Archive

Archive for September, 2010

เอชพีรั้งตำแหน่งผู้นำตลาดเครื่องพิมพ์เลเซอร์สำหรับลูกค้าเอสเอ็มบี ด้วยส่วนแบ่ง 39%

September 10th, 2010 No comments

เปิดตัว “ คืนทุนทันใจ” ลุยตลาดไตรมาสสุดท้าย
มอบความคุ้มค่าให้กับลูกค้าเอชพีเลเซอร์เจ็ทภายใน 2 เดือน

เอชพีประกาศความสำเร็จในฐานะผู้นำตลาดเครื่องพิมพ์เลเซอร์สำหรับลูกค้าเอสเอ็มบีด้วยส่วนแบ่งการตลาด 39% เผยกลยุทธ์ไตรมาสสุดท้ายสำหรับเอสเอ็มบีด้วย “แคมเปญ Pays You Back คืนทุนทันใจ พร้อมเปิดตัวสายผลิตภัณฑ์ใหม่เครื่องพิมพ์ LaserJet All-in-One ตอกย้ำความคุ้มค่าด้วยการคืนทุนให้กับผู้ใช้งาน ได้ถึง 100% ภายในระยะเวลา 2 เดือน เพิ่มสัดส่วนออนไลน์มาร์เก็ตติ้ง เจาะกลุ่มเอสเอ็มบีรุ่นใหม่ และอัดงบลุยแคมเปญการตลาดผ่านคู่ค้าต่างจังหวัดเพิ่มขึ้นถึง 200% ตั้งเป้าการเติบโต 30% สำหรับกลุ่มลูกค้าเอสเอ็มบีภายในสิ้นปีนี้

นายฐิตพล บุญประสิทธิ์ ผู้จัดการฝ่ายพัฒนาการตลาด กลุ่มผลิตภัณฑ์เลเซอร์เจ็ท และเอ็นเตอร์ไพรซ์โซลูชั่น บริษัท ฮิวเลตต์-แพคการ์ด (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่าจากการที่เอชพีครองความเป็นผู้นำด้านงานพิมพ์ในส่วนของกลุ่มลูกค้าเอสเอ็มบี ด้วยส่วนแบ่งการตลาดถึง 39% ในไตรมาสสองที่ผ่านมา ประกอบกับผลการศึกษาวิจัย การใช้งานและผลตอบรับของลูกค้าเอสเอ็มบีของเอชพีในประเทศจีนและประเทศสิงคโปร์ พบว่าเครื่องพิมพ์ HP LaserJet All-in-One สามารถคืนทุนให้แก่ผู้ใช้งานได้ถึง 100% ภายในระยะเวลา 2 เดือน (อาจจะมากหรือน้อยกว่านั้นขึ้นอยู่กับการใช้งาน) ทำให้เอชพีกำหนดแคมเปญการตลาด Pays You Back ขึ้นมาเป็นกลยุทธ์การดำเนินงานของผลิตภัณฑ์ เครื่องพิมพ์เลเซอร์เจ็ทในช่วงไตรมาสสุดท้ายนี้

“แคมเปญ Pays You Back คืนทุนทันใจ ด้วยเครื่องพิมพ์ HP LaserJet All-in-One”
แคมเปญ “Pays You Back คืนทุนทันใจด้วยเครื่องพิมพ์ HP LaserJet All-in-One” ถูกกำหนดเป็นกลยุทธ์การตลาดในช่วงไตรมาสสุดท้าย โดยจะมีกิจกรรมการตลาดต่างๆ ตอบรับ เพื่อสื่อสารถึงคุณสมบัติหลักๆ 5 ประการของเครื่องพิมพ์ HP LaserJet All-in-One ที่จะสามารถคืนทุนแก่เอสเอ็มบีผู้ใช้งานในด้านต่างๆ ตามผลการศึกษาวิจัยดังนี้ 1. ประหยัดพลังงาน (Electricity) 2. ลดต้นทุนด้านอุปกรณ์ด้วยคุณสมบัติครบครัน ภายในเครื่องเดียว (Fax consumables& productivity) 3. ดูแลรักษาด้วยตัวเองได้ง่ายๆ (Maintenance) 4. ประหยัดพื้นที่จัดวางด้วยขนาดเครื่องที่เล็กกะทัดรัด (Real Estate)และ 5. มีระบบสนับสนุนด้านการเงินสำหรับลูกค้าเพื่อเพิ่มความสะดวกและช่วยลดภาระค่าใช้จ่าย (Financial support) ซึ่งทั้งหมดนี้จะสามารถทำให้ลูกค้าเอสเอ็มบีสามารถคืนทุน ได้ถึง 100% ภายในระยะเวลา 2 เดือน นอกจากนี้ ยังเสริมในส่วนของโปรโมชั่นเพื่อจูงใจเอสเอ็มบี โดยเอสเอ็มบีที่ซื้อเครื่องพิมพ์ HP LaserJet All-in-One รุ่นที่ร่วมรายการจะได้รับคูปองเงินสดทันทีมูลค่าตั้งแต่ 500 -1,000 บาท (ขึ้นอยู่กับรุ่น) และยังสามารถรับคูปองเงินสดเพิ่มเติมเมื่อซื้อโทนเนอร์ครั้งต่อไปตามเงื่อนไข โดยลูกค้าเอสเอ็มบีจะศึกษารายละเอียดเกี่ยวกับโปรโมชั่นคืนทุนได้ที่ www.hp.com/th/laserjet

ขับเคลื่อนแคมเปญ Pays You Back สู่ลูกค้าเอสเอ็มบีด้วย 3 ช่องทาง
เพื่อขับเคลื่อนแคมเปญดังกล่าวให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าเอสเอ็มบีได้อย่างครอบคลุม เอชพีมีกลยุทธ์ในการขับเคลื่อนแคมเปญ Pays You Back ผ่านช่องทางต่างๆ ดังนี้

1. ผ่านคู่ค้าทั้งรีเทลและคอมเมอร์เชียล (Channel Development) เน้นการทำโปรแกรม กับคู่ค้า เพื่อจัดเตรียมความพร้อมทางด้าน Infrastructure และมุ่งเน้นการขายแบบเป็นระบบการพิมพ์ (printing solution) โดยเฉพาะการนำเสนอโซลูชั่นด้าน cost efficiency ภายใต้แคมเปญ Pays You Back นอกจากนี้ จะเพิ่มพื้นที่ขายหน้าร้านสำหรับตลาดรีเทล

ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด รวมไปถึงการเพิ่มพื้นที่ขายในไฮเปอร์มาร์เก็ตชั้นนำ อาทิ พาวเวอร์บาย และออฟฟิศดีโป เนื่องจากพฤติกรรมของลูกค้าเอสเอ็มบีในปัจจุบัน มักจะจับจ่ายสินค้าไอทีในร้านค้าปลีกรูปแบบนี้เป็นส่วนใหญ่ นอกจากนี้ เอชพีวางแผนจะขยายร้านค้าตัวแทนจำหน่ายเพิ่มอีก 600 รายทั่วประเทศภายในปี 2554 จากเดิมมี 1,000 ราย
ใน 30 จังหวัด ในส่วนของคู่ค้าคอมเมอร์เชียลที่มุ่งจับกลุ่มเอสเอ็มบีระดับบนนั้น เอชพีจะเพิ่มเป็น 300 รายจากเดิมที่มีอยู่ 200 ราย

2. อัดงบการตลาดเพิ่มและสื่อสารสร้างความเข้าใจกับลูกค้าแบบครบวงจรทั้ง Online และ Offline ภายใต้แคมเปญ Pays You Back นี้ เอชพีได้เพิ่มการลงทุนในส่วนของ สื่อออนไลน์เพิ่มขึ้นอีก 15% และได้เพิ่มงบการตลาดสำหรับต่างจังหวัดอีก 200%
โดยสื่อออนไลน์นั้น จะเน้นการทำกิจกรรมกับเว็บไซต์ชั้นนำที่เข้าถึงกลุ่มลูกค้าเอสเอ็มบี รวมทั้งโซเชียลเน็ตเวิร์ค เช่น เฟซบุ๊กและเอ็มเอสเอ็น และจัดทำ microsite www.hp.com/th/laserjet เพื่อเป็นแหล่งข้อมูลเกี่ยวกับคุณสมบัติของผลิตภัณฑ์ HP LaserJet All-in-One รายละเอียดแคมเปญและโปรโมชั่น และเปิดโอกาสให้ผู้บริโภคได้มีส่วนร่วมกับกิจกรรมในรูปแบบ interactive ซึ่งการมุ่งเน้นทำตลาดออนไลน์นี้สืบเนื่องมาจากผลวิจัยของ AGB Nielsen Media Research ที่ระบุถึงแนวโน้มการบริโภคสื่อของผู้บริโภคว่าสื่อออนไลน์มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องตลอดระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมา (พ.ศ. 2551 – 2553) และในบรรดาผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตในต่างจังหวัด 74% จะอยู่ในช่วงอายุระหว่าง 25 – 34 ปี ซึ่งคนกลุ่มนี้ คาดว่าจะเป็นกลุ่มผู้ประกอบการเอสเอ็มบีด้วยส่วนหนึ่ง นอกจากนี้ ผลการศึกษายังระบุอีกด้วยว่าในบรรดาผู้ใช้งานเฟซบุ๊กในประเทศไทยนั้น มีสมาชิกของแฟนเพจที่เกี่ยวกับธุรกิจถึง 1.5 ล้านราย

3. ใช้ผลิตภัณฑ์ใหม่ HP LaserJet All-in-One เป็นตัวรุกตลาดเสริมกับแคมเปญ Pays You Back โดยภายใต้แคมเปญนี้ เอชพีจะแนะนำเครื่องพิมพ์เลเซอร์เจ็ทรุ่นล่าสุดได้แก่ เครื่องพิมพ์ HP LaserJet M1522 Series มาตอบโจทย์เรื่อง Pays You Back คืนทุนทันใจ ด้วยคุณสมบัติการใช้งานครบครันทั้ง 5 ประการคือ 1. ประหยัดพลังงาน (Electricity) 2. ลดต้นทุนด้านอุปกรณ์ด้วยคุณสมบัติครบครันภายในเครื่องเดียว (Fax consumables & productivity) 3. ดูแลรักษาด้วยตัวเอง ได้ง่ายๆ (Maintenance) 4. ประหยัดพื้นที่จัดวางด้วยขนาดเครื่องที่เล็กกะทัดรัด (Real Estate) และ 5. มีระบบสนับสนุนด้านการเงินสำหรับลูกค้าเพื่อเพิ่มความสะดวกและช่วยลดภาระค่าใช้จ่าย (Financial support)

“สิ่งที่ทำให้เอชพีโดดเด่นและแตกต่างจนสามารถคงความเป็นผู้นำในตลาดการพิมพ์นั้น คือการกำหนดกลยุทธ์ทางธุรกิจและการตลาดโดยลงทุนด้านการวิจัยทั้งในแง่ของเทคโนโลยีของผลิตภัณฑ์ การศึกษาแนวโน้มตลาด และศึกษาพฤติกรรมผู้บริโภค เพื่อจะสามารถ ตอบโจทย์ความต้องการทางธุรกิจของลูกค้าแต่ละกลุ่มได้อย่างถูกต้อง เช่นเดียวกับแคมเปญ Pays You Back ที่สะท้อนถึงผลการศึกษาวิจัยเรื่องการคืนทุน 100% ของเครื่องพิมพ์ HP LaserJet All-in-One ดังนั้น เอชพีจึงคาดว่าแคมเปญดังกล่าว จะทำให้เอชพีสามารถ สร้างการเติบโตของผลิตภัณฑ์ในกลุ่มธุรกิจเอสเอ็มบีได้อีก 30% ภายในสิ้นปีนี้” นายฐิตพล กล่าว

View :1437

ฤาจะถึงกาลอวสานของ Fibre Channel (FC)

