Archive

Archive for the ‘Technology’ Category

ชูเทคโนโลยีใหม่ดันอุตสาหกรรมท่องเที่ยวสู่ความสำเร็จ รับกระแส AEC

August 9th, 2012 No comments

การเกิดขึ้นของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน () ในปี 2558 จะส่งผลให้อุตสาหกรรมการเดินทางและการท่องเที่ยวขยายตัวมากขึ้น ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการผลักดันเทคโนโลยีที่ทันสมัย ซึ่งองค์กรภาครัฐและเอกชนจำนวนมากต่างทุ่มงบประมาณเพื่อลงทุนในการเสริมสร้างขีดความสามารถด้านดิจิตอล เพื่อสร้างยอดขายออนไลน์ที่มีประสิทธิภาพ และเครือข่ายการตลาดให้ครอบคลุมทั่วทั้งภูมิภาคและทั่วโลก

การจัดประชุม Asia Pacific Digital Travel Forum ซึ่งจะจัดขึ้นเป็นครั้งแรก ณ โรงแรมแลนด์มาร์ค กรุงเทพฯ ในวันที่ 30 สิงหาคม ศกนี้ จะเน้นให้ความสำคัญในเรื่องของเทคโนโลยีเป็นหลัก

“ไม่มีโอกาสไหนที่จะน่าสนใจมากไปกว่านี้อีกแล้ว ที่อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวจะเสริมสร้างขีดความสามารถด้านดิจิตอลให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น โอกาสที่ว่าก็คือการเกิดขึ้นของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในปี 2558 นั่นเอง” นายอภิชัย สกุลสุริยะเดช ประธานสมาคมส่งเสริมเทคโนโลยีเพื่อการท่องเที่ยว (TTA) ซึ่งเป็นเจ้าภาพร่วมในการจัดงาน กล่าว

การจัดประชุมดังกล่าวเกิดขึ้นจากความสำเร็จของการจัดงาน ASEAN ETRAVEL MART ในปีที่แล้ว ซึ่งมีผู้ซื้อผู้ขายระดับแนวหน้าจากทั่วภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกนับร้อยเข้าร่วมงาน

“งานนี้ผู้ประกอบการด้านการท่องเที่ยว ไม่ว่าจะเป็นรายเล็กหรือรายใหญ่ไม่ควรพลาดโดยเด็ดขาด เพราะจะเป็นโอกาสในการเสริมสร้างขีดความสามารถด้านดิจิตอลและฝึกฝนทักษะเกี่ยวกับเทคโนโลยีใหม่ๆ ให้กับพนักงานของตน

นายอภิชัย กล่าวอีกว่า “ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนจะกลายเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวของทั่วทั้งภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก โดยมี 10 ประเทศที่มีแหล่งท่องเที่ยวที่เป็นที่นิยมมากที่สุดในโลกเป็นสมาชิกหลัก และการประชุม Asia Pacific Digital Travel Forum ในครั้งนี้ ถือได้ว่าเป็นเวทีสำคัญที่จะผลักดันอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไปสู่ยุคดิจิตอลอย่างแท้จริง เพราะจะเป็นที่รวมพลของบรรดาผู้นำแห่งโลกอนาคตที่จะมาวาดอนาคตให้กับอุตสหากรรมการท่องเที่ยวไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองยิ่งๆ ขึ้นไป”

การจัดประชุม Asia Pacific Digital Travel Forum ได้รับการสนับสนุนจากองค์การการท่องเที่ยวโลกแห่งสหประชาชาติ หรือ UNWTO (The United Nations World Tourism Organisation) และสมาคมส่งเสริมการท่องเที่ยวภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (The Pacific Asia Travel Association – PATA) โดยจะเป็นการจัดประชุมที่ใช้เวลา 1 วัน เปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมประชุมได้รับฟังแนวคิดและอัพเดทข้อมูลใหม่ๆ จากผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวชั้นนำ ที่จะมาบอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับการท่องเที่ยวออนไลน์อันทันสมัย

“อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเป็นอุตสาหกรรมแรกๆ ที่มักนำเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาใช้ และการจัดประชุม Asia Pacific Digital Travel Forum ก็ถือได้ว่าเป็นเวทีสำคัญที่ผู้บริหารหัวก้าวหน้าจากสายการบินต่างๆ รวมทั้งโรงแรม เว็บไซต์สำหรับการท่องเที่ยว สำนักงานการท่องเที่ยวแห่งชาติ ผู้ให้บริการจองตั๋วและชำระค่าบริการอิเล็กทรอนิก และอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องจะได้มาพบปะกัน เพื่อแลกเปลี่ยนและแบ่งปันความรู้ และร่วมกันกำหนดอนาคตของการท่องเที่ยวออนไลน์” นายอภิชัย กล่าวเพิ่มเติม

เขากล่าวอีกว่า สื่อสังคมออนไลน์หรือโซเชียลมีเดียที่รวมทั้ง Facebook และ Twitter ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งการท่องเที่ยวออนไลน์เข้าไปแล้ว เพราะสื่อออนไลน์และเว็บไซต์ที่คล้ายๆ กันเหล่านี้สามารถเข้าถึงลูกค้าและนักท่องเที่ยวนับล้านๆ คนได้ภายในเวลาไม่กี่วินาที

“หนึ่งในความท้าทายที่น่ากลัวของการเกิดขึ้นของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนที่กำลังจะมาถึง คือ ประเทศสมาชิกแต่ละประเทศจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเตรียมความพร้อมอย่างเต็มที่ นั่นหมายถึงการฝึกอบรมอย่างเข้มข้นสำหรับพนักงานในทุกระดับ เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับประชาคมดังกล่าว และเตรียมพร้อมสำหรับโอกาสที่จะเปิดกว้างขึ้นอย่างไร้พรมแดน นอกจากนี้ บริษัท ห้างร้าน และสมาคมการท่องเที่ยวและหน่วยงานต่างๆ จำเป็นที่จะต้องเตรียมตัวสำหรับการแข่งขันที่เข้มข้นมากขึ้นเรื่อยๆ ในภูมิภาคและนอกเหนือไปกว่านั้นอีกด้วย” นายอภิชัย กล่าว

ผู้เข้าร่วมงานประชุม Asia Pacific Digital Travel Forum จะได้รับกำหนดการของการประชุมแบบอินเตอร์แอคทีฟฉบับเต็ม และการมาพบปะชุมนุมกันของผู้บริหารที่มีแนวคิดไปในทิศทางเดียวกันจากอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว จะยิ่งช่วยกระชับความสัมพันธ์ทางการค้าให้ดียิ่งขึ้นในระยะยาวอีกด้วย

พบกับรายละเอียดและลงทะเบียนได้ที่ http://www.digitaltravelforum.com

View :1495

สวทช.และซีเกทจัดค่ายวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ผ่านกิจกรรมสนุกสนานสำหรับเยาวชน เยาวชนจากทั่วประเทศจะเข้าร่วมค่าย เป็นระยะเวลา 3 วัน ในเดือนกันยายน

August 9th, 2012 No comments

สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีร่วมกับ บริษัทซีเกท เทคโนโลยี (ประเทศไทย) จำกัดแถลงข่าวการจัดกิจกรรมค่ายวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ประจำปี 2555 เพื่อเป็นการกระตุ้นให้เยาวชนมีความคิดสร้างสรรค์ทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีรวมถึงการให้องค์ความรู้ในเรื่องของการเตรียมพร้อมรับมือภัยธรรมชาติ
ทั้งนี้กิจกรรมดังกล่าวจะจัดให้มีขึ้นในระหว่างวันที่ 4-6 กันยายน 2555 ณบ้านวิทยาศาสตร์ สิรินธร อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย
ดร. ทวีศักดิ์ กออนันตกูล ผู้อำนวยการ กล่าวว่า“พันธกิจหลักข้อหนึ่งของ คือการพัฒนากำลังคนด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีโดยใช้การสร้างเครือข่ายพันธมิตรมาช่วยในการดำเนินการโครงการส่งเสริมและพัฒนาเด็กและเยาวชนในรูปแบบที่หลากหลาย สวทช.จึงเสนอความคิดเกี่ยวกับการจัดค่ายวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีกับทางบริษัทซีเกทฯเนื่องจากมองว่า บริษัทซีเกทฯ
เป็นบริษัทที่มีความทันสมัยและมีองค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นสำคัญโดยในกิจกรรมค่ายฯ ในครั้งนี้ สวทช.และบริษัทซีเกทฯตระหนักดีว่าการพัฒนาทักษะของเยาวชนอายุ 10-13 ปีเพื่อให้มีความเข้าใจในการนำวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไปใช้ให้เกิดประโยชน์ในชีวิตประจำวันเป็นปัจจัยพื้นฐานที่สำคัญสำหรับการเป็นนักวิทยาศาสตร์และนักเทคโนโลยีในอนาคตก็เป็นสิ่งที่จำเป็นในการพัฒนากำลังคนในศาสตร์ที่สำคัญเหล่านี้

