Archive

Archive for the ‘Technology’ Category

ไอบีเอ็มจับมือองค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพวช.) เสริมการศึกษาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไทยใน 6 จังหวัดนำร่องทั่วประเทศ

December 14th, 2012 No comments


จุดประกายนักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่ ต่อยอดการเรียนรู้ตลอดชีวิต ไอบีเอ็ม ประเทศไทย ฉลองครบรอบ 60 ปี จัดโครงการค่ายวิทยาศาสตร์ TryScience -NSMสร้างแรงบันดาลใจและแบ่งปันองค์ความรู้แก่ครูและนักเรียนไทย

กรุงเทพฯ, ประเทศไทย – 14 ธันวาคม 2555: ไอบีเอ็มเปิดเผยถึงโครงการค่ายวิทยาศาสตร์ TryScience IBM-NSM เพื่อฉลองวาระครบรอบ 60 ปีของการดำเนินธุรกิจในประเทศไทย โดยเป็นโครงการที่กลุ่มอาสาสมัครของบริษัทฯ ได้ร่วมกันพัฒนาขึ้น ภายใต้ความร่วมมือกับองค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพวช.) ในการเปิดโอกาสให้นักเรียนได้สัมผัสความตื่นเต้นของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ผ่านการเรียนรู้จากประสบการณ์และกิจกรรมการทดลองทางวิทยาศาสตร์ต่างๆ โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างแรงบันดาลใจและกระตุ้นความสนใจของนักเรียน พร้อมทั้งเสริมสร้างแนวทางการเรียนรู้ด้านวิทยาศาสตร์ที่ริเริ่มสร้างสรรค์ สำหรับนักเรียนระดับประถมศึกษาในจังหวัดต่างๆ ของไทย

โครงการดังกล่าวได้เริ่มเปิดตัวเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา โดยได้มีการจัดค่ายวิทยาศาสตร์เต็มวันอบรมให้ความรู้แก่คณะครูและนักเรียนจากโรงเรียนนำร่องใน 6 จังหวัด เพื่อเสริมสร้างความเข้าใจที่ลึกซึ้ง ซึ่งจำเป็นสำหรับการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแบบตลอดชีวิตต่อไปในอนาคต

“ไอบีเอ็มเชื่อมั่นในการเรียนรู้ตลอดชีวิต และการสร้างบุคลากรแห่งอนาคต ในการประสานความร่วมมือกับองค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติครั้งนี้ เรารู้สึกยินดีที่ได้มีส่วนในการส่งเสริมการศึกษาทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของประเทศไทย พร้อมทั้งเสริมสร้างบุคลากรในอนาคต อันเป็นกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้ประเทศของเราเติบโตและพัฒนาอย่างยั่งยืน” นางพรรณสิรี อมาตยกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไอบีเอ็ม ประเทศไทย จำกัด

ดร.พิชัย สนแจ้ง ผู้อำนวยการองค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ กล่าวว่า “ มีพันธกิจในการส่งเสริมสังคมไทยให้ตระหนักในความสำคัญของวิทยาศาสตร์ ความหลากหลายทางชีวภาพ และเทคโนโลยี โดยถ่ายทอดองค์ความรู้เหล่านี้ผ่านนิทรรศการสร้างสรรค์และกิจกรรมด้านการศึกษาต่างๆ ในแนวทางที่น่าสนใจและเข้าถึงได้ โครงการค่ายวิทยาศาสตร์ TryScience IBM-NSM อันเป็นความร่วมมือกับไอบีเอ็มในครั้งนี้ มีกิจกรรมภายใต้แนวคิดที่ดีเยี่ยมมากมาย สร้างการเรียนรู้ที่สนุกสนานและริเริ่มสร้างสรรค์ให้แก่ทั้งครูและนักเรียนในชั้นเรียน ทาง อพวช. หวังเป็นอย่างยิ่งที่จะได้ร่วมงานกับไอบีเอ็ม เพื่อบรรลุวิสัยทัศน์ร่วมกันต่อไปในอนาคต”

โครงการ TryScience

เนื่องจากครูมีบทบาทสำคัญอย่างมากในการอบรมให้ความรู้แก่เด็กรุ่นใหม่ ดังนั้นจึงจำเป็นที่จะต้องจัดให้มีทรัพยากรที่เหมาะสมและเป็นประโยชน์ในด้านการศึกษาวิชาวิทยาศาสตร์แก่คณะครู โดยในช่วงแรกของกิจกรรมฯ ทีมงานของไอบีเอ็มและอพวช. ได้แนะนำเว็บไซต์ TryScience เพื่อให้คณาจารย์ได้ใช้ประโยชน์จากองค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์จำนวนมาก จากผู้เชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์หลายพันคน ภายใต้สาขาวิชาที่หลากหลายตั้งแต่โบราณคดีไปจนถึงสัตววิทยา รวมถึงส่วน TryScience Teachers ซึ่งเป็นส่วนต่อขยายของเว็บไซต์ TryScience ที่มากมายด้วยทรัพยากรและสื่อการสอนด้านวิทยาศาสตร์ สำหรับให้ครูผู้สอนผนวกเข้ากับกิจกรรมการเรียนการสอนในห้องเรียน พร้อมไปกับการดึงดูดความสนใจจากนักเรียนได้ดียิ่งขึ้น โดยทางทีมงานและคณะครูยังได้ร่วมกันระดมความคิด เกี่ยวกับโครงการการสอนวิชาวิทยาศาสตร์ในอนาคตร่วมกับโรงเรียนต่างๆ ภายใต้ความมุ่งมั่นที่จะสานต่อความร่วมมือในอนาคต

ส่วนท้ายของกิจกรรมฯ เป็นการเปิดโอกาสให้นักเรียนได้สำรวจ ตรวจสอบ ค้นหา และทำการทดลองทางวิทยาศาสตร์ด้วยตนเอง ด้วยชุดกิจกรรมการทดลองในด้านต่างๆ โดยนักเรียนจะได้รับแรงบันดาลใจจากวิศวกรไอทีของไอบีเอ็ม และมีความกระตือรือร้นที่จะเรียนรู้เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์เบื้องต้นผ่านกิจกรรมการทดลองที่น่าสนใจ

นายทองสุข สว่างงาม ผู้อำนวยการโรงเรียนเทศบาล 1 (บูรพาวิทยากร) กล่าวว่า “โครงการค่ายวิทยาศาสตร์ TryScience IBM-NSM มีประโยชน์และสร้างแรงบันดาลใจให้แก่นักเรียนเป็นอย่างมาก นักเรียนทุกคนรู้สึกสนุกและตื่นเต้นที่ได้เรียนรู้เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และได้พบว่าวิทยาศาสตร์มีความเชื่อมโยงกับชีวิตประจำวันของตนมากเพียงใด การฝึกอบรมในครั้งนี้ รวมถึงองค์ความรู้มากมายจากเว็บไซต์ TryScience ยังเปิดโอกาสให้นักเรียนของเราได้สัมผัสและมีประสบการณ์การเรียนรู้วิทยาศาสตร์มากยิ่งขึ้น ซึ่งนับว่าสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของโรงเรียนในการส่งเสริมกิจกรรมการเรียนรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์”

นายจีระยศ กิจตรอง ผู้อำนวยการโรงเรียนอนุบาลประจวบคีรีขันธ์ กล่าวว่า “ทางคณะครูพบว่าเนื้อหาความรู้ด้านวิทยาศาสตร์จากเว็บไซต์ TryScience มีประโยชน์อย่างมากในทางปฏิบัติ และสามารถนำไปปรับใช้กับหลักสูตรการเรียนการสอนของโรงเรียนได้ นอกจากนี้ นักเรียนยังรู้สึกประทับใจอย่างมากกับโครงการค่ายวิทยาศาสตร์ในครั้งนี้ เพราะช่วยให้เข้าใจแนวคิดพื้นฐานของวิทยาศาสตร์ผ่านการทดลองที่จับต้องได้ ทั้งยังช่วยให้นักเรียนเห็นว่าการเรียนวิทยาศาสตร์เป็นเรื่องง่าย”

โครงการค่ายวิทยาศาสตร์ TryScience IBM-NSM ภายใต้ความร่วมมือของไอบีเอ็มและอพวช. มีคณะครูและนักเรียนเข้าร่วมกว่า 600 คนจาก 28 โรงเรียนในกรุงเทพฯ ชลบุรี ประจวบคีรีขันธ์ นครราชสีมา กาญจนบุรี และเชียงใหม่ โดยมีแผนที่จะจัดโครงการค่ายวิทยาศาสตร์ TryScience เพิ่มเติมในปีหน้า

# # #

เกี่ยวกับเว็บไซต์ TryScience

www.TryScience.org เป็นเว็บไซต์อินเตอร์แอคทีฟระดับโลกที่ออกแบบเป็นพิเศษเพื่อกระตุ้นให้เยาวชนเกิดความสนใจในวิทยาศาสตร์ TryScience เป็นผลงานการพัฒนาภายใต้ความร่วมมือระหว่าง New York Hall of Science ไอบีเอ็ม และหน่วยงานที่เป็นสมาชิกของสมาคมศูนย์วิทยาศาสตร์-เทคโนโลยี โดยนับเป็นแหล่งรวบรวมความรู้จากผู้เชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์หลายพันคน ในสาขาวิชาที่หลากหลายตั้งแต่โบราณคดีไปจนถึงสัตววิทยา
TryScience เปิดโอกาสให้ผู้คนในทุกๆ ที่สามารถเข้าถึงและสำรวจความรู้ทางวิทยาศาสตร์จากพิพิธภัณฑ์ทั่วโลก ในรูปแบบของนิทรรศการแบบอินเตอร์แอคทีฟ การผจญภัยมัลติมีเดีย และ “การทัศนศึกษา” ผ่านกล้องถ่ายทอดสด นอกจากนี้ TryScience ยังนำเสนอโครงงานวิทยาศาสตร์เชิงปฏิบัติการที่เยาวชน พ่อแม่ ผู้ปกครอง และครู สามารถนำไปทดลองทำที่บ้านหรือที่โรงเรียนได้
ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเว็บไซต์ TryScience ได้ที่ http://www.tryscience.org/

ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเว็บไซต์ในหัวข้อ TryScience Teachers ได้ที่ http://www.tryscience.org/teachers/teacher.html