September 10th, 2010 No comments

บทความ โดย บริษัท ฮิตาชิ ดาต้า ซิสเต็มส์

เกิดข้อโต้แย้งในชุมชนเทคโนโลยีมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว โดยฝั่งหนึ่งให้การสนับสนุนส่วนประกอบของ Serial Attached SCSI (SAS) ด้วยมุมมองที่เชื่อมั่นอย่างมากว่าเป็นก้าวของการพัฒนาจาก SCSI และกำลังจะเข้ามาแทนที่ ซึ่งเป็นเจ้าตลาดอยู่ในขณะนี้ ขณะที่อีกฝั่งยังคงให้การสนับสนุน FC อยู่โดยเชื่อว่าเทคโนโลยีนี้เหนือกว่าเทคโนโลยีอื่นๆ อยู่หลายขุม
กว่าทศวรรษมาแล้วที่ตลาดให้การยอมรับในความสามารถของ FC ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่มีชื่อเสียงและมีส่วนแบ่งในตลาดอย่างมากโดยเฉพาะในพื้นที่ของระบบจัดเก็บข้อมูลสำหรับองค์กรขนาดใหญ่ แม้ว่าเทคโนโลยีนี้จะไม่ได้ถูกมองว่าเข้ามาแทนที่ SCSI ที่มีความเร็วในการรับส่งข้อมูลช้ากว่า แต่ในไม่ช้าสิ่งนี้ก็อาจกลายเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพที่มีความรวดเร็วและมีความพร้อมใช้งานในระดับสูง โดยจะเห็นได้ว่าระบบจัดเก็บข้อมูลที่สำคัญสำหรับองค์กรขนาดใหญ่ต่างให้การสนับสนุน FC แทบทั้งสิ้นและไม่มีแง่มุมใดเลยที่จะแสดงให้เห็นว่าเทคโนโลยีนี้กำลังจะถูกมองข้ามและตกอันดับจากการเป็นโซลูชั่นที่สำคัญสำหรับองค์กร
อย่างไรก็ตาม รูปแบบโครงสร้างของตลาดกำลังเปลี่ยนแปลง โดยสิ่งที่เป็นข้อโต้แย้งทางทฤษฎีกำลังคุกคามฐานที่มั่นของ FC ที่มีอยู่ในตลาดแห่งนี้มาเป็นเวลากว่าสิบปีด้วยรูปแบบมาตรฐานของระบบจัดเก็บข้อมูลสำหรับองค์กรขนาดใหญ่ที่กำลังเป็นที่ต้องการ และนี่เป็นเหตุผลสำคัญที่สามารถคลายความกังวลอันเป็นผลมาจากภาวะเศรษฐกิจทั่วโลกในขณะนี้ได้
แม้ว่าประเด็นด้านประสิทธิภาพและความพร้อมใช้งานจะยังคงเป็นความกังวลหลักในทุกครั้งที่มีการออกแบบระบบจัดเก็บข้อมูล แต่ประเด็นด้านค่าใช้จ่ายก็กำลังกลายเป็นตัวผลักดันที่สำคัญ ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว ความกังวลเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายนั้นเกิดขึ้นอยู่แล้วโดยเฉพาะในช่วงที่เศรษฐกิจทั่วโลกกำลังฟื้นตัว และประเด็นนี้เองที่กระตุ้นให้ SAS ได้รับความสนใจในฐานะที่เป็นคู่แข่งสำคัญของ FC

ปัจจัยของการขยายตัว
เหตุใด SAS จึงเป็นเทคโนโลยีสำคัญที่กำลังมีการขยายตัวอย่างมาก และเหตุใดเทคโนโลยีนี้จึงถูกมองว่าเป็นสิ่งที่กำลังคุกคาม FC อยู่ในขณะนี้ แม้ว่าจะมีหลายเหตุผลที่ได้รับการถกเถียงกันมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว แต่ส่วนใหญ่จะมุ่งเน้นไปที่ส่วนหลักๆ ที่สำคัญ 3 ประการ ได้แก่

เหตุผลที่ 1: ยิ่งกว่าความคุ้มค่าและคุ้มราคา
เมื่อเปรียบเทียบแบบตัวต่อตัวกับการออกแบบของ SAS ขนาด 3 กิกะบิตต่อวินาที จะพบว่า FC รุ่น 4 กิกะบิตต่อวินาทีให้อัตราการทำงานที่ดีกว่าเมื่อมีการเชื่อมต่อ ณ จุดเดียวกับ I/O เดียว อย่างไรก็ตาม ประสิทธิภาพของระบบจัดเก็บข้อมูลส่วนใหญ่มักจะไม่ได้พึ่งพาเฉพาะแค่ I/O เดียว แต่เป็นการพิจารณาทั้งระบบ ซึ่งประเด็นนี้เองที่ทำให้ SAS เหนือกว่าคู่แข่ง
ตัวอย่างเช่น เมื่อพิจารณาผลิตภัณฑ์ในตระกูล Hitachi Adaptable Modular Storage 2000 ซึ่งใช้การออกแบบของ SAS จะพบว่าแบนด์วิธทั้งหมดสำหรับการเข้าถึงดิสก์นั้นมีความโดดเด่นเหนือกว่าระบบจัดเก็บข้อมูลแบบโมดูลของคู่แข่งที่ใช้ระบบส่วนหลังของ FC นอกจากนี้ โซลูชั่นดังกล่าวยังมีการเชื่อมต่อกับระบบส่วนหลังเพิ่มเติม ซึ่งทำให้สามารถรับส่งข้อมูลเข้าออก (I/O) พร้อมกันได้มากขึ้น
นอกจากนี้ เวลาที่ต้องใช้ในการรอการเชื่อมต่อวงจรจะไม่เกิดขึ้นกับ Hitachi Adaptable Modular Storage 2000 ที่สนับสนุนสถาปัตยกรรมแบบสวิตช์ที่ใช้ SAS ด้วย โดยเมื่อเปรียบเทียบกันจะพบว่าระบบที่ใช้ FC-AL (Fibre Channel-Arbitrated Loop) จะใช้วงจรทั่วไปร่วมกันและนั่นก่อให้เกิดเวลาที่ต้องรอคอยและทำให้ต้องเสียเวลาในการรอการเชื่อมต่อ
SAS ยังให้การรับส่งข้อมูลแบบฟูลดูเพล็กซ์ หรือการรับส่งข้อมูลพร้อมกันทั้งสองด้าน (Full Duplex) เสมอ โดยการรับส่งข้อมูลในรูปแบบนี้จะช่วยให้อุปกรณ์ใดๆ ก็ตามสามารถส่งและรับ I/O ได้พร้อมกัน ซึ่งโดยทั่วไปแล้วคุณลักษณะแบบฟูลดูเพล็กซ์ถือเป็นที่ต้องการอย่างมากในตลาด แต่ FC ก็อาจเป็นได้ทั้งแบบฟูลดูเพล็กซ์ หรือฮาล์ฟดูเพล็กซ์ (Half Duplex: การรับส่งข้อมูลแบบสองทางผลัดกัน) ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสถาปัตยกรรมของตัวระบบเอง

เหตุผลที่ 2: ความพร้อมใช้งานที่เหนือกว่า
ในตลาดปัจจุบัน ความพร้อมใช้งานของระบบถือเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากขณะนี้ระบบต้องทำงานตลอด 24 ชั่วโมงในทุกวัน และตลอดทั้ง 365 วันในแต่ละปี การล้มเหลวของระบบจึงไม่สามารถยอมรับได้ และสิ่งนี้เองที่ทำให้ลูกค้าหลายรายต้องสูญเสียเงินจำนวนมหาศาลอย่างไม่สู้จะเต็มใจนักเพื่อแลกกับการได้มาซึ่งระบบที่มีความพร้อมใช้งานสูง
SAS ไม่เพียงแต่ให้ทางเลือกในราคาที่ไม่สูงมากนัก แต่ยังสามารถจัดการกับความล้มเหลวของระบบได้อย่างมีประสิทธิภาพเหนือกว่า FC โดยสามารถจัดทำรายงานได้ในระดับส่วนประกอบ (component) เมื่อเกิดภาวะล้มเหลวขึ้น นั่นหมายความว่าหากส่วนประกอบใดๆ ในการเชื่อมต่อของ SAS ล้มเหลว ก็จะมีการระบุและแจ้งให้ทราบผ่านเครื่องมือติดตามตรวจสอบระบบ สำหรับผู้ดูแลระบบแล้วนั้น สิ่งนี้ช่วยประหยัดทั้งแรงและเวลาได้อย่างมากในการค้นหาตำแหน่งที่เกิดจุดล้มเหลวขึ้น
เมื่อเปรียบเทียบกับ FC จะพบว่า FC ไม่สามารถจัดทำรายงานในระดับส่วนประกอบได้ แต่จะรายงานความล้มเหลวที่เกิดขึ้นในระดับวงจร (loop) นั่นหมายความว่าการแก้ไขความล้มเหลวที่เกิดขึ้นของระบบจะใช้เวลานานกว่า ซึ่งส่งผลต่อความพร้อมใช้งานของระบบโดยตรง
นอกจากนี้ SAS ยังมีระบบสำรองเพิ่มเติมในตัวอีกด้วย ตัวอย่างเช่น ผลิตภัณฑ์ในตระกูล Hitachi Adaptable Modular Storage 2000 จะมีชิพส่วนขยายของ SAS สองตัวที่จะเชื่อมต่อ SAS ทั้งหมด 8 จุดต่อถาดวางไดรฟ์ นั่นหมายความว่าภาวะที่ไม่สามารถเข้าถึงดิสก์ได้นั้นจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อจุดเชื่อมต่อทั้ง 8 จุดหยุดทำงานหรือใช้งานไม่ได้พร้อมกัน

เหตุผลที่ 3: การอยู่ร่วมกับ SATA
Serial ATA (SATA) เป็นก้าวหนึ่งของการพัฒนาสำหรับไดรฟ์ ATA ซึ่งเหมือนกับการที่ SAS ให้การสนับสนุนไดรฟ์ SCSI อยู่ โดยทั้ง SATA และ SAS ต่างก็ใช้เทคโนโลยีแบบอนุกรม ดังนั้นการถ่ายโอนข้อมูลจึงสามารถดำเนินการได้เร็วกว่า ATA และ SCSI ซึ่งใช้เทคโนโลยีแบบขนานที่มีความเร็วในการรับส่งข้อมูลช้ากว่า
SATA จะขยายเส้นทางการทำงานของ ATA และจะยังคงเป็นเทคโนโลยีหลักที่สำคัญสำหรับอินเตอร์เฟสดิสก์ที่มีประเด็นด้านค่าใช้จ่ายเป็นความกังวลหลัก เช่น คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะและเซิร์ฟเวอร์ระดับเบื้องต้น ขณะที่ SAS จะขยายเส้นทางการทำงานของ SCSI และได้รับการพิจารณาว่าเป็นเทคโนโลยีสำหรับอินเตอร์เฟสดิสก์ของระบบจัดเก็บข้อมูลองค์กรขนาดใหญ่
จะเห็นได้ว่าด้วยตัวเชื่อมต่อไดรฟ์ SAS และ SATA ในปัจจุบันช่วยให้ผู้ดูแลระบบมีอิสระในการผสานรวมทั้งสองสิ่งเข้าด้วยกันหรือเลือกที่จะติดตั้งไดรฟ์ใดก็ได้ตามความต้องการและตามงบประมาณขององค์กร โดยพื้นฐานแล้ว ชิพ ICO จะเก็บคำสั่ง SATA ไว้ภายในแพ็คเก็ต SAS โดยใช้ SATA Tunneling Protocol ของข้อกำหนดเฉพาะสำหรับ SAS สิ่งนี้ช่วยให้ผู้ดูแลระบบสามารถเลือกใช้ดิสก์ SATA และใช้ไดรฟ์ SAS ในภายหลังเมื่อจำเป็นต้องใช้งานได้
ตัวอย่างเช่น Adaptable Modular Storage 2000 สนับสนุนตัวเชื่อมต่อไดรฟ์ทั้ง SAS และ SATA อีกทั้งยังช่วยให้ผู้ดูแลระบบสามารถผสานรวมไดรฟ์ทั้งสองชนิดเข้าไว้ด้วยกันในตู้จัดเก็บดิสก์ขนาด 15 ตัว ซึ่งทำให้การเดินสายเป็นเรื่องง่ายและไม่จำเป็นต้องซื้อถาดใส่ดิสก์ที่มีราคาแพงแยกต่างหาก
แม้ว่าจะมีดองเกิลของตัวเชื่อมต่ออยู่แล้วหรือแม้ว่า FATA จะทำให้ไดรฟ์ FC และ SATA สามารถติดตั้งภายในถาดวางเดียวกัน แต่ก็จะต้องทำการแปลง I/O จาก FC เป็น SATA ซึ่งก่อให้เกิดค่าใช้จ่ายเพิ่มและบั่นทอนประสิทธิภาพการทำงานได้ จึงไม่แปลกที่ SAS จะเหนือกว่าในจุดนี้

