Archive

Archive for the ‘Technology’ Category

เดลล์ ซอฟต์แวร์ กรุ๊ป ช่วยตอบโจทย์ ไอที โมบิลิตี้

January 2nd, 2013 No comments

เดลล์ ซอฟต์แวร์ประกาศเปิดตัว K3000 Mobile Management Appliance อุปกรณ์บริหารจัดการอุปกรณ์เคลื่อนที่ของ Dell KACE ซึ่งออกมาใหม่ล่าสุดโดยช่วยให้ผู้ดูแลไอทีทั้งหลายสามารถรับมือกับความท้าทายที่เกิดขึ้นจากการนำอุปกรณ์เคลื่อนที่มาใช้แพร่หลายภายในองค์กรยิ่งขึ้น ทั้งนี้ K3000 ขยายความสามารถในการจัดการระบบเพื่อบังคับใช้นโยบายด้านความปลอดภัยสำหรับการนำอุปกรณ์เคลื่อนที่ในระบบปฏิบัติการ iOS และแอนดรอยด์ทั้งขององค์กร และของส่วนตัวมาใช้ในเรื่องงาน ซึ่งการรวมระบบจัดการดังกล่าวเข้าไว้ในอุปกรณ์บริหารจัดการโมบาย K1000 Systems Management Appliance ช่วยให้ฝ่ายไอทีมีโซลูชั่นรวมที่ทรงพลัง และง่ายต่อการใช้งานในแง่ของการติดตาม ตรวจสอบ และบริหารจัดการเครื่องเดสก์ท็อป แล็ปท็อป เซิร์ฟเวอร์ และอุปกรณ์เคลื่อนที่ต่างๆ ได้อย่างแม่นยำ และมีประสิทธิภาพ

จากการที่องค์กรตอบรับโอกาสที่เข้ามาพร้อมกับระบบโมบิลิตี้ ทำให้องค์กรเหล่านั้นต้องเผชิญกับความท้าทายใหม่ๆ เช่นกัน ไม่ว่าอุปกรณ์นั้นจะเป็นขององค์กร หรือเป็นอุปกรณ์ที่ถูกนำเข้ามาใช้ภายในสภาพแวดล้อมแบบ BYOD การที่อุปกรณ์ที่จำเป็นต้องจัดการมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นและมีความหลากหลายยิ่งขึ้นทำให้ความซับซ้อนในโครงสร้างพื้นฐานไอทีเพิ่มขึ้นเช่นกัน K3000 ช่วยเพิ่มขีดความสามารถให้ฝ่ายไอทีในการตอบโจทย์ความท้าทายในเรื่องของการให้การสนับสนุน และรักษาความปลอดภัยให้กับอุปกรณ์เคลื่อนที่ผ่านระบบการจัดการอุปกรณ์เคลื่อนที่ โดยทำให้การจัดการอุปกรณ์เคลื่อนที่ทำได้ง่ายดายยิ่งขึ้น

“การเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วของจำนวนผู้ใช้อุปกรณ์เคลื่อนที่ส่วนตัวที่ต้องการต่อเชื่อมอุปกรณ์เข้ากับแหล่งข้อมูลขององค์กรสร้างความท้าทายให้กับองค์กรนั้นๆ” ฟิลิป เรดแมน รองประธานบริหารด้านการวิจัยของการ์ทเนอร์กล่าวใน ข่าวประชาสัมพันธ์ ที่ออกมาเมื่อเร็วๆนี้ “อย่างไรก็ตาม การติดตั้งระบบที่ให้การสนับสนุนอย่างมีแบบแผนและให้การสนับสนุนได้ในหลายระดับ ช่วยให้องค์กรไอทีสามารถป้องกันข้อมูลทางธุรกิจ และบังคับใช้นโยบายเกี่ยวกับการเคลื่อนย้ายข้อมูลระหว่างอุปกรณ์ และเครือข่ายองค์กรได้มีอย่างประสิทธิภาพ ในขณะที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถใช้อุปกรณ์ที่คิดว่าเหมาะสมที่สุดได้ ทั้งนี้ องค์กรจะพบว่าการนำระบบให้การสนับสนุนอุปกรณ์เคลื่อนที่มาใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพนั้นค่อนข้างเป็นเรื่องยาก หากไม่มีการบริหารจัดการแพลตฟอร์มทั้งหมดตามข้อเรียกร้องจากภายในองค์กร ได้อย่างสอดคล้องไปในทิศทางเดียวกัน”

Dell KACE K3000 Management Appliance เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของผลิตภัณฑ์ในสายของระบบจัดการอุปกรณ์เคลื่อนที่ของเดลล์ ซึ่งรวมถึง Dell Wyse’s Cloud Client Manager และDell MDM ที่มอบความสามารถให้กับองค์กรในการจัดการอุปกรณ์เคลื่อนที่ปลายทางทุกประเภทได้อย่างครบถ้วนจากผู้จำหน่ายเพียงรายเดียว ไม่ว่าจะเป็นแล็ปท็อป แทบเล็ต สมาร์ทโฟน และ ธิน ไคล์เอนด์ รวมถึงการนำเสนอบริการจัดการในองค์กรขนาดใหญ่มากขึ้น

“นิยามของการจัดการระบบกำลังเปลี่ยนไป” นายเอกราช ปัญจวีณิน ผู้จัดการประจำประเทศไทย บริษัท เดลล์ คอร์ปอเรชั่น (ประเทศไทย) จำกัด “ในอดีต ลูกค้าเป็นผู้จัดการการใช้แล็ปท็อป เดสก์ท็อป และเครื่องเซิร์ฟเวอร์ ลูกค้าจำนวนมากขึ้นต้องการระบบที่ตอบรับการใช้งานดีไวซ์ทุกประเภท รวมทั้ง สมาร์ทโฟน และแท็บเล็ต ซึ่งความสามารถในการจัดการของ Dell KACE K3000 Mobile Management Appliance ช่วยให้ลูกค้าของเราได้รับระบบที่ผสานการใช้งานทุกอย่างได้ลงตัว บริหารจัดการได้ง่าย และยังรักษาให้กับทั้งดีไวซ์ที่ใช้ รวมถึง ระบบปฏิบัติการ และอุปกรณ์ปลายทางทุกประเภทที่ใช้ในสภาพแวดล้อมไอทีขององค์กร” ช่วยให้ไอทีสามารถตอบรับเข้าสู่

Dell KACE K3000 Mobile Management Appliance เพิ่มขีดความสามารถการจัดการระบบในการบังคับใช้นโยบายด้านความปลอดภัยสำหรับอุปกรณ์เคลื่อนที่บนระบบปฏิบัติการ iOS และแอนดรอยด์ ด้วยฟีเจอร์ต่างๆ ดังนี้

· ติดตั้งอย่างปลอดภัยได้ในขั้นตอนเดียว ช่วยให้ผู้ใช้สามารถติดตั้ง และใช้งานได้อย่างรวดเร็ว ทั้งนี้รวมถึงการติดตั้งเอเจนท์ K3000 ไปที่ตัวดีไวซ์ต่างๆ ผ่านสัญญาณเครือข่าย

· สนับสนุนสมาร์ทโฟนส่วนบุคคล และแท็บเล็บที่นิยมใช้กันแพร่หลาย ไม่ว่าจะเป็นระบบปฏิบัติการ Apple iOS 4.5 และ 6 ไอโฟน ไอแพด แอนดรอยด์ 2.2 อุปกรณ์สมาร์ทโฟนที่ใช้ C2DM และแท็บเล็ต

· มีระบบรักษาความปลอดภัยของดีไวซ์ และระบบบริหารการใช้งานตามนโยบาย ซึ่งมีฟีเจอร์ที่ช่วยปกป้องข้อมูลขององค์กร เช่นการบริหารจัดการโปรไฟล์ การล็อคและปลดล็อคตัวดีไวซ์ รวมถึงการรีเซ็ตการตั้งค่าที่มาจากโรงงาน และการลบข้อมูลองค์กรผ่านสัญญาณเครือข่าย

· มีระบบจัดการแอพพลิเคชั่นที่ใช้ง่ายขึ้น ช่วยให้ใช้แอพพลิเคชั่นขององค์กรได้สะดวกทั้งบนอุปกรณ์ขององค์กร และอุปกรณ์เคลื่อนที่ส่วนบุคคล

· มองเห็นอุปกรณ์ปลายทางทั้งหมดได้จากแผงควบคุมจุดเดียว ผ่านการผสานระบบงานร่วมกับ Dell KACE K1000 Systems Management Appliance ทั้งนี้ผู้ดูแลระบบไอทีสามารถเข้าถึงอุปกรณ์ทั้งสองตัว ด้วยการลงทะเบียนเพียงครั้งเดียว และสามารถมองเห็นอุปกรณ์เคลื่อนที่ทุกชนิดทั้ง รวมถึงพีซี และเซิร์ฟเวอร์ได้จากแผงควบคุมเพียงจุดเดียว

Dell KACE จะนำเสนอ K3000 Mobile Management Appliance ช่วงต้นปี 2556 ให้กับลูกค้า KACE ในเดือนมกราคมปีหน้าเป็นต้นไป

หากต้องการเรียนรู้เพิ่มเติมว่าผู้ดูแลระบบงานสามารถนำระบบจัดการอุปกรณ์เคลื่อนที่มาใช้ได้อย่างไร เข้าไป ดาวน์โหลด “Enabling Safe and Secure BYOD in the Enterprise with Dell KACE K-Series Management Appliances.” ได้

View :1525

ก.ไอซีที ร่วมมือกับหัวเว่ยฯให้ความรู้ด้าน ICTแก่ประชาชนไทย

January 2nd, 2013 No comments

นาวาอากาศเอกอนุดิษฐ์ นาครทรรพ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที)เปิดเผยภายหลังเป็นประธานพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางการศึกษาเกี่ยวกับเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ระหว่างกระทรวงไอซีทีกับบริษัท หัวเว่ยเทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จำกัด(Huawei Technology) ว่า “การลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อให้การสนับสนุนและยกระดับการพัฒนาการเรียนรู้ และการศึกษาทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในประเทศไทยซึ่งเป็นไปตามนโยบายที่รัฐบาลได้แถลงต่อรัฐสภาในด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ข้อ 3.6.1ที่ระบุให้มีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศโดยเร่งรัดพัฒนาโครงข่ายสื่อสารความเร็วสูงให้ครอบคลุม ทั่วถึง เพียงพอ มีคุณภาพ ด้วยราคาที่เหมาะสม และการแข่งขันที่เป็นธรรม เพื่อสนับสนุนการพัฒนาประเทศไปสู่สังคมแห่งความรู้ภูมิปัญญา นวัตกรรม และ ความคิดสร้างสรรค์ ช่วยลดความเหลื่อมล้ำระหว่างสังคมเมืองและชนบทส่งเสริมการเข้าถึงข้อมูลและข่าวสาร ยกระดับคุณภาพการศึกษา เพิ่มศักยภาพในการพัฒนาทรัพยากรบุคคล รวมถึงการลดการใช้พลังงาน เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศในระยะยาว

การลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือดังกล่าวจะเป็นการจะเป็นการเปิดโอกาสให้กับนักเรียน นักศึกษา ประชาชนทั่วไป และผู้ดูแลศูนย์การเรียนรู้ ชุมชนที่มีกระจายอยู่ทุกภาคของประเทศไทย ในการแสวงหาประสบการณ์โดยตรงจากการปฏิบัติงานในสถานที่จริง ซึ่งถือว่าเป็นการพัฒนาบุคลากรให้มีความรู้ด้านICTทัดเทียมกับประเทศภูมิภาคเอเซียแปซิฟิก

ทั้งนี้ บจ. จะให้การสนับสนุนความรู้ทางวิชาการเกี่ยวกับเทคโนโลยีสารสนเทศ และการสื่อสารแก่กระทรวงไอซีที ในหลายมิติด้วยกัน อาทิ จัดการบรรยายทางวิชาการ ฝึกทดลองงาน ฝึกอบรม สัมมนาเชิงปฏิบัติ และกิจกรรมทางวิชาการอื่นเป็นระยะเวลารวมทั้งสิ้น 2,000 ชั่วโมงผ่านสถาบันการศึกษาหรือศูนย์การเรียนรู้ ICT ชุมชน รวมทั้งการจัดหาผู้บรรยาย เอกสารประกอบการบรรยายและสื่อการเรียนการสอน พร้อมประกาศนียบัตรให้กับนักเรียนที่สำเร็จการฝึกอบรมตามโครงการโดยกระทรวงไอซีทีจะให้ความช่วยเหลือเรื่องการประสานงานรวมถึงจัดหาสิ่งอำนวยความสะดวกที่จำเป็นให้กับ บจ. ซึ่งความร่วมมือในครั้งนี้ จะมีระยะเวลาในการดำเนินการทั้งสิ้น 4 ปี

สำหรับบันทึกข้อตกลงความร่วมมือดังกล่าว ไม่เพียงแต่ยืนยันความมุ่งมั่นร่วมกันในการที่จะส่งเสริมสนับสนุนการดำเนินงาน ให้ประสบความสำเร็จเท่านั้น แต่ยังจะเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาบุคลากรของประเทศไทยให้มีทักษะ ความรู้ และความสามารถทางวิชาการด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ที่จะนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์แก่การยกระดับคุณภาพชีวิตอีกด้วยนาวาอากาศเอกอนุดิษฐ์ กล่าว

View :1540

สวทช. ประกาศผล 10 ข่าวดังวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ปี 2555