รายชื่อโรงเรียนนำร่องที่เข้าร่วมโครงการค่ายวิทยาศาสตร์ TryScience IBM-NSM
1. โรงเรียนเทศบาล 3 บ้านบ่อ จังหวัดกาญจนบุรี
2. โรงเรียนอนุบาลวัดไชยชุมพลชนะสงคาม จังหวัดกาญจนบุรี
3. โรงเรียนบ้านหัวหิน จังหวัดกาญจนบุรี
4. โรงเรียนเขาดินวิทยาคาร จังหวัดกาญจนบุรี
5. โรงเรียนบ้านหนองหญ้าปล้อง จังหวัดกาญจนบุรี
6. โรงเรียนบ้านโป่งหวาย จังหวัดกาญจนบุรี
7. โรงเรียนเทศบาล 1 วัดเทวสังฆาราม จังหวัดกาญจนบุรี
8. โรงเรียนเมืองพัทยา 7 จังหวัดชลบุรี
9. โรงเรียนอนุบาลชลบุรี จังหวัดชลบุรี
10. โรงเรียนอนุบาลพนัสศึกษาลัย จังหวัดชลบุรี
11. โรงเรียนสาธิตพิบูลบำเพ็ญ จังหวัดชลบุรี
12. โรงเรียนวัดบ้านนา จังหวัดชลบุรี
13. โรงเรียนอนุบาลประจวบคีรีขันธ์ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์
14. โรงเรียนเทศบาลวัดธรรมิการาม จังหวัดประจวบคีรีขันธ์
15. โรงเรียนเทศบาลบ้านหนองบัว จังหวัดประจวบคีรีขันธ์
16. โรงเรียนเทศบาลบ้านค่าย จังหวัดประจวบคีรีขันธ์
17. โรงเรียนอนุบาลเมืองประจวบคีรีขันธ์ (สละชีพ) จังหวัดประจวบคีรีขันธ์
18. โรงเรียนเทศบาล 1 บูรพาวิทยากร จังหวัดนครราชสีมา
19. โรงเรียนเทศบาล 2 วัดสมอราย จังหวัดนครราชสีมา
20. โรงเรียนเทศบาล 3 ยมราชสามัคคี จังหวัดนครราชสีมา
21. โรงเรียนเทศบาล 4 เพาะชำ จังหวัดนครราชสีมา
22. โรงเรียนเทศบาล 5 วัดป่าจิตตสามัคคี จังหวัดนครราชสีมา
23. โรงเรียนเทศบาลวัดเชียงยืน จังหวัดเชียงใหม่
24. โรงเรียนวัดเวฬุวัน จังหวัดเชียงใหม่
25. โรงเรียนบ้านแจ่งกู่เรือง จังหวัดเชียงใหม่
26. โรงเรียนชุมชนเทศบาลวัดศรีดอนไชย จังหวัดเชียงใหม่
27. โรงเรียนเทศบาลวัดเกตการาม จังหวัดเชียงใหม่
28. โรงเรียนเทศบาลวัดท่าสะต๋อย จังหวัดเชียงใหม่

หมายเหตุ: โครงการค่ายวิทยาศาสตร์ TryScience IBM-NSM ที่จังหวัดกรุงเทพฯ เป็นลักษณะ
เปิดกว้างให้คณะครูและนักเรียนจากหลายโรงเรียนสามารถเข้าร่วมได้

View :1429

ไอบีเอ็มเปิดตัวโครงการเสริมทักษะให้กับนักศึกษาและบุคลากรด้านไอทีเตรียมพร้อมสำหรับการทำงานในอนาคต

December 12th, 2012 No comments

ไอบีเอ็ม เปิดตัวโครงการและทรัพยากรใหม่ๆ เพื่อช่วยให้นักศึกษาและบุคลากรด้านไอทีพัฒนาทักษะใหม่ทางด้านเทคโนโลยี และเตรียม พร้อมสำหรับการทำงานในอนาคต โครงการริเริ่มเหล่านี้ครอบคลุมหลักสูตรการฝึกอบรมและทรัพยากรใหม่ๆ สำหรับบุคลากรด้านไอที การฝึกอบรม เทคโนโลยี และเนื้อหาหลักสูตรสำหรับคณาจารย์ ซึ่งจะเปิดโอกาสให้นักศึกษาได้มีส่วนร่วมแก้ไขปัญหาท้าทายทางธุรกิจในโลกแห่งความเป็นจริง

ไอบีเอ็มได้เผยแพร่รายงานแนวโน้มเทคโนโลยี (Technol-ogy Trend Report) ประจำปี 2555 ซึ่งระบุว่ามีองค์กรเพียงแค่ 1 ใน 10 แห่งเท่านั้นที่มีทักษะที่จำเป็นสำหรับการใช้เทคโนโลยีขั้นสูงอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น ระบบวิเคราะห์ข้อมูลธุรกิจ โมบายล์ คลาวด์คอมพิวติ้ง และโซเชียลบิสซิเนส นอกจากนี้ เกือบครึ่งหนึ่งของอาจารย์และนักศึกษาที่ตอบแบบสอบถามรู้สึกว่ามีช่องว่างอย่างมากสำหรับความสามารถของสถาบันการศึกษาในการตอบสนองความต้องการที่เพิ่มสูงขึ้นสำหรับทักษะทางด้านเทคโนโลยี

ไอบีเอ็มประกาศโครงการเสริมสร้างทักษะครั้งใหญ่ โดยเป็นการขยายโครงการทางวิชาการ (Academic Initiative) ครั้งสำคัญที่สุด นับตั้งแต่ที่เปิดตัวเป็นครั้งแรกเมื่อปี 2547 โดย

• จัดหาซอฟต์แวร์ เนื้อหาหลักสูตร และทรัพยากรการเรียนรู้แก่มหาวิทยาลัยโดยไม่คิดค่าใช้จ่ายใดๆ: ปัจจุบัน อาจารย์สามารถนำเอาเทคโนโลยีระดับองค์กรรุ่นล่าสุดไปใช้กับการเรียนการสอนในห้องเรียน รวมถึงงานวิจัยสำหรับเทคโนโลยี 4 ด้านใหม่ๆ ได้แก่ การรักษาความปลอดภัย, คอมเมิร์ซ, ระบบประมวลผลแบบพกพา และบิ๊กดาต้า นอกเหนือจากการใช้ซอฟต์แวร์ฟรีแล้ว ไอบีเอ็มยังจัดหาบทช่วยสอน คู่มือการใช้งาน กรณีศึกษา และหลักสูตรที่พร้อมใช้งานได้ทันที
Knowledge Exchange สำหรับคณาจารย์: ไซต์ออนไลน์ที่อาจารย์สามารถแบ่งปันข้อมูลและประสานงานร่วมกันเกี่ยวกับหลักสูตรและแนวทางปฏิบัติ
• การฝึกอบรมและเนื้อหาด้านเทคนิคฟรีสำหรับบุคลากรด้านไอที: ตอนนี้ IBM developerWorks นำเสนอหัวข้อใหม่ๆ เกี่ยวกับระบบประมวลผลแบบพกพา ระบบรักษาความปลอดภัย และระบบคอมเมิร์ซ โดยหัวข้อเหล่านี้ประกอบด้วยเนื้อหาการฝึกอบรม กรณีศึกษา เอกสารด้านเทคนิค คู่มือการติดตั้ง และชุมชนออนไลน์
• การฝึกอบรมแบบส่วนตัวและการออกใบรับรองสำหรับเทคโนโลยี Commerce ให้แก่พันธมิตรธุรกิจของไอบีเอ็ม
หลักสูตร เทคโนโลยี และการฝึกอบรมใหม่สำหรับสถาบันการศึกษา
เพื่อช่วยให้สถานศึกษาเตรียมความพร้อมให้แก่นักศึกษาสำหรับการทำงานในอนาคต ไอบีเอ็มจึงได้เริ่มโครงการ เข้าใช้ซอฟต์แวร์ได้ฟรีเพื่อจุดประสงค์ในการเรียนการสอนและงานวิจัย และเนื้อหาหลักสูตรใหม่สำหรับหัวข้อสำคัญทางด้านไอทีหลายสิบหัวข้อ เช่น ระบบรักษาความปลอดภัยไซเบอร์ ระบบวิเคราะห์ข้อมูลธุรกิจ ระบบโมบายล์ โซเชียลบิสซิเนส และคอมเมิร์ซ
นับเป็นครั้งแรกที่โครงการ Academic Initiative ของไอบีเอ็มจะให้สิทธิ์เข้าถึงหลักสูตรและเนื้อหาการฝึกอบรมเกี่ยวกับการรักษาความปลอดภัยทางด้านไอที เพื่อช่วยให้นักศึกษาได้รับทักษะด้านการรักษาความปลอดภัยไซเบอร์ที่พร้อมสำหรับตลาด โดยเทคโนโลยีใหม่ๆ ได้แก่:
• หลักสูตรสำเร็จรูปที่นำเสนอสถานการณ์จริงเกี่ยวกับการรักษาความปลอดภัยสู่ห้องเรียน ช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจถึงปัญหาท้าทายขององค์กร และทำการวิเคราะห์เชิงลึกเกี่ยวกับแนวโน้มที่ระบุไว้ในรายงาน IBM X-Force
• การเข้าใช้ซอฟต์แวร์รักษาความปลอดภัยได้ฟรีเพื่อใช้ในห้องเรียนสำหรับสอนให้นักศึกษารู้จักวิธีการทดสอบแอพพลิเคชั่นเพื่อค้นหาจุดบกพร่อง และตรวจสอบเครือข่ายและเซิร์ฟเวอร์ที่ทำเวอร์ช่วลไลซ์เพื่อค้นหาช่องโหว่ อาจารย์และนักศึกษาจะสามารถเข้าถึงเมนเฟรม zEnterprise รุ่นใหม่ล่าสุดผ่านการเชื่อมต่อระยะไกล โดยเมนเฟรมดังกล่าวเป็นระบบที่มีความปลอดภัยสูง ใช้เตรียมความพร้อมให้แก่นักศึกษาสำหรับรับมือกับปัญหาท้าทายด้านการประมวลผลในโลกแห่งความเป็นจริง โดยใช้ทักษะด้านไอทีระดับองค์กร
โครงการ Academic Initiative ของไอบีเอ็มให้สิทธิ์การใช้งานซอฟต์แวร์ รวมถึงเนื้อหาการฝึกอบรม ซึ่งอาจารย์จะสามารถดาวน์โหลดได้ใน 3 ด้านใหม่ๆ ดังนี้:
• บิ๊กดาต้าและระบบวิเคราะห์ข้อมูล: ซอฟต์แวร์บิ๊กดาต้า พร้อมสิทธิ์ในการเข้าถึงเทคโนโลยีบิ๊กดาต้าที่หลากหลายของไอบีเอ็ม รวมไปถึงหนังสืออิเล็กทรอกนิกส์ และโมดูลการเรียนรู้เกี่ยวกับ Hadoop ซึ่งออกแบบเป็นพิเศษสำหรับนักศึกษาในสาขาวิชาธุรกิจและวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์
• คอมเมิร์ซ: ซอฟต์แวร์ IBM Smarter Commerce สำหรับนักศึกษาที่ต้องการเรียนรู้วิธีการพัฒนาโค้ด เพื่อเปิดเผยแบบแผนในการซื้อสินค้าออนไลน์ ผ่านทางโมดูลการเรียนรู้ภาคปฏิบัติ
: โมดูลการเรียนรู้ภาคปฏิบัติเกี่ยวกับ HTLM 5 และ DOJO

