Archive

Archive for September, 2010

เอไอเอส ประกาศขายไอโฟน 4 เร็วๆนี้

September 9th, 2010 No comments

9 กันยายน 2553 : บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ เอไอเอส กำลังจะ Launch ไอโฟน 4 สุดยอดสมาร์ทโฟนที่บาง และมีหน้าจอที่คมชัดที่สุดเท่าที่เคยมีมา พร้อมวางตลาดเร็วๆ นี้ ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www..co.th สำหรับข้อมูลเกี่ยวกับไอโฟน 4 ติดตามได้ที่ www.apple.com/iphone

View :1468
Categories: Press/Release Tags: ,

บทความวิชาการจากนักวิจัยเนคเทคได้รับเกียรติขึ้นปกวารสารวิชาการระดับโลก

September 9th, 2010 No comments

วารสารวิชาการนานาชาติด้านวิศวรรกรรม สาขาวิศวรกรรมควอนตัมอิเล็กทรอนิกส์ ( Selected Topics in Quantum Electronics ) ประจำเดือนกรกฎาคม – สิงหาคม ปี 2553 ได้เลือกบทความวิชาการของนักวิจัยไทยจากศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ เรื่อง กล้องช่วยวินิจฉัยและตรวจหามะเร็งในระยะเริ่มต้นอัฉริยะMEMs-Based Dual Axes Confocal Microendoscopy ให้ตีพิมพ์บนหน้าปกของเล่ม

กล้องช่วยวินิจฉัยและตรวจหามะเร็งในระยะเริ่มต้นอัฉริยะ [MEMs-Based Dual Axes Confocal Microendoscopy] เป็นผลงานวิจัยพัฒนานวัตกรรม “ระบบเก็บภาพด้วยเอนโดสโคป” ซึ่งจะสามารถตรวจจับ ค้นหาโรคมะเร็งในระยะเริ่มต้น เพื่อที่จะช่วยรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็งให้มีโอกาสหายขาดได้ นวัตกรรมนี้จะช่วยค้นหาโรคมะเร็งทางพื้นผิวชั้นบน ซึ่งจะพบมากในผู้ป่วยโรคมะเร็งทั้งหมด (85% ของผู้ป่วยโรคมะเร็งทั้งหมดในประเทศไทย) วิจัยพัฒนาโดย ดร.วิบูลย์ ปิยวัฒนเมธา นักวิจัยจากศูนย์เทคโนโลยีอิเล้กทรอนิกส์และคอมพิวเตรอ์แห่งชาติ(เนคเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงวิทยาศาสตรืและเทคโนโลยี โดยได้รับทุนการวิจัยอย่างต่อเนื่องจากสภาวิจัยแห่งชาติ และเนคเทค/สวทช. พร้อมมีความร่วมมือทางวิชาการกับคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งคาดว่าจะมีผลงานวิจัยต้นแบบในต้นปี 2554 นี้

ดร.วิบูลย์ ปิยวัฒนเมธา ปัจจุบันเป็นนักวิจัยประจำศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ มีผลงานเด่น อาทิ การได้รับคัดเลือกให้เป็นสมาชิกระดับสูง (Senior Member) จากสถาบันวิศวกรไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์นานาชาติ (Institute of Electrical and Electronics Engineers : IEEE) ซึ่งเป็นองค์กรวิชาชีพสากลทางด้านวิศวกรรมไฟฟ้า และวิศวกรรมอิเล็กทรอนิกส์ รวมถึงซอฟต์แวร์ เมื่อต้นปี 2553 และมีผลงานการเขียนบทความทางวิชาการติดอันดับ 1 ใน 10 ของ สวทช. ตามดัชนีย์ชีวัดh-index คือ ดัชนีชี้วัดถึงคุณภาพของผลงานวิจัยวิทยาศาสตร์ชุดใหม่ ที่มีการนำเสนอในราวปี 2548 และมีกระแสตอบรับในทิศทางยอมรับของชุมชนวิจัยระดับนานาชาติในทางบวก เป็นดัชนีที่ได้จากการวัดของจำนวนผลงานตีพิมพ์ และจำนวนที่ได้รับการได้รับการอ้างอิง โดยวัดจาก 2 ค่า พร้อม ๆ ถือว่าเป็นการวัดถึงผลผลิตงานวิจัยวิทยาศาสตร์ (Scientific Productivity) ร่วมกับค่าผลกระทบ (Impact factor)

รายละเอียดของการวัดค่า h-inde

View :1561
Categories: Press/Release Tags: ,

ริม เปิดตัวสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ “แบล็กเบอร์รี่ เคิร์ฟ 3จี” อย่างเป็นทางการในประเทศไทย