ทั้งนี้ ภายในกิจกรรมค่ายดังกล่าวจะประกอบด้วยกิจกรรมทดลองด้านวิทยาศาสตร์การประกอบหุ่นยนต์ เพื่อนรอบตัวแนะนำเทคนิคเขียนโปรแกรมควบคุมหุ่นยนต์อย่างไรให้ฉลาดกิจกรรมสร้างที่ชาร์ตแบตจากโซลาร์เซลล์ และเวิร์คช็อปต่าง ๆเพื่อช่วยให้เยาวชนเหล่านี้สามารถรับมือกับสถานการณ์ภัยพิบัติในรูปแบบต่าง ๆโดยเยาวชนจะได้เรียนรู้บทเรียนที่มีคุณค่าเหล่านี้จากนักวิทยาศาสตร์ที่ประสบความสำเร็จเจ้าหน้าที่ของสวทช.และพนักงานซีเกทตลอดจนผู้เชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและกิจกรรมอื่นๆที่มุ่งเน้นให้ความรู้และความเข้าใจแก่เยาวชน สร้างเจตนคติที่ดีต่อวิทยาศาสตร์จนนำไปสู่การเริ่มต้นศึกษาต่อไปในอนาคตนอกจากการเรียนรู้ทางเทคโนโลยียังมีการนำวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาใช้ในชีวิตประจำวันเนื่องจากสภาพการณ์ในปัจจุบัน ภัยพิบัติทางธรรมชาติต่าง ๆ
เกิดขึ้นบ่อยครั้งหลายพื้นที่ทั่วโลกรวมทั้งในประเทศไทยและไม่ได้เป็นเรื่องที่ไกลตัวมนุษย์อีกต่อไป ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน
สร้างความสูญเสียต่อชีวิตและทรัพย์สินอย่างมหาศาลและเพื่อเตรียมพร้อมรับมืออย่างถูกต้อง การเรียนรู้ถึงสาเหตุก็จะช่วยให้มนุษย์รอดพ้นจากมหันตภัยหรือลดความรุนแรงและความสูญเสียที่อาจจะเกิดขึ้นได้ค่ายเยาวชนนี้จะสร้างความตระหนักและตื่นตัวในการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าให้แก่เยาวชนทั้งนี้ทักษะเหล่านี้จะเป็นประโยชน์ต่อเขาและครอบครัวเมื่อเกิดภัยพิบัติขึ้น

นางสาวศิริรัตน์ เอี่ยวผดุง ผู้จัดการโรงงานเทพารักษ์ บริษัทซีเกทเทคโนโลยี(ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “การเปิดตัวค่ายวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่จัดขึ้นในวันนี้ เป็นความร่วมมือครั้งแรกระหว่างซีเกทกับสวทช.ในการจัดค่ายวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีซึ่งซีเกทเชื่อมั่นว่ากิจกรรมค่ายนี้จะเป็นอีกหนึ่งรูปแบบใหม่ของการเรียนรู้สำหรับเด็กและเยาวชนไทยการฝึกอบรมให้ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีนั้นจะไม่จำกัดเฉพาะทางด้านทฤษฎีแต่จะฝึกให้เยาวชนทดลองและเรียนรู้ด้วยประสบการณ์ตรงอันมีค่าแก่การต่อยอดความรู้ของเยาวชนไทยและจะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทัศนคติของผู้เข้าค่ายไปในแนวทางที่ดีเรายินดีที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของค่ายนี้” ซีเกทมีนโยบายในการส่งเสริมการพัฒนาความรู้และทักษะของเยาวชนและนิสิตนักศึกษาด้านวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี คณิตศาสตร์และวิศวกรรมศาสตร์ ผ่านกิจกรรมเรียนรู้และทดลองและได้ร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและมหาวิทยาลัยจัดกิจกรรมต่างๆดังกล่าวอย่างต่อเนื่องในประเทศไทยเพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาบุคลากรที่มีศักยภาพผู้ซึ่งจะนำพาประเทศไปสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืนต่อไป

ผู้ปกครองและนักเรียนอายุ 10-13 ปี ที่สนใจเข้าร่วมกิจกรรม“” สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร.0-2529-7100 ต่อ 77215

View :1513

ก.ไอซีที ชวนประชาชนชาวไทยร่วมถวายพระพรออนไลน์ เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา 12 สิงหาคม

August 9th, 2012 No comments

นาวาอากาศเอกอนุดิษฐ์ นาครทรรพ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กล่าวว่า กระทรวงฯ ได้จัดกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา 12 สิงหาคม 2555 โดยการจัดทำเว็บไซต์ถวายพระพรออนไลน์เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ขึ้น ภายใต้ชื่อ www.welovequeenonline.com เพื่อเป็นอีกหนึ่งช่องทางที่ให้ประชาชนชาวไทย สามารถร่วมแสดงความจงรักภักดีได้ทุกที่ทุกเวลา

“กระทรวงฯ ได้มอบหมายให้หน่วยงานในสังกัด คือ สำนักงานส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) จัดทำเว็บไซต์ welovequeenonline.com โดยประสานงานกับกองงานในพระองค์สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เพื่อขอพระราชานุญาตนำพระฉายาลักษณ์ และตราสัญลักษณ์ 80 พรรษามาเผยแพร่ในหน้าหลักของเว็บไซต์ รวมถึงในการ์ดถวายพระพรที่จัดทำเป็นรูปแบบ e-postcard พระฉายาลักษณ์สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ พร้อมบทกลอนมีทั้งหมด 8 แบบ ให้ประชาชนได้เลือกร่วมกับคำถวายพระพรที่ถ่ายทอดถึงความจงรักภักดีต่อพระองค์ ซึ่งมีให้เลือก 4 ข้อความ ได้แก่ 1.ทีฆายุกา โหตุ มหาราชินี 2.ขอพระองค์ทรงมี พระพลานามัยแข็งแรง 3.ขอพระองค์ทรงพระเจริญ มีพระชนมายุยิ่งยืนนาน และ 4.ขอทรงพระเจริญ เป็นมิ่งขวัญของปวงชนชาวไทย นอกจากนั้นในเว็บไซต์นี้ยังมีวิดีโอสารคดีเฉลิมพระเกียรติฯ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ อันเป็นสารคดีที่เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับ พระราชกรณียกิจของพระองค์ท่าน โดยปรากฏอยู่ในหน้าแรกของเว็บไซต์ เพื่อให้ประชาชนได้ร่วมชื่นชมและซาบซึ้งกับพระมหากรุณาธิคุณ ที่พระองค์ทรงมีต่อประเทศไทย

กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร จึงขอเชิญชวนประชาชนทุกคนทั่วประเทศ ร่วมกิจกรรมถวายพระพรออนไลน์ผ่าน www.welovequeenonline.com ที่กระทรวงฯ และหน่วยงานในสังกัดได้จัดทำขึ้น เพื่อร่วมแสดงความจงรักภักดีต่อสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ โดยพร้อมเพรียงกันได้แล้วตั้งแต่วันนี้” นาวาอากาศเอกอนุดิษฐ์ กล่าว

View :1204

ก.ไอซีที ผลักดันภาคอุตสาหกรรม ICT ไทย ให้พร้อมรับการก้าวเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน

August 8th, 2012 No comments

นาวาอากาศเอกอนุดิษฐ์ นาครทรรพ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กล่าวถึงการเตรียมความพร้อมของภาคอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT) ไทยเพื่อก้าวเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ว่า กระทรวงฯ ได้วางแผนการดำเนินโครงการส่งเสริมการลงทุน และพัฒนาธุรกิจเพื่อเพิ่มศักยภาพการแข่งขันของผู้ประกอบการ ICT ไทยสู่สากล โดยได้มีการดำเนินงานในด้านต่างๆ ทั้งด้านการรวบรวมข้อมูล และการจัดทำนโยบายและแผนยุทธศาสตร์ การสร้างผู้ประกอบการรายใหม่ เพื่อเข้าสู่ภาคอุตสาหกรรม ICT ไทย และเตรียมความพร้อมสำหรับการเคลื่อนย้ายแรงงาน ในการเข้าสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน เป็นต้น

“กระทรวงฯ ได้มีการจัดทำแผนยุทธศาสตร์ของภาคอุตสาหกรรม ICT ในด้านต่างๆ ทั้งอุตสาหกรรมโทรคมนาคม อุตสาหกรรมพัฒนาซอฟต์แวร์ อุตสาหกรรมแอนิเมชั่น อุตสาหกรรมเกมส์ อุตสาหกรรมผลิตคอมพิวเตอร์ อุตสาหกรรมการให้บริการเครือข่าย อุตสาหกรรมสมองกลฝังตัว และอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์เพื่อการท่องเที่ยว รวมทั้งมีการรวบรวมข้อมูลสถานภาพของผู้ประกอบการในแต่ละภาคอุตสาหกรรม ICT และภาพรวมของอุตสาหกรรม ICT ไทย เช่น มูลค่าอุตสาหกรรม ICT จำนวนผู้ประกอบการและบุคลากรในแต่ละภาคฯ แนวโน้มการเจริญเติบโตของแต่ละภาคอุตสาหกรรมฯ รวมทั้งแนวโน้มทางเทคโนโลยี เพื่อที่กระทรวงฯ จะนำมาใช้กำหนดนโยบายและแผนงานในการส่งเสริมภาคอุตสาหกรรม ICT ได้อย่างถูกต้อง พร้อมกันนี้ยังได้มีการจัดระดมสมองผู้ประกอบการในแต่ละภาคอุตสาหกรรมฯ เพื่อให้ความรู้ในการเตรียมตัวรองรับการแข่งขันจากต่างประเทศ และเปิดโอกาสให้มีการแสวงหาพันธมิตรจากประเทศในกลุ่มอาเซียน เพื่อสร้างความได้เปรียบในเชิง Value Chain รวมถึงจัดสัมมนาผู้ประกอบการที่มีผลกระทบจากการปฏิบัติตามการรับรองมาตรฐานวิชาชีพอุตสาหกรรม ICT ตามข้อตกลงของ e-ASEAN เพื่อทราบนโยบายและแนวทางการรับรองมาตรฐานวิชาชีพ และให้ความเห็นในการปรับปรุงการรับรองมาตรฐานให้สอดคล้องกับความเป็นจริงในภาคอุตสาหกรรมทั้งในและต่างประเทศ” นาวาอากาศเอกอนุดิษฐ์ กล่าว