สุดท้าย ไอบีเอ็มได้เปิดตัว Knowledge Exchange ซึ่งเป็นแหล่งทรัพยากรออนไลน์ที่ช่วยให้คณาจารย์จากทั่วทุกมุมโลกสามารถแลกเปลี่ยนและประสานงานร่วมกันเกี่ยวกับเนื้อหาหลักสูตรและแนวทางปฏิบัติที่เหมาะสม หลักสูตรฝึกอบรมและทรัพยากรใหม่สำหรับบุคลากรด้านไอที
ขณะที่องค์กรต่างๆ หันไปใช้เทคโนโลยีเพื่อแก้ไขปัญหาท้าทายทางธุรกิจที่ยากลำบากเพิ่มมากขึ้น ความต้องการสำหรับผู้เชี่ยวชาญด้านไอทียังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในทุกกลุ่มอุตสาหกรรม รายงาน IBM Tech Trends ประจำปี 2555 ระบุว่าการขาดแคลนบุคลากรเป็นอุปสรรคสำคัญที่สุดสำหรับการปรับใช้เทคโนโลยีเพื่อเพิ่มความสะดวกให้แก่บุคลากรฝ่ายไอทีในการก้าวให้ทันกับเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ไอบีเอ็มจึงได้จัดเตรียม:
• หัวข้อใหม่บน developerWorks สำหรับโมบายล์คอมพิวติ้ง การรักษาความปลอดภัย และระบบคอมเมิร์ซ รองรับการเข้าถึงเนื้อหาการฝึกอบรม ทรัพยากรด้านเทคนิค และชุมชนออนไลน์ทางด้านเทคนิค โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายใดๆ
• การฝึกอบรมและการออกใบรับรองใหม่ๆ สำหรับพันธมิตรธุรกิจของไอบีเอ็ม พร้อมด้วยเนื้อหาการเรียนการสอน คู่มือการติดตั้ง และแนวทางปฏิบัติที่เหมาะสมบน developerWorks

ทรัพยากรใหม่ๆ สำหรับคณาจารย์และสถานศึกษามีอยู่ที่: https://www.ibm.com/developerworks/university/academicinitiative/
ทรัพยากรใหม่ๆ สำหรับนักพัฒนามีอยู่ที่: http://www.ibm.com/developerworks/
ดูข้อมูลเกี่ยวกับบริการด้านความปลอดภัยของไอบีเอ็ม: http://www-935.ibm.com/services/us/en/it-services/security-services.html
อ่านรายงาน Tech Trends ได้ที่: www.ibm.com/developerworks/techtrendsreport

View :1133

ไซแมนเทคเผยผลสำรวจสถานะของดาต้าเซ็นเตอร์ ระบุโมบายล์คอมพิวติ้ง, เวอร์ช่วลไลเซชั่น และคลาวด์ ส่งผลให้ดาต้าเซ็นเตอร์ในไทยซับซ้อนมากขึ้น

December 7th, 2012 No comments

กรุงเทพฯ, ประเทศไทย – 7 ธันวาคม 2555 – บริษัท ไซแมนเทค คอร์ป (Nasdaq: SYMC) เปิดเผยว่า 79 เปอร์เซ็นต์ขององค์กรรายงานถึงความซับซ้อนที่เพิ่มมากขึ้นในดาต้าเซ็นเตอร์ จากผลการสำรวจสถานะของดาต้าเซ็นเตอร์ (State of the Data Center Survey) ประจำปี 2555 ผลการสำรวจดังกล่าวซึ่งจัดหาข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับปัญหาท้าทายสำคัญๆ ที่องค์กรทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย ต้องเผชิญกับปัญหาดังกล่าวฯ เมื่อดาต้าเซ็นเตอร์มีการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง โดยเน้นย้ำถึงปัจจัยหลักที่ทำให้ดาต้าเซ็นเตอร์มีความซับซ้อนเพิ่มมากขึ้น รวมไปถึงผลกระทบต่อธุรกิจในปัจจุบัน และโครงการริเริ่มล่าสุดที่ฝ่ายไอทีกำลังดำเนินการเพื่อแก้ไขปัญหา สาเหตุของความซับซ้อนในดาต้าเซ็นเตอร์เกิดจากหลายปัจจัย โดยผู้ตอบแบบสอบถามระบุว่าการปรับใช้แนวทางการบริหารจัดการข้อมูลอย่างโปร่งใสเป็นโครงการหลักที่องค์กรต่างๆ กำลังดำเนินการเพื่อรับมือกับปัญหาที่เพิ่มมากขึ้นในดาต้าเซ็นเตอร์ แบบสำรวจสถานะของดาต้าเซ็นเตอร์เน้นย้ำถึงความสำคัญในการดำเนินมาตรการเพื่อจัดการทรัพยากรภายในองค์กรอย่างชาญฉลาด ควบคู่ไปกับการลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน และควบคุมปริมาณข้อมูลที่เพิ่มสูงขึ้น

นายประมุท ศรีวิเชียร ผู้จัดการประจำประเทศไทย บริษัท ไซแมนเทค กล่าวว่า “ปัจจุบัน องค์กรธุรกิจในเมืองไทยมีการสร้างข้อมูลเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และมีการนำเอาเทคโนโลยีใหม่ๆ มาใช้ในดาต้าเซ็นเตอร์ ความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้อาจเปรียบเสมือนการขับเคลื่อนและผลักดันให้ธุรกิจเติบโตอย่างรวดเร็ว หรืออาจฉุดรั้งองค์กรไม่ให้ก้าวไปข้างหน้า ความแตกต่างอยู่ที่ว่าองค์กรจะต้องสามารถรับมือกับปัญหาท้าทายที่รออยู่เบื้องหน้า ด้วยการปรับใช้แนวทางการควบคุม เช่น การกำหนดมาตรฐาน หรือสร้างกลยุทธ์การบริหารข้อมูลอย่างโปร่งใส เพื่อปกป้องข้อมูลให้ปลอดภัยและหลีกเลี่ยงความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น”

ความซับซ้อนของดาต้าเซ็นเตอร์เกิดขึ้นอย่างกว้างขวาง
องค์กรทุกขนาดในทุกกลุ่มอุตสาหกรรมและทุกภูมิภาครายงานเกี่ยวกับความซับซ้อนที่เพิ่มมากขึ้นในดาต้าเซ็นเตอร์ จากผลสำรวจ พบว่าความซับซ้อนของดาต้าเซ็นเตอร์ส่งผลกระทบต่อทุกแง่มุมของการประมวลผล โดยเฉพาะอย่างยิ่งการรักษาความปลอดภัยและโครงสร้างพื้นฐาน รวมไปถึงการกู้คืนระบบ การจัดเก็บข้อมูล และการปฏิบัติตามกฎระเบียบ ผู้ตอบแบบสอบถามทั่วโลกให้คะแนนความซับซ้อนในทุกๆ ด้านในระดับที่ใกล้เคียงกัน (6.6 คะแนนขึ้นไป จากคะแนนเต็ม 10 คะแนน) โดยความปลอดภัยมีคะแนนสูงสุดที่ 7.1 คะแนน ระดับความซับซ้อนโดยเฉลี่ยสำหรับบริษัททั่วโลกอยู่ที่ 6.7 คะแนน ส่วนความซับซ้อนโดยเฉลี่ยในทวีปอเมริกาอยู่ในระดับสูงสุดที่ 7.8 ขณะที่เอเชีย-แปซิฟิกมีคะแนนต่ำสุดอยู่ที่ 6.2

ผลกระทบจากความซับซ้อนของดาต้าเซ็นเตอร์มีความหลากหลายและก่อให้เกิดค่าใช้จ่ายสูงมาก
มีปัจจัยหลายอย่างที่ทำให้ดาต้าเซ็นเตอร์ซับซ้อนมากขึ้น ประการแรกคือ ผู้ตอบแบบสอบถามรายงานว่าต้องจัดการกับแอพพลิเคชั่นที่มีจำนวนเพิ่มขึ้น และแอพพลิเคชั่นดังกล่าวมีความสำคัญอย่างมากต่อธุรกิจ โดยในระดับโลก 65 เปอร์เซ็นต์ระบุว่าแอพพลิเคชั่นที่สำคัญต่อธุรกิจมีจำนวนเพิ่มขึ้นหรือเพิ่มขึ้นอย่างมาก ส่วนในประเทศไทย 95 เปอร์เซ็นต์ของบริษัทที่ตอบแบบสอบถามระบุว่าจำนวนแอพพลิเคชั่นที่สำคัญต่อธุรกิจมีจำนวนเพิ่มขึ้นหรือเพิ่มขึ้นอย่างมาก และปัจจัยสำคัญอื่นๆ ที่ก่อให้เกิดความซับซ้อนสำหรับดาต้าเซ็นเตอร์ในเมืองไทย ได้แก่ การเติบโตของแนวโน้มไอทีสำคัญๆ เช่น ปริมาณข้อมูลที่เพิ่มสูงขึ้น (54 เปอร์เซ็นต์ของผู้ตอบแบบสอบถาม), คลาวด์คอมพิวติ้งสาธารณะ (49 เปอร์เซ็นต์), เซิร์ฟเวอร์และเดสก์ท็อปเวอร์ช่วลไลเซชั่น (46 เปอร์เซ็นต์สำหรับแต่ละรายการ) และคลาวด์คอมพิวติ้งภายในองค์กร (46 เปอร์เซ็นต์)

ผลการสำรวจเผยให้เห็นว่าความซับซ้อนที่เพิ่มมากขึ้นสำหรับดาต้าเซ็นเตอร์ในเมืองไทยก่อให้เกิดผลกระทบอย่างกว้างขวาง โดยผลกระทบที่ได้รับการกล่าวถึงมากที่สุดในเมืองไทยก็คือ ต้องใช้เวลานานขึ้นในการค้นหาข้อมูล โดยเกือบครึ่งหนึ่ง (47 เปอร์เซ็นต์) ขององค์กรในประเทศไทยระบุว่าเป็นผลกระทบจากความซับซ้อน ผลกระทบอื่นๆ ได้แก่ ใช้เวลานานขึ้นในการจัดสรรสตอเรจ (40 เปอร์เซ็นต์), การโยกย้ายสตอเรจ (36 เปอร์เซ็นต์), ความคล่องตัวลดลง (36 เปอร์เซ็นต์), การละเมิดระบบรักษาความปลอดภัย (36 เปอร์เซ็นต์), ข้อมูลสูญหายหรือถูกจัดเก็บไว้ผิดที่ผิดทาง (36 เปอร์เซ็นต์), ค่าใช้จ่ายที่เพิ่มสูงขึ้น (35 เปอร์เซ็นต์), ระบบหยุดทำงาน (35 เปอร์เซ็นต์) และความเสี่ยงต่อการถูกฟ้องร้องดำเนินคดี (33 เปอร์เซ็นต์)