January 2nd, 2013 No comments

ดร.ทวีศักดิ์ กออนันตกูล ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (วท.) กล่าวถึง การจัดอันดับ 10 ข่าวดังวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ประจำปี 2555 ว่า เป็นกิจกรรมที่ สวทช./วท. จัดขึ้นมากว่า 19 ปีแล้ว เพื่อสร้างกระแสความนิยมและส่งเสริมความเข้าใจข่าวสารทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในกลุ่มเยาวชนและสังคมไทย โดยในปีนี้ได้รับความร่วมมือจากศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ เก็บรวบรวมข้อมูลจากนักเรียน นักศึกษา และประชาชนทั่วไป กว่า 3,000 คน ในเขตพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล โดยกลุ่มตัวอย่างเป็นเพศชายร้อยละ 48.1 เพศหญิงร้อยละ 51.9 อายุระหว่าง 20-25 ปี

ผลที่ได้จากการสำรวจสะท้อนให้เห็นว่า การรับทราบเกี่ยวกับข่าวสารของประชาชนในรอบปี 2555 ที่ผ่านมา ประชาชนส่วนใหญ่ให้ความสำคัญและสนใจข่าวสารการเมืองมากกว่าข่าววิทยาศาสตร์ เนื่องจากข่าวการเมืองดังกล่าวอาจมีผลกระทบต่อการดำรงชีวิตของคน อีกทั้งเป็นกระแสสังคม ซึ่งตรงกันข้ามกับข่าววิทยาศาสตร์ที่มีผู้สนใจน้อยกว่า เนื่องจากเป็นเรื่องที่ค่อนข้างเข้าใจได้ยาก เป็นเรื่องของคนเฉพาะกลุ่มที่จะสนใจ และเป็นเรื่องที่ประชาชนส่วนใหญ่รู้สึกว่าเป็นเรื่องที่ไกลตัว จึงได้รับความสนใจน้อยกว่าข่าวทั่วไป

อนึ่ง ข่าวที่ประชาคมวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่มองว่าเป็นหนึ่งในสุดยอดการค้นพบทางวิทยาศาสตร์ในปีที่ผ่านมาคือ การค้นพบ Higgs boson particle ที่ CERN ซึ่งได้มีการประกาศต่อสาธารณชน เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม ที่ผ่านมา กลับไม่ได้รับการโหวตให้เป็น 1 ใน 10 ข่าวดังด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแต่อย่างใด

ดังนั้น การพัฒนาความสามารถและการสร้าง “นักวิชาชีพ” ด้าน “การสื่อสารวิทยาศาสตร์” เพื่อทำหน้าที่ในการถ่ายทอดความรู้ทางวิทยาศาสตร์แก่เด็ก เยาวชน และประชาชนทั่วไป ให้เกิดความรู้สึกว่า วิทยาศาสตร์เป็นเรื่องใกล้ตัว และเกี่ยวข้องกับการดำเนินชีวิตประจำวัน จึงมีความสำคัญเป็นประการต้นๆ สำหรับการสร้างบุคลากรมาร่วมขับเคลื่อนประเทศสู่สังคมฐานความรู้และนวัตกรรม เพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันกับนานาประเทศต่อไป

โดยผลการสำรวจข่าววิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่ได้รับความสนใจ 10 อันดับแรก มีดังนี้

อันดับที่ 1 “นาซาใช้ไทยวิจัยโลกร้อน (โครงการวิจัยชั้นบรรยากาศ)”

เนื่องจากชั้นบรรยากาศของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีละอองแขวนลอย (Aerosol) ที่มาจากหลายแหล่ง เช่น เกลือทะเล การเผาไหม้ป่า และพื้นที่เกษตร การเผาไหม้น้ำมันและเชื้อเพลิงฟอสซิลอื่นๆ จากละอองดินทราย ซึ่งปริมาณเข้มข้นของละอองเหล่านี้แปรปรวนอย่างมากตามพื้นที่และฤดูกาล ละอองดังกล่าวจะส่งผลต่อทัศนวิสัย เป็นอุปสรรคต่อการคมนาคมทางอากาศและสุขภาพ มีทั้งกลุ่มที่เร่งการก่อตัวของเมฆและฝน เช่น ละอองเกลือ และกลุ่มที่สลายเมฆและลดการเกิดฝน ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับชนิด ปริมาณ และกระบวนการพัดพาแนวราบและแนวดิ่งจะช่วยการพยากรณ์อากาศโดยเฉพาะการเกิดฝนแม่นยำมากขึ้นนอกจากนี้ ยังทำให้รูปแบบจำลองคาดการณ์การเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิโลกเนื่องจากสภาวะโลกร้อนในอนาคตมีความเคลื่อนสูง เพราะละอองส่งผลให้ความเข้มของแสงอาทิตย์ที่กระทบพื้นโลกลดลง

โครงการดังกล่าวจะใช้อากาศยานประเภทต่างๆ เก็บข้อมูลชนิด ปริมาณ การพัดพาในบรรยากาศ ผลของละอองต่อการเกิดเมฆและฝนในภูมิภาค โดยเป็นอากาศยานของนาซา 3 ลำ ของหน่วยปฏิบัติการฝนหลวงและการบินเกษตร 1 ลำ ซึ่งจะเก็บตัวอย่างอากาศและตรวจวัตถุทางอุตุนิยมวิทยาในชั้นบรรยากาศชั้นบนถึงระดับ 20 กิโลเมตร ซึ่งบอลลูนตรวจสภาพอากาศของไทยไม่สามารถทำได้ และจะมีนักวิจัยไทยจากสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (สทอภ.) สำนักฝนหลวงและการบินเกษตร กรมอุตุนิยมวิทยา กรมอุทกศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เข้าร่วมโครงการดังกล่าว โดยประโยชน์ต่อประเทศไทยคือ

ได้ข้อมูลเพื่อการปรับแก้สีภาพถ่ายดาวเทียมไทยโชต (ธีออส) และดาวเทียมเชิงแสงอื่นๆ ที่ได้รับการตำหนิว่าสีที่ถ่ายได้ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีความผิดเพี้ยนไม่กลมกลืน ซึ่งความเข้าใจเชิงสถานที่และเวลาเกิดเมฆ จะช่วยให้วางแผนการถ่ายภาพได้แม่นยำมากขึ้น

อันดับที่ 2 การสร้างมูลค่าเปลือกไข่ ผลิตน้ำมันไบโอดีเซล

สวทช. โดยนักวิจัยศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) ได้ศึกษาตัวเร่งปฏิกิริยาผลิตไบโอดีเซล โดยแปรสภาพเปลือกไข่ มาเป็นตัวเร่งปฏิกิริยา เปรียบเทียบกับตัวเร่งปฎิกิริยาแบบของเหลว เช่น โซดาไฟ โพแทสเซียมไฮดรอกไซด์ พบว่าตัวเร่งปฏิกิริยาของแข็งที่ได้จากเปลือกไข่ หรือผลิตภัณฑ์ อีโค-คาทาล (Eco Catal) ทำให้กระบวนการผลิตไบโอ ดีเซลมีขั้นตอนที่สั้นลง อีกทั้งยังได้กลีเซอรีนและไบโอดีเซลที่มีความบริสุทธิ์สูง โดยไม่ต้องผ่านกระบวนการล้างน้ำและไม่ก่อให้เกิดน้ำเสียในกระบวนการผลิตไบโอ ดีเซลแบบทั่วไป ทั้งนี้งานวิจัยดังกล่าวพร้อมส่งต่อองค์ความรู้ให้กับอุตสาหกรรมผลิตไบโอ ดีเซล เป็นทางเลือกที่คุ้มค่าในการลงทุน เนื่องจากตัวเร่งปฏิกิริยาจากเปลือกไข่เป็นวัตถุดิบที่หาได้ในประเทศ โดยไม่ต้องนำเข้าเหมือนตัวเร่งปฏิกิริยาในรูปของเหลว งานวิจัยดังกล่าวยังช่วยให้เจ้าของธุรกิจโรงฟักไข่ไม่ต้องเสียเงินในการ กำจัดเปลือกไข่เหลือทิ้งด้วยการฝังกลบกว่า 60,000 ตัน ต่อปี จึงเป็นผลงานทางวิทยาศาสตร์ที่ตอบโจทย์ภาคอุตสาหกรรมได้เป็นอย่างดี

อันดับที่ 3 นีล อาร์มสตรอง นักบินอวกาศที่เหยียบดวงจันทร์คนแรกสิ้นชีพ

นีล อัลเดน อาร์มสตรอง (Neil Alden Armstrong) เป็นนักบินอวกาศสหรัฐอเมริกา ผู้เดินทางไปเหยียบดวงจันทร์เป็นคนแรกของโลก โดยการนำยานอวกาศอพอลโล 11 จอดบนพื้นผิวดวงจันทร์ มีการถ่ายทอดสดให้ผู้คนทั่วโลกเฝ้าติดตามชมกว่า 500 ล้านคน ยานอพอลโล 11 ถือเป็นเที่ยวบินอวกาศเที่ยวสุดท้ายของอาร์มสตรอง เพราะหนึ่งปีหลังจากนั้น อาร์มสตรอง ผันตัวเองเป็นศาสตราจารย์สอนวิชาวิศวกรรมการบินอวกาศ ในมหาวิทยาลัยซินซินนาติ และใช้ชีวิตอย่างสงบเรียบง่าย ไม่ฟุ้งเฟ้อ ไม่ปรากฏตัวต่อสาธารณชนใดๆ ทั้งสิ้น
วันที่ 25 ส.ค. 2555 นีล อาร์มสตรองได้เสียชีวิตที่เมืองซินซินนาติ รัฐโอไฮโอ (Cincinnati, Ohio) ด้วยโรคแทรกซ้อนจากการทำบายพาสเส้นเลือดหล่อเลี้ยงหัวใจอุดตัน ขณะอายุได้ 82 ปี

อันดับที่ 4 เนคเทคเปิดตัวสมองกลเตือนภัยดินโคลนถล่มและน้ำป่าไหลหลาก ผ่าน SMS

สวทช. โดย ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) นำร่องติดตั้งระบบเตือนภัยสมองกลฝังตัว “Landslide Landing System” ใน 243 หมู่บ้าน 22 อำเภอพื้นที่เสี่ยงน้ำป่าไหลหลากและดินโคลนถล่มใน จ. เชียงใหม่ ซึ่งระบบเตือนภัย ประกอบด้วย สถานีตรวจวัดระยะไกลทำงานด้วยพลังงานจากเซลแสงอาทิตย์ โดยมีอุปกรณ์ที่ติดตั้งกับสถานี คือ เครื่องวัดปริมาณน้ำฝน เซ็นเซอร์วัดอุณหภูมิและความชื้นอากาศ โดยระบบจะส่งข้อมูลต่างๆ ไปยังเครื่องแม่ข่ายทุก 5 นาที ผ่านระบบโทรศัพท์มือถือที่ได้รับการสนับสนุนจากบริษัท เอไอเอส ข้อมูลทั้งหมดจะถูกประมวลและนำไปสู่การแจ้งเตือนภัยผ่านระบบ SMS ไปยังโทรศัพท์มือถือของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัด กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และนายอำเภอ (ทั้งนี้ การส่ง SMS สามารถตั้งได้เป็นนาที หรือชั่วโมง เช่น ฤดูร้อน ไม่มีฝนตกอาจจะตั้งเวลาที่จะส่งข้อมูลให้ห่างขึ้น เพื่อประหยัดพลังงาน) โดยในกรณีสภาพอากาศปิด (ไม่มีแสงแดด) อุปกรณ์จะทำงานได้ต่อเนื่องไปอีก 15-20 วัน

อันดับ 5 nCA น้ำใส หายเหม็น ออกซิเจนสูง

นวัตกรรมแก้ปัญหาน้ำท่วมขังและเน่าเสีย ให้กลายเป็นน้ำดี ด้วยการใช้สารน้ำใส (nCLEAR) ในช่วงมหาอุทกภัย ปี 2554 พัฒนาโดยทีมวิจัยจากศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สวทช. โดยสารน้ำใส (nCLEAR) ผลิตขึ้นจากสารสกัดธรรมชาติและผงถ่าน ไม่มีอะลูมิเนียมหรือโลหะหนักผสมอยู่ สามารถจับตะกอนในน้ำได้รวดเร็ว และย่อยสลายได้เองตามธรรมชาติ ปลอดภัยไม่ก่อให้เกิดมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม หลังจากทิ้งให้ตกตะกอน น้ำจะใส ไม่มีกลิ่น และเมื่อต้มฆ่าเชื้อสามารถนำมาใช้อุปโภคบริโภคได้ นอกจากนั้น สารน้ำใส (nCLEAR) ยังสามารถใช้ร่วมกับเครื่องเติมออกซิเจนในน้ำ (nAIR) ทำให้น้ำที่เน่าเสีย ใสสะอาดและมีออกซิเจนมากขึ้น โดย สวทช. ได้จดทะเบียนเครื่องหมายการค้าสารน้ำใส (nCLEAR) แล้วในชื่อ nCA หรือเอ็นค่า กับกรมทรัพย์สินทางปัญญา

อันดับที่ 6 ข้าวโพดพันธุ์ใหม่ “ข้าวเหนียวข้าวก่ำ”