September 8th, 2010 No comments

สมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ในตระกูล ‘แบล็กเบอร์รี่ เคิร์ฟ’ ที่ได้รับความนิยมทั่วโลก เปี่ยมไปด้วยประสิทธิภาพด้านความรวดเร็ว ง่ายต่อการใช้งาน และฟีเจอร์ชั้นเยี่ยม พร้อมใช้งานร่วมกับระบบปฏิบัติการ ‘แบล็กเบอร์รี่ 6’

รีเสิร์ช อิน โมชั่น หรือ ริม (Research In Motion – RIM) (Nasdaq: RIMM; TSX: RIM) ผู้ผลิตโทรศัพท์มือถือสมาร์ทโฟนตระกูลแบล็กเบอร์รี่ และผู้นำด้านการออกแบบและผลิตนวัตกรรมโซลูชั่นไร้สาย ประกาศเปิดตัวผลิตภัณฑ์ “แบล็กเบอร์รี่ เคิร์ฟ 3จี” (BlackBerry® Curve™ 3G) สมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ในตระกูลแบล็กเบอร์รี่เคิร์ฟที่ได้รับความนิยมอย่างสูง แบล็กเบอร์รี่ เคิร์ฟ 3จี ใหม่ได้รับการออกแบบมาเพื่อตอบรับกระแสความนิยมสมาร์ทโฟนที่มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น โดยมาพร้อมด้วยประสิทธิภาพเหนือชั้นในราคาที่คุ้มค่า แบล็กเบอร์รี่ เคิร์ฟ 3จี สามารถรองรับเครือข่าย 3จี ความเร็วสูง (HSDPA) ได้ทั่วโลก และมาพร้อมด้วยฟีเจอร์ชั้นเยี่ยม ช่วยให้ผู้ใช้งานไม่พลาดการติดต่อสื่อสารทุกที่ทุกเวลา

มร. เกรกอรี่ เวดด์ กรรมการผู้จัดการ ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ บริษัท รีเสิร์ช อิน โมชั่น จำกัด กล่าวว่า “ริมเชื่อมั่นว่าแบล็กเบอร์รี่ เคิร์ฟ 3จี จะได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในกลุ่มผู้ใช้งานในประเทศไทย ซึ่งเป็นกลุ่มที่ให้ความสำคัญเป็นอย่างมากต่อประสิทธิภาพด้านการสื่อสาร แบล็กเบอร์รี่ เคิร์ฟ 3จี เป็นสมาร์ทโฟนที่ใช้ง่ายและพร้อมไปด้วยฟีเจอร์ชั้นเยี่ยม สามารถรองรับเทคโนโลยี Wi-Fi และเครือข่าย 3จี จึงทำให้ผู้ใช้งานสามารถติดต่อสื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผู้ใช้งานสามารถเข้าถึงข้อมูลที่ต้องการได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย พร้อมทั้งยังสามารถแสดงพิกัดตำแหน่งของตนเองในโปรแกรม BBM และบนเว็บไซต์เครือข่ายสังคมยอดฮิตได้ เนื่องจากมีเทคโนโลยี GPS ในตัว”

สมาร์ทโฟนแบล็กเบอร์รี่ เคิร์ฟ 3จี มาพร้อมแป้นคีย์บอร์ดแบบ QWERTY เต็มรูปแบบ เพื่อความรวดเร็วและความแม่นยำยิ่งขึ้นในการป้อนข้อมูล และแป้นควบคุมด้วยปลายนิ้วสัมผัส หรือ แทร็คแพด (trackpad) ที่ช่วยให้การเลื่อนและเลือกฟังก์ชั่นการใช้งานคล่องตัวและง่ายดายมากขึ้น และมาพร้อมด้วย มีเดีย คีย์ (media keys) ซึ่งจะช่วยให้ผู้ใช้งานที่รักในเสียงดนตรี สามารถควบคุมการใช้งานด้านเพลงและวีดิโอได้ทุกที่ทุกเวลา และนอกเหนือจากเทคโนโลยี GPS และ Wi-Fi® ในตัวแล้ว สมาร์ทโฟนรุ่นใหม่นี้ยังมาพร้อมด้วยกล้องในตัวซึ่งสามารถบันทึกภาพวีดิโอ และหน่วยความจำเสริมภายนอก แบบ microSD/SDHC ที่สามารถขยายเพิ่มเติมได้ถึง 32 กิกะไบต์ เพื่อเก็บข้อมูลมีเดีย และด้วยศักยภาพในการรองรับเครือข่าย 3จี จะช่วยให้ผู้ใช้สามารถเปิดดูเว็บไซต์ (browsing) ได้อย่างรวดเร็ว และฟังเพลงได้อย่างต่อเนื่องและราบรื่น โดยในระหว่างที่ผู้ใช้งานคุยโทรศัพท์ ก็ยังจะสามารถเปิดดูเว็บไซต์ หรือส่งข้อความผ่าน BlackBerry® Messenger (BBM™) ไปพร้อมๆ กันได้