บทสรุป
แม้ว่าอาจยังไม่ถึงเวลาที่จะกล่าวว่า SAS กำลังจะเข้ามาแทนที่ FC ทั้งหมด แต่ด้วยความน่าเชื่อถือและความเร็วของ SAS ที่เทียบเท่ากับ FC ในขณะนี้ การเข้ามาแทนที่ของ SAS จึงต้องอาศัยบริษัทต่างๆ อย่าง บริษัท ฮิตาชิ ดาต้า ซิสเต็มส์ ในการเดินหน้านำเสนอโซลูชั่น SAS ออกสู่ตลาดผสานร่วมกับเสียงตอบรับที่ดีจากลูกค้า
การเจาะตลาดที่ FC ถือครองมาเป็นเวลากว่าสิบปีนั้นอาจไม่ใช่เรื่องง่ายนักสำหรับ SAS แต่เมื่อถึงเวลาที่ลูกค้าเริ่มพิจารณาว่า FC และ SAS มีความสามารถอยู่ในระดับเดียวกันบนสนามการแข่งขัน การชี้ชะตาของเทคโนโลยีก็จะเกิดขึ้นเมื่อลูกค้าตัดสินใจเทเงินให้กับเทคโนโลยีใดเทคโนโลยีหนึ่ง อย่างไรก็ตาม ด้วยประสิทธิภาพที่คุ้มค่าของ SAS จึงไม่น่าแปลกใจที่ SAS จะมีแนวโน้มที่ดีในการคว้าชัยจากการแข่งขันในครั้งนี้

View :1270
Categories: Press/Release Tags:

กิจกรรม ICT CAMP

September 10th, 2010 No comments

ระหว่างวันที่ 1 กันยายน 2553- 2 พฤษภาคม 2554

ปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ปลัดสือ ล้ออุทัย เปิดเผยว่ากิจกรรม เป็นการส่งเสริมกิจกรรมทางด้านไอซีที บนพื้นฐานความรู้ความเข้าใจในเรื่องการใช้ประโยชน์ไอซีทีอย่างสร้างสรรค์ บูรณาการไอซีทีเพื่อประโยชน์ต่อการเรียนรู้ การอยู่ร่วมกันในสังคมใหม่ที่เรียกว่า สังคมไซเบอร์ อย่างสงบสุข การใช้ชีวิตที่สมดุลทั้งในโลกจริงและโลกออนไลน์เสมือนจริง การใช้และการให้ข้อมูลข่าวสารในสื่อสังคมอย่างถูกต้อง และอย่างมีคุณธรรม สามารถป้องกันตนเองจากพิษภัยในโลกเสมือนจริงไซเบอร์ และมีความปลอดภัยในโลกออนไลน์ ลดปัญหาช่องว่างทางการศึกษา (Digital Divide) ของเยาวชนไทยด้าน ICT

โดยมีเป้าหมายที่เด็กและเยาวชนและครู ผู้ปกครอง และกลุ่มชุมชนของศูนย์การเรียนรู้ ICT ชุมชน เพื่อให้ได้รับการส่งเสริมและพัฒนาความรู้ด้าน ICT โดยเน้นทักษะกระบวนการเรียนรู้อย่างสร้างสรรค์ แยกแยะข่าวสาร ข้อมูลความรู้ที่ถูกต้อง เข้าใจสังคม กฎระเบียบ มีคุณธรรมจริยธรรม และช่วยเหลือสังคมให้น่าอยู่ สามารถอยู่ร่วมกันในสังคมไซเบอร์ ก่อให้เกิดประโยชน์ทั้งต่อตนเอง และสังคม รวมถึงการเปิดกิจกรรมทางเลือกที่สร้างสรรค์เพื่อให้ใช้เวลาให้เกิดประโยชน์ ทดแทนการใช้ไอซีทีที่เกิดประโยชน์น้อย เช่น เล่นเกม เล่นเน็ต เล่นแชต ฯลฯ

กิจกรรม ICT CAMP ยังเป็นการสร้างเครือข่าย ครู และ เยาวชนด้าน ICT ที่สามารถถ่ายทอดความรู้และการใช้ ICT เพื่อให้มีการเผยแพร่ความรู้ กระจายไปจนก่อให้เกิดสังคมแห่งการเรียนรู้ด้าน ICT โดยเน้นให้เด็กและเยาวชนมีความคิดสร้างสรรค์ มีคุณธรรม จริยธรรม และรูปแบบการเรียนรู้แบบใหม่ของเยาวชนไทยที่มีไอซีทีเป็นเครื่องมือสนับสนุน ยังจะเกิดประโยชน์ทั้งต่อตนเอง ชุมชน สังคม และประเทศชาติ

ปลัดกระทรวงไอซีที นายสือ ล้ออุทัย ยังได้กล่าวอีกว่าเพื่อให้บรรลุถึงวัตถุประสงค์ดังกล่าว จึงใช้ทีมงานที่มีความเชี่ยวชาญในแต่ละด้านมาร่วมกันจัดกิจกรรม โดยมีกิจกรรมผสมผสานแบบหลากหลาย เน้นความพึงพอใจที่แฝงด้วย ปรัชญาทางการเรียนรู้ทางดิจิตอล และการแสวงหาของเยาวชน ซึ่งประกอบด้วยกิจกรรมดังต่อไปนี้คือ

ค่ายครูยุคดิจิตอล ( Digital Teacher Camp) ให้กับ ครู อาจารย์และบุคลากรจากศูนย์การเรียนรู้ ICT ชุมชน โรงเรียนเครือข่าย สสวท. หรือหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง ซึ่งกระทรวงฯ พิจารณาแล้วเห็นว่าสามารถขยายผลได้ตามเงื่อนไขที่กำหนด เข้าค่ายรวม 200 คน ครูเหล่านี้จะเป็นแกนหลักในการขยายผล จำนวนอย่างน้อย 24,000 คน โดยเน้นชื่อหัวข้อ “เรียนให้เป็นเรียน เรียนอย่างไรในยุคดิจิตอล” ที่เน้นเนื้อหาวิชาการที่สำคัญในหัวเรื่องต่างๆทางด้านไอซีที เพื่อนำไปใช้ในการเรียนรู้วิชาการต่อให้กับเยาวชน ทั่วประเทศเพื่อให้ได้เป้าหมายที่กำหนด

ค่ายไอซีทีดิจิตอลออนทัวร์ (MICT Digital on Tour) หลักสูตร สองวัน หรือไม่น้อยกว่า 12 ชั่วโมง ที่เน้นเนื้อหาวิชาการ ในเรื่องต่างๆไม่น้อยกว่า 8 หลักสูตร ตัวอย่างเช่น หลักสูตรการถ่ายภาพดิจิตอลและการตกแต่งภาพด้วยคอมพิวเตอร์ หลักสูตรการถ่ายคลิปวิดีโอ การตัดต่อ และการนำเสนอ หลักสูตรการนำเสนอผลงาน หลักสูตรการเขียนโปรแกรมบังคับหุ่นยนต์แบบเสมือน Robocode หลักสูตรการจัดเก็บรวบรวมความรู้ด้วยโปรแกรมวิกิ หลักสูตรการนำเสนอแบบเว็บสองจุดศูนย์ เช่น บล็อก หลักสูตรการใช้ประโยชน์จากเฟสบุก และการนำเสนอข้อมูล หลักสูตรการใช้อินเทอร์เน็ต การค้นข้อมูล การใช้ความรู้ ฯลฯ โดยการเดินทางไปจัดยังที่ต่างๆกระจายทั่วประเทศ 40 ค่าย ค่ายละ 50 คน รวมเป้าหมายจำนวน 2,000 คน

จัดค่ายแบบเข้มให้เยาวชนในกลุ่มเป้าหมายในนามชื่อ “ค่ายเยาวชน คนยุคดิจิตอล” ที่จะไปเป็นแกนหลักในการปลูกความคิดสร้างสรรค์ และความพึงพอใจกับการประยุกต์ไอซีที แบบค่ายพักค้างคืน 6 วัน จำนวนอย่างน้อย 200 คน

ตลอดการดำเนินค่ายระยะเวลา 10 เดือน จะเป็นการเผยแพร่ความรู้ สร้างสรรค์เทคโนโลยี ที่เด็กและเยาวชนจะใช้เวลาอย่างคุ้มค่า และประทับใจแบบไม่รู้ลืม ที่สร้างความสัมพันธ์ระหว่างเยาวชน พร้อมแนวคิดให้ คิดเป็น ทำเป็น ตลอดไป

View :1513
Categories: Press/Release Tags:

QR Code คืออะไร

September 10th, 2010 No comments

สัญลักษณ์สี่เหลี่ยม ที่เริ่มเห็นแพร่หลายในบ้านเรามากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นจากหนังสือพิมพ์หรือนิตยสาร เรียกว่า ย่อมาจาก Quick Response เป็นบาร์โค้ด 2 มิติ ที่มีต้นกำเนิดมาจากประเทศญี่ปุ่น โดยบริษัท Denso-Wave ตั้งแต่ปี 1994 คุณสมบัติของ คือ เป็นสัญลักษณ์แทนข้อมูลต่างๆ ที่มีการตอบสนองที่รวดเร็ว ซึ่งส่วนใหญ่จะนำมาใช้กับสินค้า, สื่อโฆษณาต่างๆ เพื่อให้ข้อมูลเพิ่มเติม หรือจะเป็น URL เว็บไซต์ เมื่อนำกล้องของโทรศัพท์มือถือไปถ่าย ก็จะเข้าสู่เว็บไซต์ได้ทันทีโดยไม่ต้องเสียเวลาพิมพ์

เราสามารถอ่าน QR Code ได้อย่างง่ายดาย โดยใช้โทรศัพท์มือถือที่มีกล้องถ่ายรูป และมีโปรแกรมที่เรียกว่า QR Code reader ติดตั้งอยู่ในเครื่องโทรศัพท์ เครื่องโทรศัพท์ในประเทศไทยมีหลายยี่ห้อ และหลายมาตรฐาน บางรุ่นอาจไม่รองรับโปรแกรม เพื่อนๆ จะต้องดาวน์โหลด QR Code Reader เพิ่มเติม และสามารถดาวน์โหลดได้ที่ wap.mobilelife.co.th/qr

QR Code ต่างจาก Barcode อย่างไร

ก่อนอื่นเราต้องมาทำความรู้จักกับ Bar code แบบธรรมดาหรือ Bar Code 1 มิติ ซึ่ง Bar code แบบธรรมดาก็คือ สัญลักษณ์แบบแท่ง มีความหนาบางต่างกัน โดย มีเส้นแนวตั้งที่มีขนาดที่ต่างกัน วางอยู่บนพื้นที่ขาวสลับกัน Bar Code แบบนี้ทำไว้เพื่อ บรรจุข้อมูลที่ต่างกันไม่เกิน 20 ตัวอักษร เป็นการเรียกข้อมูลจากฐานข้อมูลอีกต่อหนึ่ง เหมือนข้อมูลสินค้านั่นเอง
ส่วน Bar code 2 มิติ ก็พัฒนามาจาก bar code 1 มิติ คือเพิ่มแนวนอน เข้ามาทำให้บรรจุข้อมูลเพิ่มขึ้นเป็น 4000 ตัวอักษรหรือ 200 เท่านั่นเอง และสามารถใช้ได้หลายภาษาอีกด้วย

ส่วนอุปกรณ์ที่ใช้อ่านและถอดรหัส มีตั้งแต่ เครื่องอ่านแบบ CCD (ที่อ่านเลเซอร์) แต่ที่สะดวกและได้รับความนิยมก็จะใช้ผ่านกล้องในมือถือ ที่มีการติดตั้งโปรแกรมถอดรหัส ลักษณะ Bar code ที่ใช้ก็จะมีหลายแบบ แต่ที่พบเห็นได้บ่อยสุดคือ QR code

