างๆ ขณะเดียวกันก็มีบทบาทหน้าที่ในการสนับสนุนและผลักดันผลงานเหล่านั้นให้เป็นที่จับต้องได้ รวมทั้งส่งเสริมให้เกิดการถ่ายทอดเทคโนโลยีออกสู่ภาคเอกชน เพื่อผลิตเป็นสินค้าและบริการที่เกื้อหนุนเศรษฐกิจ และเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ โดยเฉพาะในสาขาที่ประเทศไทยมีศักยภาพสูง เช่นสาขาเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมและการลดภาวะโลกร้อน ฯลฯ เพื่อรองรับการเปิดเสรีอาเซียนที่จะมาถึงในอีก 3 ปีข้างหน้า

“เราต้องเร่งสร้างผลงานวิจัยเพื่อนำออกสู่อุตสาหกรรม เพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันกับชาติอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นนวัตกรรมใหม่ๆ ที่เราคิดขึ้นมาได้ หรือจะเป็นการต่อยอดงานวิจัยที่มีอยู่แล้ว แต่ยังไม่ลงตัว หรือไม่ตรงกับความต้องการของตลาด หรือไม่สามารถผลิตออกสู่เชิงพาณิชย์ได้ เราก็สามารถเอามาต่อยอดให้ทันสมัย และถ่ายทอดเทคโนโลยีสู่ภาคอุตสาหกรรมได้ โดยให้ตอบรับกับกระแสสังคม” ดร. ปลอดประสพฯ กล่าว

ดร. ปลอดประสพฯ ยังระบุอีกว่าการตอบรับจากภาคเอกชนจะเป็นตัวชี้วัดที่ดีและเป็นตัวกระตุ้นให้นักวิจัยเกิดความภูมิใจและเข้าใจความต้องการของภาคอุตสาหกรรมมากขึ้น อันจะนำไปสู่การปรับกระบวนความคิดในการคิดค้นงานวิจัยที่สามารถนำออกสู่เชิงพาณิชย์ได้ง่ายขึ้นและมีต้นทุนที่ถูกลง ซึ่งจะเป็นการเร่งขับเคลื่อนเศรษฐกิจของไทยให้ก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว

ด้าน ดร. ทวีศักดิ์ กออนันตกูล ผู้อำนวยการ สวทช. ได้เปิดเผยถึงภาพรวมของการจัดงาน NSTDA Investors’ Day ว่า สวทช. ได้จัดงานดังกล่าวขึ้นเป็นประจำทุกปี และจัดขึ้นต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 ในปีนี้ โดยมีเจ้าภาพร่วม หน่วยงานพันธมิตร และผู้สนับสนุนการจัดงานซึ่งประกอบด้วย สมาคมไทยผู้ประกอบธุรกิจเงินร่วมลงทุน สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) มหาวิทยาลัยขอนแก่น (มข.) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลสุรนารี (มทส.) มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (ม.อ.) ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) บริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์ จำกัด ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (กลต.)

ดร. ทวีศักดิ์ฯ ยังกล่าวถึงวัตถุประสงค์ของการจัดงาน NSTDA Investors’ Day ว่างานนี้จัดขึ้นเพื่อนำเสนอผลงานวิจัยและเทคโนโลยีที่ได้รับการคัดเลือกแล้วว่ามีศักยภาพสูงในการลงทุน โดยจุดเด่นภายในงานปีนี้ได้แก่ การเปิดให้มีการเจรจาธุรกิจแบบ One on One Matching เพื่อให้เกิดการลงทุนจริงในเชิงพาณิชย์ และกิจกรรมนำเสนอผลงานวิจัยและเทคโนโลยีต่อนักลงทุนในช่วง Investment Pitching โดยเฉพาะการนำเสนอ 5 ผลงานเด่นจาก สวทช. ที่มีศักยภาพพร้อมสำหรับการลงทุนในปีนี้ซึ่งได้แก่ แผ่นแปะรักษาสิว (Q ACNES) ตัวเร่งปฏิกิริยาของแข็งจากเปลือกไข่เพื่อการผลิตไบโอดีเซล (Eco–Catal) เครื่องมือตรวจวินิจฉัยใส้เดือนฝอย (F4-KIT) (From Farm to Fine Fork KIT ) ชุดทดสอบออกซิเจนละลายน้ำแบบพกพา (DO-DEE) และเครื่องวัดและวิเคราะห์ขนาดฝุ่นละอองขนาดเล็กในอากาศ (DustDETEC)