“ข้าวโพดพันธุ์ ใหม่” “ข้าวเหนียวข้าวก่ำ” หรือ “ข้าวโพดข้าวเหนียว” เป็นข้าวพื้นบ้านทางล้านนา และภาคอีสานของไทย มีคุณสมบัติเฉพาะตัว คือ มีสีม่วงดำทั้งลำต้นและเมล็ด รสชาติ กลิ่นหอม มีทั้งความมัน ความเหนียว สามารถปลูกได้ดีในทุกสภาพ ให้ผลผลิตสูง และอุดมไปด้วยมีสารฟีนอลิกและสารแอนโทไซยานินสูง มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ เป็นข้าวโพดข้าวเหนียวลูกผสมแฟนซี สีม่วง 111 ซึ่งเป็นนวัตกรรมใหม่ที่วิจัยและพัฒนาขึ้นโดยฝีมือนักวิจัยของไทย จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา โดยเป็นพันธุ์ข้าวโพดสีม่วง นำมาผสมกับสายพันธุ์ข้าวโพดข้าวเหนียว สกัดสายพันธุ์แท้จากคู่ผสมจนได้สายพันธุ์แท้ข้าวโพดข้าวเหนียวสีม่วง และคัดเลือกพันธุ์ข้าวโพดข้าวเหนียวลูกผสมออกมาได้ 2 พันธุ์ คือ พันธุ์ข้าวโพดข้าวเหนียวแฟนซี สีม่วง 111 และพันธุ์ข้าวโพดข้าวเหนียวแฟนซี สีขาวม่วง 212 โดยใช้ระยะเวลาในการปรับปรุงพันธุ์ 6-7 ปี

อันดับที่ 7 ใช้แสงซินโครตรอนติดตาม วิเคราะห์ “ติ้วขน-สนสามใบ”สามารถทำลายเซลล์มะเร็ง

เนื่องจากโรคมะเร็งเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับหนึ่งของประเทศ แม้ปัจจุบันการรักษาด้วยการใช้เคมีบำบัดจะมีประสิทธิภาพสูงแต่ก็มีผลข้างเคียงจากการใช้ยา และการดื้อยา จึงได้มีการศึกษาสารสกัดจากพืชสมุนไพรที่มีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งและลดการดื้อยา มาใช้เสริมยาเคมีบำบัดที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน

จากการศึกษาพืชสมุนไพรหลายชนิด พบว่า สารสกัดจากกิ่งของพืช 2 ชนิด คือ ติ้วขนและสนสามใบ ให้สารออกฤทธิ์ทำลายเซลล์มะเร็งเม็ดเลือดขาว โดยมีศักยภาพทำให้เซลล์มะเร็งค่อยๆ สลายตัวจากการทำลายตัวเองจากภายใน หรือเรียกว่า การตั้งโปรแกรมทำลายตัวเอง (Apoptosis) ซึ่งกระบวนการนี้ เป็นผลดีอย่างมากต่อการรักษาโรคมะเร็ง เนื่องจากมีเพียงเซลล์มะเร็งเท่านั้นที่ตายลงไป ไม่มีผลต่อการทำลายเซลล์ปกติที่อยู่ข้างเคียง ร่างกายจึงไม่เกิดการอักเสบขึ้น และไม่มีผลข้างเคียงต่อการใช้ยา และเพื่อให้ทราบกลไกการออกฤทธิ์ที่แท้จริงของพืชสมุนไพรทั้งสองชนิดนี้ คณะผู้วิจัย ซึ่งประกอบด้วย ภญ.รศ.ดร.นาถธิดา วีระปรียากูร อาจารย์ประจำคณะเภสัชศาสตร์ รศ.ดร.สหพัฒน์ บรัศว์รักษ์ อาจารย์ประจำคณะเทคนิคการแพทย์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น และ น.ส.ศศิภาวรรณ มาชะนา นักศึกษาปริญญาเอกภายใต้โครงการเครือข่ายเชิงกลยุทธ์เพื่อการผลิตและพัฒนาอาจารย์ในสถาบันอุดมศึกษา จากมหาวิทยาลัยบูรพา ร่วมกับ ดร.วราภรณ์ ตัณฑนุช และ ดร.กาญจนา ธรรมนู นักวิจัยจากสถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน ได้ใช้เทคนิคจุลทรรศน์อินฟราเรด จากสถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน เพื่อตรวจวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงในเชิงลึกที่เกิดขึ้นภายในเซลล์มะเร็ง ซึ่งสารสกัดสมุนไพร ทั้ง 2 ชนิดนี้ ทำให้เซลล์มะเร็งตายและมีกลไกการออกฤทธิ์ของพืชทั้งสองชนิด แตกต่างจากการรักษาโดยใช้ยาเมลฟาเลนหรือยาเคมีมาตรฐานที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน

การใช้แสงซินโครตรอน ถือเป็นเทคนิคใหม่ในการวิจัยที่จะต้องวิเคราะห์ถึงการเปลี่ยนแปลงสารชีวโมเลกุลระดับเซลล์ ได้อย่างแม่นยำและรวดเร็วขึ้น โดยมีขั้นตอนไม่ยุ่งยาก และไม่ต้องใช้สารเคมีใดๆ ซึ่งการศึกษาครั้งนี้ จะนำไปสู่การนำพืชสมุนไพรไปใช้ประโยชน์จริงในอนาคต และจะเป็นอีกแนวทางหนึ่งในการศึกษาและพัฒนาหาสารออกฤทธิ์ต้านมะเร็งจากพืชสมุนไพรชนิดอื่น ๆ ต่อไป ตามแนวพระราชดำริของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในการทำงานวิจัยเชิงบูรณาการเพื่อก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อการดูแลสุขภาพ ของประชาชนชาวไทย และยังเป็นการอนุรักษ์พันธุ์พืชดั้งเดิมอีกด้วย

อันดับที่ 8 ปรากฏการณ์ดาวศุกร์ผ่านดวงอาทิตย์

ปรากฏการณ์ดาวศุกร์ผ่านหน้าดวงอาทิตย์ (Transit of Venus) เป็นปรากฏการณ์จันทรุปราคาหรือสุริยุปราคา โดยที่ดาวศุกร์จะเคลื่อนที่ผ่านแนวเส้นตรงที่เชื่อมระหว่างโลกกับดวงอาทิตย์ ทำให้ดวงอาทิตย์ ดาวศุกร์ และโลก เรียงตัวอยู่ในแนวเดียวกัน เมื่อสังเกตจากโลกจะเห็นดาวศุกร์ปรากฏเป็นจุดกลมเล็กเคลื่อนที่ผ่านดวงอาทิตย์ ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ดาราศาสตร์ที่พิเศษและหาชมได้ยาก เนื่องจากจะเกิดขึ้นเพียง 4 ครั้งในรอบ 243 ปี โดยมีรอบการเกิดปรากฏการณ์เป็นคู่ แต่ละคู่จะห่างกัน 121.5 (+/- 8) ปี (และแต่ละครั้งใน 1 คู่นั้นจะเกิดห่างกัน 8 ปี) หากครั้งแรกของคู่แรกเกิดห่างจากครั้งแรกของคู่หลัง 129.5 ปี ครั้งแรกของคู่หลังจากห่างจากครั้งแรกของรอบถัดไป 113.5 ปี ซึ่งการสังเกตการณ์ดาวศุกร์ผ่านหน้าดวงอาทิตย์ยังเป็นการศึกษาวิจัยทางดาราศาสตร์ที่ทำให้นักดาราศาสตร์สามารถคำนวณระยะทางจากโลกถึงดวงอาทิตย์อย่างแม่นยำ ซึ่งจะเห็นได้จากบันทึกทางประวัติศาสตร์ที่มีการกล่าวถึงการสังเกตการณ์ปรากฏการณ์ดังกล่าวมานานนับหลายศตวรรษ ในวันที่ 6 มิถุนายน 2555 จะเป็นอีกวาระหนึ่งที่คนไทยจะได้เห็นปรากฏการณ์ดาวศุกร์ผ่านหน้าดวงอาทิตย์เหนือฟ้าเมืองไทย ซึ่งปรากฏการณ์ดังกล่าวนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายที่ผู้ที่มีชีวิต ณ ปัจจุบันจะมีโอกาสได้เห็น เนื่องจากปรากฏการณ์ดาวศุกร์ผ่านหน้าดวงอาทิตย์ครั้งถัดไปจะเกิดขึ้นในวันที่ 11 ธันวาคม พุทธศักราช 2660 หรืออีกกว่าหนึ่งศตวรรษ

อันดับที่ 9 ซูปเปอร์มูน ดวงจันทร์เต็มดวงใกล้โลกที่สุดในรอบ 6 ปี

วันที่ 6 พฤษภาคม 2555 เวลาประมาณ 03:34 น. (เวลาในประเทศไทย 10:34 น.) ดวงจันทร์ได้โคจรมาเข้าใกล้โลกที่สุดในรอบปีที่ระยะห่าง 356,953 กิโลเมตร และเนื่องจากเป็นวันที่ดวงจันทร์เต็มดวงพอดี ผู้คนบนโลกจึงสามารถมองเห็นดวงจันทร์ที่มีขนาดใหญ่กว่าปกติ ประมาณ 2-3%
ซูเปอร์มูน เป็นปรากฏการณ์จันทร์เพ็ญ หรือจันทร์ดับซึ่งเกิดขึ้นพร้อมกับการเข้าใกล้โลกของดวงจันทร์ ระยะห่างระหว่างโลกกับดวงจันทร์แตกต่างกันไปแต่ละเดือนอยู่ระหว่าง 354,000 และ 410,000 กิโลเมตร เนื่องจากวงโคจรรูปวงรีของดวงจันทร์ และปรากฏการณ์ครั้งนี้ ไม่เพียงแต่เฉพาะดวงจันทร์เข้ามาใกล้โลกพอดีกับวันพระจันทร์เต็มดวงเท่านั้น แต่ยังเป็นการเข้ามาใกล้ที่สุดในรอบปีอีกด้วย โดยระยะห่างของการเข้าใกล้ของดวงจันทร์ จะมีความแตกต่างกันราวร้อยละ 3 ทั้งนี้เป็นเพราะวงโคจรของดวงจันทร์ไม่ได้เป็นวงกลมอย่างสมบูรณ์ ผลจากการที่เกิดปรากฏการณ์ดังกล่าวนั้น ทำให้ทิศทางของแรงกระทำต่อโลกมีการเปลี่ยนแปลง ส่งผลให้เกิดปรากฏการณ์น้ำขึ้น น้ำลง แต่จะไม่มีผลกระทบใดๆ ต่อโลก เช่น เหตุแผ่นดินไหวรุนแรง หรือกระแสน้ำที่ไหลอย่างผิดปกติ โดยกระแสน้ำทะเลซึ่งปกติมีการขึ้นและลง ในช่วงหลังเหตุการณ์ดังกล่าว กระแสน้ำจะมีแรงเพิ่มขึ้นร้อยละ 42 เป็นเวลา 2 สัปดาห์ เท่านั้น

อันดับที่ 10 นาซาค้นพบ “กรวด”ร่องรอยการกัดเซาะของธารน้ำบนดาวอังคาร

นักวิทยาศาสตร์ขององค์การนาซา เปิดการแถลงข่าวที่ห้องปฏิบัติการวิจัยการขับเคลื่อนยานอวกาศ ที่รัฐแคลิฟอร์เนีย ว่ายานคิวริออซิตีที่ลงจอดบนดาวอังคารตั้งแต่วันที่ 6 สิงหาคม 2555 ได้ค้นพบหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่า บนดาวอังคารเคยมีธารน้ำมาก่อน โดยขนาดและรูปร่างของกรวดที่ถูกธารน้ำกัดเซาะนั้น นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าเป็นธารน้ำลึกและกระแสน้ำเชี่ยว โดยภาพและข้อมูลที่ได้มาจากยานสำรวจคิวริออสซิตี้ สะท้อนให้เห็นว่าครั้งหนึ่งดาวอังคารที่แห้งแล้ง เคยมีสภาพอากาศอบอุ่นและมีความชื้นมากกว่าปัจจุบัน ทั้งนี้ นักวิทยาศาสตร์ยังมีความพยายามในการศึกษาองค์ประกอบทางเคมีของหินกรวดมนที่ค้นพบ เนื่องจากจะช่วยเปิดเผยลักษณะเฉพาะของน้ำที่เคยมีอยู่บนดาวอังคาร ซึ่งจะเป็นสภาพสิ่งแวดล้อมในช่วงเวลาที่น้ำอยู่บนดาวอังคาร เพื่อพิสูจน์ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับแหล่งน้ำบนดาวอังคารให้มากขึ้นกว่านี้ ซึ่งจะทำให้สามารถวิเคราะห์ได้ว่า เคยมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่บนดาวอังคารหรือไม่

View :1844

กสทช. ผ่านร่างประกาศกระจายเสียงและโทรทัศน์ และโทรคมนาคม และงบประมาณประจำปี 2556

December 26th, 2012 No comments

พร้อมสนับสนุนโครงการบริการฟรี Wi-Fi

นายฐากร ตัณฑสิทธิ์ เลขาธิการ แถลงผลการประชุม ครั้งที่ 16/2555 วันพุธที่ 26 ธ.ค. 2555 ว่า ที่ประชุมได้พิจารณาร่างประกาศ และเรื่องอื่นๆ โดยมีมติเห็นชอบร่างประกาศ เกี่ยวกับกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ 6 ฉบับ กิจการโทรคมนาคม 1 ฉบับ มีมติเห็นชอบงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2556 ส่วนโครงการบริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงด้วยเทคโนโลยี Wi-Fi โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายของกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร () ที่ประชุมขอให้นำเรื่องกลับให้คณะกรรมการบริหารกองทุนพิจารณาทบทวนเพื่อให้เป็นไปตาม พรบ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และโทรคมนาคม พ.ศ. 2553 มาตรา 52(1) และสถานที่ติดตั้งมีความสอดคล้องกับแผน USO โทรคมนาคมของ กสทช.