แบล็กเบอร์รี่ เคิร์ฟ 3จี รองรับด้วยระบบปฏิบัติการแบล็กเบอร์รี่ 5 และพร้อมใช้งานแล้วกับระบบปฏิบัติการแบล็กเบอร์รี่ 6 ซึ่งเป็นระบบปฏิบัติการรุ่นใหม่ล่าสุดสำหรับสมาร์ทโฟนแบล็กเบอร์รี่ ประกอบด้วยฟีเจอร์ที่มีการรับรองโดยแบรนด์แบล็กเบอร์รี่ ในขณะที่นำเสนอประสบการณ์อันล้ำสมัยและง่ายต่อการใช้งาน ระบบปฏิบัติการแบล็กเบอร์รี่ 6 ได้รับการออกแบบมาเพื่อให้สามารถใช้ร่วมกับแบล็กเบอร์รี่ เคิร์ฟ 3จี ทั้งนี้โดยขึ้นอยู่กับการยืนยันของผู้ให้บริการโทรคมนาคมในภายภาคหน้า

สมาร์ทโฟนแบล็กเบอร์รี่ เคิร์ฟ 3จี (รุ่น 9300) ใหม่ล่าสุด จะวางจำหน่ายในประเทศไทยในเดือนกันยายนนี้

View :1551

ก.ไอซีที เดินหน้าติดตามประเมินผลงาน 279 ศูนย์การเรียนรู้ ICT ชุมชน

September 8th, 2010 No comments

นายสือ ล้ออุทัย ปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เปิดเผยภายหลังเป็นประธานในพิธีเปิดการสัมมนา เชิงปฏิบัติการ Focus Group เรื่อง “กรอบแนวคิดในการประเมินผลการดำเนินงานของศูนย์การเรียนรู้ ชุมชน” ภายใต้โครงการจัดตั้งศูนย์การเรียนรู้ ชุมชน ว่า กระทรวงไอซีที ได้ดำเนินโครงการจัดตั้งศูนย์การเรียนรู้ ชุมชน เพื่อติดตั้งศูนย์คอมพิวเตอร์พร้อมอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงตามสถานที่ต่างๆ ในชุมชนที่มีความพร้อมและเหมาะสม ตามยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศไทยให้เป็นสังคมแห่งการเรียนรู้ที่รัฐบาลได้วางไว้ ทั้งนี้ เพื่อให้มีการพัฒนาศักยภาพของบุคลากรด้าน รองรับการพัฒนาประเทศ

“โครงการจัดตั้งศูนย์การเรียนรู้ ICT ชุมชนนี้ นอกจากจะมุ่งลดช่องว่างระหว่างสังคมเมือง และสังคมชนบทแล้ว ยังมีวัตถุประสงค์เพื่อขยายโอกาสการเข้าถึงสารสนเทศให้แก่ประชาชนในท้องถิ่น สร้างแหล่งเรียนรู้ด้าน ICT และสืบค้นสารสนเทศ พัฒนาศูนย์ฝึกอบรมด้าน ICT รวมถึงการสร้างห้องเรียนรู้ด้วยตัวเองผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต พร้อมกันนี้ยังเป็นแหล่งรับบริการข้อมูลข่าวสาร และบริการอิเล็กทรอนิกส์ภาครัฐ ตลอดจนสร้างโอกาสทางการตลาดแก่สินค้าและอาชีพของชุมชน” นายสือ กล่าว