สำหรับผลงานที่น่าสนใจจากหน่วยงานพันธมิตรอื่นๆ ได้แก่ ระบบผลิตก๊าซชีวภาพจากเศษอาหาร เทคโนโลยีการผลิตโลหะกึ่งของแข็งด้วยการปล่อยฟองแก๊ส คลังแอนติบอดี้มนุษย์ และครีมนวดสลายเซลลูไลท์ เป็นต้น นอกจากนี้ภายในงานยังมีโซนการจัดแสดงนิทรรศการผลงานเทคโนโลยีต่างๆ อีกกว่า 27 ผลงาน เพื่อให้นักลงทุนได้เลือกสรร หากสนใจสามารถพูดคุย แลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นกับนักวิจัยได้ ณ บูธนั้นๆ รวมทั้งโซนของการจัดจำหน่ายสินค้าเทคโนโลยีของ สวทช. ทั้งนี้ภายในงานยังสามารถร่วมรับฟังการบรรยายพิเศษเรื่อง “ความสำคัญของตลาดทุนกับการขับเคลื่อนธุรกิจเทคโนโลยีของไทย” และ “10 เทคโนโลยีที่น่าจับตามองสำหรับธุรกิจ (10 Technologies to Watch)” รวมทั้งการเสวนาให้ความรู้ในหัวข้อ “ธุรกิจมั่งคั่งด้วยเทคโนโลยี รับมือเปิดเสรีทางการค้า” และ “นักวิจัยคิด นักธุรกิจลงทุน หนุนเศรษฐกิจไทยสู่ AEC”

อนึ่งงาน NSTDA Investors’ Day ปีแรกจัดขึ้นเมื่อเดือนกันยายน 2553 ภายใต้แนวคิด “ธุรกิจเทคโนโลยี ของดีสำหรับนักลงทุน” ปีที่สองจัดขึ้นเมื่อเดือนกันยายน 2554 ภายใต้แนวคิด “ลงทุนในธุรกิจเทคโนโลยีอย่างสร้างสรรค์ เพื่อความมั่งคั่งและยั่งยืน” โดยมีกลุ่มนักลงทุนและนักธุรกิจให้ความสนใจและมีกระแสตอบรับเพิ่มมากขึ้นทุกปี

View :1575

ก.ไอซีที จับมือ ไอทียู จัดประชุม WTIM 2012 เพื่อพัฒนางานด้านสถิติและตัวชี้วัด ICT ระดับสากล

September 12th, 2012 No comments

นาวาอากาศเอกอนุดิษฐ์ นาครทรรพ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เปิดเผยในงานแถลงข่าวการเป็นเจ้าภาพจัดประชุมระดับโลกว่าด้วยตัวชี้วัดด้านโทรคมนาคมและเทคโนโลยีสารสนเทศปี ค.ศ. 2012 ว่า กระทรวงไอซีที ร่วมกับ สหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ (International Telecommunication Union : ITU) กำหนดจะจัดการประชุมระดับโลกว่าด้วยตัวชี้วัดด้านโทรคมนาคมและเทคโนโลยีสารสนเทศ ครั้งที่ 10 ประจำปี ค.ศ. 2012 (World Telecommunication/ICT Indicators Meeting : WTIM 2012) ขึ้นระหว่างวันที่ 25 -27 กันยายน 2555 ณ โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ แอนด์ บางกอกคอนเวนชั่น เซ็นเตอร์ เซ็นทรัลเวิรลด์ กรุงเทพฯ เพื่อมุ่งเน้นการนำเสนอค่าสถิติต่างๆ ที่ใช้ในการพัฒนาเทคโนโลยีและตอบสนองความต้องการของประชาชนในประเทศ ทั้งนี้ เพื่อให้ผู้แทนจากหน่วยงานต่างๆ ที่มีภารกิจเกี่ยวข้อง อาทิ กระทรวง หน่วยงานสถิติแห่งชาติ ผู้กำกับดูแลกิจการโทรคมนาคม/ ICT ผู้ประกอบการด้านโทรคมนาคม/ ICT นักวิชาการ รวมทั้งผู้เชี่ยวชาญด้านสถิติและการจัดทำตัวชี้วัดสังคมสารสนเทศ จากประเทศสมาชิก ITU จำนวน 193 ประเทศทั่วโลก รวมประมาณกว่า 400 คน ที่เข้าร่วมประชุม ได้รับความรู้รวมทั้งแนวทางในการพัฒนาเทคโนโลยีและสามารถนำไปพัฒนาหน่วยงานของตนเอง เพื่อเตรียมตัวรองรับ AEC ในปี ค.ศ. 2015