ประโยชน์ของ QR Co
de
เราสามารถนำ QR Code มาประยุกต์ใช้ได้หลากหลายรูปแบบ เช่น แสดง URL ของเว็บไซต์, ข้อความ, เบอร์โทรศัพท์ และข้อมูลที่เป็นตัวอักษรได้อีกมากมาย ปัจจุบัน QR Code ถูกนำไปใช้ในหลายๆ ด้านเนื่องจากความรวดเร็ว เพราะทุกวันนี้คนส่วนใหญ่จะมีมือถือกันทุกคนและมือถือเดี๋ยวนี้ ก็มีกล้องเกือบทุกรุ่นแล้ว

ประโยชน์ที่เห็นได้ชัดที่สุดของ QR Code คือการแสดง URL ของเว็บไซต์ เพราะ URL โดยปกติแล้วจะจดจำยากเพราะยาวและบางทีก็ จะซับซ้อนมาก แต่ด้วย QR Code เราเพียงแค่ยกมือถือมาสแกน QR Code ที่เราพบเห็นตามผลิตภัณฑ์ต่างๆ, นามบัตร, นิตยสาร ฯลฯ แล้วมือถือ จะลิ้งค์เข้าเว็บเพจที่ QR Code นั้นๆ บันทึกข้อมูลอยู่โดยอัตโนมัติ

เราสามารถสร้างและใช้ QR Code ได้เองหรือไม่

เราสามารถสร้าง QR Code ใช้เองได้ง่ายๆ โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ด้วยโปรแกรม QR Code Generator ที่สามารถสร้างตัว QR-Code ได้ทั้งแบบเป็น ข้อความ, URL, PIN แบล็คเบอรี่, เบอร์โทรศัพท์, SMS, e-mail และนามบัตร โดยเราสามารถกำหนดขนาดของ QR Code ได้ทั้งแบบแสตมป์, จดหมาย, กระดาษปรินท์ และเสื้อยืด อีกทั้ง ยังสามารถนำตัว QR Code ไปโพสต์ไว้ตามเว็บบอร์ดต่างๆ ด้วยการ Copy โค้ด HTML ไปใช้ได้หรือ Share ให้เพื่อนที่ facebook และ twitter ได้อีกด้วย

มือถือที่รองรับ ได้แก่ Smart Phone ทั่วไป ที่มีความละเอียดของกล้องสูง
ตัวอย่างของมือถือที่รองรับ ได้แก่ iPhone: iPhone2,iPhone3G,iPhone3Gs,iPhone4
BlackBerry: Curve 8900, Bold 9000, Bold 9700, Storm 9500, Storm 9520
Nokia: 2700C, 3250, 3700c,5120,5320,5800Xpress,6110 NAVI, 6120, 6260, 6600, 6680, 6681, N70, N71, N72, N73, N76, N78, N79, N80, N81, N86, N91, N93, N93i, N95, E51, E63, E63i, E65, E71, E72, E90, X3, X6 8GB
SonyEricsson: W508, W707, Z610i, W810i, W550, W200, C510, K790
Samsung: i550W, M8800, S8300, i450, i780, i600, i7110
Motolora: Q11, E6, V8

วิธีใช้ QR Code
เมื่อติดตั้ง QR Code Reader เรียบร้อยแล้ว หากพบเห็น QR Code และอยากรู้ว่า QR Code นั้นคืออะไร ให้เปิดโปรแกรม QR Code Reader และถ่ายรูปสัญลักษณ์ QR Code ระบบจะแปลงสัญลักษณ์ ให้เป็นข้อมูลที่อ่านได้ทันที

QR Code Reader ที่ใช้ได้สำหรับโทรศัพท์มือถือจะมีอยู่ 2 ประเภท ได้แก่
1. แบบ Real-Time คือ แค่ใช้กล้องในโทรศัพท์มือถือส่อง QR Code ได้ทันที
2. แบบ Snapshot/Capture คือ ต้องเปิดโปรแกรมแล้วถ่ายภาพจากกล้องมือถือ ถ่ายภาพ Code ก่อน แล้วจึงประมวล Code ออกมา

ข้อมูลจาก AIS

View :1810
Categories: Press/Release Tags:

เอไอเอสเปิดบริการใหม่ “AIS QR Code Generator”

September 10th, 2010 No comments

ให้ลูกค้าสร้าง เป็นมีเดียใหม่ เชื่อมสู่คอนเทนต์
ที่สะท้อนความเป็นตัวเองได้อย่างง่ายดาย

เอไอเอสตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมบนมือถือ รุกสร้างปรากฏการณ์ใหม่ให้กับเทคโนโลยี QR Code ในเมืองไทย พัฒนานวัตกรรมใหม่ “ QR Code Generator” เป็นแหล่งผลิต QR Code แห่งใหม่ที่ครบวงจรที่สุดบนโลกออนไลน์ ให้ลูกค้าเอไอเอสและลูกค้าองค์กรเข้ามาสร้าง QR Code ในสไตล์ของตัวเอง และนำไปใช้งานได้แบบไม่จำกัดจำนวนและไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ ผ่านทางเว็บไซต์ www..co.th/qrcode ด้วยหน้าตา QR Code โฉมใหม่ที่โดดเด่นและแตกต่างจาก QR Code ทั่วไป.. หวังผลักดันเป็น “นิวมีเดีย” ให้ลูกค้าและผู้ประกอบการนำไปประยุกต์ใช้ในเกิดประโยชน์ในรูปแบบต่างๆ อีกทั้งกระตุ้นให้เกิดการใช้งานดาต้าผ่านมือถือมากยิ่งขึ้น

นายสมชัย เลิศสุทธิวงค์ รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานการตลาด เอไอเอส เปิดเผยว่า “ด้วยนโยบายหลักของเอไอเอส ที่ให้ความสำคัญกับการนำนวัตกรรมเข้ามาผสมผสานและพัฒนาบริการใหม่ๆ มอบให้กับผู้ใช้บริการอย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบสนองการใช้งานในด้านต่างๆ ทั้งส่วนตัวและธุรกิจ โดยเทคโนโลยี QR Code ถือเป็นนิวมีเดีย เทรนด์ใหม่ที่ทรงประสิทธิภาพและมีบทบาทสำคัญอย่างมากในปัจจุบันและอนาคต ด้วยจุดเด่นของเทคโนโลยีคือ ความง่ายในการ access เพื่อเชื่อมต่อไปสู่คอนเทนต์ต่างๆ โดยที่ผ่านมา เอไอเอสได้นำร่องแนะนำแอพลิเคชั่น Barcode Access และ 2D Barcode ออกสู่ตลาดมาแล้ว แต่ด้วยข้อจำกัดด้าน Device support ที่ยังไม่ครอบคลุมและหลากหลาย จึงทำให้ 2D Barcode ยังไม่เป็นที่แพร่หลายมากนัก จนกระทั่งวันนี้ เมื่อส่วนผสมต่างๆ ของ DNA หรือ Device Network Application ลงตัว ไม่ว่าจะเป็นกระแสการเติบโตของสมาร์ทโฟน และผู้ใช้มือถือที่คุ้นเคยกับการเชื่อมต่อ DATA หรือแม้แต่ ก็ดี ทำให้ลูกค้าและองค์กรต่างๆ หันมานิยมใช้ QR code กันอย่างแพร่หลายมากขึ้น

ล่าสุด เอไอเอสจึงได้พัฒนาบริการใหม่ “AIS QR Code Generator” เป็นศูนย์กลางในการสร้าง QR Code แห่งใหม่ที่ครบวงจรที่สุดบนโลกออนไลน์ในขณะนี้ โดยได้รวบรวมการใช้งาน และเครื่องมือทั้งหมดในการผลิต QR Code ไว้อย่างครบถ้วน เพื่อให้ลูกค้าเอไอเอสและลูกค้าองค์กรของเราสามารถเข้ามาสร้าง QR Code ของตัวเอง เพื่อไปใช้ประโยชน์ในรูปแบบต่างๆ ได้อย่างสะดวกง่ายดายที่เว็บไซต์ www.ais.co.th/qrcode โดยมีให้เลือกหลากหลายรูปแบบ ทั้งข้อความ, ที่อยู่เว็บไซต์, เบอร์โทรศัพท์, SMS, Email, นามบัตร, BlackBerry PIN รวมทั้งมีที่ให้ดาวน์โหลดโปรแกรม QR Code Reader มาติดตั้งบนมือถือทุกรุ่นที่รองรับได้ ผ่านทาง wap.mobilelife.co.th/qr โดยบริการนี้ เอไอเอสยังได้เปิดกว้างให้กับทุกคน ทั้งผู้ใช้มือถือ เอไอเอสและประชาชนทั่วไป รวมถึงบริษัทและองค์กรที่สนใจ สามารถเข้ามาสร้าง QR Code ในสไตล์ของตัวเองได้แบบไม่จำกัดจำนวน และไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งนี้ หน้าตา QR Code จาก AIS จะมีจุดเด่นที่แตกต่างจาก QR code ทั่วไปที่ใช้งานอยู่ตรงที่มีความเป็น “ID QR code” ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว สามารถใส่สีสันได้ ไม่ใช่เพียงสีขาวดำ, ใส่ภาพและโลโก้ได้ ช่วยสร้างการจดจำให้กับตราสินค้าหรือตัวตนเจ้าของ QR Code ได้”

“เอไอเอสหวังว่าบริการ AIS QR Code Generator จะมีส่วนช่วยในการผลักดันให้เกิด นิวมีเดีย หรือช่องทางใหม่ๆ ให้ผู้ประกอบการธุรกิจ สามารถนำไปต่อยอดและประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อการดำเนินกิจการในรูปแบบต่างๆ อันเป็นการสานต่อแนวคิด Ecosystem ของ เอไอเอส อีกทั้งเป็นการสนับสนุนให้เกิดการใช้งานเชื่อมต่อดาต้ามากขึ้น โดยบริษัทยังส่งเสริมให้พนักงานเข้ามาสร้าง QR Code ไปใช้งานในลักษณะต่างๆ อย่างอิสระ ที่นิยมทำกันคือนามบัตร ทำให้พนักงานไม่ตกเทรนด์และตามทันกระแสนิยมของตลาดผู้บริโภค โดยเร็วๆ นี้ เอไอเอสมีแผนที่จะนำ QR code มาเป็นช่องทางในการมอบสิทธิพิเศษ ให้กับลูกค้าต่อไป” นายสมชัยกล่าวสรุป
*************************************************

ยกตัวอย่างรูปแบบการใช้งาน
- หากสร้าง QR Code ออกมาเป็นข้อความ เมื่อใช้มือถือสแกน ก็จะขึ้นมาเป็นข้อความที่เจ้าของ QR Code ต้องการจะบอก
- รูปแบบ SMS ก็จะปรากฏหน้าจอข้อความ SMS ที่พิมพ์ข้อความไว้แล้ว พร้อมส่งได้ทันที โดยไม่ต้องเสียเวลาพิมพ์ข้อความหรือพิมพ์เบอร์ปลายทาง ประเภทนี้เหมาะกับการร่วมโหวตหรือแสดงความคิดเห็นกับรายการโทรทัศน์
- รูปแบบ Email ก็จะปรากฏหน้า Compose email ขึ้นมา โดยมี email address ของ Sender อยู่แล้ว ผู้สแกนก็สามารถพิมพ์ข้อความลงไป แล้วกดส่งอีเมล์ไปถึงเจ้าของ QR code ได้เลย ซึ่งเจ้าของสินค้าสามารถนำไปประยุกต์ใช้เพื่อรับ feedback จากลูกค้าได้เลย เพียงลูกค้าสแกนที่ QR Code ก็สามารถพิมพ์อีเมล์ส่งไปถึงหน่วยงาน Customer service หรือ Voice of Customer ได้เลย
- รูปแบบนามบัตร เมื่อสแกนแล้ว ระบบจะบันทึกชื่อและเบอร์โทรลงใน contact ในมือถือให้เลย
- รูปแบบเบอร์โทรศัพท์ เมื่อสแกนปุ๊ป ระบบก็จะทำการโทรออกให้ทันที ตรงนี้จะเหมาะกับธุรกิจประเภท Delivery โทรสั่งสินค้า