โดยกระทรวงฯ ได้เริ่มดำเนินโครงการฯ ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2550 เป็นต้นมา จนถึงปัจจุบันสามารถดำเนินการจัดตั้งแล้วเสร็จ จำนวน 279 แห่ง ใน 268 อำเภอ ครบทั้ง 76 จังหวัด โดยแบ่งการดำเนินงานออกเป็น 4 ระยะ ได้แก่ ปีงบประมาณ 2550 จัดตั้งได้ 20 ศูนย์ ปีงบประมาณ 2551 จัดตั้งได้ 40 ศูนย์ ปีงบประมาณ 2552 จัดตั้งได้อีก 219 ศูนย์ และปีงบประมาณ 2553 อยู่ระหว่างจัดตั้งเพิ่มอีก 600 ศูนย์ ให้กระจายตัวออกไปในระดับอำเภอทั่วประเทศ และเพื่อให้การดำเนินงานพัฒนาศูนย์การเรียนรู้ ICT ชุมชนของประเทศไทยเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ มีทิศทางการดำเนินงานที่สอดคล้อง และมีรูปแบบเดียวกันในทุกศูนย์ที่ได้รับการจัดตั้ง รวมถึงมีการพัฒนารูปแบบการดำเนินโครงการฯ ไปในทิศทางที่สอดคล้องกับความต้องการของประชาชน กระทรวงฯ จึงได้ร่วมกับสถาบันวิจัยและให้คำปรึกษาแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ดำเนินงานติดตามและประเมินผลการดำเนินงานของศูนย์การเรียนรู้ ICT ชุมชนแต่ละศูนย์ เพื่อปรับปรุงและพัฒนากระบวนการดำเนินโครงการฯ ให้บรรลุตามเป้าหมายที่วางไว้

“การกำกับ ดูแล ติดตาม และประเมินผลการบริหารจัดการศูนย์การเรียนรู้ ICT ชุมชนนั้น มีความสำคัญอย่างยิ่งในการทบทวนสิ่งที่ได้ดำเนินการไปแล้วว่า คุ้มค่า เป็นประโยชน์ต่อประชาชน และประเทศชาติเพียงใด รวมทั้งแนวทางการพัฒนาต่อยอดให้ศูนย์ฯ สามารถดำเนินกิจกรรมต่างๆ ได้สำเร็จตามวัตถุประสงค์ และสามารถพึ่งตัวเองควรเป็นอย่างไร ดังนั้น กระทรวงฯ จึงได้จัดการสัมมนาเชิงปฏิบัติการ Focus Group เพื่อรับฟังความคิดเห็นจากผู้ที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐและเอกชนถึงผลการดำเนินงานของศูนย์การเรียนรู้ ICT ชุมชนที่ผ่านมา ตลอดจนการเสนอแนะแนวทางการพัฒนาศูนย์ฯ การแก้ไขปัญหาอุปสรรคที่เกิดขึ้น เพื่อประมวลข้อมูลเบื้องต้นที่ได้รับ มาใช้ประกอบในการจัดทำกรอบแนวความคิดในการติดตามและประเมินผลการดำเนินงานของศูนย์ฯ

โดยการจัดสัมมนาในครั้งนี้กระทรวงฯ ได้เชิญผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ศูนย์จำนวน 30 คน ผู้ใช้บริการศูนย์ 30 คน ผู้เชี่ยวชาญทางเทคโนโลยีสารสนเทศ และผู้แทนจากภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้อง อีกประมาณ 15 คน รวมทั้งสิ้น 75 คนเข้าร่วมสัมมนา ซึ่งกระทรวงฯ หวังว่าผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับโครงการฯ อย่างใกล้ชิดทุกคน จะได้ใช้เวทีนี้ในการแสดงความคิดเห็นและให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการศึกษา วิเคราะห์ ติดตาม และประเมินผลการดำเนินงานของศูนย์ฯ ทั้งที่จัดตั้งแล้ว และที่กำลังจะจัดตั้งตามเป้าหมายที่วางไว้ต่อไป” นายสือ กล่าว

View :1509
Categories: Press/Release Tags: ,

เบ็นคิว ตั้งเป้า “อันดับหนึ่ง” ตลาด DLP Projector

September 8th, 2010 No comments

ปูพรมสินค้ากว่า 20 รุ่น บุกหนักตลาดการศึกษา หวังสร้างมิติใหม่ด้านการเรียนการสอนแบบอินเตอร์แอคทีฟ

เบ็นคิวเปิดเกมส์รุกตลาดเครื่องฉายภาพดิจิตอล () ส่งทัพสินค้าใหม่มากกว่า 20 รุ่น พร้อมโชว์ศักยภาพทางเทคโนโลยี เน้นเจาะกลุ่มตลาดการศึกษา เพื่อเสริมสร้างมิติใหม่ด้านการเรียนการสอนแบบอินเทอร์แอคทีฟ หวังขึ้นแท่น “อันดับหนึ่ง” ตลาด DLP ในปีหน้า

มร.เควิน ลิน ผู้จัดการทั่วไป บริษัท เบ็นคิว (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า แนวโน้มของตลาดเครื่อง โปรเจคเตอร์ มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องในตลอดครึ่งปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะในตลาดการศึกษา ซึ่งถือว่าเป็นตลาดใหญ่ที่มีการใช้งานอย่างกว้างขวางมากขึ้น และเป็นตลาดที่เบ็นคิวให้ความสำคัญมาโดยตลอดในการที่จะพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ ๆ ด้านโปรเจคเตอร์ เพื่อสนับสนุนรูปแบบการเรียนการสอนในมิติที่หลากหลาย