โดยมีรายละเอียดดังนี้

1. เห็นชอบร่างประกาศ กสทช. เรื่อง หลักเกณฑ์การกำหนดหมวดหมู่และการจัดลำดับบริการโทรทัศน์ที่ไม่ใช้คลื่นความถี่ เพื่อนำไปรับฟังความคิดเห็นสาธารณะและประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป ทั้งนี้โดยการกำหนดหลักเกณฑ์หมวดหมู่และการจัดลำดับรายการโทรทัศน์ที่ไม่ใช้คลื่นความถี่ จะเป็นการยกระดับคุณภาพการให้บริการโทรทัศน์ที่ไม่ใช้คลื่นความถี่ เพื่อให้ประชาชนได้รับบริการที่มีคุณภาพด้านเนื้อหา เทคนิค และความหลากหลายของสื่อและเทคโนโลยี ตลอดจนเป็นการอำนวยความสะดวกในการเข้าถึงบริการดังกล่าวด้วย

2. เห็นชอบสรุปผลการรับฟังความคิดเห็น และร่างประกาศ กสทช. เรื่อง การอบรมและทดสอบเพื่อขอรับบัตรผู้ประกาศในกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ ตามมาตรา 27(6) และ (24) และมาตรา 37 แห่งพ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฯ พ.ศ. 2553 และมาตรา 51 แห่ง พ.ร.บ.การประกอบกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ พ.ศ. 2551 เพื่อให้เป็นบทบัญญัติเพื่อส่งเสริมและพัฒนากิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ และเพื่อสนองต่อแผนแม่บทกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ ฉบับที่ 1 (พ.ศ. 2555 – 2559) ในยุทธศาสตร์ที่ 5 การพัฒนาคุณภาพการประกอบกิจการตามแผนส่งเสริมและสนับสนุนการพัฒนาบุคลากรในกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์

3. เห็นชอบสรุปผลการรับฟังความคิดเห็นสาธารณะ และเห็นชอบร่างประกาศ กสทช. เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการอนุญาตเพิ่มเติมในส่วนการให้บริการโครงข่ายโทรทัศน์ประเภทที่ใช้คลื่นความถี่ภาคพื้นดินระบบดิจิตอล โดยหลังจากนี้จะได้มีการประกาศในราชกิจจานุเบกษาให้มีผลบังคับใช้ต่อไป โดยที่ร่างประกาศดังกล่าวได้จัดทำขึ้นเพื่อให้ผู้ประสงค์ประกอบกิจการการให้บริการโครงข่ายโทรทัศน์ที่ใช้คลื่นความถี่ภาคพื้นดินในระบบดิจิตอลรับทราบหลักเกณฑ์และวิธีการอนุญาตเพิ่มเติมจากหลักเกณฑ์และวิธีการอนุญาตตามประกาศ กสทช. เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการอนุญาตให้บริการโครงข่ายกระจายเสียงหรือโทรทัศน์ เพื่อให้ผู้ใช้บริการได้รับบริการที่มีคุณภาพ ประสิทธิภาพรวดเร็ว ถูกต้อง และเป็นธรรม และกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการเกี่ยวกับการอนุญาต เงื่อนไขหรือค่าธรรมเนียมการอนุญาตดังกล่าว

4. เห็นชอบสรุปผลการรับฟังความคิดเห็นสาธารณะ และเห็นชอบร่างประกาศ กสทช. เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่สำหรับการให้บริการโทรทัศน์ระบบดิจิตอล พ.ศ. … โดยหลังจากนี้จะได้มีการประกาศในราชกิจจานุเบกษาให้มีผลบังคับใช้ต่อไป

5. เห็นชอบผลสรุปการรับฟังความคิดเห็นสาธารณะ และการปรับปรุงร่างประกาศ กสทช. เรื่อง หลักเกณฑ์การปฏิบัติหน้าที่ของพนักงานเจ้าหน้าที่ตามมาตรา 53 แห่ง พ.ร.บ.การประกอบกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ พ.ศ. …

6. เห็นชอบผลสรุปการรับฟังความคิดเห็นสาธารณะ และการปรับปรุงร่างประกาศ กสทช. เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการรวบรวมข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการกระทำความผิดในกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ที่มีโทษทางปกครอง พ.ศ. ….

นอกจากนี้ที่ประชุม กสทช. ยังได้ให้ความเห็นชอบร่างประกาศ กสทช. ด้านกิจการโทรคมนาคม เรื่อง ค่าธรรมเนียมใบอนุญาตประกอบกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. … และให้นำไปประกาศในราชกิจจานุเบกษาให้ทันภายในปี 2555 สาระสำคัญของร่างดังกล่าวคือ ไม่อนุญาตให้ผู้รับใบอนุญาตนำค่าใช้จ่ายในการซื้อหรือเช่าโครงข่ายโทรคมนาคม และค่าเชื่อมต่อโครงข่ายโทรคมนาคม (Interconnection Charge) ซึ่งจ่ายให้กับผู้รับใบอนุญาตรายอื่นหรือผู้ให้บริการโทรคมนาคมในต่างประเทศมาหักลดหย่อนจากรายได้การประกอบกิจการโทรคมนาคมก่อนการคำนวณค่าธรรมเนียมใบอนุญาต และให้ปรับลดอัตราค่าธรรมเนียมใบอนุญาตประกอบกิจการโทรคมนาคมจากอัตราที่กำหนดไว้จากเดิมที่ประกาศไว้ในร่างประกาศนี้เป็นรายได้จากการประกอบกิจการ

รายได้ 0 – 100 ล้านบาท อัตราค่าธรรมเนียมใบอนุญาตร้อยละ 0.25

เกิน 100 ล้านบาท ถึง 500 ล้านบาท อัตราค่าธรรมเนียมใบอนุญาตร้อยละ 0.5

เกิน 500 ล้านบาทถึง 1,000 ล้านบาทอัตราค่าธรรมเนียมใบอนุญาตร้อยละ 1.0

เกิน 1,000 ล้านบาทขึ้นไป อัตราค่าธรรมเนียมใบอนุญาตร้อยละ 1.5 เป็นต้น

นายฐากร กล่าวว่า สำหรับงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2556 วงเงิน 3,513.60 ล้านบาท แยกเป็นงบประมาณรายจ่ายของ กสทช. และสำนักงาน กสทช. 2,159.67 ล้านบาท งบประมาณรายจ่ายสำหรับภารกิจกระจายเสียงและโทรทัศน์ 610.29 งบประมาณรายจ่ายสำหรับภารกิจโทรคมนาคม 643.69 ล้านบาท รวมถึงเงินจัดสรรเข้ากองทุน 50 ล้านบาท เงินงบกลางกรณีฉุกเฉินและจำเป็น 50 ล้านบาทด้วย

ส่วนสาระสำคัญของโครงการบริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงด้วยเทคโนโลยี Wi-Fi โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายของกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT) ได้แก่ การกำหนดสถานที่ให้บริการเป้าหมาย ทั้งในพื้นที่กรุงเทพฯ และจังหวัดอื่นๆ ทั่วประเทศ ประมาณ 30,000 แห่ง จำนวน 150,000 จุด (Assess Point (AP)) หรือ ติดตั้งแห่งละ 5 AP ความเร็วในการให้บริการ 2Mbps ใช้งานได้ครั้งละ 20 นาที รวม 2 ชั่วโมง/คน/วัน โดยมีหลักการเพื่อให้เกิดความครอบคลุมและคำนึงถึงประโยชน์ที่ประชาชนสามารถมีโอกาสในการเข้าถึงการใช้งานอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง และเป็นจุดติดตั้งที่มีประชาชนจำนวนมากเข้ามาใช้บริการ โดยประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับจากโครงการดังกล่าวใน 2 มิติ คือ

1 มิติประโยชน์ในด้านสังคม และคุณภาพชีวิต ช่วยให้ประชาชนสามารถเข้าถึงเครือข่ายอินเทอร์เน็ตไร้สายได้อย่างทั่วถึงในพื้นที่สาธารณะ สถานที่ราชการ และสถานศึกษา ลดปัญหาความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงข้อมูลทางด้านดิจิทัล ด้านการศึกษา เป็นการนำ ICT เป็นสื่อการเรียนการสอนได้มากขึ้น ด้านเศรษฐกิจ จะเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของผู้ประกอบ SMEs และ ประชาชนทั่วไป เกิดการพัฒนาศักยภาพของบุคลากรในด้าน ICT เพื่อเตรียมความพร้อมประเทศไทยในการพัฒนาเป็นศูนย์กลางด้าน ICT ในอนาคต และด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม ส่งเสริมการประหยัดพลังงานที่ใช้ในการเดินทาง รวมถึงลดปริมาณการใช้ทรัพยากรธรรมชาติที่ใช้เพื่อการติดต่อสื่อสาร เช่นการส่งโทรสาร และ การส่งเอกสารทางไปรษณีย์ เป็นต้น

มิติที่ 2 จะเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ กล่าวคือ จะเป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันระหว่างประเทศ ช่วยเพิ่มอันดับของประเทศไทยในการจัดอันดับความพร้อมด้าน ICT ทั้งในระดับโลก และภูมิภาค และยกระดับความพร้อมทางด้าน ICT ของประเทศไทย ตลอดจนเป็นการยกระดับจุดยืนประเทศไทยในการเป็นแหล่งท่องเที่ยวและการค้าที่สำคัญ โดยนักท่องเที่ยวหรือนักธุรกิจชาวต่างชาติสามารถติดต่อสื่อสารผ่านบริการภายใต้เงื่อนไชการใช้งานที่เหมาะสม เป็นต้น ซึ่งเรื่องนี้ที่ประชุมขอให้นำเรื่องกลับให้คณะกรรมการบริหารกองทุนพิจารณาทบทวนเพื่อให้เป็นไปตาม พรบ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และโทรคมนาคม พ.ศ. 2553 มาตรา 52(1) และสถานที่ติดตั้งมีความสอดคล้องกับแผน USO โทรคมนาคมของ กสทช. ก่อน

View :1613

เอชพีเปิดตัวโครงการ “Think Big” เพิ่มช่องทางให สร้างรายได้แก่พันธมิตรคู่ค้าเพิ่มช่องทางให สร้างรายได้แก่พันธมิตรคู่ค้า

December 24th, 2012 No comments

กรุงเทพฯ 24 ธันวาคม 2555 – เอชพีประกาศจัดทำโครงการ “Think Big” ใหม่ เพื่อเสริมสร้างการเติบโตและขยายช่องทางในการสร้างรายได้ให้แก่พันธมิตรคู่ค้าในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่น โครงการ Think Big เป็นการร่วมทุนระหว่าง เอชพีและพันธมิตรคู่ค้า โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อสนับสนุนผู้จัดจำหน่ายของเอชพีให้เข้ารับการฝึกอบรมหลักสูตรต่างๆ ที่จัดขึ้นโดยเอชพีมากขึ้น ทั้งยังสามารถเข้าใช้ศูนย์สาธิตของเอชพี ตลอดจนได้รับการสนับสนุนทางด้านการขายและการตลาดเพื่อเจาะกลุ่มตลาดที่มีการเติบโตอย่างรวดเร็วและสร้างยอดขายเพิ่มมากขึ้นในส่วนของผลิตภัณฑ์จัดเก็บข้อมูล เครื่องเซิร์ฟเวอร์ และผลิตภัณฑ์ด้านระบบเครือข่าย

ปัจจุบัน พันธมิตรคู่ค้าต้องการระบบการให้บริการรูปแบบใหม่ๆ เพื่อให้การสนับสนุนโซลูชั่นสุดล้ำต่างๆ ได้ตรงตามความต้องการของลูกค้าองค์กรและธุรกิจขนาดกลางและเล็ก ทั้งทางด้านการพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานให้ล้ำสมัย การจัดการข้อมูลที่มีปริมาณเพิ่มขึ้นได้อย่างรวดเร็ว และการรองรับระบบประมวลผลที่เกิดขึ้นใหม่อีกมากมายรวมถึงระบบคลาวด์ ทั้งนี้ โครงการ Think Big ของเอชพี จะช่วยให้พันธมิตรคู่ค้าสามารถให้บริการตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้อย่างตรงจุด โดยเอชพีจะร่วมมือกับพันธมิตรคู่ค้าพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยีของลูกค้าให้ทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ เพื่อให้ธุรกิจของลูกค้ามีความยืดหยุ่นและคล่องตัวมากขึ้น

ภายใต้ข้อกำหนดและเงื่อนไขของโครงการ Think Big ระบุให้พันธมิตรคู่ค้าต้องได้รับการฝึกอบรมและสนับสนุนเพื่อให้มีลู่ทางการขายโซลูชั่นที่มีการเติบโตสูงและอยู่ภายใต้ระบบโครงสร้างพื้นฐานแบบผนวกของเอชพี ( Converged Infrastructure) ซึ่งได้แก่ เครื่องเซิร์ฟเวอร์ ProLiant, อุปกรณ์จัดเก็บข้อมูล 3PAR, เครื่องเซิร์ฟเวอร์ Business Critical Servers และโซลูชั่นด้านระบบเครือข่าย ( Networking) ได้มากขึ้น นอกจากนี้ โครงการ Think Big ยังมุ่งสนับสนุนพันธมิตรคู่ค้าให้สามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีแต้มต่อในการแข่งขันในสภาพแวดล้อมทางธุรกิจระดับสำคัญต่างๆ มากขึ้น ตลอดจนมีการเติบโตและสามารถสร้างผลกำไรเพิ่มขึ้น

อีซีเอสขยายธุรกิจในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยการเข้าร่วมโครงการ Think Big ของเอชพี
บริษัท อีซีเอส โฮลดิ้งส์ จำกัด ซึ่งเป็นผู้จัดจำหน่ายเทคโนโลยีชั้นนำ และมีสำนักงานระดับภูมิภาคในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (1) เป็นพันธมิตรคู่ค้ารายแรกที่ลงนามข้อตกลงเข้าร่วมโครงการ Think Big ของเอชพี

นายณรงค์ อิงค์ธเนศ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท อีซีเอส โฮลดิ้งส์ จำกัด เปิดเผยว่า “จากการที่มีเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่สามารถสร้างมูลค่าเพิ่ม อาทิ ระบบคลาวด์คอมพิวติ้ง เกิดขึ้นมากมายและได้รับความสนใจมากขึ้น อีซีเอสจึงมี ความจำเป็นที่จะต้องแสดงศักยภาพอันหลากหลายที่บริษัทมีอยู่ให้ลูกค้าได้เห็นและมั่นใจ การเข้าร่วมในโครงการ Think Big กับเอชพีครั้งนี้ ทำให้อีซีเอสมีโอกาสในการขยายศักยภาพเพิ่มขึ้น ทั้งยังขับเคลื่อนให้บริษัทมีลู่ทางการขายมากขึ้น ตลอดจนมีการเติบโตและมีขีดความสามารถในการสร้างผลกำไรได้ดีขึ้นอีกด้วย”

นอกจากนี้ เอชพียังเดินหน้าขยายโครงการ HP ServiceONE เปิดตัวบริการสนับสนุนรูปแบบใหม่ที่ช่วยให้พันธมิตรคู่ค้าสามารถขยายการดำเนินงานเจาะตลาดการให้บริการเทคโนโลยีที่มีการเติบโตสูง และเสริมสร้างศักยภาพในการสร้างผลกำไร บริการ HP ServiceONE Partner Support for HP Technology Services คือ บริการด้านเทคโนโลยีเพื่อสนับสนุนพันธมิตรคู่ค้าให้มีศักยภาพในการจำหน่ายโซลูชั่นระบบโครงสร้างพื้นฐานแบบผนวกของเอชพีพร้อมด้วยบริการและการสนับสนุนจากเอชพีได้มากขึ้น

มร.นารินเดอร์ คาปูร์ รองประธานและผู้จัดการทั่วไป กลุ่มธุรกิจ เอ็นเทอร์ไพรส์ กรุ๊ป ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กล่าวว่า “ปัจจุบัน พันธมิตรคู่ค้าจำเป็นต้องมีการพัฒนารูปแบบการทำธุรกิจที่ซับซ้อนและหลากหลายให้แก่ลูกค้า จึงต้องการบริการและการสนับสนุนที่มีราคาประหยัดแต่เปี่ยมคุณภาพ และด้วยโครงการ Think Big ใหม่ดังกล่าว จะทำให้เอชพีสามารถช่วยเหลือพันธมิตรคู่ค้าในการขยายลู่ทางการทำธุรกิจใหม่ๆ ด้วยการมอบโซลูชั่นที่คุ้มค่า และนำทรัพยากรด้านการตลาด เทคนิค และการขายของเอชพีมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด”

View :1514

เอชพีสร้างนิยามใหม่ ขจัดความซับซ้อนของโซลูชั่นจัดเก็บข้อมูลพลิกโฉมเทคโนโลยีแห่งทศวรรษด้วยสถาปัตยกรรมเชิงเดี่ยว

December 20th, 2012 No comments

20 ธันวาคม 2555 – เผยโฉมนวัตกรรมระบบจัดเก็บข้อมูลสุดล้ำเป็นครั้งแรกในวงการไอที ภายใต้พอร์ทโฟลิโอโซลูชั่นระบบจัดเก็บข้อมูลแบบผนวก Converged Storage โดยใช้สถาปัตยกรรมเชิงเดี่ยว ซึ่งช่วยขจัดปัญหาความซับซ้อนและความไร้ประสิทธิภาพในการทำงาน และสามารถรองรับการใช้งานขององค์กรทุกขนาด

นายสุรชัย อรรถมงคลชัย ผู้จัดการธุรกิจเอชพีสตอเรจ กลุ่มธุรกิจ เอ็นเทอร์ไพรส์ กรุ๊ป บริษัท ฮิวเลตต์-แพคการ์ด (ประเทศไทย) จำกัด


สุดยอดนวัตกรรมล้ำสมัยดังกล่าว ได้รับการออกแบบมาเพื่อการใช้งานในสภาพแวดล้อมระบบการจัดเก็บข้อมูลขนาดใหญ่หรือบิ๊กดาต้า สภาพแวดล้อมแบบคลาวด์ และสภาพแวดล้อมแบบเวอร์ช่วลได้อย่างดีเยี่ยม ซึ่งประกอบด้วย โซลูชั่นระบบจัดเก็บข้อมูล HP 3PAR StoreServ Storage โซลูชั่นระบบจัดเก็บข้อมูล HP StoreAll Storage และโซลูชั่นระบบจัดเก็บข้อมูล HP StoreOnce Backup

ปัจจุบัน องค์กรต่างๆ สูญเสียค่าใช้จ่ายไปเกือบร้อยละ 70 ในการขยายสมรรถนะโดยไม่ได้เกี่ยวข้องกับการเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดเก็บข้อมูลแต่อย่างใด (1) ขณะที่ผู้ดูแลระบบจะต้องพยายามบริหารจัดการสถาปัตยกรรมจัดเก็บข้อมูลที่แตกต่างกันจำนวนมากมาย ส่งผลให้เกิดปัญหาความไร้ระเบียบของระบบโครงสร้างพื้นฐาน องค์กรส่วนใหญ่จึงจำเป็นต้องเลือกลดอุปกรณ์ที่มีฟีทเจอร์การทำงานที่หลากหลายเพื่อให้มีหน่วยความจำที่มากขึ้น

ฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ใหม่ เพิ่มความคล่องตัวในการทำงานมากขึ้น
ในปี 2554 เอชพีเปิดตัวโซลูชั่นระบบจัดเก็บข้อมูลแบบผนวก HP Converged Storage ใหม่ที่มีประสิทธิภาพในการลดข้อจำกัดของระบบจัดเก็บข้อมูลแบบเดิมที่เกิดจากการขยายตัวของข้อมูลเกี่ยวกับบุคคล การผนวกรวมระบบโครงสร้างพื้นฐาน และการเกิดศูนย์ข้อมูลบริการไอที (IT-as-a-Service data center) ทั้งนี้ โซลูชั่น HP Converged Storage พัฒนาขึ้นภายใต้หลักการที่มุ่งเน้นความเรียบง่ายที่ยังสามารถทำงานได้หลากหลายรูปแบบ (polymorphic simplicity) แนวคิดการจัดเก็บข้อมูลแบบใหม่นี้สามารถทำงานร่วมกันได้ในหลากหลายรูปแบบ หลากหลายรุ่น และรองรับตั้งแต่ผลิตภัณฑ์ขนาดเล็กไปจนถึงผลิตภัณฑ์ขนาดใหญ๋ แต่ยังคงมีสมรรถนะในการให้บริการจัดเก็บข้อมูลร่วมกัน ใช้ได้กับแอพพลิเคชั่นด้านข้อมูลทั้งประเภทบล็อก ออบเจ็ค และไฟล์ นอกจากนี้ แนวคิดดังกล่าวยังช่วยให้ระบบฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ (HDD) และระบบโซลิด สเตท ดิสก์ (SSD) สามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ วันนี้ เอชพียังได้ขยายพอร์ทโฟลิโอโซลูชั่นระบบจัดเก็บข้อมูลแบบผนวก HP Converged Storage โดยนำเสนอ 3 โซลูชั่นระบบจัดเก็บข้อมูลใหม่ ได้แก่

· โซลูชั่นระบบจัดเก็บข้อมูล HP 3PAR StoreServ 7000 Storage คือแพลทฟอร์มระบบจัดเก็บข้อมูลระดับมิดเรนจ์แบบที่มีตัวควบคุม 4 ตัว (quad-controller) ซึ่งเป็นเพียงหนึ่งเดียวในวงการไอที มีความพร้อมในการจัดเก็บข้อมูลแบบ Tier 1 อัดแน่นด้วยฟีทเจอร์การให้บริการที่เปี่ยมคุณภาพในระดับราคาเริ่มต้นที่องค์กรต่างๆ สามารถซื้อหาได้ง่าย (2) สนับสนุนด้านบริการข้อมูลทั้งแบบบล็อกและไฟล์ รองรับไดรฟ์ทั้งแบบ HDD และ SSD หรือระบบ SSD ทั้งหมดที่มีสมรรถนะในการบริหารการไหลเข้าออกของข้อมูลจำนวนมากกว่า 320,000 ครั้งต่อวินาที สูงกว่าระบบจัดเก็บข้อมูลของคู่แข่งที่มีราคาใกล้เคียงกันถึง 2.4 เท่า (3)

· โซลูชั่นระบบจัดเก็บข้อมูล HP StoreAll Storage คือแพลทฟอร์มระบบจัดเก็บข้อมูลที่สามารถปรับขยายได้สูง รองรับการเข้าใช้ข้อมูลทั้งประเภทออบเจ็คและไฟล์ มีสภาพแวดล้อมที่ทำงานได้ง่าย เหมาะสำหรับระบบการจัดเก็บข้อมูลที่มีปริมาณมหาศาลหรือบิ๊กดาต้า และการจัดเก็บข้อมูลแบบคลาวด์ จึงช่วยลดจำนวนผู้ดูแลระบบหรือฮาร์ดแวร์ นอกจากนี้ HP Labs หรือหน่วยงานด้านวิจัยของเอชพี ยังได้พัฒนาโซลูชั่น HP StoreAll Express Query ซึ่งเป็นฐานข้อมูลแบบ metadata ช่วยให้ลูกค้าสามารถตั้งคำถามในการค้นหาได้เร็วกว่าการใช้วิธีการค้นหาระบบไฟล์แบบเดิมถึง 100,000 เท่า (4) จึงช่วยอำนวยความสะดวกในการตัดสินใจทางธุรกิจโดยใช้ข้อมูลที่เป็นปัจจุบันมากที่สุด

นอกจากนี้ โซลูชั่น HP StoreAll Storage ยังสามารถนำไปผนวกรวมกับโซลูชั่น HP Autonomy Intelligent Data Operating Layer (IDOL) เพื่อถ่ายโอนงานประมวลผลไปยังระบบจัดเก็บข้อมูล HP StoreAll Storage ส่งผลให้การวิเคราะห์สามารถทำได้รวดเร็ว เนื่องจากใช้ข้อมูลที่เป็นปัจจุบันมากขึ้น และใช้ระบบฮาร์ดแวร์ประมวลผลลดลง ทั้งนี้ การผนวกรวมโซลูชั่น HP StoreAll Storage และโซลูชั่น HP Autonomy Consolidated Archive เข้าไว้ด้วยกัน รวมทั้งการผนวกรวมกับแอพพลิเคชั่นของผู้จำหน่ายซอฟท์แวร์อิสระ (ISV) รายอื่นๆ จะทำให้การจัดเก็บสินทรัพย์แบบดิจิตอลสามารถทำได้อย่างปลอดภัยและจัดเก็บได้ยาวนาน

· โซลูชั่นระบบจัดเก็บข้อมูล HP StoreOnce 2000 และ4000 Backup พร้อมด้วยซอฟต์แวร์ HP StoreOnce Catalyst ทำให้การโยกย้ายข้อมูลเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ลดการจัดเก็บข้อมูลซ้ำซ้อน จึงช่วยประหยัดต้นทุนในการดูแลรักษาข้อมูลในศูนย์ข้อมูลและสำนักงานที่ตั้งอยู่ห่างไกล ทั้งยังมีสมรรถนะในการสำรองข้อมูลเร็วขึ้นสูงสุดถึง 3 เท่า และมีต้นทุนที่ลดลงถึงร้อยละ 35 เมื่อเทียบกับระบบของคู่แข่งที่มีคุณสมบัติใกล้เคียงกันมากที่สุด (5)

นายสุรชัย อรรถมงคลชัย ผู้จัดการธุรกิจเอชพีสตอเรจ กลุ่มธุรกิจ เอ็นเทอร์ไพรส์ กรุ๊ป บริษัท ฮิวเลตต์-แพคการ์ด (ประเทศไทย) จำกัด เผยว่า “ผู้จำหน่ายระบบจัดเก็บข้อมูลแบบเดิมจะไม่มีความพร้อมที่จะช่วยเหลือลูกค้าองค์กรต่างๆ ในการจัดการปริมาณงานใหม่ๆ และไม่สามารถนำฟีทเจอร์ใหม่ๆ ไปใส่ไว้บนระบบโครงสร้างพื้นฐานแบบดั้งเดิม ซึ่งงานเหล่านี้ถือเป็นสิ่งที่น่ากลัว ทั้งนี้ ด้วยนวัตกรรมของพอร์ทโฟลิโอโซลูชั่นระบบจัดเก็บข้อมูลแบบผนวก HP Converged Storage จะช่วยให้ลูกค้าสามารถบริหารระบบโครงสร้างพื้นฐานให้มีการทำงานที่ง่ายดาย และมีต้นทุนลดลง โดยใช้สถาปัตยกรรมเดียวกันบนระบบจัดเก็บข้อมูลทุกกลุ่มและทุกประเภท”