ส่วนด้านการสร้างผู้ประกอบการรายใหม่ (New Entrepreneur) เพื่อเข้าสู่ภาคอุตสาหกรรม ICT ทั้งไทยและต่างประเทศ กระทรวงฯ ได้มีการจัดทำหลักสูตรฝึกอบรมนักธุรกิจรุ่นใหม่ เพื่อให้มีความรู้และความเข้าใจในเรื่องต่างๆ ทั้งการตลาด การเงิน กฎหมาย และระบบบัญชี ซึ่งจะช่วยให้สามารถเริ่มต้นธุรกิจได้อย่างถูกต้อง รวมทั้งช่วยลดอัตราความล้มเหลวในการทำธุรกิจได้ และยังมีการจัดทำหลักสูตรฝึกอบรมผู้ประกอบการ และผู้บริหารระดับสูง (ICT Executive Program) เพื่อให้ผู้ประกอบการในระดับผู้บริหารระดับสูงในภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคผู้ใช้งาน ได้มีความเข้าใจที่ตรงกันทั้งสามฝ่าย และก่อให้เกิดการสร้างเครือข่ายที่เข้มแข็งเพื่อรองรับการแข่งขันจากต่างประเทศ นอกจากนี้ ยังจะมีการจัดตั้งสถาบันเฉพาะทางด้าน ICT เพื่อเป็นแหล่งพัฒนาบุคลากรที่มีทักษะในสาขาที่มีความสำคัญสูงหรือมีแนวโน้มความต้องการสูงขึ้นในอนาคต โดยได้บูรณาการงานพัฒนาบุคลากรด้าน ICT ร่วมกับสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ (องค์การมหาชน) และหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อการวางกรอบมาตรฐานวิชาชีพด้าน ICT ในการเสริมสร้างศักยภาพของบุคลากรก่อนเข้าสู่ตลาดแรงงานในอุตสาหกรรม ICT อย่างมีประสิทธิภาพ และผลักดันให้ประเทศไทยแสดงบทบาทในการเป็นศูนย์กลางด้านการพัฒนาบุคลากร ICT ของอาเซียนที่มีมาตรฐานและทักษะในวิชาชีพอันเป็นที่ยอมรับร่วมกัน ทั้งนี้ เพื่อส่งเสริมการเคลื่อนย้ายบุคลากร ICT ของภูมิภาคอาเซียน

นอกจากนี้ ยังได้มีการส่งเสริมให้มีการประยุกต์ใช้ ICT เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานให้ผู้ประกอบการ อาทิ การใช้ระบบเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ สำหรับการทำธุรกรรมขั้นพื้นฐาน กรอกแบบฟอร์มเอกสารทางราชการ การรักษาความปลอดภัยข้อมูลส่วนบุคคลโดยการใช้บัตรประชาชนสมาร์ทการ์ดเพื่อยืนยันตัวตนในการทำธุรกรรมทางการเงิน การรับส่งอีเมล์สำคัญ หรือการเข้ารหัสไฟล์ข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ที่สำคัญ เป็นต้น รวมทั้งยังส่งเสริมและประชาสัมพันธ์ให้ผู้ประกอบการที่ได้มาตรฐานการพัฒนาสินค้าและบริการ เช่น มาตรฐาน มอก. หรือ ISO หรือ CMMI หรือมาตรฐานอื่นที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ผู้ประกอบการรายที่ยังไม่ได้มาตรฐานต้องเร่งพัฒนาตัวเองให้สามารถแข่งขันกับคู่แข่งจากต่างประเทศที่มีความพร้อมทั้งด้านสินค้า/บริการ การเงิน และบุคลากร

“กระทรวงฯ ได้ดำเนินการในโครงการต่างๆ ที่ช่วยส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพบุคลากรด้าน ICT อย่างต่อเนื่อง โดยตั้งแต่ปี 2550 โดยได้มีการสำรวจบุคลากรด้านไอที ทั้งในด้านความต้องการ (Demand) และด้านการผลิต (Supply) จัดทำกรอบมาตรฐานวิชาชีพผู้เชี่ยวชาญด้าน ICT จำนวน 3 กรอบ คือ มาตรฐานวิชาชีพผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงปลอดภัยของระบบเครือข่ายและคอมพิวเตอร์ ด้านความมั่นคงปลอดภัยของระบบสารสนเทศและข้อมูล และด้านการบริหารความมั่นคงปลอดภัยของข้อมูล จัดฝึกอบรมหลักสูตรภาษาอังกฤษสำหรับบุคลากรด้าน ICT ทำการศึกษาสายงานวิชาชีพด้าน ICT เพื่อจัดทำกรอบมาตรฐานวิชาชีพผู้เชี่ยวชาญด้าน ICT ไทย โดยเป็นการศึกษา วิเคราะห์ เพื่อจัดทำรายงานการศึกษาข้อมูลสายงานวิชาชีพด้าน ICT ของประเทศไทย และต่างประเทศ ทั้งในปัจจุบันและคาดการณ์ว่าจะมีในอนาคต รายงานการจัดประเภทกลุ่มสายงานวิชาชีพด้าน ICT ของประเทศไทย รายงานการจัดทำเส้นทางอาชีพในสายงานวิชาชีพด้าน ICT และ รายงานผลการศึกษาข้อดีและข้อเสียของการมีมาตรฐานวิชาชีพ ICT ในภาคอุตสาหกรรมด้าน ICT รวมทั้งยังได้ดำเนินโครงการ ASEAN ICT Skill Standards-Definition and Certification (ISSDaC) ซึ่งจะมุ่งเน้นการศึกษาวิชาชีพด้าน ICT 5 วิชาชีพ คือ Software Development, ICT Project Management, Enterprise Architecture Design, Network and System Administration และ Information System and Network Security ซึ่งโครงการทั้งหมดนี้ล้วนเป็นโครงการที่ช่วยเตรียมความพร้อมให้ผู้ประกอบการ ICT ไทยสามารถก้าวสู่การแข่งขันในระดับสากลได้” นาวาอากาศเอกอนุดิษฐ์ กล่าว

View :1332

สำนักงาน “แอร์เอเชีย อาเซียน” จัดงานเปิดตัวอย่างเป็นทางการรองรับแผนการขยายกลุ่มแอร์เอเชียสู่ระดับภูมิภาค

August 7th, 2012 No comments

สำนักงานประจำภูมิภาคของสายการบินแอร์เอเชีย สายการบินราคาประหยัดที่ดีที่สุดในโลก ได้จัดงานเปิดตัวอย่างเป็นทางการในวันที่ 7 สิงหาคม 2555

การเปิดสำนักงานแอร์เอเชีย อาเซียน เป็นการตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นของแอร์เอเชียที่มีต่อภูมิภาคอาเซียน ซึ่งเป็นบ้านของเรา รวมทั้งวันที่ 7 สิงหาคมนี้ยังเป็นวันก่อนวันครบรอบ 45 ปีของการก่อตั้งสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หรืออาเซียน

การก่อตั้งสำนักงานประจำภูมิภาคครั้งนี้ จะส่งเสริมภาพลักษณ์ของแอร์เอเชียในการเป็นสายการบินแห่งอาเซียน ตามกลยุทธ์การขยายงานสู่ภูมิภาคของกลุ่มแอร์เอเชีย ปัจจุบันกลุ่มแอร์เอเชียประกอบด้วย 6 สายการบิน ได้แก่ แอร์เอเชีย มาเลเซีย ไทยแอร์เอเชีย แอร์เอเชียอินโดนีเซีย แอร์เอเชียฟิลิปปินส์ และแอร์เอเชีย แจแปน ซึ่งให้บริการเส้นทางระยะสั้น และแอร์เอเชีย เอ็กซ์ สายการบินผู้ให้บริการเส้นทางระยะไกล สายการบิน 5 แห่งของกลุ่มแอร์เอเชียมีฐานการบินอยู่ในภูมิภาคอาเซียน

โทนี่ เฟอร์นานเดส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มสายการบินแอร์เอเชีย และกามารูดิน มารานุน รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มสายการบินแอร์เอเชีย จะนั่งประจำที่สำนักงานแอร์เอเชีย อาเซียน

“การก่อตั้งสำนักงานแอร์เอเชีย อาเซียนในกรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย เพื่อเป็นสำนักงานประจำภูมิภาค จะช่วยให้เราส่งต่อแนวคิดที่ว่า “ใครๆ ก็บินได้” ไปยังชาวอาเซียนทุกคนและภูมิภาคใกล้เคียง เราโชคดีอย่างยิ่งที่ได้อยู่ในภูมิภาคที่เศรษฐกิจยังคงเติบโตอย่างมั่นคง ขณะที่บางภูมิภาคอย่างยุโรปและสหรัฐอเมริกาเผชิญกับมรสุม เราเชื่อว่ากลยุทธ์ของแอร์เอเชียที่ให้ความสำคัญกับภูมิภาค ไม่เพียงจะส่งผลดีกับธุรกิจ แต่ยังทำให้เราก้าวเหนือคู่แข่งได้อย่างแน่นอน” โทนี่กล่าว

แอร์เอเชีย อาเซียน ในฐานะศูนย์กลางทางความคิดของแผนงานการขยายสู่ภูมิภาค จะช่วยให้แอร์เอเชียเตรียมพร้อมรับมือนโยบายการเปิดน่านฟ้าเสรีอาเซียนและการรวมเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ซึ่งเป็นแผนงานของสำนักงานเลขาธิการอาเซียนที่จะริเริ่มในการรวม 10 ประเทศอาเซียนเข้าด้วยกัน
“แอร์เอเชีย อาเซียน จะช่วยส่งให้แนวคิด เสียง และความเห็นของแอร์เอเชียมีพลังต่ออาเซียน เหตุผลหนี่งในการตั้งสำนักงานที่กรุงจาการ์ตา เพื่อช่วยให้แอร์เอเชียได้ทำงานใกล้ชิดกับสำนักงานเลขาธิการอาเซียน ซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่นี่” เฟอร์นานเดสกล่าว