องค์กรทั่วไปในระดับโลกประสบปัญหาดาต้าเซ็นเตอร์หยุดทำงานโดยเฉลี่ย 16 ครั้งในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา ก่อให้เกิดค่าใช้จ่ายโดยรวม 5.1 ล้านดอลลาร์ โดยสาเหตุหลักที่พบเห็นได้มากที่สุดก็คือ ระบบหยุดทำงาน ตามมาด้วยข้อผิดพลาดของบุคลากร และภัยธรรมชาติ

ฝ่ายไอทีดำเนินมาตรการเพื่อบรรเทาปัญหาความยุ่งยากซับซ้อน
จากผลการสำรวจ พบว่าองค์กรต่างๆ ในประเทศไทยดำเนินมาตรการหลายอย่างเพื่อลดความยุ่งยากซับซ้อน รวมถึงการกำหนดมาตรฐานสำหรับระบบรักษาความปลอดภัย การฝึกอบรมบุคลากรเพิ่มเติม การกำหนดมาตรฐานสำหรับฮาร์ดแวร์ การเพิ่มงบประมาณ และการปรับใช้ระบบคลาวด์คอมพิวติ้ง ที่จริงแล้ว 69 เปอร์เซ็นต์ของผู้ตอบแบบสอบถามในเมืองไทยมองว่าการเพิ่มงบประมาณและการจัดฝึกอบรมบุคลากรเพิ่มเติม (73 เปอร์เซ็นต์) ค่อนข้างมีความสำคัญหรือมีความสำคัญอย่างมากต่อการจัดการปัญหาความยุ่งยากซับซ้อนของดาต้าเซ็นเตอร์ อย่างไรก็ดี องค์กรในเมืองไทยดำเนินโครงการริเริ่มที่สำคัญที่สุดเพียงอย่างเดียว นั่นคือ การปรับใช้แนวทางการบริหารข้อมูลอย่างโปร่งใสและครบวงจร โดยเป็นโครงการที่จะช่วยให้องค์กรต่างๆ สามารถจำแนกประเภท เก็บรักษา และค้นหาข้อมูล เพื่อลดความเสี่ยงที่เกี่ยวกับข้อมูล รวมทั้งลดค่าใช้จ่ายในการจัดการข้อมูล กำหนดนโยบายการเก็บรักษา และเพิ่มความคล่องตัวให้กับกระบวนการสืบค้นข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ (eDiscovery) ทั้งนี้ 95 เปอร์เซ็นต์ขององค์กรในประเทศไทยกำลังพูดคุยเรื่องการบริหารข้อมูลอย่างโปร่งใสหรือได้ดำเนินการทดลองหรือโครงการที่แท้จริง

ปัจจัยสำคัญที่สุดสำหรับการบริหารข้อมูลอย่างโปร่งใสในเมืองไทย ได้แก่ การรักษาความปลอดภัย (77 เปอร์เซ็นต์ของผู้ตอบแบบสอบถามระบุว่าค่อนข้างสำคัญหรือสำคัญอย่างมาก), ความพร้อมใช้งานของเทคโนโลยีใหม่ที่ช่วยเพิ่มความสะดวกในการบริหารข้อมูลอย่างโปร่งใส (62 เปอร์เซ็นต์), ปัญหาเรื่องกฎระเบียบ (56 เปอร์เซ็นต์), ดาต้าเซ็นเตอร์มีความซับซ้อนมากขึ้น (55 เปอร์เซ็นต์), ปัญหาด้านกฎหมาย (46 เปอร์เซ็นต์) และการเพิ่มขึ้นของข้อมูล (43 เปอร์เซ็นต์)

องค์กรในเมืองไทยมีเป้าหมายหลายประการเกี่ยวกับการบริหารข้อมูลอย่างโปร่งใส รวมถึงการปรับปรุงความปลอดภัย (74 เปอร์เซ็นต์ระบุว่ามีความสำคัญ), การตั้งค่าการปกป้องตามคุณประโยชน์ของข้อมูล (71 เปอร์เซ็นต์), ความสะดวกในการค้นหาข้อมูลที่เหมาะสมอย่างทันท่วงที (68 เปอร์เซ็นต์), ลดค่าใช้จ่ายในการจัดการและการจัดเก็บข้อมูล (63 เปอร์เซ็นต์สำหรับแต่ละรายการ) และลดความเสี่ยงทางกฎหมายและการปฏิบัติตามกฎระเบียบ (60 เปอร์เซ็นต์สำหรับแต่ละรายการ)

คำแนะนำของไซแมนเทค
ต่อไปนี้คือคำแนะนำที่จะช่วยให้องค์กรหลีกเลี่ยงผลกระทบจากความซับซ้อนของดาต้าเซ็นเตอร์:

- กำหนดให้ผู้บริหารระดับสูงเข้ามามีส่วนร่วมในการบริหารข้อมูลอย่างโปร่งใส เริ่มต้นด้วยโครงการที่ให้ผลตอบแทนสูง เช่น การป้องกันข้อมูลสูญหาย การจัดเก็บข้อมูลระยะยาว และ eDiscovery เพื่อเก็บรักษาข้อมูลสำคัญ รวมทั้งค้นหาข้อมูลที่คุณต้องการและลบข้อมูลส่วนที่เหลือ

- รองรับการตรวจสอบหลากหลายแพลตฟอร์ม เข้าใจบริการธุรกิจที่ฝ่ายไอทีจัดหา รวมถึงสิ่งต่างๆ ทั้งหมดที่เชื่อมโยง เพื่อลดปัญหาระบบหยุดทำงานและการสื่อสารผิดพลาด

- ทำความเข้าใจว่าคุณมีสินทรัพย์ไอทีอะไรบ้าง รวมไปถึงลักษณะการใช้งานและผู้ใช้ ซึ่งจะช่วยลดค่าใช้จ่ายและความเสี่ยง องค์กรไม่ต้องซื้อเซิร์ฟเวอร์และสตอเรจโดยไม่จำเป็น ขณะที่ทีมงานจะต้องรับผิดชอบต่อทรัพยากรที่ใช้ และบริษัทมั่นใจได้ว่าจะไม่ประสบปัญหาขาดแคลนทรัพยากร

- ลดจำนวนแอพพลิเคชั่นสำรองเพื่อรองรับการกู้คืนระบบตามข้อกำหนด และลดค่าใช้จ่ายในการลงทุน ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน และค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรม

- ปรับใช้เทคโนโลยีการขจัดข้อมูลซ้ำซ้อนในทุกๆ ที่ เพื่อรับมือกับข้อมูลที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และลดค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวเนื่องกับการแบ็คอัพข้อมูล

-ใช้อุปกรณ์เพื่อเพิ่มความสะดวกในการแบ็คอัพและกู้คืนข้อมูลบนเครื่องจริงและเวอร์ช่วลแมชชีน

การสำรวจสถานะของดาต้าเซ็นเตอร์ประจำปี 2555 ของไซแมนเทค
การสำรวจสถานะของดาต้าเซ็นเตอร์ (State of the Data Center Survey) ประจำปี 2555 ของไซแมนเทค ดำเนินการโดย ReRez Research เมื่อเดือนมีนาคม 2555 โดยผลการสำรวจอ้างอิงคำตอบจากบุคลากรฝ่ายไอที 2,453 คนจากองค์กรต่างๆ ใน 34 ประเทศ รวมถึง 100 องค์กรจากประเทศไทย ผู้ตอบแบบสอบถามประกอบด้วยพนักงานอาวุโสฝ่ายไอทีที่ดูแลรับผิดชอบเกี่ยวกับการปฏิบัติงานและกลยุทธ์รวมไปถึงพนักงานที่ดูแลเรื่องการวางแผนและการจัดการไอที

View :1799

Consumer and Commercial Printer Market Improves Despite Slower Government Spending, Says IDC

December 7th, 2012 No comments

Bangkok, December 6, 2012 – The overall multi function-printer (MFP) and single-function printer (SFP) market experienced a healthy quarter-on-quarter (QoQ) growth of 15.8% in 3Q 2012 after the market rebounded from a slower 2Q 2012. The total printer market registered a total of 528,827 units shipped in 3Q 2012 as compared to 456,799 units in the previous quarter. Out of the overall total, inkjet SFP and MFP registered a total of 368,723 units followed by laser SFP and MFP with a total of 143,434 units and Serial Dot Matrix (SDM) with 16,670 units shipped in 3Q 2012. (Refer to figure 1 for percentage share).

The inkjet SFP and MFP market registered a robust QoQ growth of 5.3% and 21.6% respectively with an overall shipment of 98,335 units for inkjet SFP and 270,388 units for inkjet MFP in 3Q 2012. The overall sales are contributed by the commercial based inkjet models as vendors have been constantly targeting the SOHO and SME sector with newer mid range inkjets offering more functionality with lower print cost.

On the other hand, the laser SFP and MFP market experienced a decent QoQ growth of 26.8% and 5.5% in 3Q 2012 respectively with an overall shipment of 90,051 units for laser SFP and 53,383 units for laser MFP in 3Q 2012.

Donovan Low, Associate Market Analyst for ’s Imaging, Printing and Document Solutions research in Thailand says, “The printer market has shown some signs of improvement after a slow quarter in 2Q 2012 as traditionally, the market is more dynamic in terms of overall corporate and consumer spending in 3Q 2012. However, there is not as much government spending on printers as anticipated before as much of the government’s budget being allocated elsewhere. The result is that most vendors have been targeting other verticals such as banking and manufacturing”.

“Although there is an increase in sales for consumer printers, particularly in the lower end inkjet and laser models, there has been indication that much of the consumer spending has been shifted to tablets and mobile devices which in recent times has seen an increase. On top of that the global economic issues have taken its toll and have caused uncertainty amongst consumers as retail sales are reportedly being the hardest hit”, adds Donovan.

FIGURE 1: 3Q 2012 Thailand HCP Shipments

Source: IDC Asia/Pacific Quarterly HCP Tracker, 3Q 2012

Note: Line printer shipments represented less than 1.0% of the total HCP market in 3Q 2012.
As the slower period approaches again, the printer market is affected by the slowdown especially in the retail market as well as fewer corporate and government projects kicking off. However, the government announcement to lower corporate taxes from 30% to 23% will likely help to boost the commercial printer market in 2013. IDC expects several slow months ahead especially toward the end of the year with a forecast of 12.7% decline for the rest of 2012.