“ที่ผ่านมาประเทศไทยได้ให้ความสำคัญกับข้อมูลสถิติและตัวชี้วัดด้านโทรคมนาคมและเทคโนโลยีสารสนเทศ เพราะนอกจากจะเป็นเครื่องมือสำคัญในการกำหนดนโยบายของประเทศแล้ว ยังเป็นเครื่องมือในการประเมินผลการดำเนินงานว่าบรรลุผลตามเป้าหมายที่กำหนดไว้หรือไม่ ซึ่งจากข้อมูลสถิติและตัวชี้วัดที่มีอยู่นั้นแสดงว่าประชากรโลกมีแนวโน้มการเชื่อมโยงเข้าหากันผ่านอินเทอร์เน็ตมากขึ้น โดยปัจจุบัน 1 ใน 3 ของประชากรโลกสามารถเข้าถึงโครงข่ายอินเทอร์เน็ตได้ ส่งผลให้การใช้งานแบนด์วิธของโลกเพิ่มปริมาณสูงขึ้นอย่างมาก ทั้งในกลุ่มประเทศยุโรป อเมริกา เอเชีย และแอฟริกา และการใช้เทคโนโลยีไร้สายก็ได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน เนื่องจากมีจำนวนผู้ใช้โทรศัพท์มือถือมากกว่า 6 พันล้านหมายเลข โดยมีประชากรโลกมากกว่าร้อยละ 90 สามารถเข้าถึงโครงข่าย 2G ขณะที่ร้อยละ 45 เข้าถึงโครงข่าย 3G ได้

สำหรับประเทศไทยนั้น เคยเป็นต้นแบบของการพัฒนาทางด้าน ICT ในพื้นที่ห่างไกล (ICT in village) และเป็นที่ยอมรับขององค์กรระหว่างประเทศในการดำเนินการเพื่อลดความเลื่อมล้ำในการเข้าถึง ICT ของประชาชนที่อยู่ในชนบทห่างไกล แต่ปัจจุบันอันดับการแข่งขันและขีดความสามารถทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศของไทยลดลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2006 หรือ พ.ศ.2549 จากที่ Network Readiness Index ของไทยเคยอยู่ที่อันดับ 34 ในปี 2006 ได้ลดลงมาอยู่ที่อันดับ 77 ในปี 2012 รวมทั้งการกระจายตัวของ ICT ก็จะกระจุกตัวอยู่ในเขตเมืองโดยเฉพาะกรุงเทพมหานคร มากกว่าในต่างจังหวัดหรือชนบท โดยกรุงเทพมหานครมีครัวเรือนที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้ร้อยละ 35.6 ในขณะที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีเพียงร้อยละ 7.3” นาวาอากาศเอกอนุดิษฐ์ กล่าว

ดังนั้น การจัดทำสถิติและตัวชี้วัดต่างๆ ให้ครอบคลุม โดยจัดเก็บข้อมูลจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องทั้งหน่วยงานภาครัฐ ผู้ประกอบการ ผู้ให้บริการ ผู้ใช้บริการ รวมทั้งประชาชน จึงเป็นสิ่งสำคัญ และกระทรวงฯ ยังได้ตระหนักถึงความจำเป็นของการจัดเก็บข้อมูลในระดับบุคคลและครัวเรือน ซึ่งข้อมูลในระดับย่อยดังกล่าวนี้ มีความสำคัญอย่างมากเพราะหากรัฐได้รับข้อมูลที่ถูกต้องและตรงจุดก็จะสะท้อนภาพที่แท้จริงของการพัฒนาทั้งในระดับภาพรวมของประเทศและระดับพื้นที่ที่แสดงสถานการณ์ด้านโทรคมนาคมและ เทคโนโลยีสารสนเทศ อันจะช่วยให้กระทรวงฯ และหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องทราบถึงปัญหาและจุดบกพร่องในการดำเนินงานที่ผ่านมาและเร่งแก้ไขในจุดดังกล่าว หรือปรับเปลี่ยนนโยบายให้มีประสิทธิภาพและสอดคล้องกับสภาพการณ์ปัจจุบันของภาคโทรคมนาคมและ เทคโนโลยีสารสนเทศได้ดียิ่งขึ้น