โดยในครึ่งปีหลัง เบ็นคิวได้มีการพัฒนานวัตกรรมใหม่ของผลิตภัณฑ์ทางด้านเครื่องฉายภาพดิจิตอลรวมมากกว่า 20 รุ่น ออกสู่ตลาด เพื่อรองรับวัตถุประสงค์การใช้งานที่หลากหลายกับสถาบันการศึกษาต่าง ๆ ในทุกระดับ ตั้งแต่ระดับโรงเรียนไปจนถึงมหาวิทยาลัย ด้วยคุณสมบัติที่โดดเด่นที่สามารถตอบสนองไลฟ์สไตล์ของผู้ใช้งาน และทำให้การเรียนการสอนมีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น โปรเจคเตอร์ ประเภท “PointDraw” ซึ่งเหมาะสำหรับการนำเสนอสื่อการเรียนการสอนที่เน้นให้ครูและนักเรียนสามารถโต้ตอบกันได้ในแบบอินเทอร์แอคทีฟ รุ่น “Interactive Whiteboards” เพื่อการนำเสนอสื่อการเรียนการสอนแบบสามมิติ โปรเจคเตอร์ ประเภท “Short Throw” ที่ต้องการระยะห่างระหว่างเครื่องฉายและจอภาพในระยะสั้นเพียง 0.5 เมตร ซึ่งเหมาะกับห้องที่มีขนาดเล็ก หรือ โปรเจคเตอร์ ประเภท “Big zoom” ที่สามารถตั้งระยะห่างระหว่างเครื่องฉายและจอภาพได้มากถึง 3.36 เมตร จึงเหมาะสำหรับห้องที่มีขนาดใหญ่ โปรเจคเตอร์ ประเภท “Full HD High Brigness” ที่ให้ความคมชัดของภาพสูง และโปรเจคเตอร์ รุ่น “Network” โดยสามารถเชื่อมโยงการใช้งานของเครื่องฉายภาพที่ติดตั้งในห้องเรียน หรือสถานที่ต่าง ๆ ภายในแคมปัสผ่านระบบแลน เพื่อให้การจัดสรร หรือกำกับดูแลการเผยแพร่สื่อข้อมูลของสถาบันการศึกษา สามารถบริหารจัดการได้จากจุดเดียว

“จุดแข็งของโปรเจคเตอร์เบ็นคิวที่แตกต่างจากคู่แข่ง อยู่ที่การออกแบบและผลิตด้วยวัสดุที่มีคุณภาพสูงเพื่อเพิ่มความคงทนในการใช้งาน มีการออกแบบให้สามารถควบคุมในเรื่องความแตกต่างของแสง (High contrast rate) และลดการรบกวนของสัญญาณต่าง ๆ (Low DB noise) รวมทั้งการที่เรามีผลิตภัณฑ์ที่ครบไลน์ตามความความต้องการของลูกค้า ด้วยราคาที่ได้เปรียบเหนือคู่แข่ง” นายพัทธกร พรศิริธิเวช ผู้อำนวยการฝ่ายขายและการตลาด บริษัท เบ็นคิว
(ประเทศไทย) จำกัด กล่าว

นายพัทธกร กล่าวเพิ่มเติมถึงการคาดการณ์ตลาดรวมครึ่งปีหลังของปี 2553 ว่า จะเติบโตถึง 45-50% เมื่อเทียบกับครึ่งปีแรก ส่วนหนึ่งมาจากการสนับสนุนจากการจัดซื้อของภาครัฐ เช่น โครงการสำนักงานคณะกรรมการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ซึ่งผลิตภัณฑ์ใหม่ทั้งหมด จะช่วยให้เบ็นคิวสามารถสร้างส่วนแบ่งตลาดด้านโปรเจคเตอร์ได้มากขึ้น ซึ่งคาดว่าจนถึงสิ้นปี จะสามารถทำตลาดโปรเจคเตอร์ได้ถึง 12,000 เครื่อง นอกจากนี้ เบ็นคิวยังมีแผนในการเพิ่มตัวแทนจำหน่ายทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด มีการวางแผนแคมเปญและกิจการการตลาดโดยร่วมกับพาร์ทเนอร์อย่างต่อเนื่อง การตั้งจุดจำหน่ายสินค้าในห้างค้าปลีกสมัยใหม่ และซูเปอร์สโตร์ต่าง ๆ เพื่อสร้างชื่อ “เบ็นคิว” ให้เป็นที่รู้จักในตลาดมากขึ้น เพื่อมุ่งไปสู่เป้าหมายของการเป็นผู้จัดจำหน่ายโปรเจคเตอร์ระบบดิจิตอล “อันดับหนึ่ง” ในตลาด และเป็น “อันดับสอง” ในการทำตลาดโปรเจคเตอร์ทุกประเภทให้ได้ในปีหน้า