View :1232
Categories: Press/Release, Technology Tags:

ซินเน็คฯ มั่นใจโค้งสุดท้ายยังโชว์ผลงานเยี่ยม หลังกำลังซื้อกลับคืนสู่ตลาดหนุนอุตฯ ไอทีฟื้นตัว

December 4th, 2012 No comments


“สุพันธุ์ มงคลสุธี” มั่นใจผลงานโค้งสุดท้ายของปีนี้ ยังโชว์ผลงานสวย หลังได้ซอฟต์แวร์ Windows 8 เข้ามาเพิ่มความคึกคัก แถมได้อานิสงส์จากการประมูลใบอนุญาต 3G และการจัดงาน “Commart Comtech 2012” ช่วยหนุน คาดผลงานทั้งปีเติบโตต่อเนื่องจากปีก่อนได้ พร้อมโชว์ผลประกอบการ Q3/55 ออกมาโดดเด่น กำไรพุ่งเกือบ 50% โดยมีกำไรสุทธิที่ 128.51 ลบ. จากงวดเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 87.35 ลบ. ขณะแผนลุยพม่ารับมือ AEC ปี 58 คาดชัดเจนใน Q1/56

นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานกรรมการบริหารและซีอีโอ บริษัท ซินเน็ค (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ SYNEX ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์ต่อพ่วงคอมพิวเตอร์ ซอฟต์แวร์ ระบบสารสนเทศและอุปกรณ์ไอที รายใหญ่ของประเทศไทย เปิดเผยถึง แนวโน้มผลประกอบการในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ว่า มีทิศทางเติบโตดีขึ้น เนื่องจากในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ มีการเปิดตัวซอฟต์แวร์ Windows 8 ลงสร้างมิติใหม่ให้คนใช้ พีซี คอมพิวเตอร์ และโน้ตบุ๊ค อย่างเป็นทางการ จึงกระตุ้นให้ทั้งตลาดโน้ตบุ๊คและพีซี เติบโตขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งส่งผลดีต่อบริษัทฯ ในฐานะตัวแทนจำหน่ายโน้ตบุ๊ครายใหญ่ของประเทศไทยให้เติบโตไปในทิศทางเดียวกันด้วย นอกจากนั้น บริษัทฯ ยังได้รับอานิสงส์จากการประมูลใบอนุญาต 3G บนคลื่นความถี่ 2.1 GHz ซึ่งจะส่งผลให้ยอดขายสมาร์ทโฟน และแท็บเล็ตคึกคัก และเชื่อว่ายอดขายสินค้าดังกล่าวจะเติบโตต่อเนื่องไปจนถึงปีหน้า

“คาดว่าในไตรมาส 4/2555 ซินเน็คฯ จะเติบโตต่อเนื่องจากไตรมาส 3/2555ได้ และมั่นใจว่าจะเติบโตมากกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนด้วย หลังจากที่ภาพรวมอุตสาหกรรมไอทีในปีนี้มีแนวโน้มเติบโตขึ้น จากการเปิดตัวซอฟต์แวร์ Windows 8 และความชัดเจนของการประมูลคลื่น 3G รวมไปถึงการจัดงานมหกรรมสินค้าไอทีครั้งยิ่งใหญ่ส่งท้ายปีกับงาน “Commart Comtech 2012” ในช่วงกลางเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ซึ่งได้กระตุ้นกำลังซื้อของผู้บริโภคให้กลับเข้าสู่ตลาดอีกครั้ง ซึ่งส่งผลดีต่อซินเน็คฯ อย่างชัดเจน และคาดว่าผลประกอบการในปีนี้จะเติบโตไม่น้อยกว่าปีที่ผ่านมา ถึงแม้ว่าในช่วงครึ่งปีแรกธุรกิจไอทีจะชะลอตัวลงตามการชะตัวของภาวะเศรษฐกิจก็ตาม” นายสุพันธุ์ กล่าว

ทั้งนี้ บริษัท ซินเน็ค (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) รายงานผลประกอบการประจำงวดไตรมาส 3/2555 (กรกฎาคม-กันยายน 2555) บริษัทฯ มีผลกำไรสุทธิจำนวน 128.51 ล้านบาท หรือหุ้นละ 0.19 บาท เปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปี 2554 มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 87.35 ล้านบาท หรือหุ้นละ 0.13 บาท โดยมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 41.16 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 47.13 และเมื่อเทียบกับงบการเงินรวมในไตรมาส 2/2555 ที่มีกำไรสุทธิ 80.14 ล้านบาท หรือหุ้นละ 0.12 บาท คิดเป็นการเติบโต 48.37 ล้านบาท หรือร้อยละ 60.35 ทั้งนี้ ผลประกอบการที่เพิ่มขึ้น มาจากสาเหตุหลักคือ การลดค่าใช้จ่ายต่างๆ ได้ดี และกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน จำนวน 49.24 ล้านบาท ในขณะที่ปีก่อนมีขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน จำนวน17.07 ล้านบาท

เขากล่าวต่อถึงการจัดตั้งบริษัทร่วมทุนเพื่อขยายธุรกิจในประเทศพม่าว่า เป็นการสานต่อนโยบายการขยายตลาดในต่างประเทศเพื่อรองรับการจัดตั้งประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ที่จะเกิดขึ้นในปี 2558 ซึ่งจะเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่สนับสนุนให้ซินเน็คฯ แข็งแกร่งยิ่งขึ้นโดยคาดว่าการดำเนินการดังกล่าวจะชัดเจนภายในไตรมาส 1/2556 และ หลังจากนั้นจะเห็นการขยายตลาดในประเทศพม่าเติบโตขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

View :1327

บลูโค้ทเผยโฉมโซลูชั่นรักษาความปลอดภัยชั้นยอด ทำให้การนำอุปกรณ์และแอพพลิเคชั่น โมบายต่างๆมาใช้งานในองค์กรปลอดภัยยิ่งขึ้น

December 1st, 2012 No comments

บริการใหม่ที่ช่วยให้พนักงานเข้าถึงข้อมูลและเครือข่ายที่ต้องการ ขณะที่องค์กรได้รับ การรักษาความปลอดภัย

กรุงเทพฯ – ประเทศไทย–29 พฤศจิกายน, 2555 – บริษัท บลูโค้ท ซิสเต็มส์ ผู้นำด้านการรักษาความปลอดภัยสำหรับเว็บและโซลูชั่นการเพิ่มประสิทธิภาพให้กับระบบ WAN ประกาศเปิดตัว Blue Coat Mobile Device Security (MDS) บริการที่ช่วยให้ธุรกิจขยายขอบเขตการรักษาความปลอดภัยครอบคลุมถึงอุปกรณ์ที่ใช้ระบบปฏิบัติการ iOS ได้ไม่ว่าจะอยู่ที่ใดในเครือข่าย โดยบริการ MDS เป็นส่วนหนึ่งของบริการระบบคลาวด์ที่อยู่ในรูปแบบ security-as-a-service จะช่วยลดช่องว่างด้านการรักษาความปลอดภัย เพราะที่ผ่านมาธุรกิจไม่สามารถควบคุมการใช้งานแอพพลิเคชั่นผ่านเว็บบราวเซอร์ของอุปกรณ์โมบายได้ สิ่งผลให้องค์กรต้องเผชิญกับความเสี่ยงจากภัยคุกคามผ่านเว็บและอินเทอร์เน็ต

“นักออกแบบของเราทำงานอยู่บนโลกออนไลน์ตลอดเวลา เรามีการติดต่อกับลูกค้าผ่านทางเครือข่ายสังคมออนไลน์ รวมถึงติดตามสไตล์และแนวโน้มการออกแบบใหม่ๆ อย่างใกล้ชิด การสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยสำหรับการทำงานคือภารกิจที่สำคัญของผมและทีมงาน“ นายจอห์น เนเวนเนอร์ ผู้จัดการฝ่ายไอที บริษัท แคนโทนิ (Cantoni) ซึ่งเป็นบริษัทให้คำปรึกษาด้านการออกแบบให้กับโชว์รูมเฟอร์นิเจอร์แนวโมเดิร์นทั่วอเมริกากล่าวและว่า “บริการของบลูโค้ทช่วยให้พนักงานของเราปลอดภัยจากภัยคุกคามต่างๆ ไม่ว่าจะทำงานจากสำนักงานหรืออยู่ที่โชว์รูม ซึ่งเราก็ต้องการขยายการป้องกันนี้ไปใช้งานไม่ว่าเราจะทำงานอยู่ที่ไหนก็ตาม”

ปัจจุบันธุรกิจมีการลงทุนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเพื่อตอบรับต่อกระแสต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น การเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของพนักงาน ด้วยการนำอุปกรณ์โมบายต่างๆมาใช้งาน กระแสการนำอุปกรณ์ส่วนตัวมาใช้ในองค์กร (Bring Your Own Device : BYOD) เพื่อให้พนักงานสามารทำงานได้ยืดหยุ่น มากขึ้น รวมถึงการอนุญาตให้แขกผู้มาติดต่อ คู่ค้า หรือลูกค้านำอุปกรณ์ของตนเองมาใช้งานในองค์กรได้ เพื่อให้สามารถทำงานร่วมกันได้อย่างใกล้ชิด เช่นเดียวกับแนวโน้มการดำเนินธุรกิจในปัจจุบัน ที่มีการขยายสภาพแวดล้อมการทำงานไปสู่อุปกรณ์โมบายมากขึ้นด้วยเช่นกัน

สิ่งเหล่านี้ทำให้องค์กรต้องเผชิญและจัดการกับความเสี่ยงที่เกิดขึ้น 3 รูปแบบหลักๆ ได้แก่

1.ภัยคุกคามจากเว็บและอินเทอร์เน็ต 2. การสูญหายของข้อมูลจากการใช้งานแอพพลิเคชั่นปรกติและแอพพลิเคชั่นบนเว็บบราวเซอร์ของอุปกรณ์โมบาย และ 3. การหลีกเลี่ยงนโยบายความปลอดภัยของพนักงานบริการ MDS ของบลูโค้ทจะทำงานในระดับเครือข่ายและอุปกรณ์ เพื่อเสริมการปกป้องและควบคุมที่มีใช้งานอยู่ในสำนักงานใหญ่ไปสู่อุปกรณ์โมบายของพนักงานไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ที่ใดก็ตาม ซึ่งการทำให้อุปกรณ์ โมบายต่างๆ เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของสภาพแวดล้อมในองค์กรได้นั้น ต้องอาศัยคุณสมบัติที่สำคัญ 3 ประการได้แก่
การป้องกันขั้นสูง (Advanced Defenses) : บริการ MDS ทำงานภายใต้ระบบป้องกันภัยคุกคาม WebPulse และการป้องกันก่อนที่ปัญหาจะเกิดขึ้น (Negative Day Defense) ของบลูโค้ท เพื่อปกป้องจากภัยคุกคามก่อนที่จะเกิดขึ้น ซึ่งมีเป้าหมายอยู่ที่คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ค เดสก์ท็อป สมาร์ทโฟน และแท็บเล็ตของผู้ใช้การควบคุมแอพพลิเคชั่นและการทำงานแบบละเอียด (Granular Application and Operation Controls): สิ่งที่บริการ MDS ต่างจากโซลูชั่นสำหรับอุปกรณ์โมบายทั่วไปคือ โซลูชั่นทั่วไปจะบล็อกการทำงาน โมบายแอพพลิเคชั่นและไม่สามารถควบคุมการทำงานของแอพพลิเคชั่นที่ใช้งานผ่านโปรแกรมเว็บบราวเซอร์ของอุปกรณ์โมบายได้ แต่บริการ MDS สามารถควบคุมแอพพลิเคชั่นและการทำงานแบบละเอียดครอบคุลมทั้งโมบายแอพพลิเคชั่นปรกติและแอพพลิเคชั่นที่ใช้งานผ่านโมบายเว็บบราวเซอร์ ซึ่งการควบคุมแอพพลิเคชั่นแบบละเอียดนี้ช่วยให้องค์กรกำหนดนโยบายการใช้งานที่ยืดหยุ่น ป้องกันการทำข้อมูลสูญหายโดยไม่ตั้งใจ