สำหรับวัตถุประสงค์ของการจัดประชุม WTIM 2012 ครั้งนี้ ก็เพื่อให้เป็นเวทีกลางในการหารือเกี่ยวกับประเด็นต่างๆ ที่ว่าด้วยสถิติและตัวชี้วัดด้านโทรคมนาคมและเทคโนโลยีสารสนเทศ การกำหนดตัวชี้วัดและคำจำกัดความ ความท้าทายที่เกี่ยวกับการวัดระดับสังคมสารสนเทศ และแนวทางในการแก้ไขปัญหาที่เป็นอุปสรรคต่อการจัดทำสถิติและตัวชี้วัดด้านนี้ให้สะท้อนความเป็นจริงและครอบคลุมมิติต่างๆ อย่างครบถ้วน เพื่อประโยชน์ในการกำหนดนโยบายและติดตามผลการพัฒนาด้านโทรคมนาคมและเทคโนโลยีสารสนเทศที่มีประสิทธิภาพของภาครัฐ

ส่วนรายละเอียดของการประชุมฯ จะนำเสนอประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาประเทศด้านโทรคมนาคมและเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร อาทิ การชี้วัดเรื่องบรอดแบนด์ ทั้งด้านราคา ความเร็ว และขีดความสามารถ การชี้วัดพัฒนาการในการดำเนินงานเพื่อให้บรรลุเป้าหมายตามผลการประชุมสุดยอดระดับโลกว่าด้วยสังคมสารสนเทศ ในประเด็นด้านการศึกษา ธุรกิจ และความมั่นคงปลอดภัย การทบทวนและปรับปรุงแก้ไขตัวชี้วัดเรื่องการเข้าถึงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารระดับครัวเรือน และการใช้งานเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในระดับบุคคล รวมทั้งประเด็นที่เกิดขึ้นใหม่ เช่น การชี้วัดเรื่องการส่งสัญญาณวิทยุโทรทัศน์ในระบบดิจิทัล และเนื้อหาที่แสดงผ่านอินเทอร์เน็ต เป็นต้น

“การเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม WTIM 2012 ครั้งนี้ ถือเป็นโอกาสดีที่จะได้เน้นย้ำถึงบทบาทและการมีส่วนร่วมของประเทศไทยในเวทีระหว่างประเทศ ในฐานะประเทศสมาชิกของ ITU และสมาชิกของสหประชาชาติ พร้อมกันนี้ยังเป็นการเปิดโอกาสให้หน่วยงานของไทยที่เกี่ยวข้องกับการจัดเก็บข้อมูลเชิงสถิติและการจัดทำตัวชี้วัด รวมถึงหน่วยงานภาครัฐและเอกชนด้านโทรคมนาคมและเทคโนโลยีสารสนเทศได้มีโอกาสในการเข้าร่วมการประชุมระดับโลก อีกทั้งได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับผู้แทนจากประเทศต่างๆ ตลอดจนสามารถนำความรู้และผลการประชุมมาปรับใช้ในการดำเนินงานตามภารกิจที่หน่วยงานนั้นๆ รับผิดชอบด้วย” นาวาอากาศเอกอนุดิษฐ์ กล่าว