ตามแผนซึ่งเน้นขยายตัวในภูมิภาค แอร์เอเชียจะขยายตลาดรองรับประชากร 600 ล้านคน ซึ่งถือว่าเป็นตลาดที่มีศักยภาพพร้อม โดยแอร์เอเชียจะทำให้อาเซียนใกล้ชิดกันมากขึ้น ด้วยเที่ยวบินที่มีรัศมีให้บริการภายใน 4 ชั่วโมง และเชื่อมต่อไปยังประเทศเพื่อนบ้านที่มีประชากรจำนวนมากอย่างจีนและอินเดีย รวมทั้งในญี่ปุ่นและเกาหลี หากรวมทั้งในอาเซียน เอเชียตะวันออกเฉียงเหนือ และเอเชียใต้ จะมีประชากรถึง 3 พันล้านคน หรือคิดเป็น 43% ของประชากรโลก โทนี่กล่าวเพิ่มเติม

แอร์เอเชียได้ดำเนินงานตามแผนการขยายสู่ภูมิภาค ด้วยการเพิ่มจำนวนฝูงบิน ซึ่งกลุ่มแอร์เอเชียได้สั่งซื้อเครื่องบินแอร์บัส เอ320 จำนวน 375 ลำ แอร์บัส เอ330 จำนวน 25 ลำ และแอร์บัส เอ350 จำนวน 10 ลำ ปัจจุบันฝูงบินของกลุ่มแอร์เอเชียประกอบด้วยแอร์บัส เอ320 จำนวน 104 ลำ แอร์บัส เอ330 จำนวน 9 ลำ และแอร์บัส เอ340 จำนวน 2 ลำ ให้บริการบินตรง 160 เส้นทาง สู่ 85 ปลายทาง ซึ่ง 55 ปลายทางอยู่ในกลุ่มประเทศอาเซียน

ความมุ่งมั่นของแอร์เอเชียที่มีต่ออาเซียนได้ขยายครอบคลุมเครือข่ายเส้นทางบินของแอร์เอเชีย แอร์เอเชียให้โอกาสในการทำงานกับพนักงานกว่า 10,000 คนจากทั่วอาเซียน และเปิดโอกาสให้ผู้โดยสารกว่า 140 ล้านคนได้เดินทางไปกับเรา นับตั้งแต่ก่อตั้งสายการบินราคาประหยัดในปี 2544 นอกจากนี้แอร์เอเชียยังมีโครงการหลากหลายในระดับภูมิภาคทั้งในด้านกฬาและเยาวชน รวมทั้งในระดับโลกด้วย เมื่อเดือนกรกฎาคม 2555 แอร์เอเชีย อาเซียนได้เปิดตัว “อาเซียนนิต้า” ตัวการ์ตูนสาวน้อยน่ารัก ไกด์สาวที่จะพาคุณท่องไปทั่วอาเซียน นำเสนอผ่านช่องทางเครือข่ายสังคมที่ได้รับความนิยม ขณะนี้ Facebook (facebook.com/Aseanita) มีแฟนเพจ 2,700 คน และมีผู้ติดตาม Twitter (@Aseanita) 250 คน

เนื่องในโอกาสเปิดสำนักงานแอร์เอเชีย อาเซียน อย่างเป็นทางการ และเนื่องในโอกาสครบรอบ 45 ปีของการก่อตั้งสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หรืออาเซียน แอร์เอเชียได้ออกโปรโมชั่นบัตรโดยสาราคาพิเศษ เริ่มต้นเพียง 790 บาทต่อเที่ยว บินเที่ยวปลายทางในฝัน เช่น เชียงราย สิงคโปร์ บาหลี ฮ่องกง และอีกมากมาย สำรองที่นั่งทาง www.airasia.com ตั้งแต่วันนี้ ถึง 12 สิงหาคม 2555 เพื่อเดินทางวันที่ 1 พฤศจิกายน 2555 ถึง 31 มกราคม 2556 ด้านแอร์เอเชีย โกก็ร่วมออกโปรโมชั่นห้องพักราคาพิเศษ ลดสูงสุดถึง 50% เพียงเข้าไปที่ www.AirAsiaGo.com ช่วงเวลาสำรองที่นั่งและเวลาเข้าพักเช่นเดียวกับโปรโมชั่นของแอร์เอเชีย

View :1952

ข้อเข่าขาเทียมสำหรับคนพิการขาขาดจากการใช้รถใช้ถนน เพื่อเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ เนื่องในโอกาสเฉลิมพระชนมพรรษา ๘๐ พรรษา

August 6th, 2012 No comments

โครงการเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำริสมเด็จเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ร่วมกับ กองทุนเพื่อความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน (กปถ.) กรมการขนส่งทางบก กระทรวงคมนาคม ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ศูนย์สิรินธรเพื่อการฟื้นฟูสมรรถภาพทางการแพทย์แห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข บริษัท แฮลเชี่ยนเมทอล จำกัด และ สถานีวิทยุจส.๑๐๐ จัดทำโครงการข้อเข่าขาเทียมสำหรับคนพิการขาขาดระดับเหนือเข่า ที่ประสบอุบัติเหตุจากการใช้รถใช้ถนน เพื่อเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ 
เนื่องในโอกาสเฉลิมพระชนมพรรษา ๘๐ พรรษา โดยมีเป้าหมายหลักเพื่อสนับสนุนให้คนพิการขาขาดระดับเหนือเข่าประสบประสบอุบัติเหตุจากการใช้รถใช้ถนนมีคุณภาพชีวิตที่ดีในการดำรงชีวิตในสังคม อันเป็นการเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ เนื่องในโอกาสเฉลิมพระชนมพรรษา ๘๐ พรรษา และสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ ที่ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณต่อพสกนิกรที่พิการ

ปัจจุบันมีผู้พิการแขนขาขาดเป็นจำนวนมาก ตามรายงานการสำรวจคนพิการ พ.ศ. ๒๕๕๐ ของสำนักงานสถิติแห่งชาติ พบว่า มีผู้พิการขาขาดทั้งหมด ๒๓,๗๗๗ คน คิดเป็นร้อยละ๑.๘ ของผู้พิการทั้งหมดและเป็นร้อยละ ๓๖.๙๘ ของประชากรคนพิการแขนขาขาด สาเหตุของความพิการอาจเป็นจากความพิการแต่กำเนิด อุบัติเหตุ โรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ซึ่งการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้พิการกลุ่มนี้ โดยการจัดหาขาเทียมที่มีประสิทธิภาพ เหมาะสมกับวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของคนไทยจะช่วยให้ผู้พิการเหล่านี้มีระดับความสามารถสูงขึ้นช่วยเหลือตนเองได้ และสามารถดำรงตนอยู่ในสังคมได้อย่างปกติและมีความสุขตามที่สภาพร่างกายและสังคมจะเอื้ออำนวย พร้อมทั้งยังสามารถก่อให้เกิดผลผลิตแก่สังคมได้

การจัดทำขาเทียมในประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งขาเทียมแกนใน (Endoskeleton Prosthesis) ยังต้องมีการนำเข้าวัสดุส่วนประกอบจากต่างประเทศ ซึ่งมีราคาสูง โดยนักกายอุปกรณ์หรือช่างกายอุปกรณ์จะนำส่วนประกอบต่างๆ มาประกอบเป็นขาเทียมให้เหมาะสมแก่คนพิการขาขาดแต่ละราย จากสถิติคนพิการขาขาดข้างต้น จะเห็นได้ว่ามีจำนวนคนพิการขาขาดมีจำนวนไม่น้อย และมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นจากสาเหตุต่างๆ หลายประการ รวมทั้งสาเหตุจากการจราจรทางบก หน่วยงานที่มีความสามารถและให้บริการยังมีไม่เพียงพอกับความต้องการ และงบประมาณในการจัดหาส่วนประกอบมีจำกัด ดังนั้นจึงมีความจำเป็นต้องพัฒนาหาส่วนประกอบที่สามารถผลิตได้เองภายในประเทศ และมีคุณภาพที่เหมาะสม เพื่อลดค่าใช้จ่าย รวมถึงสามารถให้บริการได้ทั่วถึงมากขึ้น ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ () จึงได้ร่วมมือกับศูนย์สิรินธรเพื่อการฟื้นฟูสมรรถภาพทางการแพทย์แห่งชาติ และบริษัทแฮลเชี่ยน เมทอล จำกัด ได้ดำเนินการวิจัยเพื่อพัฒนาข้อเข่าขาเทียมแบบสี่จุดหมุน และส่วนประกอบแกนในไม่รวมฝ่าเท้าขึ้นเมื่อปี ๒๕๕๒ โดยใช้เทคโนโลยีขั้นสูงในการขึ้นรูป การใช้วัสดุที่มีความแข็งแรง ทนทานขึ้น รวมทั้งการพัฒนาระบบปรับหน่วง และระบบล็อคข้อเข่าเพื่อป้องกันการพับงอของข้อเข่าซึ่งจะเป็นอันตรายต่อการใช้งานของคนพิการ เช่น การหกล้ม ซึ่งการพัฒนาดังกล่าวใช้เทคโนโลยีและวัสดุภายในประเทศไทย เพื่อเป็นการลดการนำเข้าวัสดุข้อเข่าขาเทียมจากต่างประเทศ โดยได้นำผลงานวิจัยดังกล่าวมาทดสอบทางวิศวกรรมเทียบตามมาตรฐานการทดสอบของ ISO 10328 : 2006 ประกอบด้วย