กำหนดนโยบายตามบริบท (Contextual Policies) : เพื่อสร้างความสมดุลระหว่างความต้องการในการเข้าถึงระบบเครือข่ายของพนักงานและความต้องการในการรักษาความปลอดภัยของธุรกิจ บริการ MDS มาพร้อมกับกรอบการกำหนดนโยบายอันชาญฉลาด ที่ทำให้องค์กรสามารถกำหนดนโยบายรักษาความปลอดภัยและใช้งานตามผู้ใช้ อุปกรณ์ สถานที่ หรือชนิดของข้อมูล อันช่วยให้องค์กรสามารถกำหนดนโยบายที่เหมาะสมทั้งกับการใช้งานของบุคคลและธุรกิจได้โดยยังคงการรักษาความปลอดภัยที่เข้มแข็ง

“ การทำงานขององค์กรยุคใหม่ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในสำนักงานเท่านั้น แต่ต้องสามารถทำงานได้จากทุกที่ ไม่ว่าจะเป็นสนามบิน ร้านกาแฟ หรือที่ใดก็ได้ที่พนักงานต้องการ การจะทำแบบนี้ได้ องค์กรต้องผสานรวมอุปกรณ์โมบายต่างๆ เข้ากับสภาพแวดล้อมระบบเครือข่ายขององค์กรอย่างลงตัว รวมถึงขยายการปกป้องและควบคุมนโยบายรักษาความปลอดภัยไปสู่อุปกรณ์เหล่านี้ด้วย “ นายคริสเตียน คริสเตียเซ่น รองประธานฝ่ายโปรแกรมและรักษาความปลอดภัย บริษัท ไอดีซี กล่าวและว่า “ความต้องการเข้าถึงระบบเครือข่ายทำให้ฝ่ายไอทีต้องพบกับความท้าทายในการบริหารจัดการอุปกรณ์ปลายทางในระดับหลายร้อยหรือหลายพันชิ้น ขณะเดียวกันก็ต้องจัดหาการรักษาความปลอดภัยที่ครอบคลุมและยืดหยุ่นสำหรับอุปกรณ์เหล่านี้ด้วย ”

บริการ MDS จากบลูโค้ทจะให้บริการผ่านทาง Blue Coat Cloud Service ซึ่งประกอบขึ้นจากโครงสร้างพื้นฐานระดับเอ็นเทอร์ไพรซ์ ซึ่งจะมอบประสิทธิภาพและการขยายเพิ่มเติม โดยมีการรับประกันระดับการให้บริการ (Service Level Guarantee) สูงถึง 99.999 เปอร์เซ็นต์

“อุปกรณ์โมบายต่างๆ กำลังเข้ามามีบทบาทอย่างมากในองค์กร แต่ปัจจุบันผู้อุปกรณ์เหล่านี้ส่วนใหญ่กลับไม่ได้รับการปกป้องจากความเสี่ยงต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ภัยคุกคามจากเว็บ การสูญหายของข้อมูลจากการใช้งานแอพพลิเคชั่นผ่านเว็บบราวเซอร์ของอุปกรณ์โมบาย” นายโจนาธาน แอนเดอร์สัน ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด ผลิตภัณฑ์ ประจำภูมิภาค เอเชียแปซิฟิก บริษัท บลูโค้ท ซิสเต็มส์ อิงค์ กล่าวและว่า “บริการ Mobile Device Security จาก บลูโค้ทช่วยขยายขอบเขตการปกป้องและควบคุมนโยบายที่มีอยู่ในระบบเครือข่ายขององค์กรไปสู่อุปกรณ์โมบายต่างๆ อันช่วยให้ธุรกิจมั่นใจได้ว่าทั้งผู้ใช้และข้อมูลได้ถูกปกป้องแล้วเช่นกัน”

บริการ MDS เป็นองค์ประกอบใหม่ล่าสุดของโซลูชั่นรักษาความปลอดภัยแบบรวมศูนย์ Blue Coat Unified Security ซึ่งจะมอบการป้องกันภัยคุกคาม​แบบร่วมมือกัน​โดย​ผู้​ใช้ทั่ว​โลก (Global Threat Defense) การกำหนดน​โยบายที่สามารถครอบคลุม​ได้ทุกจุด (Universal Policy) ​และ​การรายงาน​แบบรวมศูนย์ (Unified Reporting) ของผู้ใช้ในแต่ละอุปกรณ์ โซลูชั่นการรักษาความปลอดภัยแบบรวมศูนย์ (Unified Security) ประกอบด้วยอุปกรณ์ Blue Coat Secure Web Gateway และอุปกรณ์เสมือน (virtual appliances) และบริการในรูปแบบคลาวด์ Blue Coat Cloud Service ซึ่งจะมอบการรักษาความปลอดภัยในระดับที่องค์กรต้องการ

การวางจำหน่าย
บริการ Blue Coat Mobile Device Security จะเปิดให้บริการในวันที่ 10 ธันวาคม

View :1208

ไอบีเอ็มเสริมทักษะการเรียนรู้แก่นักเรียนในโรงเรียนมัธยมมีชัยพัฒนา

November 29th, 2012 No comments


จัดเวิร์กชอปให้ความรู้แก่เยาวชน ภายใต้โครงการเพื่อสังคม ฉลองครบรอบ 60 ปีไอบีเอ็ม ประเทศไทย พร้อมส่งเสริมกิจกรรมจิตอาสา

กรุงเทพฯ, ประเทศไทย – 29 พฤศจิกายน 2555: กลุ่มพนักงานของไอบีเอ็ม จัดเวิร์กชอปฝึกอบรมเพื่อเพิ่มพูนทักษะด้านการตลาดและการสื่อสารแก่นักเรียนแก่

อาสาสมัคร 20 คนจากฝ่ายการตลาดและการสื่อสารของไอบีเอ็มได้ทำงานร่วมกับคณาจารย์ของโรงเรียนมัธยมมีชัยพัฒนา ภายใต้เป้าหมาย 2 ประการคือ หนึ่ง เพื่อให้นักเรียนเข้าใจเกี่ยวกับกิจกรรมด้านการตลาด ความสำคัญของการตลาดสำหรับองค์กรเอกชนที่ไม่แสวงหากำไร และแนวทางในการส่งเสริมแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง และสอง เพื่อให้นักเรียนสามารถนำเอาความรู้ที่ได้รับไปปรับใช้กับโครงงานที่มีอยู่ในปัจจุบันหรือโครงงานในอนาคต

เพื่อฉลองวาระครบรอบ 60 ปีของการก่อตั้งไอบีเอ็ม ประเทศไทย บริษัทฯ มีแผนที่จะสานต่อความมุ่งมั่นในการพัฒนาธุรกิจและสังคมของไทยอย่างยั่งยืน ด้วยการดำเนินโครงการอาสาสมัคร Manager and Team Happy Volunteer Program ประจำปี 2555 โดยกิจกรรมที่จัดขึ้นที่โรงเรียนมัธยมมีชัยพัฒนาถือเป็นกิจกรรมแรกภายใต้โครงการนี้ ซึ่งมีจุดมุ่งหมายเพื่อกระตุ้นให้พนักงานอุทิศเวลา ความรู้ และความเชี่ยวชาญเพื่อบำเพ็ญสาธารณะประโยชน์แก่สังคม และในทางกลับกัน ก็จะเป็นการส่งเสริมการทำงานร่วมกันเป็นหมู่คณะและความสมัครสมานสามัคคีในหมู่พนักงานของไอบีเอ็ม

ทีมงานของไอบีเอ็มได้ใช้ชุดกิจกรรมจาก On-Demand Community ซึ่งเป็นเว็บไซต์ที่จัดหาทรัพยากรต่างๆ เช่น งานพรีเซนเทชั่น หรือชุดข้อมูลทางวิชาการ ซึ่งจะช่วยให้อาสาสมัครจากไอบีเอ็มทั่วโลกสามารถให้ความช่วยเหลือแก่สถานศึกษาและหน่วยงานเพื่อสังคมได้อย่างเหมาะสม ทีมงานดังกล่าวได้จัดฝึกอบรม 1 วันให้แก่นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 จำนวน 28 คน ที่โรงเรียนมัธยมมีชัยพัฒนา ในเมืองพัทยา จังหวัดชลบุรี

โรงเรียนมัธยมมีชัยพัฒนาก่อตั้งขึ้นโดยมีจุดมุ่งหมายที่จะเปิดโอกาสให้นักเรียนที่ยากจนในชนบทได้รับการศึกษาในสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ที่เปิดกว้าง มุ่งส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์และความเป็นตัวของตัวเอง โดยมุ่งเน้นการเรียนรู้จากโครงงาน ซึ่งจะช่วยพัฒนาทักษะของนักเรียนในการแก้ไขปัญหา รวมทั้งความสามารถในการวิเคราะห์และสร้างสรรค์ รูปแบบการศึกษาดังกล่าวจะกระตุ้นให้นักเรียนมีความกระตือรือร้นที่จะค้นคว้าหาความรู้นอกหลักสูตรและนอกห้องเรียนและพร้อมที่จะเรียนรู้ตลอดชีวิต ทางโรงเรียนเชื่อมั่นว่าแนวทางการศึกษานี้จะช่วยให้นักเรียนพร้อมที่จะเป็นผู้นำรุ่นใหม่ในสาขาวิชาที่ตนเองถนัด รวมทั้งเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับชุมชน และสร้างประโยชน์แก่สังคมโดยรวม