View :1589
Categories: Press/Release Tags: ,

โซนี่ไทย ประกาศความเป็นผู้นำตลาดดิจิตอล อิมเมจจิ้งตัวจริง

September 10th, 2010 No comments

พลิกนิยามการถ่ายภาพด้วยกองทัพเทคโนโลยีสุดล้ำครั้งแรกในไทย

บริษัท โซนี่ ไทย จำกัด ประกาศความเป็นผู้นำด้านผลิตภัณฑ์ดิจิตอล อิมเมจจิ้งในประเทศไทยอย่างแท้จริง ด้วยเทคโนโลยีล้ำหน้ามากมาย ที่มาพร้อมกับ กองทัพพอร์ทโฟลิโอกล้องโซนี่ใหม่ล่าสุดในทุกตระกูล ทั้งกล้องไซเบอร์ช็อต กล้องอัลฟ่า และกล้องแฮนดีแคม ที่พร้อมจะสร้างความตื่นเต้น และสร้างสรรค์รูปแบบใหม่ให้แก่วงการถ่ายภาพด้วยหลากหลายเทคโนโลยีที่โซนี่คิดค้น และพัฒนาขึ้นเป็นครั้งแรกในโลก อาทิ กล้องถ่ายวิดีโอแฮนดีแคมระบบไฮเดฟฟินิชั่นที่เปลี่ยนเลนส์ได้เครื่องแรกในโลก กล้องอัลฟ่ารุ่นแรกของโลกที่มาพร้อมเทคโนโลยีกระจกสะท้อนภาพแบบ Translucent Mirror รวมทั้งระบบออโต้โฟกัส Quick AF ที่สามารถจับโฟกัสได้ต่อเนื่อง ไว เงียบ และแม่นยำที่สุดในโลก และกล้องไซเบอร์ช็อตรุ่นแรกของโลก กับเทคโนโลยีถ่ายภาพพาโนรามา 3 มิติ (3D Sweep Panorama) เสริมทัพด้วยกิจกรรมสื่อสารการตลาดเต็มรูปแบบ ร่วมกับแคมเปญโฆษณาและการตลาดสุดสร้างสรรค์ เพื่อสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายคนรุ่นใหม่ที่ชื่นชอบความทันสมัยอย่างตรงจุด

มร. โยสุเกะ อาโอกิ ผู้จัดการทั่วไป กลุ่มผลิตภัณฑ์ Personal Imaging & Sound Electronics Asia Pacific Pte., Ltd. กล่าวว่า “ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา โซนี่ มุ่งมั่นในการจำกัดนิยามใหม่ของการใช้งานกล้องในทุกตระกูล พร้อมไม่หยุดคิดค้น และพัฒนาเทคโนโลยีการถ่ายภาพที่ผสมผสานความล้ำหน้าของตัวประมวลผล ตัวรับภาพและเลนส์เข้าไว้ด้วยกันภายใต้แนวความคิด Image3 (อิมเมจคิวบ์) อันมีจุดมุ่งหมายในการส่งมอบประสบการณ์การใช้งานแบบใหม่ ๆ ให้แก่ลูกค้าของโซนี่ด้วยดีเสมอมา โดยในวันนี้ นับเป็นอีกครั้งหนึ่งที่เราจะได้แนะนำเทคโนโลยีที่มีความหมายต่อผู้บริโภคด้วยเทคโนโลยีครั้งแรกของโลก ทั้งกล้องวิดีโอแบบไฮเดฟฟินิชั่นที่สามารถเปลี่ยนเลนส์ได้ครั้งแรกของโลก เทคโนโลยีกระจกสะท้อนภาพแบบ Translucent Mirror และฟังก์ชั่นถ่ายภาพแบบ 3 มิติในโหมด Sweeping Panorama ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นการสร้างปรากฏการณ์ใหม่ในวงการ และความสำเร็จใหม่ ๆ ดังจะเห็นได้จากสัดส่วนทางการตลาดกล้อง DSLR ในตลาดสำคัญอย่าง ไต้หวัน ที่สามารถก้าวขึ้นเป็นอันดับหนึ่ง รวมไปถึงประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาค ที่มีสัดส่วนทางการตลาดเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก ทั้ง เกาหลีใต้ ฮ่องกง สิงคโปร์ มาเลเซีย รวมถึงประเทศไทย ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการสร้างนิยามใหม่ให้แก่วงการฯ อย่างแท้จริง”

มร. โทรุ ชิมิซึ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โซนี่ ไทย จำกัด เปิดเผยถึงทิศทาง และกลยุทธ์การตลาดสำหรับผลิตภัณฑ์ในกลุ่มดิจิตอล อิมเมจจิ้งในประเทศไทยว่า “ในปีนี้ ภาพรวมของตลาดดิจิตอลอิมเมจจิ้งยังคงมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าน่าจะเติบโตขึ้น 10-12% โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มกล้องดีเอสแอลอาร์ที่มีการเติบโตอย่างเด่นชัดถึง 25-30% อย่างไรก็ตาม โซนี่ไทยพร้อมเดินหน้าสร้างความแข็งแกร่งในธุรกิจดิจิตอลอิมเมจจิ้ง ด้วยการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ล่าสุดใน 3 กลุ่มผลิตภัณฑ์หลักรวม 7 รุ่น ประกอบด้วย กล้อง Cyber-shot 3 รุ่น กล้องดีเอสแอลอาร์ Alpha 3 รุ่น และกล้องถ่ายวิดีโอ Handycam 1 รุ่น ที่มาพร้อมนวัตกรรมทางเทคโนโลยีล่าสุด รวมทั้งระบบการทำงานอันทรงประสิทธิภาพ โดยหลาย ๆ เทคโนโลยีนั้น โซนี่ได้พัฒนาขึ้นเป็นเจ้าแรกในโลก โดยคำนึงถึงการตอบสนองการใช้งานของผู้บริโภคให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด รวมทั้งยังเปิดกว้างให้ผู้ใช้ได้สร้างสรรค์ผลงานได้อย่างสะดวกสบายด้วยอุปกรณ์ที่สามารถใช้ร่วมกันได้อีกด้วย ซึ่งโซนี่มั่นใจว่าจะสามารถสร้างความมั่นใจให้แก่ผู้บริโภค พร้อมตอกย้ำความสำเร็จของการเป็นผู้นำในตลาดดิจิตอล อิมเมจจิ้งโดยรวมได้ทั้งในด้านนวัตกรรม คุณภาพ รวมทั้งความเข้มแข็งทางธุรกิจด้วยส่วนแบ่งการตลาดสูงสุดในกลุ่มไซเบอร์ช็อตมีส่วนแบ่งการตลาด 30% แฮนดีแคม 60% และอัลฟ่า 17% โดยเฉพาะในกลุ่มอัลฟ่านั้น โซนี่สามารถผลักดันธุรกิจให้เติบโตขึ้นถึง 3 เท่า ภายหลังจากที่ได้เปิดตัว Alpha NEX เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา”

นอกเหนือจากการนำเสนอความล้ำหน้าในเทคโนโลยีดิจิตอล อิมเมจจิ้งสู่ชาวไทยด้วยผลิตภัณฑ์ที่มีความแข็งแกร่ง ซึ่งพร้อมรองรับทุกรูปแบบการใช้งานของลูกค้าที่หลากหลายตั้งแต่ผู้ใช้งานทั่วไป ช่างภาพมือสมัครเล่น ไปจนถึงช่างภาพมืออาชีพ โซนี่ยังได้เตรียมแผนกิจกรรมสนับสนุนเพื่อสื่อสารถึงทุกกลุ่มลูกค้าเป้าหมายทั้งในรูปแบบออนไลน์ และออฟไลน์ พร้อมกันนี้ โซนี่ไทยยังได้เปิดตัวพรีเซ็นเตอร์คนล่าสุดของกล้องไซเบอร์ช็อต “คริส หอวัง” ในภาพยนตร์โฆษณาไซเบอร์ช็อตชุดใหม่ ที่จะเผยแพร่ทั่วภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ตั้งแต่กลางเดือนกันยายนเป็นต้นไป โดยเน้นการนำเสนอถึงเทคโนโลยี 3D Sweep Panorama ที่บรรจุอยู่ในทั้งกล้อง ไซเบอร์ช็อตรุ่นใหม่ ทั้ง DSC-TX9 และ DSC-WX5 ซึ่งจะเป็นสร้างสรรค์ไลฟ์สไตล์ และรูปแบบใหม่ ๆ ของการถ่ายภาพให้สนุกสนานยิ่งขึ้น “หลังจากที่คุณคริส เป็นพรีเซ็นเตอร์กล้องอัลฟ่า NEX ได้สร้างความประทับใจกับผู้ชม และทีมงานของโซนี่ในหลายประเทศ ด้วยบุคลิกที่แอคทีฟ มั่นใจ ทันสมัย สะท้อนภาพลักษณ์ของคนรุ่นใหม่ ได้อย่างชัดเจน จึงเห็นพ้องกันว่าคุณคริสมีความเหมาะสมที่จะเป็นพรีเซ็นเตอร์สำหรับกล้องไซเบอร์ช็อต โดยจะมีสื่อโฆษณาใน 6 ประเทศคือ ไทย มาเลเซีย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย เวียดนาม และฟิลิปปินส์ ตั้งแต่กลางเดือนกันยายน ศกนี้ เป็นต้นไป ซึ่งคุณคริส เป็นพรีเซ็นเตอร์คนไทยคนแรกที่ได้รับเลือกให้เป็นตัวแทนคนรุ่นใหม่สำหรับโซนี่ในประเทศอื่น ๆ ด้วย” มร. โทรุ ชิมิซึกล่าวเพิ่มเติม

รายละเอียดผลิตภัณฑ์ในกลุ่มดิจิตอล อิมเมจจิ้ง
สำหรับผลิตภัณฑ์ใหม่ในกลุ่มดิจิตอล อิมเมจจิ้ง ที่เปิดตัวในครั้งนี้ ได้บรรจุเทคโนโลยีล้ำสมัยมากมายได้แก่
- กล้องโซนี่ไซเบอร์-ช็อต (Cyber-shot) วางตลาดพร้อมกัน 3 รุ่น คือ DSC-TX9 มี 3 สี คือดำ ทอง และชมพู , DSC-WX5 มี 3 สี คือ สีดำ ทอง ม่วง และ DSC-T99 มี 5 สี คือ สีดำ ม่วง เขียว ชมพู และสีเงิน สำหรับรุ่น TX9 และ WX5 เป็นกล้องดิจิตอลคอมแพ็คตัวแรกของโลกที่มาพร้อมโหมดถ่ายภาพพาโนรามา 3 มิติ ด้วยเทคโนโลยี 3D Sweep Panorama โหมดถ่ายภาพอัจฉริยะ หน้าชัด-หลังเบลอ Background Defocus และการบันทึกภาพเคลื่อนไหวระดับ Full HD Movie พร้อมด้วยเซ็นเซอร์ รับภาพ “Exmor R” CMOS Sensor ความละเอียด 12.2 ล้านพิกเซล มาพร้อมกับเลนส์ Wide-Angle ขนาด 25 มม. และ 24 มม. ตามลำดับ ในขณะที่ DSC-T99 โดดเด่นด้วยรูปลักษณ์เพรียวบางสะดุดตายังมาพร้อมกับตัวเครื่องอลูมิเนียม และเซ็นเซอร์รับภาพเปี่ยมประสิทธิภาพแบบ Super HAD CCD Sensor เลนส์ Wide-Angle ขนาด 25 มม. และออพติคอลซูม 4 เท่า
- กล้องถ่ายวิดีโอแฮนดีแคมระบบไฮเดฟฟินิชั่นที่เปลี่ยนเลนส์ได้เครื่องแรกในโลก รุ่น NEX-VG10 ที่มีตัวรับภาพแบบ “Exmor” APS HD CMOS Sensor เพิ่มเสน่ห์ความน่าสนใจด้วยเทคนิค ภาพวีดีโอ ชัดตื้นชัดลึก พร้อมถ่ายทอดจินตนาการกว้างไกลด้วยการถอดเปลี่ยนเลนส์ด้วยเลนส์ E-mount และ A-mount ของกล้องอัลฟ่า
- กล้องอัลฟ่ารุ่นใหม่ 3 รุ่น ประกอบด้วยรุ่น DSLR-A580, SAL-A55 และ SAL-A33 โดยในรุ่น SAL-A55 และ SAL-A33 เป็นกล้องดีเอสแอลอาร์รุ่นแรกในโลกที่มาพร้อมกับเทคโนโลยีกระจกสะท้อนภาพแบบ Translucent Mirror ช่วยทำให้ตอบสนองการถ่ายภาพได้รวดเร็ว และแม่นยำขึ้น นอกจากนี้ เซ็นเซอร์รับภาพแบบ Exmor APS HD CMOS ยังให้ภาพความละเอียดสุงสุด 14.2 ล้านพิกเซลและโหมดสำหรับการถ่ายภาพแบบ 3D Sweep Panorama และ Sweep Panorama พร้อมทั้งสามารถปรับเปลี่ยนการใช้งานของเลนส์ถ่ายภาพร่วมกับกล้องวิดีโอ Handycam ได้อีกด้วยนอกจากนี้ ระบบออโต้โฟกัสแบบ Quick AF ในโหมดการถ่ายภาพเคลื่อนไหวแบบ AVCHD Full HD1081i ซึ่งถือเป็นรายแรกของโลก ยังสามารถจับโฟกัสได้อย่างต่อเนื่อง ไว เงียบ และแม่นยำ แม้ว่าวัตถุจะมีการเคลื่อนไหวอยู่ก็ตาม