View :1607

ก.ไอซีที เดินหน้าจัดกิจกรรมเพิ่มประสิทธิภาพศูนย์การเรียนรู้ ICT ชุมชน

September 12th, 2012 No comments

นายณัฐพงศ์ ศีตวรรัตน์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เปิดเผยในงานแถลงข่าวกิจกรรมการพัฒนาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพศูนย์การเรียนรู้ ICT ชุมชน ว่า กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของการพัฒนาเทคโนโลยีและการสื่อสารในระดับชุมชนเพื่อมุ่งลดช่องว่างระหว่างสังคมเมืองและสังคมชนบท จึงได้ดำเนินโครงการจัดตั้งศูนย์การเรียนรู้ ICT ชุมชน มาตั้งแต่ปี 2550 – 2555 เพื่อติดตั้งศูนย์คอมพิวเตอร์ พร้อมอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงตามสถานที่ต่างๆ ในชุมชนที่มีความพร้อมและเหมาะสม โดยปัจจุบันสามารถจัดตั้งศูนย์การเรียนรู้ ICT ชุมชน ได้เป็นจำนวน 1,880 ศูนย์ ครอบคลุมพื้นที่ทุกจังหวัดทั่วประเทศ และกระทรวงฯ มีแผนที่จะจัดตั้งเพิ่มขึ้นทุกปี โดยในปีงบประมาณ 2556 กระทรวงฯ ได้รับการจัดสรรงบประมาณ เพื่อจัดตั้งศูนย์การเรียนรู้ ICT ชุมชนให้ทันสมัยสอดคล้องกับความต้องการในปัจจุบัน รวมทั้งยกระดับศูนย์การเรียนรู้ฯ ที่มีอยู่เดิมให้มีศักยภาพเพิ่มขึ้นด้วย

“การจัดตั้งศูนย์การเรียนรู้ ICT ชุมชนนั้น มีวัตถุประสงค์เพื่อขยายโอกาสการเข้าถึงสารสนเทศให้แก่ประชาชนในท้องถิ่น สร้างแหล่งเรียนรู้ด้าน ICT และสืบค้นสารสนเทศ พัฒนาศูนย์ฝึกอบรมด้าน ICT รวมถึงการสร้างห้องเรียนรู้ด้วยตนเองผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต นอกจากนี้ยังเป็นแหล่งรับบริการข้อมูลข่าวสาร และบริการอิเล็กทรอนิกส์ภาครัฐ ตลอดจนสร้างประโยชน์แก่สินค้า และอาชีพของชุมชน เพื่อการพัฒนาชุมชนให้เข้มแข็งและยั่งยืน ทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคมผ่านเครือข่ายศูนย์การเรียนรู้ ICT ชุมชนทั่วประเทศ ศูนย์การเรียนรู้ ICT ชุมชนจึงเป็นกิจกรรมหลักที่จะนำไปสู่การผลักดันให้ประเทศไทยเข้าสู่สังคมแห่งภูมิปัญญาและการเรียนรู้” นายณัฐพงศ์ กล่าว

อย่างไรก็ตาม ในการดำเนินการเพื่อให้ศูนย์การเรียนรู้ ICT ชุมชนสามารถให้บริการอย่างยั่งยืนตลอดไปนั้น กระทรวงฯ จำเป็นที่จะต้องเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการศูนย์การเรียนรู้ ICT ชุมชนในหลายๆ ด้าน ซึ่งด้านหนึ่งที่จะดำเนินการภายใต้บันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางวิชาการที่กระทรวงฯ ได้ลงนามความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 29 กันยายน 2554 และได้มีการจัดตั้งคณะทำงานสนับสนุนการดำเนินงานตามบันทึกข้อตกลงดังกล่าว คือ การจัด “กิจกรรมการพัฒนาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพศูนย์การเรียนรู้ ICT ชุมชน” โดยการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการให้กับศูนย์การเรียนรู้ ICT ชุมชนที่เป็นศูนย์นำร่อง ซึ่งมีศักยภาพและความเข้มแข็งในการดำเนินงาน จากนั้นจึงมีการขยายผลเพื่อให้ศูนย์ฯ เป็นแหล่งรวบรวมองค์ความรู้ ภูมิปัญญา และการเรียนรู้ของชุมชนด้วยการใช้สื่อ ICT ที่มีประสิทธิภาพ นำไปสู่การสร้างมูลค่าสินค้าและบริการของชุมชนผ่านเครือข่ายสังคม (Social Networking) ซึ่งนับเป็นปัจจัยหนึ่งที่จะผลักดันให้สังคมไทยเป็นสังคมอุดมปัญญา () หรือหมายถึงสังคมที่มีการพัฒนาและใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารอย่างชาญฉลาดพร้อมที่จะเป็น “พลเมืองโลก” และ “พลเมืองอาเซียน” ในยุคโลกไร้พรมแดน และรองรับการรวมเป็นหนึ่งเดียวกันของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ในอีก 3 ปีข้างหน้า ได้อย่างเต็มภาคภูมิต่อไป