ในการฝึกอบรมเวิร์กชอปในครั้งนี้ มีการจัดกิจกรรมภาคสนาม เช่น การแลกเปลี่ยนความรู้ โดยทีมงานอาสาสมัครได้แนะนำให้นักเรียนได้เข้าใจพื้นฐานของกลยุทธ์การตลาดและการสร้างแบรนด์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับหน่วยงานเพื่อสังคม จากนั้นมีการแบ่งนักเรียนเป็นกลุ่มย่อย โดยแต่ละกลุ่มได้รับมอบหมายให้วางแผนและนำเสนอแผนการตลาดภายใต้ 2 หัวข้อตามที่เลือกไว้ นักเรียนได้เรียนรู้วิธีการทำตลาดและสร้างแบรนด์สำหรับผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น รวมถึงวิธีการส่งเสริมหน่วยงานชุมชนโดยใช้กลยุทธ์การตลาดและการสร้างแบรนด์

นายวรุตม์ ศิระวงศ์ประเสริฐ อาสาสมัครจากบริษัท ไอบีเอ็ม ประเทศไทย จำกัด กล่าวว่า “นักเรียนที่โรงเรียนมัธยมมีชัยพัฒนามีความกระตือรือร้นและเปิดกว้างที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ และมีศักยภาพที่จะเป็นผู้นำและช่วยพัฒนาสังคมในอนาคต จากการเรียนรู้เชิงทดลองในเรื่องการตลาดและการสร้างแบรนด์ เราหวังว่านักเรียนจะสามารถนำเอาหลักการที่ได้เรียนรู้ไปปรับใช้กับกิจกรรมที่กำลังทำอยู่ เพื่อให้ได้รับการสนับสนุนจากสังคมและภาคส่วนต่างๆ เพิ่มมากขึ้น ซึ่งท้ายที่สุดแล้ว ก็จะก่อให้เกิดประโยชน์แก่สังคมโดยรวม”

นายมีชัย วีระไวทยะ ผู้ก่อตั้งโรงเรียนมัธยมมีชัยพัฒนา กล่าวว่า “การฝึกอบรมที่อาสาสมัครจากไอบีเอ็มจัดขึ้นนับว่าเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง เพราะช่วยให้ทั้งอาจารย์และนักเรียนมีความรู้ความเข้าใจมากขึ้นเกี่ยวกับวิธีการพัฒนาโครงการเพื่อชุมชนที่เรากำลังดำเนินการอยู่ในปัจจุบัน รวมถึงโครงการในอนาคต เพื่อให้เกิดประโยชน์ในวงกว้างเพิ่มมากขึ้น โดยอาศัยแนวทางการตลาดและการสร้างแบรนด์ นอกจากนี้ยังสอดรับกับจุดมุ่งหมายของเราในการเสริมความรู้นอกหลักสูตรให้แก่นักเรียนและการสร้างกระบวนการเรียนรู้ที่สามารถนำไปปรับใช้กับกิจกรรมต่างๆ ที่นักเรียนให้ความสนใจเป็นพิเศษ”

View :1484

เอไอเอส ควงแขน CMG ปล่อยแคมเปญเด็ด มัดใจขาช้อป ช่วง High Season มอบสิทธิพิเศษส่วนลดสูงสุด 30% กับ 50 แบรนด์ดัง

November 29th, 2012 No comments

29 พฤศจิกายน 2555 : เอไอเอสขอเป็นที่หนึ่งในใจลูกค้า เดินหน้าตอกย้ำผู้นำด้านการดูแลลูกค้า ชูหัวใจสำคัญ คือการมอบความสุขและประสบการณ์เชิงบวกที่มากยิ่งกว่าในทุกช่วงเวลาการใช้ชีวิต เผย! จัดเต็มสิทธิพิเศษตอบทุกไลฟ์สไตล์ในทุกเทศกาลสำคัญ ล่าสุด ควงแขน “” พาร์ทเนอร์ ชั้นนำ จัดบิ๊กแคมเปญ “The New Best You – ชีวิตใหม่ในแบบคุณ” ชวนลูกค้าเฉลิมฉลอง ส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ กับส่วนลดสูงสุด 30% กับ 50 แบรนด์ดัง 300 สาขา พร้อมรับความพิเศษเพิ่มขึ้นอีกต่อ กับตุ๊กตาน้องอุ่นใจ Limited Edition เพื่อเป็นของขวัญแทนคำขอบคุณแด่ลูกค้า

คุณวิลาสินี พุทธิการันต์ รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานบริหารลูกค้าและการบริการ เปิดเผยว่า “เป้าหมายสำคัญในการให้บริการของเอไอเอส นอกเหนือจากการสร้างความพึงพอใจในการใช้งานเครือข่ายที่เต็มเปี่ยมด้วยประสิทธิภาพแล้ว เรายังมุ่งสร้างความสุขและความอุ่นใจตลอดทุกช่วงเวลาการใช้ชีวิตให้กับลูกค้า ผ่านการดูแลในทุกมิติของงานบริการแบบครบวงจรอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งอีกหนึ่งหัวใจสำคัญอยู่ที่การส่งมอบประสบการณ์เชิงบวกที่มากยิ่งกว่า ให้ลูกค้าได้สัมผัสถึงความพิเศษเหนือใคร ผ่านโปรแกรมสิทธิพิเศษ ที่เอไอเอสได้ร่วมมือกับพาร์ทเนอร์ในหลากหลายอุตสาหกรรมมากกว่า 7,000 ร้านค้าทั่วประเทศ มอบให้กับลูกค้าเอไอเอสมาอย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ ในแกนของการช้อปปิ้ง ถือเป็นสิทธิพิเศษที่สร้างความคุ้มค่าและสีสันในการชีวิตให้กับลูกค้าเป็นอย่างยิ่ง โดยเอไอเอสได้ขยายความร่วมมือกับพาร์ทเนอร์ในทุกรูปแบบ ทั้งในกลุ่มศูนย์การค้าชั้นนำ คอมมูนิตี้มอลล์สุดฮิป ตลอดจนสินค้าแบรนด์ดังประเภทต่างๆ ซึ่งที่ผ่านมาถือว่าประสบความสำเร็จอย่างมาก มียอดการเข้าร่วมรับสิทธิ์มากกว่า 1.2 ล้านครั้งต่อปี หรือราว 1 แสนครั้งต่อเดือน
ไม่เพียงเท่านี้ เอไอเอสยังตั้งใจเป็นส่วนหนึ่งในการส่งมอบความพิเศษให้กับลูกค้าในเทศกาลแห่งความสุขมาโดยตลอด ล่าสุด จึงได้จับมือกับพาร์ทเนอร์ชั้นนำอย่าง CMG หรือบริษัทในกลุ่มเซ็นทรัล มาร์เก็ตติ้งกรุ๊ป ซึ่งเป็นผู้นำเข้าสินค้าแบรนด์ดังระดับโลก สร้างสรรค์แคมเปญสุดเอ็กซ์คลูซีฟเพื่อลูกค้าเอไอเอส ภายใต้ธีม “The New Best You – ชีวิตใหม่ในแบบคุณ” มอบสิทธิพิเศษส่วนลดสูงสุด 30% กับ 50 สินค้าแฟชั่น แบรนด์ดังในเครือ CMG กว่า 300 สาขาที่ร่วมโครงการ ทั้งเสื้อผ้า เครื่องสำอาง สกินแคร์ ฯ พร้อมทั้งมอบความสุขอีกต่อให้กับขาช้อป เมื่อซื้อสินค้าตั้งแต่ 3,000 บาท รับฟรีทันที ตุ๊กตาน้องอุ่นใจคอลเลคชั่นพิเศษ The New Best You นอกจากนี้ ยังเชิญชวนเหล่าขาช้อปร่วมสนุกกับแคมเปญผ่านทางเฟซบุ๊ค เมื่อซื้อสินค้าตั้งแต่ 5,000 บาท แล้วนำเลขใบเสร็จดังกล่าว มาลงทะเบียนเพื่อร่วมกิจกรรม (1 ใบเสร็จ/1 สิทธิ์) ผ่านhttp://www.facebook.com/ais.privilege หรือ http://www.facebook.com/cmgBUZZ.Fanpage เพื่อลุ้นรับตุ๊กตาน้องอุ่นใจ The New Best You พร้อมหูฟัง United Colors of Benetton

“เหล่านี้ เพื่อเป็นของขวัญตอบแทนลูกค้า ต้อนรับเทศกาลปีใหม่ที่กำลังจะถึงนี้ ซึ่งเอไอเอสหวังเป็นอย่างยิ่งว่า จะสร้างรอยยิ้มและความสุขสดชื่นให้กับลูกค้าทุกท่าน”

คุณพิชัย จิราธิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เซ็นทรัลเทรดดิ้ง จำกัด บริษัทในกลุ่มเซ็นทรัลมาร์เก็ตติ้งกรุ๊ป (ซีเอ็มจี) กล่าวว่า “ในช่วงเทศกาลปีใหม่ของทุกปี ถือเป็นช่วงเวลาแห่งความสุข ที่เต็มไปด้วยความสนุกสนานและสดใส ซึ่งลูกค้ามีความตื่นตัวสูงในการจับจ่ายหรือช้อปปิ้งสินค้าใหม่ๆ จึงเป็นช่วง High Season ที่ตลาดจะคึกคักเป็นอย่างมาก CMG ในฐานะผู้นำเข้าและผู้แทนจำหน่ายสินค้าแฟชั่นชั้นนำของประเทศไทย ต้องการสร้างความแตกต่างและสร้างสรรค์แคมเปญใหม่ๆ จึงได้ร่วมกับเอไอเอส จัดบิ๊กแคมเปญ “The New Best You – ชีวิตใหม่ในแบบคุณ” มอบสิทธิพิเศษให้กับเหล่านักช้อปลูกค้าเอไอเอส

ทั้งนี้ CMG ได้ขนพาเหรดสินค้าแฟชั่นแบรนด์เนมระดับโลกกว่า 50 แบรนด์ มาร่วมรายการ อาทิ เสื้อผ้า แบรนด์ Topshop, Topman, G2000, Agnes b., Furla, Benetton, Casualist, Wrangler, Frence Conection, Miss Sixty, Energie, John Henry,The Oddyssee, Lee Cooper, Nautica, H.E .by Mango, Lee, izzue, b+ab, 5CM, Wallis, Miss Selfridge, Dorothy Perkin, S’fare, นาฬิกา G-Shock, เครื่องสำอางและน้ำหอม Clarins, Jurlique, H2O+, Payot, Elizabeth Arden, รองเท้า Hush Puppies, Cushe Shoes, Puppet โดยความร่วมมือระหว่าง CMG และ เอไอเอส นับเป็นการผนึกกำลังครั้งสำคัญของ 2 ขั้วธุรกิจ ที่ร่วมรังสรรสิทธิพิเศษที่ดีที่สุด เพื่อแทนคำขอบคุณแด่ลูกค้าในช่วงเวลาแห่งความสุขของเทศกาลปีใหม่อย่างแท้จริง”