การทดสอบแรงพิสูจน์สถิตย์ และการทดสอบวัฏจักรของโครงสร้างรวม และทดสอบทางการแพทย์โดยให้คนพิการขาขาดเหนือเข่าจำนวน ๕ คนทดสอบใส่ขาเทียมที่พัฒนาขึ้นใหม่ในเวลา ๓ เดือน ผลการทดสอบปรากฏว่า ข้อเข่าเทียมที่พัฒนาขึ้น ผ่านการทดสอบตามมาตรฐานการทดสอบของ ISO 10328 : 2006 โดยข้อเข่าเทียมแบบสี่จุดหมุนและส่วนประกอบแกนใน ผ่านการทดสอบแรงพิสูจน์สถิตย์ และการทดสอบแบบวัฎจักร จำนวน ๓,๐๐๐,๐๐๐ รอบ สำหรับผู้ใช้งานที่มีน้ำหนักไม่เกิน ๘๐ กิโลกรัม และผ่านการทดสอบโดยคนพิการขาขาดเหนือเข่าทดสอบการใช้งานทางการแพทย์ โดยพบว่า อาสาสมัครทั้ง ๕ รายสามารถใช้งานขาเทียมได้ในชีวิตประจำวันตามปกติ ไม่มีความเสียหายที่มีผลต่อการใช้งาน

ภายหลังจากการทดสอบทางวิศวกรรมครั้งที่ ๑ คณะวิจัยได้ปรับปรุงข้อเข่าขาเทียมเดิมให้มีคุณสมบัติดีขึ้นและพร้อมนำไปใช้งานจริงมากขึ้นและทำการทดสอบครั้งที่ ๒ เพื่อขยายผล ภายใต้โครงการ “พัฒนาข้อเข่าขาเทียมแบบสี่จุดหมุนและส่วนประกอบแกนในเชิงพาณิชย์เพื่อการทดสอบการใช้งานทางการแพทย์ในพื้นที่ ๕ ภูมิภาค เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๗ รอบ ๕ ธันวาคม ๒๕๕๔” โดยได้ดำเนินการทดสอบข้อเข่าขาเทียมในคนพิการ จำนวน ๘๔ คน ใน ๕ ภูมิภาคของประเทศไทย ซึ่งโครงการดังกล่าวได้ดำเนินการสำเร็จลุล่วงตามวัตถุประสงค์ไปแล้วเมื่อปี พ.ศ.๒๕๕๔ โดยทำการทดสอบในคนพิการตัดขาระดับเหนือเข่าที่ยินยอมเข้าร่วมโครงการ โดยทำการ ทดสอบทั้งสิ้น ๔ ภาค ประกอบด้วยโรงพยาบาลจำนวน ๗ แห่ง ได้แก่ ศูนย์สิรินธรเพื่อการฟื้นฟูสมรรถภาพทางการแพทย์แห่งชาติ โรงพยาบาลศูนย์ราชบุรี จ.ราชบุรี โรงพยาบาลนครปฐม จ.นครปฐม โรงพยาบาลพระจอมเกล้า จ.เพชรบุรี โรงพยาบาลพุทธชินราช จ.พิษณุโลก โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา จ.นครราชสีมา และโรงพยาบาลศูนย์สุราษฎร์ธานี จ. สุราษฎร์ธานี ผลการทดสอบ พบว่าคนพิการขาขาดที่เข้าร่วมโรงการมีสาเหตุมาจากการจราจรทางบก (อ้างอิงจากการเก็บข้อมูลการทดสอบในคนพิการระยะที่ ๒ จำนวน ๖๐ คน จาก ๘๔ คน ) ผลการทดสอบภายหลังจากใช้งานเป็นระยะเวลา ๓ เดือน โดยทำการทดสอบจับเวลาการเดิน (Time up and go test) โดยเริ่มจากนั่งเก้าอี้ ลุกขึ้นยืน และเดิน ไป- กลับมานั่งรวมระยะทาง ๖ เมตร พบว่าใช้เวลาในการเดินน้อยกว่าขาเทียมแบบเดิม ซึ่งส่วนใหญ่ของคนพิการขาขาดที่เป็นอาสาสมัครใช้ขาเทียมแบบแกนนอก
คณะวิจัยจึงได้สรุปว่า สามารถใช้งานได้ในกิจกรรมการใช้งานทั่วไป ถึงกิจกรรมระดับปานกลาง เช่นการเดินในพื้นที่เรียบ ลุก-นั่ง จากพื้นและเก้าอี้ และเดินโดยใช้ความเร็วระดับปานกลาง ที่ระดับน้ำหนักตัวของผู้ใช้งานไม่เกิน ๘๐ กิโลกรัม และคนพิการขาขาดอาสาสมัครมีระดับความพึงพอใจในการใช้งานในระดับดีสามารถเดินได้เร็วขึ้นเมื่อเทียบกับการใช้ขาเทียมเดิมที่คนพิการใช้ในปัจจุบัน

ในปี พ.ศ.๒๕๕๕ นี้ด้วยความตระหนักถึงความต้องการของคนพิการขาขาด และรู้สึกสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ ที่ทรงมีต่อคนพิการ กองทุนเพื่อความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน(กปถ.) จึงขอเชิญชวนผู้พิการจากอุบัติเหตุจากการใช้รถใช้ถนนเข้าร่วม“โครงการข้อเข่าขาเทียมสำหรับคนพิการขาขาดระดับเหนือเข่าที่ประสบประสบอุบัติเหตุจากการใช้รถใช้ถนน เพื่อเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ เนื่องในโอกาสเฉลิมพระชนมพรรษา ๘๐ พรรษา” โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ ซึ่งจะเปิดรับผู้พิการขาขาดระดับเหนือเข่าเข้าร่วมโครงการฯจำนวน ๘๐ คน อันจะเป็นการช่วยให้ผู้พิการขาขาดระดับเหนือเข่า ๘๐ คน ได้รับข้อเข่าขาเทียมแบบสี่จุดหมุน เป็นการส่งเสริมผลิตภัณฑ์ที่ผลิตขึ้นภายในประเทศจากการวิจัยและพัฒนาของคนไทย ลดการนำเข้าข้อเข่าขาเทียมต่างประเทศที่มีราคาแพง ซึ่งส่งผลกระทบที่ดีในด้านต่าง ๆ อาทิ ด้านเศรษฐกิจ จะช่วยลดการสูญเสียเงินตราจากการนำเข้าข้อเข่าขาเทียมจากต่างประเทศ (๒๕,๐๐๐ บาทต่อขา) ไม่เกิน ๒,๐๐๐,๐๐๐บาท (สองล้านบาทถ้วน) สำหรับผู้ป่วย ๘๐ คน ด้านสังคม จะช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิตให้กับคนพิการขาขาดระดับเหนือเข่าทำให้สามารถประกอบกิจกรรมต่างๆ ได้อย่างปกติส่งผลให้มีสุขภาพแข็งแรงและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และคนพิการขาขาดได้เข้าถึงการให้บริการขาเทียม โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ด้านวิชาการได้พัฒนากระบวนการให้บริการด้านกายอุปกรณ์ และพัฒนาเทคโนโลยีด้านวัสดุข้อเข่าขาเทียมและชิ้นส่วนประกอบที่ผลิตได้ในประเทศให้ดียิ่งขึ้นในอนาคต รวมทั้งได้ถ่ายทอดเทคโนโลยีข้อเข่าขาเทียมและชิ้นส่วนประกอบอย่างทั่วถึง และ เพิ่มสมรรถนะของบุคลากรในงานบริการด้านกายอุปกรณ์เทียมให้สูงขึ้น

ผู้พิการขาขาดระดับเหนือเข่า สามารถแจ้งความประสงค์เข้าร่วมโครงการได้ที่ สถานีวิทยุ จส.๑๐๐ หมายเลขโทรศัพท์ ๑๑๓๗.

View :1582

เอไอเอส โชว์เทคโนโลยีในงาน Bangkok International ICT Expo 2012 ผ่านแนวคิด “Today & Beyond” หนุนประเทศไทยก้าวสู่ Smart Thailand

August 3rd, 2012 No comments

นายวิเชียร เมฆตระการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทแอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ เอไอเอส กล่าวว่า “1
ในโครงสร้างพื้นฐานหลักสำคัญของประเทศ คือเทคโนโลยีสื่อสารโทรคมนาคมที่มีบทบาทเป็นอย่างมากในฐานะของการเชื่อมโยง
เพิ่มศักยภาพการใช้ชีวิต การบริหารจัดการ ทั้งในส่วนบุคคล และ ภาคธุรกิจซึ่งท้ายที่สุดส่งผลโดยตรงต่อขีดความสามารถทางการแข่งขันของประเทศดังนั้นที่ผ่านมาสำหรับเอไอเอสเราตระหนักถึงบทบาทหน้าที่ดังกล่าวทำให้นอกจากจะมุ่งมั่นพัฒนาบริการเพื่อตอบโจทย์ลูกค้าแล้วยังเดินหน้าเสริมความแข็งแกร่งของเทคโนโลยีนี้ในทุกๆมิติมาอย่างต่อเนื่อง
ทั้งในส่วนของโครงข่ายและโซลูชั่นส์ต่างๆ ภายใต้กรอบของ Quality DNAs”

นายวิเชียร เมฆตระการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทแอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน)


การนำนวัตกรรมเข้าร่วมแสดงในงาน Bangkok InternationalICT Expo 2012 ครั้งนี้จึงเป็นการยืนยันถึงเจตนารมณ์และความตั้งใจดังกล่าวโดยต้องการสะท้อนให้เห็นถึงประโยชน์จากเทคโนโลยีในหลากหลายมิติและพัฒนาการจากวันนี้สู่อนาคตภายใต้แนวคิด”Today & Beyond” โดยเฉพาะอย่างยิ่งความสำคัญของ Hi Speed WirelessBroadband ที่สามารถลดทอนข้อจำกัดในขณะเดียวกันก็เสริมศักยภาพการใช้ชีวิตของคนไทยให้สะดวกและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นโดยนวัตกรรมที่นำมาจัดแสดงแบ่งเป็น 3 โซน ประกอบด้วย