เพิ่มผลตอบแทนจากการลงทุนด้านข้อมูล บุคลากร และระบบโครงสร้างพื้นฐาน
นวัตกรรมสุดล้ำของโซลูชั่นระบบจัดเก็บข้อมูลแบบผนวก HP Converged Storage ช่วยให้ลูกค้าพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานการจัดเก็บข้อมูลให้ทำงานได้ง่ายดายยิ่งขึ้น และตอบโจทย์ความต้องการที่ไม่คาดคิดได้ดีขึ้น ทั้งยังทำให้องค์กรต่างๆ สร้างผลตอบแทนจากการลงทุนถึง 3 ด้าน ได้แก่

· ผลตอบแทนจากการลงทุนด้านข้อมูล สามารถดึงข้อมูลเพื่อใช้ในการตัดสินใจทางด้านธุรกิจได้รวดเร็วยิ่งขึ้น เช่น การนำระบบการค้นหาและวิเคราะห์ที่ติดตั้งไว้ในโซลูชั่นดังกล่าวมาใช้สร้างมูลค่าของข้อมูลทุกประเภท

· ผลตอบแทนจากการลงทุนด้านระบบโครงสร้างพื้นฐาน ทำให้การใช้สินทรัพย์มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยการออกแบบหลากหลายดีไซน์ และใช้เทคโนโลยีที่เปี่ยมประสิทธิภาพ ส่งผลให้มีความต้องการสมรรถนะการทำงานลดลงถึงครึ่งหนึ่ง

· ผลตอบแทนจากการลงทุนด้านบุคลากร ด้วยการให้บริการข้อมูลเหมือนกัน และใช้ระบบบริหารจัดการแบบรวมศูนย์ทั่วทุกระบบจัดเก็บข้อมูล ช่วยลดความซับซ้อนและระยะเวลาในการบริหารจัดการได้เป็นอย่างดี

มร. เฟรเดริค แวน ฮาเร็น ผู้อำนวยการระดับอาวุโส ศูนย์ปฏิบัติการวิจัยและพัฒนา นูออนซ์ คอมมิวนิเคชั่นส์ กล่าวว่า “นูออนซ์มุ่งเดินหน้าก้าวให้ตามทันการพัฒนานวัตกรรมที่มีอัตราการขยายตัวอย่างรวดเร็ว โดยคำนึงถึงความต้องการอันเร่งด่วนในการขยายระบบโครงสร้างพื้นฐานการจัดเก็บข้อมูลทั่วทั้งบริษัท การมีโซลูชั่นระบบจัดเก็บข้อมูล HP 3PAR StoreServ Storage ทำให้ระบบโครงสร้างพื้นฐานของนูออนซ์สามารถปรับเปลี่ยนให้รองรับปริมาณงานที่เปลี่ยนแปลงไป และทำให้พนักงานของนูออนซ์เดินหน้าพัฒนาโซลูชั่นด้านเสียงและภาษาออกสู่ตลาดได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ”

นอกจากนี้ เอชพียังเปิดตัวบริการใหม่ เพื่อช่วยลูกค้าสร้างความคุ้มค่าจากการลงทุนได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ และสร้างสรรค์สภาพแวดล้อมที่เหมาะสมสำหรับธุรกิจของตน บริการใหม่ดังกล่าว ได้แก่

· การบริการด้านเทคโนโลยี (Technology Services) ช่วยจัดการโซลูชั่น HP StoreOnce ให้สามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ และสามารถโอนย้ายจากโซลูชั่น HP Enterprise Virtual Array ไปยังโซลูชั่น HP 3PAR Storage ได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น

· การบริการด้านการจัดการระบบจัดเก็บข้อมูล (HP Storage Management Services) สามารถช่วยผนวกรวมโซลูชั่น HP 3PAR StoreServ โซลูชั่น HP StoreAll และโซลูชั่น HP StoreOnce Storage เข้าไว้ด้วยกัน เพื่อสร้างสรรค์เทคโนโลยีการจัดเก็บข้อมูลใหม่ของเอชพีสำหรับลูกค้าระดับองค์กร ด้วยทีมผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการระบบ และมีประสบการณ์ในการปฏิบัติงานจริง

การจัดจำหน่าย

· โซลูชั่นระบบจัดเก็บข้อมูล HP StoreServ 7200 และ HP StoreServ 7400 มีจำหน่ายแล้วทั่วโลก และโซลูชั่น HP Priority Optimization จะนำออกวางตลาดในปี 2556

· โซลูชั่นระบบจัดเก็บข้อมูล HP StoreAll Storage มีวางจำหน่ายแล้วทั่วโลก

· โซลูชั่นระบบจัดเก็บข้อมูล HP StoreOnce 6200 Backup systems, HP StoreOnce 2000 Backup systems และ HP StoreOnce 4000 Backup systems รวมถึงใบอนุญาตการใช้ซอฟต์แวร์ HP StoreOnce Catalyst Software licenses มีจำหน่ายแล้วทั่วโลก

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโซลูชั่นระบบจัดเก็บข้อมูลแบบผนวก HP Converged Storage ใหม่ สามารถเข้าไปดูได้ที่ www.hp.com/go/storage/nextera

View :1337
Categories: Technology Tags:

10 แนวโน้มพฤติกรรมผู้บริโภคที่โดดเด่นที่สุดในปี 2013

December 19th, 2012 No comments

· Ericsson ConsumerLab ได้ชี้ให้เห็นถึงแนวโน้มของพฤติกรรมผู้บริโภคที่สำคัญที่สุดบางประการในปีที่กำลังจะมาถึง

· เทคโนโลยี Cloud ได้ทำให้ความต้องการของผู้บริโภคเปลี่ยนไป และกลุ่มผู้หญิงเป็นแรงผลักดันหลักในตลาดมือถือสมาร์ทโฟน ถือเป็นสองแนวโน้มที่สำคัญ

· พฤติกรรมของคนรุ่นหนุ่มสาวได้ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในสังคม และอินเตอร์เน็ทได้ถูกนำมาใช้ประโยชน์ในรูปแบบใหม่ๆ ท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจที่ไม่มั่นคง

ในขณะที่ปี 2012 กำลังจะจบลง Ericsson ConsumerLab ได้พยายามค้นหาแนวโน้มของพฤติกรรมผู้บริโภคที่โดดเด่นที่สุดสำหรับปี 2013 ที่กำลังจะมาถึง ตลอดระยะเวลามากกว่า 15 ปีที่ผ่านมา ConsumerLab ได้ทำการวิจัยลักษณะและพฤติกรรมของผู้บริโภค ในการใช้ผลิตภัณฑ์และบริการด้านสารสนเทศต่างๆ

คุณ Michael Björn หัวหน้าฝ่ายวิจัยของ ConsumerLab กล่าวว่า “ข้อมูลการศึกษาวิจัยทั่วโลกของเรามาจากการสัมภาษณ์ผู้คนมากกว่า 100,000 คนในแต่ละปี ในจำนวนกว่า 40 ประเทศ ซึ่งอยู่ในมหานครขนาดใหญ่กว่า 15 แห่ง ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เราได้สะสมข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมผู้บริโภคจำนวนมหาศาล และเราได้เห็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นรวดเร็วอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน”

นี่คือแนวโน้มของพฤติกรรมผู้บริโภคที่เห็นเด่นชัดที่สุด:

1. ความสำเร็จของบริการ cloud ทำให้ความต้องการของผู้บริโภคบนอุปกรณ์ต่างๆเปลี่ยนไป
มากกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ของผู้ใช้แท็บเล็ต และมากกว่า 40 เปอร์เซ็นต์ของผู้ใช้สมาร์ทโฟน ในประเทศสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย และสวีเดน ต่างพึงพอใจในการใช้บริการ cloud เพื่อให้สามารถใช้แอ็พตัวเดียวกันและแชร์ข้อมูลต่างๆได้ บนอุปกรณ์มากกว่าหนึ่งเครื่อง อย่างรวดเร็วและสะดวกสบาย

2. อุปกรณ์สื่อสารเพื่อความรวดเร็วทันใจ
จากคอมพิวเตอร์เดสก์ท็อปที่ใช้ไฟล์และโฟลเดอร์ สู่อุปกรณ์พกพาที่ใช้ผ่านแอ็พและบริการ cloud ผู้บริโภคจำนวนมากเริ่มเปลี่ยนพฤติกรรมจากการทำงานบนโต๊ะ สู่การใช้อุปกรณ์สื่อสารยุคใหม่ที่สามารถพกพาได้สะดวก งานหลายอย่างสามารถทำได้ในช่วงเวลาอันสั้น ขณะเข้าแถวซื้อสินค้า หรือขณะที่คุยกับใครสักคนในร้านกาแฟ โดยผู้บริโภคในหลายประเทศต้องการซื้อแท็บเล็ตมากกว่าคอมพิวเตอร์เดสก์ท็อป และต้องการซื้อสมาร์ทโฟนมากกว่าแล็ปท็อป อีกด้วย

3. นำอุปกรณ์บรอดแบนด์ส่วนตัวมาทำงาน
ผู้ใช้สมาร์ทโฟนประมาณ 57 เปอร์เซ็นต์ จะใช้สมาร์ทโฟนส่วนตัวในที่ทำงานด้วย โดยนิยมใช้เพื่อช่วยทำงาน รับส่งอีเมลล์ วางแผนการเดินทางในธุรกิจ หาข้อมูลที่อยู่ต่างๆ และอีกหลากหลายประโยชน์ใช้สอย

4. ผู้คนในเมืองใหญ่นิยมใช้อินเตอร์เน็ททุกที่ทุกเวลา
ด้วยความต้องการของผู้บริโภคที่จะเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ทได้ในทุกที่ทุกเวลา ได้ผลักดันให้เกิดการเติบโตของตลาดอินเตอร์เน็ทบนมือถืออย่างแท้จริง โดยคาดการณ์ว่าจะมีผู้ใช้สมาร์ทโฟนมากถึง 3,300 ล้านคนภายในปี 2018 และชีวิตในเมืองจะสมบูรณ์ได้ก็ต่อเมื่อมีสัญญาณเครือข่ายโทรศัพท์มือถือคุณภาพดี ที่ครอบคลุมทั่วถึง

5. มีการนำเครื่องมือออนไลน์มาใช้ประโยชน์ในหลายภาคส่วน
เนื่องจากความไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจในยุคปัจจุบัน ผู้คนจำนวนมากเริ่มขาดความมั่นใจต่อองค์กรภาครัฐ และเอกชนบนโครงสร้างแบบดั้งเดิม จึงหันมาใช้เครื่องมือออนไลน์กันอย่างกว้างขวางเพื่อจุดประสงค์บางอย่างและเพื่อใช้เป็นที่พึ่งในยามฉุกเฉิน เช่น การรวมกลุ่มออนไลน์เพื่อสร้างสหกรณ์ออมทรัพย์แทนระบบธนาคาร การรวมกลุ่มของนักเรียนเพื่อช่วยกันทำการบ้าน การใช้สังคมออนไลน์แบบ Linked-in เพื่อช่วยในการหางานแทนบริษัทจัดหางานแบบดั้งเดิม เป็นต้น

6. กลุ่มผู้หญิงมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนตลาดสมาร์ทโฟน
จากการศึกษาพบว่า กลุ่มผู้หญิงเป็นแรงผลักดันสำคัญในการทำให้เกิดการยอมรับสมาร์ทโฟนอย่างกว้างขวาง โดยมากกว่า 97 เปอร์เซ็นต์ของผู้ใช้สมาร์ทโฟนเพศหญิงใช้ SMS, 77 เปอร์เซ็นต์ใช้รับส่งรูปภาพ, 59 เปอร์เซ็นต์ใช้โซเชียลเน็ตเวิร์ค, 24 เปอร์เซ็นต์ใช้เช็คอินเพื่อแสดงสถานที่ที่ตนเองอยู่, 17 เปอร์เซ็นต์ใช้ค้นหาคูปองต่างๆ เป็นต้น ในขณะที่ตัวเลขเหล่านี้สำหรับผู้ใช้เพศชายมีค่าน้อยกว่า

7. ใช้โซเชียลเน็ตเวิร์คเพื่อสร้างไอเดียใหม่ๆในสังคมเมือง
ผู้ที่อาศัยอยู่ในเมืองใหญ่ มักมีจำนวนเพื่อนบนโซเชียลเน็ตเวิร์ค มากกว่าผู้ที่อาศัยอยู่บริเวณชานเมืองมาก โดย 12 เปอร์เซ็นต์ของผู้ที่อยู่ในเมืองกล่าวว่า เหตุผลหลักที่พวกเขาใช้โซเชียลเน็ตเวิร์ค ก็เพื่อติดต่อสื่อสารและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับผู้อื่น ซึ่งถือเป็นเหตุผลในการใช้โซเชียลเน็ตเวิร์คที่ได้รับความนิยมเป็นอันดับสาม รองจากการใช้เพื่อติดตามเรื่องราวของกลุ่มเพื่อน และการใช้เพื่ออัพเดตข้อมูลของตนเองสู่พวกเขา