รุ่นไฮไลท์ MP780 ST
นายวรพันธ์ นวาระสุจิตร ผู้จัดการฝ่ายพัฒนาธุรกิจ ดูแลกลุ่มผลิตภัณฑ์โปรเจคเตอร์ และแอลซีดี มอนิเตอร์ บริษัท เบ็นคิว (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “สำหรับโปรเจคเตอร์รุ่นไฮไลท์ ที่เปิดตัวในวันนี้ คือ BenQ MP780 ST โปรเจคเตอร์เทคโนโลยี DLP ให้ความละเอียดในการฉายภาพระดับ WXGA ด้วยความสว่าง 2500 ANSI Lumens ทำให้ได้ภาพที่คมชัด และเป็นโปรเจคเตอร์ประเภทฉายภาพระยะสั้น ทำให้คุณได้ภาพถึงขนาด 81 นิ้วที่ระยะฉายเพียง 1 เมตร นอกจากนี้ ยังรองรับการฉายภาพผ่านระบบแลน จากการใช้งานจากโน้ตบุ๊กได้ 8 เครื่องพร้อมกัน และสั่งปิด-เปิดเครื่อง ผ่านระบบแลนได้อีกด้วย พร้อมกับให้ความสะดวกสบายด้วยการรองรับการฉายภาพผ่านสายยูเอสบี เช่น อุปกรณ์แฟลชไดร์ฟและฮาร์ดดิสก์ ที่สำคัญคือ รองรับการใช้งานระบบฉายภาพสามมิติ ที่กำลังได้รับความนิยมในขณะนี้”

View :1308
Categories: Press/Release Tags: ,

ทรูมูฟ ชวนคนไทย.เปลี่ยนตัวเองสู่โลกใบใหม่ที่ดีกว่าในงาน “3.9G Thailand Human D.N.A.”

September 8th, 2010 No comments

เชื่อมโยงทุกไลฟ์สไตล์ ทุกระดับ กับ เทคโนโลยีนำสมัย

ทรูมูฟ ร่วมงาน “” เปิดบูธเน้นแนวคิด “Change for a Better Life” เปลี่ยนตัวเองสู่โลกใบใหม่ที่ดีกว่า ให้สัมผัสประสบการณ์ไลฟ์สไตล์ชีวิตยุคใหม่ ตื่นเต้นกับ ทริปเปิลเพลย์และแอพพลิเคชั่น (Triple Play & ) คอนเทนต์รายการโปรดได้ตลอดเวลา ตื่นใจกับหลากหลายอุปกรณ์เชื่อมต่อเน็ตเร็วสูงถึง 42 Mbps ต่อด้วยบริการวิดีโอคอลล์ ให้ตื่นตากับการถ่ายทอดสดและการพูดคุยโทรศัพท์แบบเห็นหน้าตลอดการสนทนา ด้วยเทคโนโลยีนำสมัย ร่วมสนุกกับเทคนิค Interactive Shadow ให้ทุกคนสัมผัสและลองเปลี่ยนไลฟ์สไตล์ต่างๆ มั่นใจเปิดประสบการณ์สู่โลกใหม่ที่ดีกว่า

บริษัท ทรู มูฟ จำกัด ร่วมงาน 3.9G Thailand Human D.N.A. ภายใต้แนวคิด Change for a Better Life เปลี่ยนตัวเองสู่โลกใบใหม่ที่ดีกว่า นำเสนอประสบการณ์ชีวิตยุค 3.9G ผ่าน 3 โซน ได้แก่ โซนที่ 1 ทริปเปิลเพลย์และแอพพลิเคชั่น (Triple Play & Applications) ให้สนุกกับคอนเทนต์หรือรายการโปรดได้ง่ายๆ บนมือถือและโน้ตบุ๊ค ได้ทุกที่ทุกเวลา ไม่ว่าจะเป็นที่บ้าน ที่ทำงานหรือที่ใดก็ตาม เพียงเชื่อมต่อผ่าน 3G + Wi-Fi ก็สามารถติดตามชมรายการโปรดได้ง่ายๆ พร้อมนำศักยภาพผู้นำด้านสมาร์ทโฟนของทรูมูฟ ทั้ง ไอโฟน สำหรับ Real Lifestyle ให้สนุกกับ 250,000 แอพพลิเคชั่น คมชัดกับเรียลลิตี้โชว์ตลอด 24 ชั่วโมง, แบล็กเบอรี่ สำหรับ Real bond ให้แชทสนุกๆ แบบเรียลไทม์ ทุกที่ ทุกเวลา ทั้งแบบส่วนตัวและแบบกลุ่ม, โมโตโรล่า ไมล์สโตน สำหรับ Real Powerization รองรับทั้งการทำงานและชีวิตส่วนตัวเต็มประสิทธิภาพ