1. ร่วมกับ TOT นำเสนอ 4G Thailand (The First 100 Mbps)

- Interactive Wall : การประชุมไร้สายผ่าน 4G – 4G to Wifi :
การใช้ 4G เป็นจุดบริการ Wifi

- HD VDO Wall : โชว์ภาพยนตร์แบบ HD ผ่าน 4G – Remote RC Anytime :
โชว์การบังคับรถเคลื่อนที่ผ่าน 4G

2. My Best Applications

- Guide&Go : The World First Social Navigator หรือ App
แรกที่เชื่อมแผนที่เข้ากับ Social

Network

- AIS Bookstore :The First Audio Book หรือ หนังสือเสียงครั้งแรกในประเทศไทย

- AIS Music Store : Music Entertainment App
ที่พัฒนาเพื่อรองรับความหลากหลายของหน้าจอ

Deviceในปัจจุบัน (Multi Screen)

- AIS Line : App Line บน AIS BlackBerry พร้อมสติ๊กเกอร์น้องอุ่นใจ
ครั้งแรกในเมืองไทย

- AIS mPay : สาธิต การโอน-ถอนเงินได้โดยไม่ต้องใช้บัตร ATM

- Telemedicine : ร่วมมือกับโรงพยาบาลพระมุงกุฏเกล้า
สาธิตเทคโนโลยีการรักษาในระยะไกลผ่าน

เครือข่ายไร้ สาย

3. AIS The Start up

- Chatter Box ผู้ชนะเลิศการประกวด AIS STARTUP WEEKEND ในผลงานทำให้ TV
เป็นมากกว่าเดิม ให้ผู้ใช้ เข้าถึงโลกของ Second Screen

- Shopspot ผู้ที่โด่งดังจาก Boot Camp ที่สิงคโปร์
พร้อมด้วยเงินลงทุนจากนักลงทุน
ด้วยแนวคิดการซื้อขายเป็นเรื่องง่ายเพียงแค่ 30 วินาที

- Got It แอพฯสะสมสิทธิประโยชน์จากร้านค้าชั้นนำ
ตัดความยุ่งยากที่ต้องเก็บบัตรสะสมของแต่ร้านจนรกกระเป๋าเงิน

-FreeHap ความสุขแบ่งปันกันได้
แชร์อารมณ์ความรู้สึกของคนให้คนพิเศษรับรู้
พร้อมสร้างสังคมให้น่าอยู่ด้วยการวัดค่าความสุข

“นอกจากนี้ในโอกาสของการเปิดตัวโครงการ ICT Free Wifiของรัฐบาลอย่างเป็นทางการในครั้งนี้เอไอเอสจึงรู้สึกยินดีและภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่งที่ได้เข้ามามีส่วนร่วมในการขยายโอกาสทางการสื่อสารให้แก่คนไทยโดยเราได้ร่วมให้บริการ Wifi ผ่าน 2 เครือข่าย ทั้ง AIS Wifi และ 3BBWifi-Cyberpoint สนับสนุนจุดบริการ wifi ทั่วประเทศมากกว่า 51,000 จุดครอบคลุมทั้งชุมชน ห้างสรรพสินค้า ร้านค้า ร้านอาหาร โรงแรม สถานพยาบาลสถาบันการศึกษา ด้วยความเร็วการดาวน์โหลดที่ 6 Mbps และอัพโหลด ที่ 512Kpbs โดยสามารถใช้งานได้ฟรีรวมสูงสุด 10 ชั่วโมงต่อเดือนคนไทยทุกคนสามารถลงทะเบียนใช้บริการ ICT Free Wifi ที่ www.ais.co.th/smartthailand เพื่อรับ Username และ Password ผ่านทางE-mail ที่ได้ลงทะเบียนไว้เพื่อเข้าใช้งานได้ตั้งแต่เดือนกันยายน ศกนี้”

นายวิเชียร กล่าวในตอนท้ายว่า “ปี 2555จะเป็นก้าวสำคัญอีกครั้งของประเทศไทยในการก้าวสู่เทคโนโลยี WirelessBroadband อย่างเต็มรูปแบบจากการสนับสนุนอย่างชัดเจนของภาครัฐอันจะทำให้อุตสาหกรรมสื่อสารโทรคมนาคมของประเทศเดินหน้าไปอีกขั้นดังจะเห็นได้จากความร่วมมืออย่างดียิ่งจากภาคเอกชนและภาครัฐไม่ว่าจะเป็นบริการ ICT Free Wifi รวมถึงการร่วมกันนำเสนอนวัตกรรมผ่านงานBangkok International ICT Expo 2012 ในครั้งนี้ที่สะท้อนถึงความพร้อมของทุกภาคส่วนเพื่อการเตรียมมอบประสบการณ์อีกขั้นของเทคโนโลยีให้แก่คนไทยต่อไป”

View :1713

ไอทีพลาซ่า ทุ่มงบกว่า 140 ล้านบาท เปิดสาขาอุดรธานี ศูนย์ไอทีที่ใหญ่สุดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

August 3rd, 2012 No comments


ทุ่มงบกว่า 140 ล้านบาท เปิดศูนย์การค้าไอทีแห่งใหม่ สาขาที่ 7 จังหวัดอุดรธานี ด้วยพื้นที่กว่า 5,000 ตารางเมตร ณ บริเวณชั้น 1 ตึกเนวาด้า คอมเพล็กซ์ พร้อมชูคอนเซ็ปต์การเป็นศูนย์การค้าไอทีครบวงจรสาขาใหญ่สุดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ อีกทั้งยังมีแผนเร่งขยายพื้นที่ศูนย์การค้าไอทีพลาซ่าสู่หัวเมืองหลักทั่วทุกภูมิภาค โดยในปี 2555 นี้ ทางบริษัทฯตั้งเป้ารายได้โตกว่า 30% จากปีที่แล้ว มั่นใจสามารถทำรายได้ให้บริษัทฯสูงถึง 270 ล้านบาทในปีนี้อย่างแน่นอน

นายสมชาย จันทนะประสาทพร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไอที พลาซ่า จำกัด กล่าวว่า “ทิศทางดำเนินธุรกิจไอทีพลาซ่าในปีนี้ เน้นการเร่งขยายพื้นที่ศูนย์การค้าไอทีพลาซ่าให้ครอบคลุมมากขึ้น โดยจะมุ่งขยายพื้นที่ศูนย์การค้าไอทีสู่หัวเมืองใหญ่ๆของพื้นที่ต่างจังหวัด เพื่อตอบโจทย์และรองรับไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภค รวมถึงมีแผนที่จะปรับปรุงและพัฒนาศูนย์การค้าไอทีพลาซ่าเดิมที่เปิดให้บริการอยู่ในปัจจุบันอีก 6 สาขา ได้แก่ เซียร์รังสิต, ห้างอิมพีเรียลเวิล์ดสำโรง, โคราช, อุบลราชธานี, คลองถมคอนเนอร์ กรุงเทพฯ, หาดใหญ่ เพื่อให้ทันสมัยรองรับกับการแข่งขันด้านการตลาดไอทีที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอีกด้วย

ล่าสุด ทางบริษัทได้ทุ่มงบกว่า 140 ล้านบาทในการเปิดตัวศูนย์การค้าไอทีแห่งใหม่ที่จังหวัดอุดรธานี ด้วยพื้นที่กว่า 5,000 ตารางเมตร ณ บริเวณชั้น 1 ตึกเนวาด้า คอมเพล็กซ์ และนับเป็นสาขาที่ 7 ของไอทีพลาซ่า โดยมีปัจจัยสำคัญอยู่ที่การเลือกทำเลที่ตั้ง กล่าวคือ จังหวัดอุดรธานีเป็นเมืองเศรษฐกิจและเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญของเศรษฐกิจไทย เนื่องจากติดกับประเทศเพื่อนบ้านซึ่งถือว่าเป็นจุดกระจายสินค้าไอทีที่สำคัญในการส่งสินค้าออกสู่ตลาดอินโดจีน ทำให้มีเงินหมุนเวียนอยู่ตลอดเวลา ประกอบกับการขนส่งที่สะดวกสบายเหมาะสำหรับการเปิดตลาดใหม่ อีกทั้งยังเป็นศูนย์การค้าไอทีที่ใหญ่สุดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยในปี 2555 นี้ ทางบริษัทฯตั้งเป้ารายได้โตกว่า 30% จากปีที่แล้ว มั่นใจสามารถทำรายได้ให้บริษัทฯสูงถึง 270 ล้านบาทในปีนี้อย่างแน่นอน”

ทางด้านนายวิโรจน์ เชาว์สันทัดกุล ที่ปรึกษาฝ่ายพัฒนาธุรกิจไอที บริษัท ไอที พลาซ่า จำกัด กล่าวว่า “ในปัจจุบันนี้ภาพรวมของมูลค่าตลาดไอทีเมืองไทยมีแนวโน้มการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ดังจะเห็นได้จากมูลค่าตลาดไอซีทีไทยปี 2555 ที่ขยายตัวมากขึ้นกว่าปีที่แล้วประมาณ 11% หรือมีมูลค่าประมาณ 600,000 ล้านบาท โดยตลาดคอมพิวเตอร์ฮาร์ดแวร์มีการเติบโตสูงสุดอยู่ที่ประมาณ 20% โดยภาพรวมตลาดไอทีอยู่ที่กรุงเทพฯ 60% และในส่วนภูมิภาค 40% คาดการณ์ว่าในปี 2556 จะมีส่วนแบ่งการตลาดคอมพิวเตอร์ฮาร์ดแวร์ ในส่วนภูมิภาคเพิ่มมูลค่าขึ้น 10-20% เนื่องจากความต้องการสินค้าไอทีที่มีมากขึ้น และเมื่อมีศูนย์รวมร้านค้าและศูนย์บริการสินค้าไอทีอยู่ในที่เดียวกัน ภายใต้เงื่อนไขการส่งเสริมการตลาดและราคาสินค้าเท่ากับที่กรุงเทพฯที่เป็นศูนย์การค้าคอมพิวเตอร์และไอทีที่สมบูรณ์แบบทั้งด้านการบริหารพื้นที่และการจัดกิจกรรมด้านการตลาด รวมถึงมีกิจกรรมส่งเสริมการขายอย่างต่อเนื่อง”