View :1465

ก.ไอซีที เดินหน้าส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ

September 4th, 2012 No comments

นาวาอากาศเอกอนุดิษฐ์ นาครทรรพ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เปิดเผยว่า ภายหลังจากกฎกระทรวงฯ ตามมาตรา 20 (6) แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ. 2550 มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2554 ที่ผ่านมา กระทรวงฯ ได้จัดตั้งศูนย์ให้บริการเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวกเพื่อการสื่อสาร สำหรับคนพิการขึ้นตามข้อกำหนดของกฎกระทรวงดังกล่าว เพื่อให้บริการทั้งการให้ การให้ยืม อุปกรณ์ เครื่องมือ และโปรแกรมที่ใช้กับคนพิการ รวมทั้งเป็นศูนย์กลางในการประสานงานระหว่างส่วนกลางและส่วนภูมิภาค รวมถึงมีห้องฝึกอบรมด้าน ICT ให้กับคนพิการ ผู้ปกครอง ผู้พิทักษ์ ผู้อนุบาล ผู้ดูแล และผู้ช่วยคนพิการ โดยศูนย์ดังกล่าวตั้งอยู่ที่ชั้น 7 สำนักงานปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เพื่อเป็นศูนย์กลางประสานงานผู้ให้บริการ และมีสำนักงานสถิติจังหวัด รวมทั้งสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด เป็นผู้ให้บริการในส่วนภูมิภาค

นอกจากการจัดตั้งศูนย์ให้บริการฯ ดังกล่าว กระทรวงฯ ยังได้ดำเนินงานต่างๆ ภายใต้กฎกระทรวงฯ โดยการประสานกับหน่วยงานภาครัฐ 20 กระทรวงฯ พร้อมให้คำปรึกษา ข้อแนะนำ รวมถึงจัดการฝึกอบรมการพัฒนาเว็บไซต์ที่ทุกคนเข้าถึงได้ จัดทำรูปแบบ (Templet) การพัฒนาเว็บไซต์ที่ทุกคนเข้าถึงได้ จัดการประกวดเว็บไซต์ที่ทุกคนเข้าถึงได้ และผลักดันหลักสูตรการพัฒนาเว็บไซต์ที่ทุกคนเข้าถึงได้ให้เข้าสู่ระดับอุดมศึกษา

พร้อมกันนี้ กระทรวงฯ ยังได้จัดงบประมาณ เพื่อจัดการฝึกอบรมให้คนพิการและผู้เกี่ยวข้องเกี่ยวกับการใช้คอมพิวเตอร์ โดยประสานกับสมาคมคนพิการแต่ละประเภทเพื่อร่วมมือกันในการจัดกิจกรรม รวมทั้งได้จัดสรรงบประมาณ 23.5 ล้านบาท เพื่อใช้จัดหาอุปกรณ์และเครื่องมือด้าน ICT และเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวก สำหรับคนพิการ ตามบัญชีแนบท้ายของกฎกระทรวงฯ 18 รายการ จำนวน 2,000 กว่าชิ้น ได้แก่ 1.โปรแกรมอ่านหน้าจอ (Screen Reader) 2.เครื่องพิมพ์อักษรเบรลล์ (Braille Printer) 3.โปรแกรมขยายหน้าจอ (Zoom Text) 4.เครื่องคอมพิวเตอร์ 5.เครื่องสแกนเนอร์ 6.อุปกรณ์สื่อสาร 7.เครื่องช่วยสื่อสารพร้อมอุปกรณ์ต่อพ่วงสำหรับ คนพิการ 8.เครื่องแสดงผลอักษรเบรลล์ 9.เครื่องอ่านหนังสือสำหรับคนพิการ 10.อุปกรณ์ควบคุมตัวชี้ตำแหน่ง 11.โปรแกรมคอมพิวเตอร์สำหรับแปลสื่อพิมพ์เป็นอักษรเบรลล์ หรืออักษรเบรลล์เป็นสื่อสิ่งพิมพ์ 12.โปรแกรมคอมพิวเตอร์แปลภาพเป็นอักษร และมีเสียงสังเคราะห์ 13.โปรแกรมคอมพิวเตอร์อ่านหนังสือสำหรับคนพิการ 14.โปรแกรมคอมพิวเตอร์ช่วยในการพิมพ์สำหรับคนพิการ 15.โปรแกรมพจนานุกรมสำหรับคนพิการ 16.โปรแกรมสำหรับโทรศัพท์เคลื่อนที่เพื่ออำนวยความสะดวกในการสื่อสาร 17. เครื่องมือหรืออุปกรณ์ช่วยในการใช้คอมพิวเตอร์สำหรับคนพิการ และ 18.ชุดอุปกรณ์สำหรับฝึกการใช้แป้นพิมพ์คอมพิวเตอร์