ผลิตภัณฑ์ใหม่ทุกรุ่นเริ่มวางจำหน่ายตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์ข้อมูลโซนี่ โทร. 0-2715-6100 หรือเยี่ยมชม www.sony.co.th

กล้องโซนี่ Cyber-shot
• กล้อง Cyber-shot DSC-TX9 ราคา 15,990 บาท (3 เฉดสี ได้แก่ สีดำ ทอง และชมพู)
• กล้อง Cyber-shot DSC-WX5 ราคา 12,990 บาท (3 เฉดสี ได้แก่ สีดำ ทอง ม่วง)
• กล้อง Cyber-shot DSC-T99 ราคา 10,990 บาท (5 เฉดสี ได้แก่ สีดำ เงิน ม่วง เขียว และชมพู)

กล้องโซนี่ Handycam
• กล้องวิดีโอ NEX-VG10 ราคา 69,990 บาท

แพ็คเกจกล้องอัลฟ่า ดีเอสแอลอาร์
• กล้อง Alpha DSLR – A580L พร้อมเลนส์ SAL 1855 ราคา 32,990 บาท
• กล้อง Alpha SLT – A55VL พร้อมเลนส์ SAL 1855 ราคา 30,990 บาท
• กล้อง Alpha SLT – A33L พร้อมเลนส์ SAL 1855 ราคา 26,990 บาท

View :2089
Categories: Press/Release Tags: ,

ดีแทค ลงทุนกว่า 1 พันล้านบาท ยกระดับดาต้าเน็ตเวิร์ก

September 10th, 2010 No comments

9 กันยายน 2553 – ดีแทค ลงทุนเพิ่มกว่า 1 พันล้านบาท เพื่อยกระดับความพอใจของลูกค้าในการใช้บริการดาต้าเน็ตเวิร์กทั่วประเทศ ทั้งยังตอบสนองต่อจำนวนลูกค้าที่ใช้บริการดาต้าและการใช้สมาร์ทโฟนที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

นายประเทศ ตันกุรานันท์ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิศวกรรม บมจ.โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น (ดีแทค) กล่าวว่าความต้องการในการใช้งานดาต้าที่เพิ่มขึ้นอย่างมาในปัจจุบัน ส่วนหนึ่งเกิดจากแอพพลิเคชั่น เช่น โซเชียลเน็ตเวิร์ก วิดีโอ และการใช้งานแบบมัลติมีเดียต่าง ๆ ได้รับความนิยมอย่างมาก อีกทั้งการสื่อสารในปัจจบันได้ค่อย ๆ เปลี่ยนรูปแบบจากบนอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ไปสู่โทรศัพท์มือถือ เมื่อรวมกับจำนวนของสมาร์ทโฟนในตลาดเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ปริมาณทราฟิกในดาต้าเน็ตเวิร์กของเราเพิ่มขึ้นด้วยอัตราที่สูงกว่าที่เป็นมาในอดีตอย่างมาก

“ การเปิดตัว iPhone และ BlackBerry บนดาต้าเน็ตเวิร์กของดีแทค ทำให้ลูกค้าให้ความสนใจใช้บริการดาต้าเพิ่มขึ้นอย่างมาก อีกทั้งการใช้งานอุปกรณ์สมาร์ทโฟน ทั้ง iPhone, BlackBerry หรือแอนดรอยด์นั้นจำเป็นต้องการแบนด์วิธมากกว่าโทรศัพท์เคลื่อนที่ทั่วไปเพราะเป็นอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อกับดาต้าเน็ตเวิร์กตลอดเวลา ดังนั้นเพื่อให้ลูกค้ามีประสบการณ์การใช้ดาต้าเน็ตเวิร์กที่ดีขึ้น ดีแทคจึงลงทุนอีกกว่า 1 พันล้านบาทเพื่อขยายขีดความสามารถเพื่อรองรับการใช้งานให้ลูกค้าได้รับ บริการที่ดียิ่งขึ้น รวมทั้งมีการปรับกระบวนการขยายโครงข่ายให้รองรับรูปแบบการใช้งานที่เปลี่ยน ไปและจัดระบบตรวจสอบให้แน่ใจว่าเราสามารถตอบสนองความต้องการใช้งานดาต้า เน็ตเวิร์กของลูกค้าได้ครอบคลุมทุกบริเวณตลอดเวลา ”

“ เราเห็นการใช้งานดาต้าที่เพิ่มอย่างรวดเร็วขึ้นจาก 1.6 Gbps เป็น 1.9 Gbps ภายหลังจากที่ได้นำอุปกรณ์สมาร์ทโฟนต่าง ๆ มาให้บริการในเน็ตเวิร์กของดีแทค และคาดว่าความต้องการใช้งานจะเติบโตต่อไปอีกอย่างน้อง 30-40% ก่อนจะถึงสิ้นปี ”

สำหรับการลงทุนครั้งนี้ ร้อยละ 60 คือการลงทุนเพื่อการขยายโครงข่ายทั้งหมดเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการรองรับการใช้งานที่เพิ่มขึ้นนี้ และอีกร้อยละ 40 จะเป็นการปรับปรุงคุณภาพของเน็ตเวิร์กให้มีความรวดเร็วยิ่งขึ้นในพื้นที่ที่มีการใช้งานสูงเป็นพิเศษ ซึ่งทั้งหมดนี้จะส่งผลให้ลูกค้าได้สัมผัสบริการด้านดาต้าที่มีคุณภาพยิ่งขึ้น

“ ในเดือนพฤศจิกายนนี้ลูกค้าดีแทคในหลาย ๆ พื้นที่จะได้สัมผัสกับดาต้าเน็ตเวิร์กของดีแทคที่ได้รับการปรับปรุงประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น โดยดีแทคจะขยายเน็ตเวิร์กต่อเนื่องไปจนถึงปีหน้า ซึ่งเฟสต่อไปนั้นอยู่ในช่วงของการวางแผนงาน ทั้งนี้เพื่อให้แน่ใจว่าลูกค้าของเราจะได้รับประสบการณ์การใช้บริการดาต้าเน็ตเวิร์กที่ดีที่สุด ” นายประเทศกล่าว

นับจากต้นปี 2553 ซึ่งมีลูกค้าใช้งานดาต้าเน็ตเวิร์กของดีแทคอยู่ราว 3.2 ล้านคนต่อเดือน ปัจจุบันมีการใช้งานเพิ่มขึ้นเป็น 3.9 ล้านคนต่อเดือน และดีแทคเป็นผู้ให้บริการรายเดียวให้บริการดาต้าเน็ตเวิร์กบน EDGE 100%.

View :1505

ซอฟต์แวร์พาร์คทีวีแจ้งเกิด สร้างต้นแบบรายการ 3D ที่แรก

September 10th, 2010 No comments

ซอฟต์แวร์พาร์คคลอดรายการทีวี Software Park Channel อาศัยเคเบิลและอินเทอร์เน็ตทีวีสร้างแบรนด์ซอฟต์แวร์ไทย หวังตลาดยอมรับฝีมือ พร้อมยิงสดผ่านเน็ตดึง facebook ตอบคำถามหน้าจอ ดึงเทคโนโลยี 3D ฝีมือคนไทยทำต้นแบบรายการ

นางสุวิภา วรรณสาธพ ผู้อำนวยการเขตอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ประเทศไทย หรือซอฟต์แวร์พาร์ค เปิดเผยว่า ขณะนี้ธุรกิจซอฟต์แวร์ของไทยได้ผ่านยุคตั้งตัว และเริ่มมีความเสถียรในการบริหารงานแล้ว และกำลังปรับตัวเข้าสู่ยุคของการสร้างฐานการตลาดที่เข้มแข็ง แต่เนื่องจากบุคลากรทางด้านการตลาดซอฟต์แวร์ รวมถึงเครื่องมือทางด้านการตลาดและประชาสัมพันธ์ทางด้านนี้โดยเฉพาะยังมีไม่มากนัก ดังนั้นซอฟต์แวร์พาร์คจึงได้จัดทำโครงการสร้างสื่อใหม่ให้กับธุรกิจซอฟต์แวร์ไทยขึ้นมา โดยล่าสุดได้เปิดช่องทางใหม่ทางด้านรายการเคเบิ้ลทีวี และอินเทอร์เน็ตทีวี ชื่อรายการ Software Park Channel

การสร้างรายการทีวีของซอฟต์แวร์พาร์ค จะเป็นการจัดทำรายการทีวีที่เน้นประสิทธิภาพสูงแต่ต้นทุนต่ำโดยใช้เทคโนโลยีมาช่วย เนื้อหาจะเน้นการแสดงถึงศักยภาพของซอฟต์แวร์ไทยโดยตรง ซึ่งนอกจากจะทำให้ธุรกิจซอฟต์แวร์ที่มาออกมีช่องทางการประชาสัมพันธ์มากขึ้น ยังสามารถนำสื่อที่เราผลิตไปเป็นเครื่องมือประชาสัมพันธ์ในโอกาสอื่นๆ เช่น youtube การออกบูธ ฯลฯ ได้ โดยเหตุผลที่สร้างรายการทีวีแบบต้นทุนต่ำนี้เนื่องจากเป็นแนวโน้มใหม่ของการผลิตรายการทีวีของโลก ทำให้เกิดเนื้อหารายการที่หลากหลาย และช่องทางการเผยแพร่ที่มากขึ้น

กลุ่มคนดูที่เป็นเป้าหมายของรายการนี้ จะเน้นกลุ่มธุรกิจตั้งแต่ระดับรากหญ้า หรือ SMEs ไปจนถึงกลุ่มระดับกลาง เป็นการขยายฐานประชาสัมพันธ์ออกไปให้กว้างกว่าเดิม เน้นการสร้างแบรนด์ให้กับอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ไทยโดยรวม ทำให้ผู้ใช้เกิดความเชื่อมั่นต่อซอฟต์แวร์ไทย โดยผู้ชมอาจจะไม่ได้เป็นผู้เข้ามาใช้โดยตรง แต่เป็นการสร้างทัศนคติที่ดีว่า ซอฟต์แวร์ไทยมีคุณภาพ และสามารถช่วยเหลือวงการธุรกิจของไทยให้มีประสิทธิภาพได้จริง ซึ่งจะส่งผลระยะยาวให้กับวงการซอฟต์แวร์ไทยโดยรวมมากกว่า
“จุดสำคัญที่ก่อให้เกิดรายการนี้ขึ้นมาคือ ความร่วมมือกันทั้งจากซอฟต์แวร์พาร์ค บริษัทแอ็บโซลูท-เอ ซึ่งเป็นสื่อและผู้ทำธุรกิจซอฟต์แวร์ รวมถึงบริษัท ไอเอสแอลที ที่ไปคว้ารางวัลระดับนานาชาติทางด้านซอฟต์แวร์สำหรับสื่อ จะทำให้ Software Park Channel เป็นรายการที่ลงตัว และสามารถรองรับเนื้อหาที่เกี่ยวกับซอฟต์แวร์ไทยได้อย่างดี” นางสุวิภา กล่าวสรุป