8. ประสบการณ์ช็อปปิ้งแบบผสมผสานที่เรียกว่า “In-line shopping”
ผู้ใช้สมาร์ทโฟนจำนวน 32 เปอร์เซ็นต์ ใช้สมาร์ทโฟนในการซื้อสินค้าอยู่แล้ว และพวกเขาเริ่มช็อปปิ้งในรูปแบบใหม่ที่เรียกว่า “In-line shopping” โดยผสมผสานข้อดีของการเลือกซื้อสินค้าในร้าน (in-store shopping) เพื่อมีโอกาสสัมผัสกับของจริง กับมีการใช้เครื่องมือออนไลน์ (online shopping) เพื่อหาข้อมูลเพิ่มเติม เปรียบเทียบราคา รวมทั้งใช้ซื้อสินค้าเพื่อลดเวลาในการเข้าคิวรอจ่ายเงิน เป็นต้น

9. ทีวีบนโซเชียลเน็ตเวิร์ค
ผู้ชมราว 62 เปอร์เซ็นต์ ใช้โซเชียลเน็ตเวิร์คในขณะที่ดูวีดีโอและทีวี โดย 42 เปอร์เซ็นต์ของผู้ชมกลุ่มนี้จะคุยกับผู้อื่น ถึงสิ่งที่พวกเขากำลังรับชมอย่างน้อยอาทิตย์ละหนึ่งครั้ง โดย 30 เปอร์เซ็นต์ของผู้ชมกลุ่มนี้ มีความเต็มใจที่จะจ่ายเงินกับ content ที่พวกเขารับชมผ่านช่องทางโซเชียลเน็ตเวิร์คมากกว่า และการรับชมวีดีโอและทีวีบนอุปกรณ์พกพาส่วนใหญ่เกิดขึ้นที่บ้าน

10. การเรียนรู้บนความเปลี่ยนแปลง
ดัวยปัจจัยภายในและภายนอกทำให้การเรียนรู้ในยุคปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงไปมาก เด็กหนุ่มสาวในยุคนี้มักนำอุปกรณ์ส่วนตัวของตนเองเข้าไปในห้องเรียนด้วย ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งจากองค์กรภาครัฐและเอกชน เพื่อหาเทคโนโลยีสารสนเทศที่เหมาะสมเพื่อให้เกิดการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด การเชื่อมต่อสู่โลกอินเตอร์เน็ททำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสำหรับเด็กๆทั่วโลก ในประเทศอินเดีย มีเด็กอายุ 9-18 ปี จำนวนประมาณ 30 ล้านคน จากทั้งหมด 69 ล้านคน ที่อาศัยอยู่ในเมืองใหญ่ มีโทรศัพท์มือถือเป็นของตนเอง

หมายเหตุ:

ลิงค์ของ รายงานเรื่อง “10 แนวโน้มพฤติกรรมผู้บริโภคที่โดดเด่นที่สุดในปี 2013”: http://www.ericsson.com/res/docs/2012/consumerlab/10-hot-consumer-trends-2013.pdf

View :1839

ทรู ประกาศทิศทางธุรกิจ ปี 2556 พร้อมเพิ่มความแข็งแกร่งด้านการเงิน เดินหน้ารักษาความเป็นผู้นำ 3G ชูจุดเด่นผู้นำคอนเวอร์เจนซ์ มุ่งเน้นลูกค้าเป็นสำคัญ

December 18th, 2012 No comments

กลุ่มทรู ชี้ทิศทางธุรกิจปี 2556 รุกเพิ่มความแข็งแกร่งด้านการเงิน พร้อมเติบโตรับการแข่งขันเสรี ประกาศเดินหน้าตอกย้ำความเป็นผู้นำคอนเวอร์เจนซ์ รักษาตำแหน่งผู้นำ 3G เน้นสร้างสรรค์สินค้าและบริการเพื่อลูกค้าเป็นสำคัญ เตรียมลงทุนขยายธุรกิจในกลุ่มโดยรวม 26,500 ล้านบาท ขยายโครงข่ายทรูออนไลน์ครอบคลุม 61 จังหวัดทั่วไทย เพิ่มลูกค้าใหม่อีก 3.3 แสนราย ตั้งเป้าเปิดให้บริการ 3G บนคลื่นความถี่ 2.1 GHz ภายในไตรมาส 2 ปี 2556 ภายใต้แบรนด์ทรูมูฟ เอช เน้นเสริมภาพผู้นำบริการ 3G ครอบคลุมทุกพื้นที่ทั่วไทยมากขึ้น คาดเพิ่มลูกค้าโมบายล์อีกกว่า 6 ล้านราย พร้อมสร้างทรูวิชั่นส์ผู้นำบริการคอนเทนต์ระดับโลก สยายปีกสู่พันธมิตรท้องถิ่นทั่วไทย โดยจะเพิ่มฐานสมาชิกมากกว่า 2.5 ล้านครัวเรือนทั่วประเทศ นำทุกเทคโนโลยีในกลุ่มร่วมพัฒนาสังคมไทยให้เป็นสังคมแห่งการเรียนรู้ผ่านโครงการทรูปลูกปัญญาอย่างต่อเนื่อง

นายศุภชัย เจียรวนนท์ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานคณะผู้บริหาร บมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า ปี 2556 ทรูยังคงเดินหน้ารักษาความเป็นผู้นำคอนเวอร์เจนซ์ เพิ่มความแข็งแกร่งในธุรกิจหลัก ซึ่งประกอบด้วย ทรูออนไลน์ กลุ่มทรูโมบายล์ และทรูวิชั่นส์ เพื่อสร้างประสบการณ์ใหม่ ยกระดับบริการ พร้อมเพิ่มความคุ้มค่ายิ่งขึ้นให้ฐานลูกค้ารวมของกลุ่มทรู โดยตั้งงบประมาณลงทุนขยายธุรกิจทรูออนไลน์ 10,000 ล้านบาท กลุ่มทรูโมบายล์ 15,000 ล้านบาท และสำหรับทรูวิชั่นส์ 1,500 ล้านบาทใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา เพื่อขับเคลื่อนธุรกิจในกลุ่มให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง

โดยปีนี้ 2555 ธุรกิจทรูออนไลน์ ได้ยกระดับอุตสาหกรรมบรอดแบนด์ในไทย ทั้งเทคโนโลยีใหม่ ความเร็วที่ปรับสูงขึ้นเป็นมาตรฐานใหม่ และกลยุทธ์การตลาด ซึ่งที่ผ่านมา นอกจากปรับมาตรฐานความเร็วการใช้งานอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงจาก 7 เป็น 10 Mbps แล้ว ทรูออนไลน์ยังขยายโครงข่ายครอบคลุม 53 จังหวัดด้วยเทคโนโลยี DOCSIS 3.0 ซึ่งทำให้กลุ่มทรูเป็นรายแรกและรายเดียวในไทยที่สามารถใช้กลยุทธ์คอนเวอร์เจนซ์แบบ Triple Play เต็มรูปแบบในการทำตลาดที่เพิ่มความคุ้มค่าสูงสุดให้กับลูกค้าด้วยบริการผสมผสานอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง เคเบิ้ลทีวี และโทรศัพท์พื้นฐาน และในปี 2556 ทรูออนไลน์ จะรักษาความเป็นผู้นำตลาดบรอดแบนด์ ขยายบริการครอบคลุม 61 จังหวัดทั่วไทย เพิ่มฐานลูกค้าใหม่อีกกว่า 3.3 แสนราย

กลุ่มทรูโมบายล์ ในปีนี้มีการเติบโตอย่างก้าวกระโดด หลังจากเมื่อกลางปีนี้เปิดให้บริการ 3G+ บนคลื่นความถี่ 850 MHz ภายใต้แบรนด์ทรูมูฟ เอช ซึ่งสามารถให้บริการครอบคลุมครบ 77 จังหวัดทั่วประเทศ เปลี่ยนพฤติกรรมการใช้งานโมบายล์บรอดแบนด์ เพื่อเข้าถึงข้อมูล ข่าวสาร ความรู้ และบันเทิง ได้อย่างรวดเร็วและทันใจ สามารถเพิ่มฐานลูกค้าทรูโมบายล์โดยรวมมากกว่า 20 ล้านราย ซึ่งเป็นผลจากการขยายโครงข่ายที่ครอบคลุมพื้นที่ให้บริการมากที่สุด รวมทั้งการสรรหาและนำอุปกรณ์ที่รองรับการใช้งาน 3G ในราคาที่เหมาะสม ทั้งเพื่อให้เข้าถึงฐานลูกค้าที่กว้างขึ้น และขยายโอกาสในการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี 3G ได้ง่ายขึ้น

ในปี 2556 กลุ่มธุรกิจทรูโมบายล์ พร้อมเปิดให้บริการ 3G บนคลื่นความถี่ 2.1 GHz ภายในไตรมาส 2
ภายใต้แบรนด์ ทรูมูฟ เอช เพื่อเสริมศักยภาพความเป็นผู้นำบริการ 3G ครอบคลุมทุกพื้นที่ทั่วไทยมากที่สุด รองรับแนวโน้มการใช้งานดาต้าที่คาดว่าจะมีรายได้จากดาต้าจะเติบโตขึ้นประมาณ 70% จากปีที่ผ่านมา และคาดว่าในปีหน้าจะมีลูกค้าโมบายล์เพิ่มขึ้นอีกกว่า 6 ล้านราย ซึ่งจะเพิ่มฐานลูกค้าโมบายล์รวมเป็น 26 ล้านราย

ธุรกิจทรูวิชั่นส์ ในปี 2555 ประสบความสำเร็จในการเปลี่ยนระบบออกอากาศใหม่ให้กับสมาชิกทั่วประเทศ โดยนำเทคโนโลยี MPEG-4 ซึ่งเป็นระบบที่ปลอดภัยและป้องกันการลักลอบสัญญาณ รวมทั้งรองรับการรับสัญญาณคุณภาพแบบ HD (High Definition) ซึ่งตอนนี้สามารถให้บริการ HD ถึง 17 ช่องรายการ นอกจากนี้ ยังได้สรรหารายการคุณภาพระดับโลก พร้อมขยายฐานลูกค้า โดยร่วมมือกับพันธมิตรกลุ่มต่างๆ ในธุรกิจโทรทัศน์แบบบอกรับสมาชิก โดยในปี 2556 ทรูวิชั่นส์จะรักษาความเป็นผู้นำบริการคอนเทนต์ระดับโลก ขยายความร่วมมือสู่พันธมิตรท้องถิ่นอย่างต่อเนื่อง คาดว่าจะเพิ่มฐานผู้ชมเป็นมากกว่า 2.5 ล้านครัวเรือนทั่วประเทศ

ยิ่งไปกว่านั้น กลุ่มทรู ยังคงเดินหน้าสานต่อพันธกิจด้านการศึกษา ภายใต้โครงการเปิดโลกทัศน์แห่งการเรียนรู้ สู่โรงเรียนทั่วประเทศ ในโครงการทรูปลูกปัญญา โดยนำศักยภาพทางเทคโนโลยีการสื่อสารครบวงจร เพื่อเปิดโลกทัศน์แห่งการเรียนรู้สู่โรงเรียนทั่วประเทศ ซึ่งได้ริเริ่มดำเนินการตั้งแต่ปี 2550 โดยปัจจุบัน มีโรงเรียน 4,000 แห่ง ครูกว่า 70,000 คน นักเรียนกว่า 1.5 ล้านคน ได้เข้าถึงสื่อดิจิทัลเพื่อการเรียนรู้ เสริมสร้างทักษะทางวิชาการ ทั้งนี้ โครงการ 3G+ เพื่อโรงเรียนและชุมชน ภายใต้โครงการทรูปลูกปัญญา ยังช่วยให้โรงเรียนกว่า 900 แห่ง จาก 4,000 แห่งข้างต้น และสาธารณสุขชุมชนในพื้นที่ห่างไกลทั่วประเทศ ที่ระบบอินเทอร์เน็ตแบบมีสายยังเข้าไม่ถึงหรือมีอินเทอร์เน็ตความเร็วต่ำ แต่เป็นพื้นที่ที่เครือข่ายทรูมูฟ เอช 3G+ มีสัญญาณครอบคลุม มีโอกาสเข้าถึงแหล่งความรู้ ข้อมูลข่าวสารอย่างทั่วถึง และทัดเทียมกับโรงเรียนในเมืองใหญ่

“ด้วยจุดเด่นด้านยุทธศาสตร์ผู้นำคอนเวอร์เจนซ์ ผนวกกับความมุ่งมั่นที่จะรักษาความเป็นผู้นำ 3G รวมถึงการพัฒนาสินค้าและบริการที่มุ่งเน้นลูกค้าเป็นสำคัญ ทำให้มั่นใจว่า ปี 2556 นี้ กลุ่มทรูจะขยายธุรกิจได้ก้าวไกลและมั่นคง สามารถเพิ่มความแข็งแกร่งด้านการเงิน พร้อมเติบโตรับการแข่งขันเสรีได้ในที่สุด” นายศุภชัยกล่าวสรุป

View :1375
Categories: Technology, Telecom Tags:

ปี 2555 ปีทองของ Psy: วิดีโอเพลงกังนัมสไตล์ครองโลก Viki เผยข้อมูลด้านความนิยมทั่วโลกและภาษาในอินโฟกราฟิก