สำหรับกิจกรรมการตลาดในปี 55 นี้ ช่วงเดือนที่ผ่านมาไอทีพลาซ่าได้มีกิจกรรมส่งเสริมการตลาดอย่างต่อเนื่อง ตามสาขาของไอทีพลาซ่าทั่วประเทศ อาทิ กิจกรรมงานส่งเสริมการขายไอทีพลาซ่า อุบลราชธานี, กิจกรรมการตลาดงานเปิดตัวไอทีพลาซ่า สาขาหาดใหญ่ และกิจกรรมส่งเสริมการขายงาน Mobile and Digital Fair ที่ไอทีพลาซ่า โคราช เป็นต้น การจัดกิจกรรมส่งเริมการตลาดที่ผ่านมาได้ประสบผลสำเร็จตามเป้าที่วางไว้ ทั้งนี้ไอทีพลาซ่าได้จัดเตรียมงานกิจกรรมส่งเสริมการตลาดเพื่อกระตุ้นยอดขายให้กับร้านค้า โดยได้เพิ่มสื่อประชาสัมพันธ์การจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ร้านค้ามีผลประกอบการที่ดี สามารถขยายธุรกิจได้อย่างต่อเนื่อง และโดยเฉพาะสาขาอุดรธานีที่จะทำการเปิดสาขาใหม่เป็นสาขาที่ 7 ของไอทีพลาซ่า ซึ่งทางไอทีพลาซ่ามีความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาและบริหารศูนย์ไอทีที่สาขาอุดรธานีเป็นแหล่งค้าส่งและค้าปลีกของหมวดสินค้าไอทีที่มีฐานลูกค้าของประเทศเพื่อนบ้านสาธารณรัฐประชาชนลาว เมื่อมีการเปิดเขตเศรษฐกิจประชาคมประเทศอาเซี่ยนในปี 2558 นี้ โดยผู้สนใจติดต่อขอเช่าพื้นที่หรือสามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ทาง www.itplaza.co.th หรือ www.facebook.com/itplazathai ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

View :2246

ก.ไอซีที เชิญร่วมชมงาน Bangkok International ICT Expo 2012

August 3rd, 2012 No comments

นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เปิดเผยภายหลังเป็นประธานในพิธีเปิดงาน “” ว่า การจัดงาน ของกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) ในครั้งนี้ถือเป็นสิริมงคลอย่างยิ่ง เนื่องจากเป็น ปีมหามงคลที่ประกอบด้วยพระราชพิธีสำคัญ 2 พิธี คือ พระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา 12 สิงหาคม 2555 สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมายุ 60 พรรษา 28 กรกฎาคม 2555 สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร โดย กระทรวงไอซีที ได้มีการจัดกิจกรรมขึ้นภายใน Royal Pavilion เพื่อร่วมถวายความจงรักภักดีแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ด้วยการลงนามถวายพระพรออนไลน์ผ่านระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ รวมถึงได้จัดนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติเกี่ยวกับพระราชกรณียกิจด้าน ICT ในการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืนของทั้ง 3 พระองค์ ทั้งนี้ เพื่อให้ประชาชนได้ร่วมชื่นชมและแสดงความจงรักภักดี

นอกจากนี้ การจัดงาน Bangkok International ICT Expo 2012 ยังมีความสำคัญในการแสดงถึงศักยภาพด้าน ICT ของประเทศไทยในอนาคต และการเตรียมความพร้อมของประเทศไทยในการเข้าสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community: ) ภายในปี พ.ศ. 2558 อีกทั้งยังเป็นการแสดงถึงวิสัยทัศน์ของการใช้ ICT ให้เป็นพลังขับเคลื่อนประเทศไทยในด้านต่างๆ ได้แก่ ด้าน SMART NETWORK ด้วยการขยายโครงสร้างพื้นฐานของโครงข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง และการจัดตั้งหน่วยงานบรอดแบนด์แห่งชาติ ด้าน SMART GOVERNMENT ในการขยายโครงข่ายเพื่อการศึกษาไปยังพื้นที่ห่างไกล การขยายการรักษาพยาบาลทางไกลผ่านโครงข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง การบริการทะเบียนราษฎร์ออนไลน์ และการบริการระบบศูนย์ข้อมูลการเกษตร รวมทั้งด้าน SMART BUSINESS ที่จะพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเพื่อรองรับกับอุตสาหกรรม/SMEs ด้าน ICT การพัฒนาระบบธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ ตลอดจนการสร้างความตระหนักและการมีส่วนร่วมกับการใช้งานด้าน ICT

พร้อมกันนี้ยังมีการนำเสนอการใช้ ICT มาเพิ่มศักยภาพในการเฝ้าระวังและแจ้งเตือนภัยพิบัติอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้เกิดความมั่นคงปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนสูงสุด ซึ่งถือว่าเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนรวมถึงสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ประกอบการจากประเทศต่างๆ ที่จะเข้ามาลงทุนทำธุรกิจในประเทศไทยอีกด้วย

ด้าน นาวาอากาศเอกอนุดิษฐ์ นาครทรรพ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กล่าวเพิ่มเติมว่า งาน Bangkok International ICT Expo 2012 นี้จัดขึ้น ระหว่างวันที่ 3 – 6 สิงหาคม 2555 ณ อาคารชาเลนเจอร์ 3 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุม อิมแพ็ค เมืองทองธานี โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ประชาชนทั่วไปได้ระลึกถึงวันสื่อสารแห่งชาติ ซึ่งตรงกับวันที่ 4 สิงหาคม ของทุกปี และเป็นการแสดงศักยภาพของประเทศไทยในด้าน ICT รวมทั้งการสร้างทัศนคติให้ประชาชนเกิดความตระหนักถึงการนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้อย่างสร้างสรรค์ ตลอดจนการเตรียมความพร้อมในการก้าวไปสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ในปี พ.ศ. 2558 โดยจัดขึ้นภายใต้แนวคิด “Smart Thailand Towards AEC” หรือ “ไอซีทีไทยก้าวล้ำ นำสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน” และกำหนดรูปแบบการจัดงานเป็น 4 ส่วน ได้แก่ 1. ส่วนจัดแสดงนิทรรศการ 2. ส่วนแสดงสินค้า 3. ส่วนการประชุมสัมมนา และ 4. ส่วนกิจกรรมการแสดงต่าง ๆ

ในส่วนแรกการจัดนิทรรศการนั้นแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ Royal Pavilion เป็นนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติที่จัดขึ้นเพื่อเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร อีกส่วน คือ MICT Pavilion เป็นนิทรรศการแสดงผลงานของกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และหน่วยงานในสังกัดกระทรวงฯ ตามแนวคิด Smart Thailand Towards AEC ซึ่งแบ่งเป็น 3 โซน คือ โซนที่ 1 : 3 KEY STRATEGIC to SMART THAILAND เป็นนิทรรศการที่สะท้อนภาพการพัฒนาของประเทศตามทิศทางวิสัยทัศน์ Smart Thailand 2020 สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยเน้นการพัฒนาใน 3 KEY STRATEGIC คือ SMART NETWORK, SMART GOVERNMENT และ SMART BUSINESS

โซนที่ 2 : Reflection ; SMART Thailand 2020 เป็นการนำเสนอในรูปแบบนิทรรศการเสมือนที่ให้ผู้เข้าชมได้สัมผัสประสบการณ์ในโลกปี 2020 ที่เทคโนโลยีมีส่วนสำคัญต่อการพัฒนาคุณภาพชีวิต โดยการสัมผัสและทดลองด้วยประสบการณ์จริงกับโครงการและนวัตกรรมเทคโนโลยีต่างๆ ใน SMART Thailand Interactive Showcase ใน 4 ด้าน คือ HOME ซึ่งจะเชื่อมโยงประชาชนทั้งในเมืองและพื้นที่ห่างไกลทั่วประเทศเข้าหากันได้อย่างเท่าเทียมทุกที่ ทุกเวลาผ่านเครือข่ายการสื่อสาร LIFESTYLE เป็นการแสดงวิถีชิวีตทุกไลฟ์สไตล์บนเครือข่ายไร้สาย BUSINESS เป็นการนำเสนอนวัตกรรมในการดำเนินธุรกิจที่ช่วยเชื่อมโยงคู่ค้าจาก ทั่วโลกให้มาพบกันเพื่อขยายศักยภาพด้านการผลิตและการตลาด SOCIETY เป็นการแสดงระบบการเชื่อมโยงติดต่อราชการกับภาครัฐและบริการพื้นฐานของประเทศให้สามารถทำงานได้อย่างสะดวกรวดเร็วขึ้น นอกจากนั้น ยังได้สัมผัสนวัตกรรมล้ำอนาคตด้าน ICT ที่ช่วยขับเคลื่อนนโยบายภาครัฐ ในโครงการต่างๆ เช่น One Tablet PC per Child , เป็นต้น