สำหรับโซนที่ 2 สัมผัสหลากหลายอุปกรณ์เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตความเร็วสูงแบบเคลื่อนที่ (Variety of hi-speed Mobile Internet Access Device) สามารถเลือกใช้เชื่อมโยงชีวิตการทำงานและชีวิตประจำวันให้สะดวกยิ่งขึ้นตรงใจกลุ่มเป้าหมายแต่ละกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็น แอร์การ์ด 3G, โน้ตบุ๊ค 3G, ไวร์เลสโมเด็ม 3G, ไวร์เลสเราท์เตอร์ 3G, แท็บเล็ต 3G, วิดีโอคอนเฟอเรนซ์ รวมทั้งแบ่งปัน
การเรียนรู้สู่โลกอินเทอร์เน็ตด้วยเทคโนโลยี 3G

และโซนที่ 3 ทดลองบริการวิดีโอคอลล์และชมการถ่ายทอดสดผ่านเทคโนโลยี 3G (3G VDO Call & Live Broadcast) ให้เพลิดเพลินกับการคุยโทรศัพท์แบบเห็นหน้าตลอดการสนทนาด้วย Video Call Service นอกจากนี้ ยังอำนวยความสะดวกให้ดูแลชีวิตคนในบ้านผ่านบริการ Home Monitoring ยิ่งไปกว่านั้น ทรูมูฟยังนำเทคนิค Interactive Shadow มาให้ผู้ชมงานร่วมสนุกและเข้าถึงความเข้าใจของการมีเครือข่าย 3G ที่บูธอีกด้วย ผู้สนใจสามารถชมบูธทรูมูฟได้ระหว่างวันที่ 8 –12 กันยายนนี้

View :1543

โนเกียแนะนำ App ใหม่ ตอบสนองการใช้ชีวิตแม้กระทั่งยามหลับใช้ฟรีบนมือถือโนเกีย

September 8th, 2010 No comments

โนเกียแนะนำแอพพลิเคชั่นใหม่ๆ ดาวน์โหลดได้ฟรีบนมือถือโนเกีย ตอบสนองคนรุ่นใหม่
ที่โทรศัพท์มือถือเข้ามามีบทบาทในชีวิต…แม้กระทั่งยามหลับ

เริ่มจาก Happy Nap แอพที่ช่วยให้คุณแอบงีบกลางวันแล้วตื่นมาทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ เพราะเป็นที่ยอมรับว่า
คนที่ได้นอนกลางวัน จะมีการทำงานของสมองส่วนต่างๆ สูงตลอดวัน หากคุณกังวลว่าการงีบของคุณจะเลยเถิด
ลองให้ Happy Nap เป็นผู้ช่วยปลุกคุณดีกว่า แค่กดเข้าสู่แอปพลิเคชั่นและตอบตกลงให้ตั้งเวลาปลุก HappyNap จะปลุกคุณ
ในระยะเวลาที่เหมาะสมในการงีบ นั่นคือประมาณ 30 นาที ดาวน์โหลดได้ที่ http://store.ovi.com/content/26813

สำหรับคนชอบเดินทางท่องเที่ยว Here and Now เป็นแอพพลิเคชั่นที่บอกตำแหน่งปัจจุบันว่าคุณอยู่ตรงไหนบนโลกใบนี้ รวมถึงสภาพอากาศ ณ ตอนนั้น นอกจากนี้ยังสามารถตรวจสอบข้อมูลกิจกรรมต่างๆ ที่เกิดขึ้นในย่านนั้น รวมถึงโปรแกรมหนังที่เข้าฉาย พร้อมทั้งยังมีคู่มือการท่องเที่ยวของ Lonely Planet และคู่มือแนะนำร้านอาหารของ Hungry Go Where
ทำให้คุณไม่ต้องกังวลว่าจะฝากท้องไว้ที่ไหนในที่ที่ไม่คุ้นเคย ดาวน์โหลดได้ที่ http://store.ovi.com/content/29773
โดยสามารถใช้ควบคู่ไปกับ TripAdvisor แอพพลิเคชั่นจากเว็บไซต์ท่องเที่ยวชื่อดังที่เป็นดั่งเพื่อนเดินทางคู่ใจของ
นักเดินทางมืออาชีพ โดยสามารถหาข้อมูลเกี่ยวกับโรงแรม ร้านอาหาร สถานที่น่าสนใจ รวมถึงค่าโดยสารเครื่องบินที่ถูกที่สุดให้อีกด้วย พร้อมมั่นใจไปกับผู้ใช้งานกว่า 35 ล้านคนทั่วโลกที่แชร์ประสบการณ์กับสถานที่ต่างๆ ให้ได้อ่าน
ดาวน์โหลดได้ที่ http://store.ovi.com/content/45400