โดยการดำเนินการทั้งหมดเป็นไปตามกฎกระทรวง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขในการเข้าถึงและใช้ประโยชน์จากข้อมูลข่าวสาร การสื่อสาร บริการโทรคมนาคม เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวกเพื่อการสื่อสารและบริการสื่อสาธารณะ สำหรับคนพิการ พ.ศ. 2554 มาตรา 20 (6) แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ. 2550

View :1771

คณะกรรมการธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ร่วมมือกับ สพธอ. และ สรอ. ผลักดันธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ไทย สู่ “Smart Thailand”

September 4th, 2012 No comments

นาวาอากาศเอกอนุดิษฐ์ นาครทรรพ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ในฐานะประธานกรรมการธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ ได้เป็นประธานการประชุมร่วมระหว่างคณะกรรมการธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ คณะกรรมการบริหารสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) (.) และคณะกรรมการบริหารสำนักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) () เพื่อหารือกรอบนโยบายการดำเนินงานร่วมกันในการผลักดันงานธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ของภาครัฐและภาคเอกชนให้มุ่งสู่การเป็น “

โดยคณะกรรมการธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ ได้มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ สำนักงานปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ในฐานะฝ่ายเลขานุการ ดำเนินการจัดประชุมร่วมระหว่างคณะกรรมการธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ คณะกรรมการบริหาร สพธอ. และคณะกรรมการบริหาร สรอ. ขึ้น เพื่อรับทราบนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารต่อแนวทางการผลักดันงานด้านธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อมุ่งสู่การเป็น Smart Thailand ซึ่งองค์การมหาชนทั้ง 2 หน่วยงาน คือ สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) หรือ สพธอ. และ สำนักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) หรือ สรอ. เป็นหน่วยงานที่กระทรวงไอซีที ตั้งขึ้น เพื่อช่วยผลักดันงานด้านธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ และรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ของประเทศไทย โดย สพธอ. ทำหน้าที่ดำเนินการพัฒนา ส่งเสริม และสนับสนุนการทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ให้มีความน่าเชื่อถือ และ สรอ. ทำหน้าที่พัฒนาระบบรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ให้มีความก้าวหน้าสอดคล้องกับยุทธศาสตร์การพัฒนาด้าน ICT ของประเทศ

ในการประชุมครั้งนี้ คณะกรรมการธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นและรับฟังข้อเสนอแนะจาก คณะกรรมการบริหาร เพื่อบูรณาการการทำงานร่วมกันของทั้ง 3 หน่วยงาน คือ สำนักงานปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและ การสื่อสาร สพธอ. และ สรอ. เพื่อผลักดันงานด้านธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ของประเทศให้เกิดประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยการประชุมดังกล่าว ถือเป็นนิมิตหมายที่ดีที่ทำให้เกิดการบูรณาการการทำงานร่วมกัน เพื่อขับเคลื่อนธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ของประเทศไทย ตามที่กระทรวงฯ ได้มุ่งเป้าหมายไปสู่การเป็น Smart Thailand ในปี 2020

View :1326