และ โซนที่ 3 : DISASTER PREPAREDNESS ซึ่งแบ่งเป็น “SMART ICT” for Disaster Preparedness ที่นำเสนอการนำเทคโนโลยี ICT มาใช้เพิ่มศักยภาพในการเฝ้าระวังรวมทั้งแจ้งเตือนภัยพิบัติ และ “SMART ICT” for Disaster Management ที่จำลองห้องปฏิบัติการจริงของศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจในกระบวนการทำงาน และระบบการประมวลผลแจ้งเตือนภัย พร้อมกันนี้ยังมีการแสดงนิทรรศการ Disaster field Exhibition ที่จำลองบรรยากาศท่ามกลางพื้นที่พิบัติภัยซึ่งการสื่อสารหลักถูกผลกระทบจนใช้งานไม่ได้ พร้อมทั้งยังมีการจัดแสดงนิทรรศการของหน่วยงานภายใต้สังกัดกระทรวงฯ และหน่วยงานอื่นๆ เช่น TOT, CAT และ กสทช. ที่จะนำเสนอนวัตกรรมเทคโนโลยีในระบบ 3จี และ 4 จี รวมถึงความพร้อมในการเปิดประมูลใบอนุญาต 3จี และการนำเสนอนิทรรศการเกี่ยวกับ SMART GOVERNMENT เพื่อแสดงบทบาทของภาครัฐในการเปลี่ยนสู่การบริหารยุคใหม่ ของ สำนักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) สรอ. เป็นต้น

ส่วนที่ 2 ส่วนแสดงสินค้า เป็นการแสดงนวัตกรรมเทคโนโลยีจากภาคเอกชน อาทิ , TRUE, DTAC, Thaicom, Samsung, ZTE, Huawei เป็นต้น โดย ได้นำเสนอแนวคิดเรื่อง 3จี และอนาคต ที่สะท้อนให้เห็นถึงประโยชน์และความสำคัญของเทคโนโลยีบรอดแบนด์ซึ่งช่วยเสริมศักยภาพคุณภาพชีวิตคนไทย ส่วน DTAC ได้นำเสนอโมบายเทคโนโลยีที่สอดคล้องกับเทคโนโลยี 3จี และ 4จี ด้วยวิธีการที่เข้าใจได้ง่าย ภายใต้จุดโฟกัสเรื่อง Device รวมทั้ง Application ที่รองรับเครือข่ายใหม่ และ TRUE ที่นำเสนอภาพ TRUE Convergence ซึ่งหลอมรวมเทคโนโลยีที่ครอบคลุมการให้บริการทุกรูปแบบ และสามารถนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ในชีวิตประจำวัน ทั้ง Mobile, Fiber to The Home, Hi speed Internet รวมไปถึง 3จี และ 4จี

ส่วนที่ 3 คือ ส่วนการประชุมสัมมนา เป็นการเปิดเวทีเพื่อให้ความรู้และนวัตกรรมด้าน ICT ในเรื่อง Towards “THAILAND SMART ICT” โดยผู้ทรงคุณวุฒิ และผู้เชี่ยวชาญจากภาครัฐ รวมทั้งภาคเอกชน ที่มาร่วมบรรยายพิเศษ และเสวนาในหัวข้อต่างๆ ได้แก่ การบรรยายในหัวข้อ “Thailand e-Government Vision” และ “Profitable Prepaid Smart Phone” การเสวนาในเรื่อง “Smart Government Cloud Service สู่การปรับโฉมใหม่ระบบงานภาครัฐ” และ “e-Government for the People ถึงเวลาสำหรับประเทศไทย?” การสัมมนาย่อยในหัวข้อ “Smart Network for Smart Thailand” และ การอภิปรายในหัวข้อ “Beyond Smart Tourism”

และสุดท้ายเป็นส่วนของกิจกรรมต่าง ๆ ทั้งกิจกรรมพิธีเปิดงานอย่างเป็นทางการ กิจกรรมการแสดง และร่วมสนุกผสานสาระด้าน ICT จากผู้ร่วมออกงานที่เปิดโอกาสให้ผู้เข้าชมงานได้มีส่วนร่วมเพื่อชิงรางวัลมากมายตลอดช่วงเวลาจัดงาน

View :1946

ก.ไอซีที จับมือ ผู้ประกอบการโครงข่ายการสื่อสารขยายบริการ ICT Free Wi-Fi กว่า 200,000 จุดทั่วประเทศ

August 3rd, 2012 No comments

นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้แถลงความร่วมมือ “โครงการบริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงด้วยเทคโนโลยี Wi-Fi โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายเพื่อประโยชน์สาธารณะ” ว่า โครงการบริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงด้วยเทคโนโลยี Wi-Fi โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายเพื่อประโยชน์สาธารณะ หรือ นี้ เป็นอีกหนึ่งนโยบายสำคัญของรัฐบาล ที่ได้ให้คำมั่นสัญญากับประชาชนไว้ โดยเป็นส่วนหนึ่งภายใต้นโยบายหลัก SMART THAILAND ที่มุ่งหวังให้ประชาชนชาวไทยทั้งประเทศ มีโอกาสได้ใช้บริการอินเทอร์เน็ตกันอย่างทั่วถึงทุกคนทั่วประเทศ โดยไม่ต้องมีการเสียค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น มากกว่า 200,000 จุด ครอบคลุมพื้นที่ 77 จังหวัดทั่วประเทศ ซึ่งรัฐบาลหวังเป็นอย่างยิ่งว่า โครงการ จะสร้างโอกาสในการเข้าถึงเครือข่ายอินเทอร์เน็ตอย่างเท่าเทียม ลดความเลื่อมล้ำในการเข้าถึงบริการข้อมูลข่าวสาร ตลอดจนช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนชาวไทย ให้สามารถใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในการดำรงชีวิตประจำวัน และการประกอบอาชีพของตนเอง

ด้าน นาวาอากาศเอกอนุดิษฐ์ นาครทรรพ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวงไอซีที ได้เริ่มดำเนินโครงการ ICT Free Wi-Fi มาตั้งแต่ปลายปี 2554 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มอัตราการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตของประชากรไทย อันเป็นการส่งเสริมการเพิ่มศักยภาพของทรัพยากรบุคคลในประเทศ ยกระดับการศึกษาและส่งเสริมให้นักเรียนสามารถเรียนรู้ได้ทุกที่ด้วยตนเองแม้อยู่นอกห้องเรียน พร้อมกันนี้ยังเป็นการสนับสนุนนโยบายการท่องเที่ยวและแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญ ตลอดจนช่วยเพิ่มอันดับของประเทศไทยในการจัดอันดับความพร้อมด้าน ICT ทั้งในภูมิภาคและระดับโลก

ซึ่งกระทรวงไอซีที ได้ร่วมมือกับ คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กสทช. และกลุ่มบริษัทเครือข่ายผู้ให้บริการด้านการสื่อสารโทรคมนาคมทั้ง 6 ค่าย ได้แก่ บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) หรือ TOT บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) หรือ CAT Telecom บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ DTAC บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TRUE และบริษัท ทริปเปิลที บรอดแบนด์ จำกัด (มหาชน) หรือ 3 BroadBand ขยายสัญญาณอินเทอร์เน็ตให้กระจายไปแล้วในหลายพื้นที่ของประเทศเป็นจำนวน กว่า 76,210 จุด โดยในปี 2555 ได้วางเป้าหมายที่จะดำเนินการในสถานที่ต่างๆ ทั้งมหาวิทยาลัยของรัฐ ศาลากลางจังหวัด ที่ว่าการอำเภอ ที่ทำการ อบต. โรงพยาบาลของรัฐ สถานีตำรวจ ที่ทำการไปรษณีย์ สถานที่สำคัญต่างๆ เช่น สถานที่ท่องเที่ยว ท่าอากาศยาน สถานีขนส่ง บนรถไฟฟ้า สถานีบริการน้ำมัน และศูนย์การเรียนรู้ ICT ชุมชน เป็นต้น ซึ่งรวมทั้งหมดแล้วภายในสิ้นปีนี้จะมีการขยายสัญญาณ ICT Free Wi-Fi ได้มากกว่า 200,000 จุดทั่วประเทศ

ส่วน พลอากาศเอก ธเรศ ปุณศรี ประธาน กสทช. กล่าวว่า กสทช. พร้อมสนับสนุนให้ประชาชนคนไทยสามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารอย่างสะดวกรวดเร็ว ซึ่งโครงการ ICT Free Wi-Fi เป็นโครงการหนึ่งของรัฐบาลที่จะช่วยผลักดันให้บรรลุเป้าหมายดังกล่าว ด้วยการให้บริการอินเทอร์เน็ตฟรีครอบคลุมทั่วประเทศ อันจะก่อให้เกิดประโยชน์อย่างกว้างขวางทั้งทางด้านเศรษฐกิจและสังคม และทำให้ประชาชนเลือกทำกิจกรรมต่างๆ ได้โดยสะดวก เพราะสามารถรับทราบข้อมูลข่าวสารได้อย่างรวดเร็ว อาทิ การรักษาพยาบาล การศึกษา การทำธุรกรรมทางการเงิน อีกทั้งยังช่วยลดค่าใช้จ่ายในด้านการเดินทางอีกด้วย

ขณะที่ผู้ให้บริการด้านการสื่อสารโทรคมนาคมทั้ง 6 ค่ายนั้น ต่างพร้อมให้ความร่วมมือกับรัฐบาล และกระทรวงไอซีที ในการดำเนินโครงการฯ นี้ เพื่อให้ประชาชนคนไทยในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ สามารถใช้เครือข่ายอินเทอร์เน็ตในการเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร รวมทั้งความรู้ต่างๆ อย่างทั่วถึง เท่าเทียม และทันท่วงที อันเป็นการเพิ่มโอกาสการเรียนรู้ให้แก่เยาวชน และประชาชนทุกกลุ่ม ตลอดจนเป็นการเพิ่มพลังและคุณค่าให้กับสังคมไทยอีกด้วย

View :1765