นายสุนทร เกียรติธนากร กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอ็บโซลูท-เอ เปิดเผยว่า จุดมุ่งหมายของการเข้ามาทำรายการ Software Park Channel คือต้องการเป็นตัวจุดประกายให้เกิดช่องรายการที่เป็นรายการทางด้านซอฟต์แวร์อย่างจริงจังเกิดขึ้น ปัจจุบันช่องรายการทีวีใหม่ๆ เกิดง่ายแต่มักจะเน้นรายการที่เป็นบันเทิง และเป็นรายการที่เป็นช่ององค์กรมากขึ้น โดยจากกระแสข่าวมีแนวโน้มจะเกิดช่องรายการที่เป็นไอทีขึ้น แต่ยังต้องใช้เวลาและการใช้ content อย่างมาก รายการนี้จึงเป็นเหมือนรายการต้นแบบ เพื่อจะนำไปสู่การเป็นช่องรายการขนาดใหญ่ต่อไป

จากแนวคิดของรายการ ที่เน้นการเป็นรายการต้นทุนต่ำ (low cost TV program) แต่กระจายสื่อออกไปหลากหลาย และเน้นการเป็นผู้นำทางด้านเทคโนโลยีไปด้วย ถือเป็นโจทย์ใหม่ ดังนั้นการจับกับพันธมิตรด้านต่างๆ จึงเป็นเรื่องสำคัญอย่างมาก ซึ่งทางบริษัทจะรับผิดชอบทางด้านการถ่ายทำทั้งหมด โดยแบ่งช่วงรายการออกเป็น 4 ช่วง ช่วงละ 10 นาที ในช่วงแรกจะเป็นการปูพื้นหรือทีมาของบริษัทซอฟต์แวร์ หรือตัวซอฟต์แวร์นั้นๆ ช่วงสองจะเน้นให้ข้อมูลเกี่ยวกับคุณสมบัติพิเศษที่โดดเด่นของตัวซอฟต์แวร์ ช่วงที่สามจะเน้นเรื่องการตลาดและประสบการณ์ที่ติดตั้งให้กับลูกค้าองค์กรต่างๆ และช่วงสุดท้ายจะเน้นเรื่องการวิจัยและพัฒนาตัวซอฟต์แวร์ตัวนั้น หรือซอฟต์แวร์ตัวใหม่ของบริษัทซอฟต์แวร์ที่มาออกรายการ โดยอยู่ในรูปแบบการนั่งโต๊ะพูดคุย และใช้พิธีกรที่มีความคุ้นเคยกับวงการซอฟต์แวร์เป็นคนสร้างสีสัน

“ความร่วมสมัยของรายการนี้คือ การนำเอา social media อย่าง Facebook เข้ามาเป็นช่องทางในการประชาสัมพันธ์ ซักถาม ผ่านผู้ดำเนินรายการเพื่อเป็นการสร้างสีสัน และไม่ใช่การสื่อสารทางเดียวกันอีกต่อไป ผ่านการถ่ายทอดสดผ่านเว็บไซด์ http://Knowhow.swpark.or.th ทุกวันพุธ 10.30 น. และเทปจะถูกตัดทอนเข้าไปในช่องทางรายการหลัก SOFTWARE PARK CHANNAL ต่อไป” นายสุนทรกล่าว

ปัจจุบันรายการ Software Park Channel ได้จัดทำรายการไปแล้วจำนวน 15 ตอน ออกอากาศที่ช่อง TCNN (Thai Cable News Network) ทุกคืนวันอาทิตย์ เวลา 11:05 – 12:00 น. ไปแล้วจำนวน 10 ตอน รายละเอียดการผลิตของ Software Park Channel คือ จะผลิตเบื้องต้น 52 ตอน หรือจำนวนออกอากาศอาทิตย์ละ 40 นาที เป็นเวลา 1 ปี หลังจากนั้นจะมีการวิเคราะห์และปรับทิศทางตามสถานการณ์ของเทคโนโลยีต่อไป

รายการทั้งหมดจะออกอากาศพร้อมกับในเว็บไซต์ด้วย โดยทางด้านเทคนิคและการสร้างเว็บไซต์ทั้งหมด ทางทีมงานซอฟต์แวร์พาร์คจะเป็นผู้ดำเนินการ อย่างไรก็ตาม หลังจากตอนที่ 16 เป็นต้นไป รูปแบบการถ่ายทำรายการ Software Park Channel จะมีการเปลี่ยนแปลงกระบวนการใหม่ทั้งหมดด้วยการนำเทคโนโลยีซอฟต์แวร์ของคนไทยเข้ามาช่วยเพื่อทำให้รายการดูทันสมัย และน่าสนใจมากขึ้น โดยทางบริษัทได้จับมือเป็นพันธมิตรกับบริษัท ISLT ซึ่งเป็นบริษัทซอฟต์แวร์ไทยที่เชี่ยวชาญทางด้านการทำเทคโนโลยี 3D ในรายการโทรทัศน์ ซึ่งจะทำให้การถ่ายทำในตอนต่อจากนี้จะเป็นในรูปแบบ 3D และสามารถใช้ลูกเล่นของเทคโนโลยีเช่นเดียวกับรายการทีวีต้นทุนสูงได้ จะทำให้รายการดูน่าสนใจ และเป็นต้นแบบของการทำรายการประเภทนี้เลยทีเดียว

สิ่งที่เกิดขึ้นจะเป็นประโยชน์ของทั้งวงการ นั่นคือ ทางซอฟต์แวร์พาร์ค จะมีรายการซอฟต์แวร์ที่เป็นที่สนใจของประชาชน และได้โปรโมทวงการซอฟต์แวร์ไทยอย่างเต็มที่ ส่วนทางบริษัทก็จะเป็นกลุ่มผู้ผลิตรายการรายแรกๆ ของเมืองไทยที่ได้ทดลองใช้เทคโนโลยีนี้ออกอากาศ และมีความเชี่ยวชาญการสร้างรายการ 3D ในต้นทุนต่ำ มีโอกาสในการสร้างฐานลูกค้ากลุ่มนี้ให้เกิดมากขึ้นในประเทศ และทางบริษัทซอฟต์แวร์คือ ISLT ก็จะมี reference site ที่เป็นจริง ทำให้โอกาสขยายงานทั้งในและต่างประเทศเกิดขึ้นได้ง่าย
ยิ่งไปกว่านั้นทางบริษัทยังได้เปิดอีกช่องทางในการประชาสัมพันธ์ธุรกิจซอฟต์แวร์อีกด้วยหนึ่ง คือ Absolute PARK ที่จามจุรีย์สแควร์ เพื่อเป็นร้านทดลองและต้นแบบในการสาธิต และจัดจำหน่ายซอฟต์แวร์เพื่อให้ผู้ประกอบการเข้ามาใช้พื้นที่ในการจัดจำหน่าย โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ซึ่งปัจจุบันได้รับการตอบรับจากหลายบริษัท ทำให้ผู้ซื้อสามารถเข้ามาเลือกผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับงานตนเองได้ พร้อมทั้งเห็นหน้าตาและการใช้งานเบื้องต้นของโปรแกรมต่างๆ

นายจักรกฤษณ์ ทัฬหชาติโยธิน กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไอเอสแอลที เปิดเผยว่า หลังจากที่ได้รับรางวัล APICTA (Asia Pacific ICT Award) เมื่อปีที่ผ่านมา ทางบริษัทได้นำผลงานซอฟต์แวร์ 3D Broadcasting มาพัฒนาจนสามารถเข้าสู่เชิงพาณิชย์ได้ โดยโปรแกรม นี้จะมีคุณสมบัติที่สำคัญคือ การถ่ายทอดสดคนใส่เข้าไปในโลกสามมิติจริงๆ โดยไม่ต้องใช้อุปกรณ์ราคาแพง ด้วยการใช้ 3D บาร์โค๊ดมาช่วยในการจับตำแหน่งและประมวลผลแบบเรียลไทม์ ทำให้ไม่จำเป็นต้องใช้ต้นทุนการผลิตที่แพงเหมือนสมัยก่อน และผู้ผลิตรายการสามารถเปลี่ยนฉากได้อย่างง่ายดาย ลดต้นทุนด้านอุปกรณ์ หรือสามารถสร้างฉากที่ยิ่งใหญ่กว่าที่สามารถทำในโลกความเป็นจริงได้

สำหรับรายการ Software Park Channel ทาง ISLT ได้ร่วมกับซอฟต์แวร์พาร์ค ในการทำรายการทีวีต้นแบบ ที่ถือเป็นยุคใหม่ของรายการทีวี ที่ใช้ต้นทุนต่ำ แต่ได้ผลงานเหมือนกับรายการทีวีที่ลงทุน production สูงได้ และโมเดลนี้จะกลายเป็นต้นแบบของผู้ผลิตรายการทีวียุคใหม่ของไทยต่อไป

View :1454

ก.ไอซีทีจัดกิจกรรม ICT Camp ส่งเสริมพัฒนาการใช้ ICT ในกลุ่มเด็กและเยาวชน

September 9th, 2010 No comments

นายสือ ล้ออุทัย ปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เปิดเผยภายหลังพิธีเปิดการอบรมสัมมนาหลักสูตร “ค่ายครูยุคดิจิตอล” ภายใต้กิจกรรม ว่า ปัจจุบันเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารมีการพัฒนาก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว และเข้ามามีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการดำเนินชีวิต โดยเฉพาะในการใช้เป็นเครื่องมือสื่อสารระหว่างกัน อย่างไรก็ตาม การพัฒนาด้านไอซีทีที่รวดเร็วนี้ได้ก่อให้เกิดปัญหาสำคัญ 2 ประการ คือ การเข้าถึงแหล่งข้อมูลสารสนเทศ ที่ทำให้เกิดความแตกต่างของผู้ใช้ข่าวสารได้เร็ว กับผู้เข้าถึงข่าวสารได้ช้า ซึ่งเกิดเป็นช่องว่างทางดิจิตอล และการใช้ไอทีในกลุ่มเด็กและเยาวชนในรูปแบบที่ไม่สร้างสรรค์ โดยใช้เพื่อการบันเทิง ใช้เพื่อการแสดงออกแบบไร้ขอบเขต หรือสื่อสารในเรื่องที่ไม่มีประโยชน์ ขณะเดียวกันก็ขาดความรู้ความเข้าใจในการใช้ไอซีทีเพื่อแสวงหาความรู้ และใช้อย่างสร้างสรรค์ ทำให้การใช้ไอทีในกลุ่มนี้ ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ได้อย่างเต็มที่ ตามยุทธศาสตร์กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ในยุทธศาสตร์ที่ 4 คือ การส่งเสริมและพัฒนาการใช้ ICT ของบุคลากรทุกภาคส่วนเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิต ที่ได้ให้ความสำคัญต่อการพัฒนาสมรรถนะบุคลากรเพื่อส่งเสริมให้มีความรู้ความเข้าใจด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเพราะถือเป็นปัจจัยสำคัญในการพัฒนาประเทศ

“กระทรวงฯ ได้ตระหนักถึงปัญหาทั้ง 2 ประการดังกล่าว จึงมีนโยบายที่จะลดช่องว่าง และส่งเสริมการใช้ไอซีทีให้ทั่วถึง เท่าเทียมกันเพื่อลดความแปลกแยกทางดิจิตอล โดยเน้นประชาชนทุกภาคส่วน ทั้งระดับเด็ก เยาวชน ไปจนถึงผู้ใหญ่ จากส่วนกลางไปจนถึงส่วนภูมิภาคของประเทศ ด้วยการจัดตั้งศูนย์การเรียนรู้ไอซีทีชุมชนขึ้น เพื่อใช้เป็นแหล่งกระจาย และเรียนรู้การใช้ข้อมูลข่าวสารของชุมชน พร้อมกันนี้ยังได้มีนโยบายที่จะพัฒนาเด็กและเยาวชน โดยเฉพาะในระดับที่กำลังศึกษาอยู่ในโรงเรียนต่างๆ เพื่อบูรณาการการใช้ความรู้ทางด้านไอซีทีให้เกิดประโยชน์ ทั้งต่อตนเอง ต่อสังคมและประเทศชาติ โดยการดำเนินงานกิจกรรม ICT Camp ภายใต้โครงการส่งเสริมและพัฒนาการใช้ ICT ในกลุ่มเด็กและเยาวชน” นายสือ กล่าว