View :1458
Categories: Technology Tags: ,

ทรูออนไลน์ เผยผลประกอบการไตรมาส 3 รายได้พุ่งกว่า 7 พันล้านบาท

November 27th, 2012 No comments

อัลตร้า ไฮ-สปีด อินเทอร์เน็ต นำลิ่ว สร้างรายได้สูงสุด ด้วยโครงข่ายครอบคลุมกว่า 40 จังหวัด ยอดลูกค้าทะลุ 1.5 ล้านราย
พร้อมเปิดตัวนวัตกรรมสุดล้ำ “Speed Boost” เพื่อประสบการณ์ใช้งานเหนือความคาดหมาย

27 พฤศจิกายน 2555: ผู้ให้บริการโครงข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงอันดับ 1
ของไทย โชว์ตัวเลขผลการดำเนินงานไตรมาส 3 ยอดเยี่ยม เป็นผลมาจากการขยายบริการ อัลตร้า ไฮ-สปีด อินเทอร์เน็ต อย่างต่อเนื่อง จนครอบคลุมพื้นที่กว่า 40 จังหวัด ยอดผู้ใช้บริการบรอดแบนด์เพิ่มเป็น 1.5 ล้านราย ส่งผลให้รายได้เติบโตกว่า 7 พันล้านบาท มั่นใจภายในปีนี้จะสามารถเพิ่มลูกค้าได้ถึง 250,000 รายและขยายโครงข่ายได้ครบ 53 จังหวัดทั่วประเทศ ตามเป้าหมายที่วางไว้ พร้อมเปิดตัวนวัตกรรมสุดล้ำ “Speed Boost” เป็นครั้งแรกสำหรับอินเทอร์เน็ตผ่านสายเคเบิ้ล เพื่อประสบการณ์การใช้งานอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงที่ไม่มีใครให้ได้ในประเทศไทย

นายเจริญ ลิ่มกังวาฬมงคล ผู้อำนวยการบริหาร ธุรกิจทรูออนไลน์ บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า อัลตร้า ไฮ-สปีด อินเทอร์เน็ต จากทรูออนไลน์ กับความเร็ว 10-200 Mbps. ยังคงเป็นบริการเด่นที่สร้างรายได้สูงสุดให้กลุ่มธุรกิจทรูออนไลน์ ด้วยจำนวนผู้ใช้บริการที่เพิ่มสูงถึง 1.5 ล้านรายในไตรมาส 3 ซึ่งส่งผลให้ รายได้รวมจากการให้บริการของกลุ่มธุรกิจทรูออนไลน์เพิ่มสูงถึงกว่า 7 พันล้านบาท และในไตรมาส 4 นี้ ทรูออนไลน์ตั้งเป้าขยายโครงข่ายบริการให้ครอบคลุมถึง 53 จังหวัด ด้วยเทคโนโลยี DOCSIS และ DSL พร้อมเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับ อัลตร้า ไฮ-สปีด อินเทอร์เน็ต จากทรูออนไลน์ โดยการคัดสรรแพ็กเกจที่เพิ่มความคุ้มค่าในการใช้งานมากขึ้น รวมถึงบริการเสริมใหม่ๆ ตลอดจนการเพิ่มช่องทางการขายในต่างจังหวัด การทำการตลาดแบบ Localized Marketing อย่างต่อเนื่อง และการพัฒนาบริการหลังการขายให้ดียิ่งขึ้น โดยมั่นใจว่ากลยุทธ์การตลาดดังกล่าว จะช่วยผลักดันให้ทรูออนไลน์ สามารถบรรลุเป้าหมายที่วางไว้ คือ มีจำนวนลูกค้าเพิ่มขึ้นสุทธิทั้งปี 250,000 ราย ภายในปีนี้อย่างแน่นอน และในไตรมาสที่ 4 ของปีนี้ อัลตร้า ไฮ-สปีด อินเทอร์เน็ต จากทรูออนไลน์ยังได้เปิดตัวนวัตกรรมสุดล้ำ “Speed Boost” เป็นครั้งแรกสำหรับอินเทอร์เน็ตผ่านสายเคเบิ้ล เพื่อประสบการณ์ใหม่ในการใช้งานอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงที่ไม่มีใครให้ได้ในประเทศไทย ให้ผู้ใช้งานได้รับความเร็วเพิ่มทุกครั้งที่คลิก สามารถดาวน์โหลดเร็วขึ้น เล่นเกมส์ และดูวิดีโอสตรีมมิ่งได้รวดเร็วและไม่สะดุด

นายนนท์ อิงคุทานนท์ ผู้จัดการทั่วไป บริการบรอดแบนด์ บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การประสบความสำเร็จของอัลตร้า ไฮ-สปีด อินเทอร์เน็ต จากทรูออนไลน์ ในไตรมาสที่ผ่านมา เป็นผลมาจากการขยายโครงข่ายเข้าถึงประชาชน 3.4 ล้านครัวเรือนในกว่า 40 จังหวัดทั่วประเทศ รวมถึงการทำโปรโมชั่นให้เข้ากับตลาดต่างจังหวัดในแต่ละพื้นที่แบบ Localized Marketing และการให้ความสำคัญในการดูแลฐานลูกค้าเดิม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การเปิดตัวเพ็กเกจ “เซ็ตสุดคุ้ม 15-200 Mbps” ผ่านโครงข่ายเทคโนโลยี DOCSIS 3.0 ซึ่งเป็นบริการคอนเวอร์เจนซ์แบบ Triple Play เต็มรูปแบบ ที่ไม่มีผู้ประกอบการรายใดสามารถให้บริการในลักษณะเดียวกันได้ ที่ให้ลูกค้าสัมผัสประสบการณ์การใช้งานที่มีความคุ้มค่าพร้อมกันถึง 3 บริการ คือ อินเทอร์เน็ตคุณภาพสูง โทรศัพท์บ้านยุคใหม่แบบไม่มีค่าใช้จ่ายรายเดือน และรับชมรายการคุณภาพจากทรูวิชั่นส์ ด้วยโครงข่ายเดียวกัน ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบความคุ้มค่ากับบริการที่มีคุณภาพแล้ว ทำให้ลูกค้าตัดสินใจใช้บริการของทรูออนไลน์อย่างไม่ลังเล

“ทรูออนไลน์จะยังคงเดินหน้าพัฒนาบริการบรอดแบนด์อย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์คนทุกกลุ่ม ให้สามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงได้อย่างทัดเทียมกัน และที่สำคัญคือเพิ่มความพึงพอใจสูงสุดแก่ผู้ใช้บริการ” นายเจริญ กล่าวสรุป

View :1528

กลุ่มทรู ร่วมกับ CAT ทดสอบ LTE 4G บนคลื่นความถี่ 1800 MHz ในสภาพแวดล้อมจริง อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา ผลการทดสอบประสบความสำเร็จ ราบรื่น ใช้งานได้ดี

November 21st, 2012 No comments


กรุงเทพฯ 20 พฤศจิกายน 2555 – กลุ่มทรู นำโดย นายขจร เจียรวนนท์ (ที่ 5 จากซ้าย) ผู้อำนวยการบริหารด้านกิจการองค์กร นายธิติฏฐ์ นันทพัฒน์สิริ (ซ้ายสุด) ผู้อำนวยการบริหารด้านรัฐกิจสัมพันธ์ และนายอติรุฒม์ โตทวีแสนสุข (ที่ 3 จากซ้าย) กรรมการผู้จัดการ ธุรกิจโมบายล์ พร้อมคณะผู้บริหารจาก บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น ร่วมกับ บมจ. กสท โทรคมนาคม โดย นายสมเกียรติ สำราญบำรุง (ที่ 4 จากซ้าย) ผู้ช่วยผู้จัดการ ฝ่ายปฏิบัติการและบำรุงรักษาสื่อสารไร้สาย ตอกย้ำความเป็นผู้นำทางด้านเทคโนโลยีสื่อสารไร้สายความเร็วสูง โดยดำเนินการทดสอบเทคโนโลยีสำหรับอนาคต LTE 4G บนคลื่นความถี่ 1800 MHz แสดงศักยภาพการใช้งานเครือข่ายอินเทอร์เน็ตไร้สายความเร็วสูงในพื้นที่อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา เพื่อแสดงให้เห็นถึงความเร็วที่ใช้ได้จริงของเทคโนโลยี LTE 4G ในสภาพแวดล้อมจริงในพื้นที่ห่างไกล

ผลการทดสอบประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี สามารถใช้ได้จริง รวมถึงการเชื่อมต่อเครือข่าย ทั้ง 3G และ 4G สามารถทำได้อย่างราบรื่นไม่สะดุด

นายอติรุฒม์ โตทวีแสนสุข กรรมการผู้จัดการธุรกิจโมบายล์ บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า “การทดสอบ LTE 4G ของกลุ่มทรูในครั้งนี้ เพื่อแสดงให้เห็นถึงศักยภาพการใช้งานเครือข่ายอินเทอร์เน็ตไร้สายความเร็วสูงที่ใช้ได้จริง ในสภาพแวดล้อมจริงในพื้นที่ห่างไกล โดยผลการทดสอบประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี ได้ความเร็วที่เหมาะสมกับช่วงคลื่นที่ทำการทดสอบ ทำให้เห็นถึงการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารได้รวดเร็ว การสตรีมมิ่งวิดีโอในรูปแบบ HD ทำได้อย่างราบรื่น รวมถึงประสิทธิภาพและการใช้งานข้ามเทคโนโลยีระหว่าง 4G และ 3G (roaming) สามารถเชื่อมต่อได้ต่อเนื่อง ไม่สะดุด เรามั่นใจว่าหากประเทศไทยอนุญาตให้นำเทคโนโลยี LTE 4G มาใช้ในอนาคต ทรูก็พร้อมที่จะให้บริการได้ในทันที”

นายธิติฏฐ์ นันทพัฒน์สิริ ผู้อำนวยการบริหารด้านรัฐกิจสัมพันธ์ บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า “กลุ่มทรู ขอขอบคุณ กสทช. และ บมจ. กสท โทรคมนาคม ที่อนุญาตให้ทรูมูฟดำเนินการทดลอง LTE 4G บนคลื่นความถี่ 1800 MHz ที่จะช่วยทำให้เกิดการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านสื่อสารของประเทศไทย ซึ่งผู้บริหารจาก CAT ยังได้เข้าร่วมการทดสอบกับทรูในครั้งนี้ด้วย ผลการทดสอบได้รับความสำเร็จเป็นอย่างดี รวมถึงได้พิสูจน์แล้วว่ากลุ่มทรูมีความพร้อมในการเข้าร่วมกับกสทช.และ CAT ในการนำเทคโนโลยีไร้สายความเร็วสูงมาให้คนไทยได้ใช้บริการและช่วยในการพัฒนาประเทศ”

View :1775
Categories: 3G, Technology, Telecom Tags: ,