December 18th, 2012 No comments

สิงคโปร์ — 18 ธันวาคม 2555 – “กังนัมสไตล์” มิวสิควิดีโอยอดฮิตถล่มถลายของ (ไซ) ซูเปอร์สตาร์ เค-ป๊อบ ได้กลายเป็นวิดีโอที่มีผู้ชมมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของ YouTube ไปเมื่อเร็วๆ นี้ วันนี้ เว็บไซต์ทีวีระดับโลกที่ร่วมขับเคลื่อนโดยบรรดาแฟนๆ ตัวยง ได้เผยแพร่อินโฟกราฟิก ซึ่งแสดงให้เห็นว่ามิวสิควิดีโอเพลงนี้กลายเป็นกระแสฮิตไปทั่วโลกอย่างไร นับตั้งแต่เริ่มได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว ในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ดาวน์โหลดอินโฟกราฟิกได้ที่นี่

ข้อมูลสำหรับอินโฟกราฟิกนำมาจากแดชบอร์ดการวิเคราะห์ของ Viki ซึ่งแสดงให้เจ้าของคอนเทนต์เห็นว่า มีการเรียกดูวิดีโอของตนอย่างไร ในประเทศใด และภาษาใด* อินโฟกราฟิก ‘กังนัมสไตล์’ เป็นซีรีย์แรกที่ Viki วางแผนจะเผยแพร่ตลอดปีหน้า

มร. แทมมี่ นาม ประธานเจ้าหน้าที่การตลาดและผู้จัดการทั่วไปของ Viki ประจำทวีปอเมริกา กล่าวว่า“YouTube ทลายกำแพงที่ขวางกั้นการแบ่งปันวิดีโอและการค้นพบใหม่ๆ ดังนั้น สิ่งที่ผู้บริโภคนิยมชื่นชอบ จึงได้รับการเผยแพร่ไปทั่วโลกมากขึ้นเรื่อยๆ – คนเราต้องการอะไรที่แตกต่างจากสิ่งที่ดูได้ทางทีวีที่บ้าน ทั้งนี้ “กังนัมสไตล์’ เป็นเพียงหนึ่งในตัวอย่างวิดีโอม้ามืดมาแรงทั่วโลกอีกมากมายที่เราจะได้เห็นในปี 2556 และเรารู้สึกตื่นเต้นที่จะได้แบ่งปันข้อมูลส่วนนี้กับทุกๆ คน”

อินโฟกราฟิก ‘กังนัมสไตล์’ จัดอันดับประเทศที่มีการดูวิดีโอนี้มากที่สุด 20 ประเทศและแสดงข้อมูลเดือนต่อเดือนว่า จำนวนผู้ชมแพร่กระจายไปอย่างไรจากเกาหลีใต้ไปยังอเมริกาเหนือ เอเชีย อเมริกากลาง ยุโรป ตะวันออกกลาง โอเชียเนีย และแคริบเบียน ปัจจุบัน วิดีโอนี้ได้รับการแปลไปแล้ว 24 ภาษา จึงช่วยให้เป็นที่นิยมข้ามพรมแดนทางภูมิศาสตร์และภาษาทั่วโลก

* ข้อมูลอินโฟกราฟิกอ้างอิงตามจำนวนผู้ชมบน Viki.com

เกี่ยวกับ Viki

Viki เป็นเว็บไซต์ทีวีระดับโลกที่มีรายการทีวี ภาพยนตร์ และคอนเทนต์ระดับพรีเมี่ยมอื่นๆ ซึ่งได้รับการแปล เป็นภาษาต่างๆ มากกว่า 150 ภาษาโดยชุมชนแฟนๆ ตัวยง ด้วยจำนวนผู้ชมกว่า 18 ล้านคนต่อเดือน วิดีโอที่มีการรับชม 1 พันล้านวิดีโอ และคำแปลมากกว่า 300 ล้านคำ Viki ได้นำเสนอความบันเทิงในช่วงเวลาไพรม์ไทม์อย่างไม่เหมือนใครให้แก่ผู้ชมใหม่ๆ ตลอดจนเปิดตลาดใหม่และโอกาสด้านรายได้ สำหรับเจ้าของคอนเทนต์ ในปี 2554 Viki ประกาศว่าระดมเงินทุน Series B ได้ 20 ล้านดอลลาร์จากผู้ลงทุนเชิงกลยุทธ์หลายราย รวมทั้ง BBC Worldwide และ SK Planet ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ SK Telecom ตลอดจนจากผู้ลงทุนที่มีอยู่แล้วอย่าง Greylock Partners, Andreessen Horowitz, Charles River Ventures, Neoteny Labs และอีกมากมาย

View :1225

CAT e-auction ครองตลาดประมูลอิเล็กทรอนิกส์ 40 %

December 18th, 2012 No comments

พร้อมเผยผลสำรวจกรมบัญชีกลางนำลิ่วความพึงพอใจ แถมช่วยเซฟงบประมาณรัฐแล้วกว่า 2.5 หมื่นล้าน แผนปี 2556เตรียมเกาะกระแสเศรษฐกิจไทยโตต่อ โดยชูจุดเก่ง e-auctionออนไลน์พร้อมเพิ่มห้องประมูลรองรับ เล็งบุกตลาดหน่วยงานภูมิภาคหวังดันส่วนแบ่งตลาดขึ้น 50%

(14 ธันวาคม 2555 ณ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ ฯ ถนนแจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ )
ดร.อโณทัย คล้ามไพบูลย์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์ บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่ากสท ได้เริ่มเปิดบริการ จากนโยบายรัฐบาลที่ให้หน่วยงานรัฐใช้ระบบ e-auction ตั้งแต่ปี 2548 จนถึงปัจจุบันเป็นเวลา 7ปี โดยภาพรวมตั้งแต่ปี 2551-2555 กสท ได้ให้บริการประมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ CAT e-auctionแล้วมากกว่า 50,000 โครงการ สามารถช่วยให้รัฐบาลประหยัดงบประมาณกว่า 25,000 ล้านบาท

ทั้งนี้บริการ CAT e-auctionของ กสท ได้รับการยอมรับอย่างสูงในตลาดกลุ่มองค์กรภาครัฐและกลุ่มผู้ค้า และยังได้รับการประเมินความพึงพอใจในอันดับสูงสุดจากการสำรวจของกรมบัญชีกลางที่ได้ประเมินผลการดำเนินงานผู้ให้บริการตลาดกลางอิเล็กทรอนิกส์ปี 2553โดยการให้บริการตลาดกลางด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ CAT e-auctionได้รับการประเมินว่ามีจำนวนครั้งการประมูล มูลค่าการประมูล และรายได้ค่าบริการการประมูลสูงสุด รวมทั้งผู้ค้าเห็นว่ามีระดับความโปร่งใสและเป็นกลางสูงสุด ฯลฯ
“จุดแข็งของบริการส่วนหนึ่งคือเทคโนโลยีที่ทันสมัย แต่มากกว่านั้นคือกระบวนการดำเนินงานและระบบ ของCAT e-auction ที่ให้ความสะดวกความน่าเชื่อถือ โปร่งใส และยุติธรรม ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการทำ e-auction เรามีเจ้าหน้าที่ให้การแนะนำดูแลโดยตลอดทุกขั้นตอนจึงช่วยให้การประมูลทุกโครงการดำเนินได้อย่างราบรื่น ถูกต้องและปลอดภัย เหล่านี้เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ลูกค้าเชื่อมั่นในบริการ”
ดร.อโณทัย กล่าวต่อไปว่า ปัจจุบันบริการ CAT e-auction ของ กสท มีส่วนแบ่งตลาดประมาณ 40% ซึ่งเกือบทั้งหมดของลูกค้าคือหน่วยงานภาครัฐในส่วนกลาง สำหรับปีหน้า CAT e-auction ได้ตั้งเป้าหมายการเป็นผู้นำตลาดต่อไป โดยกลุ่มข้าราชการและรัฐวิสาหกิจยังคงเป็นกลุ่มเป้าหมายสำคัญที่จะเน้นทำประชาสัมพันธ์มากขึ้นตลอดจนพัฒนาบริการรูปแบบใหม่ๆ ออกมาอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งมีแผนการขยายตลาดไปยังลูกค้ากลุ่มภูมิภาคมากขึ้น ด้วยการจัดกิจกรรมลงพื้นที่ในกลุ่มข้าราชการองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) และองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) อย่างต่อเนื่อง

“ในการขยายตลาดจะมุ่งเน้นให้ข้อมูลแก่ อบจ. อบต.ทั่วประเทศ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในเรื่องความโปร่งใสของระบบซึ่งสามารถช่วยให้กระบวนการประมูลเสร็จสิ้นเร็วขึ้นได้ นอกจากนี้ CAT e-auction ซึ่งมีจำนวนห้องประมูล 1,600 ห้องทั่วประเทศครอบคลุมทุกจังหวัด และในระดับอำเภอใหญ่ๆ ทั่วประเทศยังสามารถจัดประมูลทางไกลออนไลน์ ผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตของ กสท ซึ่งเพิ่มความสะดวกให้ผู้ที่ไม่สามารถเดินทางมายังสถานที่ประมูลสามารถร่วมประมูลได้จากทั่วประเทศ โดยการที่ กสท เป็นเจ้าของเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ทำให้สามารถดูแลความปลอดภัยของข้อมูล อีกทั้งเชื่อถือได้ในความโปร่งใสของกระบวนการดำเนินงาน”

ด้านซอฟท์แวร์ของ CAT e-auction ได้มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องเพื่อให้เป็นไปตามกฎระเบียบการจัดซื้อจัดจ้างของกรมบัญชีกลาง โดยล่าสุด CAT e-auctionได้อัพเกรดซอฟต์แวร์ใหม่ ให้สอดคล้องกับระเบียบใหม่ของกรมบัญชีกลางเรื่องหลักเกณฑ์การเสนอลดราคาขั้นต่ำ (Minimum Bid) ที่กำหนดให้การเคาะราคาในแต่ละครั้งต้องไม่น้อยกว่าร้อยละ0.2ของการประกวดราคาสูงสุด ซึ่งประกาศใช้ตั้งแต่วันที่ 1ตุลาคม 2555ที่ผ่านมา รวมถึงก่อนหน้านี้ได้มีการปรับปรุงจากแบบ Static Pricing ที่มีการจำกัดเวลามาเป็น Dynamic Pricing ที่ผู้เข้าประมูลจะเสนอตัวเลขได้เรื่อยๆโดยไม่จำกัดเวลา ส่งผลให้ได้ราคาที่ประหยัดงบประมาณมากขึ้น

ดร.อโณทัย กล่าวว่า กสท มีรายได้รวมจากกลุ่มธุรกิจ e-Business ในปีนี้กว่า 300 ล้านบาท โดยเป็นรายได้จากบริการ CAT e-auction ประมาณ150 ล้านบาท ส่วนที่เหลือมาจากบริการประชุมออนไลน์(CAT conference) บริการตามสอบข้อมูลสินค้าเกษตร (CAT e-smart farm) บริการ IPTV (CAT e- entertainment) และบริการนิทรรศการออนไลน์ (CAT e-exhibition) ในปีหน้าตั้งเป้ารายได้กลุ่ม e-Businessเติบโตขึ้น10-20 % โดยเน้นที่บริการ CAT e-auction ซึ่งหวังจะเพิ่มส่วนแบ่งตลาดจาก 40%เป็น 50 % ทั้งนี้จากการประเมินสถานการณ์คาดว่าเป็นไปได้แน่นอน เพราะCAT e-auction มีรายได้โดยเฉลี่ยประมาณปีละ 100-150 ล้านบาท ที่ผ่านมาปี 2554 เหตุการณ์น้ำท่วมทำให้รายได้ตกไป ขณะที่ปี 2555 กลับขึ้นมาสูงขึ้น และมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่องในปี 2556

“ปีหน้าเชื่อว่าประเทศไทยมีการขยายตัวทางเศรษฐกิจในภาคส่วนต่างๆ จึงหมายถึงโครงการประมูลอีกจำนวนมาก ซึ่ง กสท มีความพร้อมรองรับด้วยห้องประมูลทั้งส่วนกลางและภูมิภาค โดยในส่วนกลางนอกจากห้องประมูลที่ กสท หลักสี่แล้ว ได้วางแผนปรับปรุงและเพิ่มห้องประมูลในพื้นที่ชั้น 3 ของ CAT Tower บางรักที่ขณะนี้ใช้งานอยู่ประมาณกว่า 30 ห้องซึ่งจะเริ่มดำเนินการในปีหน้า นอกจากนั้นจะเป็นห้องประมูลที่ตั้งอยู่ในสำนักงานสาขาทั่วประเทศเพื่อให้บริการ CAT e-auction ในส่วนภูมิภาคอย่างทั่วถึง”

ดร.อโณทัย กล่าวเพิ่มเติมว่าห้องประมูล CAT e-auction จะต้องมีการปรับปรุงให้สามารถใช้ประโยชน์สูงสุด และดูแลอุปกรณ์ต่างๆ ให้มีประสิทธิภาพตลอดเวลา ซึ่งรวมถึงการเช่าอุปกรณ์คอมพิวเตอร์จากบริษัทเพื่อให้เป็นเครื่องรุ่นใหม่ที่มีระบบทันสมัยมีการดูแลรักษาอย่างสม่ำเสมอ โดยในส่วนนี้จะใช้งบประมาณ 30 ล้านบาท ทั้งนี้ความพร้อมของบริการ CAT e-auctionถือเป็นหนึ่งในแผนกลยุทธ์ด้านการให้บริการสื่อสารโทรคมนาคมของ กสท เพื่อเสริมความแข็งแกร่งของภาคธุรกิจและประชาชน เตรียมความพร้อมและรองรับประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนซึ่งในอนาคตอันใกล้จะเห็นการขยายตัวการลงทุนและการค้าระหว่างประเทศไทยและกลุ่มประเทศเพื่อนบ้านมากขึ้น

View :1581