สำหรับวัตถุประสงค์ของการดำเนินกิจกรรม ICT Camp นั้น เพื่อให้เด็ก เยาวชน ครู ผู้ปกครอง และกลุ่มชุมชนของศูนย์การเรียนรู้ ICT ชุมชน ได้รับการส่งเสริมและพัฒนาความรู้ด้าน ICT โดยเน้นทักษะกระบวนการเรียนรู้อย่างสร้างสรรค์ แยกแยะข่าวสาร ข้อมูลความรู้ที่ถูกต้อง เข้าใจสังคม กฎระเบียบ มีคุณธรรมจริยธรรม และช่วยเหลือสังคมให้น่าอยู่ สามารถอยู่ร่วมกันในสังคมไซเบอร์รวมทั้งเพื่อช่วยส่งเสริมกิจกรรมทางด้าน ICT บนพื้นฐานความรู้ความเข้าใจในเรื่องการใช้ประโยชน์ ICT อย่างสร้างสรรค์ บูรณาการ ICT เพื่อประโยชน์ต่อการเรียนรู้ การอยู่ร่วมกันในสังคมใหม่ที่เรียกว่า สังคมไซเบอร์ อย่างสงบสุข การใช้ชีวิตที่สมดุลทั้งโลกในความเป็นจริงและโลกออนไลน์เสมือนจริง การใช้และการให้ข้อมูลข่าวสารในสื่อสังคมอย่างถูกต้องมีคุณธรรม สามารถป้องกันตนเองจาก พิษภัยในโลกเสมือนจริงของสังคมไซเบอร์ และมีความปลอดภัยในโลกออนไลน์ ลดปัญหาช่องว่างทางการศึกษา (Digital Divide) ของเยาวชนไทยด้าน ICT

นอกจากนั้นการจัดกิจกรรม ICT Camp ยังเป็นการสร้างโอกาสให้เยาวชนไทยได้ใช้ความรู้ เกิดทักษะและความคิดสร้างสรรค์ด้าน ICT รู้จักนำมาประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ทั้งต่อตนเอง และสังคม รวมถึงการเปิดกิจกรรมทางเลือกที่สร้างสรรค์เพื่อใช้เวลาให้เกิดประโยชน์ ทดแทนการใช้ ICT ที่เกิดประโยชน์น้อย เช่น เล่นเกม เล่นเน็ต เล่นแชต ฯลฯ รวมทั้งเป็นการสร้างเครือข่ายเยาวชนด้าน ICT ที่สามารถถ่ายทอดความรู้และการใช้ ICT เพื่อให้มีการเผยแพร่ความรู้ กระจายไปจนก่อให้เกิดสังคมแห่งการเรียนรู้ด้าน ICT โดยเน้นให้เกิดประโยชน์ทั้งต่อตนเอง ชุมชน สังคม และประเทศชาติ ตลอดจนเกิดการบูรณาการการใช้ความรู้ ICT กับชุมชนและสังคม เพื่อสร้างทัศนคติและเจตคติที่ดีต่อการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ

“การดำเนินกิจกรรมฯ นี้ จะทำให้เกิดการศึกษาถึงวิธีการ แนวทางส่งเสริมการใช้ ICT สำหรับเด็กและเยาวชนอย่างสร้างสรรค์ มีคุณธรรม จริยธรรม และรูปแบบการเรียนรู้แบบใหม่ของเยาวชนไทยที่มี ICT เป็นเครื่องมือสนับสนุน รวมทั้งยังช่วยกระตุ้นให้เกิดการตื่นตัวในเรื่องการพัฒนาการเรียนรู้ โดยเป็นต้นแบบการเรียนการสอนในยุคดิจิตอลให้กับโรงเรียนและสถาบันต่างๆ ซึ่งรูปแบบกิจกรรมฯ นั้นจะมีทั้งการจัดอบรมครูแกนนำ การจัดอบรมขยายผลสู่เยาวชน การจัดค่ายเยาวชนแบบไปกลับ การจัดอบรมเข้มแบบค่ายสำหรับเยาวชน และการประกวดผลงาน” นายสือ กล่าว

ส่วนกิจกรรมจัดอบรมครูแกนนำในครั้งนี้ เป็นการจัดค่ายอบรมเข้มให้กับครูแกนนำที่จะไปถ่ายทอดต่อ ในชื่อ “ค่ายครู ยุคดิจิตอล ( Digital Teacher Camp)” โดยมีครูอาจารย์แกนนำ ICT ของสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) และครูจากศูนย์การเรียนรู้ ICT ชุมชน จำนวนประมาณ 200 คน เข้าร่วมการอบรมในหัวข้อ “เรียนให้เป็นเรียน เรียนอย่างไรในยุคดิจิตอล” ซึ่งจะเน้นเนื้อหาทางวิชาการที่สำคัญๆ ด้าน ICT เพื่อนำไปใช้ในการเรียนการสอนให้กับเยาวชนทั่วประเทศต่อไป

View :1355
Categories: Press/Release Tags: ,

เดลล์ ปูพรมกลยุทธ์การตลาดเจาะตรงมัดใจกลุ่มคอนซูเมอร์ทั่วประเทศ

September 9th, 2010 No comments

ด้วยกิจกรรม ‘อัพ เทรนด์ ล่า ’ ทั่ว กทม. จับมือแบรนด์ดังจัดโรดโชว์เสริมความเป็นตัวตน
- หลังดันยอด แฟนคลับ เฟสบุ๊ค พุ่งติดอันดับ 1 ของเว็บไซต์ไอทีเมืองไทย -

หลังจากกระโดดลงสู่ตลาด ‘คอนซูเมอร์’ ได้ไม่นาน ‘เดลล์’ ก็สามารถขยายฐานลูกค้าได้เพิ่มขึ้นอย่างน่าจับตา ล่าสุดเดินหน้าสร้างการรับรู้แบรนด์ด้วยกลยุทธ์การตลาดแบบผสมผสานที่เน้นเจาะกลุ่มลูกค้าโดยตรง ผ่านการโฆษณาแบบครบครันทางรถไฟฟ้า BTS และกระจายติดตั้ง ป้ายโฆษณาอันทันสมัยริมถนนสายหลักกว่า 50 จุดทั่ว กทม. พร้อมสร้างสรรค์กิจกรรม ‘เดลล์ ท้าสมองประลองกึ๋น (DELL QR CODE HUNT)’ ชวนล่า QR CODE ตามสื่อโฆษณา และสถานที่ต่างๆ ที่มี DELL QR CODE ปรากฎ เพื่อร่วมตอบปัญหามันส์ๆ ผ่าน เฟสบุ๊ค สะสมแต้มลุ้นรับรางวัล DELL Inspiron N4010 มูลค่า 23,990 บาท และรางวัลโดนใจอื่นๆ รวมกว่า 200,000 บาท รวมทั้งจับมือแบรนด์ดังเดินสายสะท้อนความเป็น ‘ตัวตนของคุณ’ ตามมหาวิทยาลัยชั้นนำและอาคารสำนักงานชื่อดังทั่วประเทศ ตบท้ายด้วยการเปิดตัวโน๊ตบุ๊ค 2 รุ่นล่าสุด ‘DELL Inspiron N4030 และ M301Z’

นายกฤตวิทย์ กฤตยเรืองโรจน์ ผู้จัดการฝ่ายการตลาด กลุ่มคอนซูมเมอร์ ประจำภาคพื้นเอเชียใต้ เดลล์ คอร์ปอเรชั่น เปิดเผยว่า ตั้งแต่ปลายไตรมาส 3 ของปีนี้ เดลล์ ได้วางกลยุทธ์ ในการเจาะกลุ่มตลาด ‘คอนซูเมอร์’ แบบครบวงจร หลังผลตอบรับจากกลุ่มผู้บริโภคเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยที่ผ่านมา เดลล์ ได้อาศัยการเข้าถึงผ่านการใช้ Strategy เป็นหลัก และสร้างสรรค์กิจกรรมต่างๆ ให้ แฟนคลับ ได้ร่วมสนุกในรูปแบบที่แตกต่าง จนทำให้ล่าสุด เดลล์ เฟสบุ๊ค ก้าวสู่การเป็นเบอร์ 1 ของเว็บไซต์ธุรกิจไอทีที่มีการใช้ เฟสบุ๊ค เป็นสื่อกลางการสื่อสารในเมืองไทย ด้วยจำนวนแฟนกว่า 17,000 คน ภายใน 1 ปี และจากการขยายฐานลูกค้าดังกล่าว เดลล์ จึงเสริมความแกร่งอีกขั้น ด้วยการใช้ Out of Home Media ผ่าน รถไฟฟ้า BTS และป้ายโฆษณาทันสมัย Mupi เพื่อสื่อถึงภาพลักษณ์แบรนด์และสินค้าใหม่ ตลอดจนการเชิญชวนร่วมเป็น แฟนคลับ เดลล์ ผ่านเฟสบุ๊ค โดยจะเริ่มกระจายให้เห็นตั้งแต่เดือนกันยายน เป็นต้นไป

“เดลล์ วางแผนต่อยอดการจัดกิจกรรมผ่าน เฟสบุ๊ค อย่างต่อเนื่อง โดยกิจกรรมล่าสุดที่จะนำเสนอ คือ ‘เดลล์ ท้าสมองประลองกึ๋น (DELL QR CODE HUNT)’ ที่ผนึกความแกร่งระหว่างการใช้ Out of Home Media และ Social Network เข้าด้วยกัน โดยเปิดโอกาสให้แฟนคลับเดิม หรือผู้ที่สนใจทั่วไปสมัครเป็นแฟนคลับ เดลล์ และร่วมค้นหา QR CODE ตามสื่อโฆษณาต่างๆ สแกนและร่วมตอบคำถามเพื่อลุ้นรับ โน๊ตบุ๊ค DELL Inspiron N4010 ทุกเดือนตั้งแต่บัดนี้ถึงพฤศจิกายน ศกนี้ พร้อมของรางวัลอื่นๆ จากเดลล์ มูลค่ากว่า 200,000 บาท ซึ่งสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.facebook.com/DellThaiClub” นายกฤตวิทย์ กฤตยเรืองโรจน์ กล่าว

ด้านกลยุทธ์ทางการตลาดเพื่อเสริมและตอกย้ำแนวคิดทางการตลาดที่ว่า ‘เดลล์ของคุณ ตัวตนของคุณ’ นั้น นายกฤตวิทย์ กฤตยเรืองโรจน์ อธิบายในส่วนดังกล่าวเพิ่มเติมว่า “ล่าสุด เดลล์ ได้ร่วมกับ อินเทล และ ลอรีอัล ในการจัดกิจกรรมโรดโชว์ ‘เดลล์ เปิดเผยความเป็นคุณ’ (Unleash the Real Side of You by DELL) เพื่อพัฒนาศักยภาพของกลุ่มเป้าหมาย ด้วยความแข็งแกร่งด้าน Know How ที่เดลล์มีมาใช้ในการเสริมสร้างความเชื่อมั่นให้แก่กลุ่มเป้าหมาย เพื่อก้าวสู่โลกแห่งอนาคตอย่างมั่นใจและสะท้อนความเป็นตัวตนที่แท้จริง โดย เดลล์ ได้เข้าไปมีบทบาทในการนำเสนอเทคนิคการนำไอทีเข้าไปพัฒนาภาพลักษณ์ให้เป็นที่ยอมรับในสังคม โดยจะเริ่มจัดตั้งแต่ช่วงกลางเดือนกันยายน ศกนี้ \ตามมหาวิทยาลัยชั้นนำ และอาคารสำนักงานทั่วประเทศ”

ทั้งนี้ สินค้าใหม่จากเดลล์ที่พร้อมจะนำเสนอสู่ตลาดนั้น ณ ปัจจุบัน ประกอบด้วย โน๊ตบุ๊ค 2 รุ่นล่าสุด คือ ‘DELL Inspiron N4030 ที่สุดแห่งความคุ้ม มาพร้อมกับหน้าจอที่ใหญ่ ชัด เต็มตา ขนาด 14” ในราคาเบาๆ เพียง 15,990 บาท และ M301Z’DELL โน๊ตบุ๊คขนาดกะทัดรัด บางเพียง 24 มม.น้ำหนักเบาเพียง 1.77 กก. ครบครันด้วย Brush Metal Finger print และ AMD Low Voltage ในราคา 21,990 บาท ซึ่งเชื่อว่าจะสามารถตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างลงตัว

View :1394