หากต้องออกไปผจญภัยยามค่ำคืน ก็ไม่ต้องกังวลกับความมืดอีกต่อไป เพราะเรามี Bright Light Touch ที่จะแปลง มือถือของคุณให้เป็นไฟฉายส่องสว่าง หรือในสถานการณ์ไฟดับ คุณก็ไม่ต้องควานหาเทียนไขในความมืดอีกต่อไป
ดาวน์โหลดได้ที่ http://store.ovi.com/content/12867

สำหรับผู้ที่รักการพักผ่อนผ่านเสียงเพลง Playlist DJ จะเป็นดีเจส่วนตัวที่ช่วยจัดเพลงตามอารมณ์ของคุณโดยจะสร้างลิสต์เพลงให้กับคุณโดยอัตโนมัติ เพียงแค่คุณปรับแต่งแถบอารมณ์ที่คุณกำลังรู้สึกอยู่ในขณะนั้น และตั้งค่าแถบอิควอไลเซอร์ 4 สี 4 อารมณ์ เช่น สีเหลืองแทนความสุข สีแดงแทนอารมณ์รัก สีม่วงแทนอารมณ์เศร้าเหงา เพียงแค่นี้คุณก็จะได้ฟังเพลงตามอารมณ์ของคุณ ดาวน์โหลดได้ที่ http://store.ovi.com/content/17257 สำหรับผู้ใช้ X6 และ X3 แอพพลิเคชั่นนี้ถูกติดตั้งไว้ในเครื่องให้พร้อมใช้งานแล้ว

ผู้ใช้โทรศัพท์มือถือโนเกียสามารถดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่นเหล่านี้ได้ฟรีที่ Ovi Store โดยรุ่นที่รองรับ ได้แก่ Nokia N97, Nokia N97mini, Nokia X6, Nokia X3, Nokia C6, Nokia 5800 XpressMusic, 5530 XpressMusic และ Nokia 5233 เป็นต้น โดยสามารถตรวจสอบรุ่นที่รองรับจากหน้าเว็บของแต่ละแอพพลิเคชั่นได้

View :1511
Categories: Press/Release Tags: ,

ผลสำรวจความคิดเห็นซีอีโอทั่วโลกชี้ ความคิดสร้างสรรค์คือปัจจัยสำคัญที่สุดสำหรับความสำเร็จในอนาคต

September 8th, 2010 No comments

ซีอีโออาเซียนคาดการณ์ความซับซ้อนเพิ่มขึ้นในอนาคต เร่งกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์ มุ่งเสริมสร้างทักษะของบุคลากร

ไอบีเอ็มร่วมกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย จัดงานเสวนา “The 2010 CEO Study Launch: Capitalizing on Complexity” ซึ่งรายงานผลการสำรวจ “” ที่ได้รวบรวมความคิดเห็นของประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (ซีอีโอ) กว่า 1,500 คน จาก 60 ประเทศ และ 33 เขตอุตสาหกรรมทั่วโลก ซึ่งผลสำรวจชี้ว่าผู้บริหารระดับสูงเหล่านี้เห็นพ้องต้องกันว่าความคิดสร้างสรรค์คือปัจจัยสำคัญที่จะนำพาสู่ความสำเร็จท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่ซับซ้อนมากขึ้นในอนาคต โดยปัจจัยดังกล่าวนับว่ามีความสำคัญมากกว่าความเข้มงวด วินัยในการบริหารจัดการ คุณธรรม หรือแม้กระทั่งวิสัยทัศน์ การเสวนาจัดขึ้นเมื่อวันพุธที่ 8 กันยายน โดยมีผู้บริหารระดับสูงของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยร่วมรับฟังข้อมูล กว่า 100 ราย

ที่ปรึกษาจากกลุ่มธุรกิจให้คำปรึกษาของไอบีเอ็มได้สัมภาษณ์ผู้บริหารเป็นรายบุคคล และพบว่าไม่ถึงครึ่งหนึ่งของซีอีโอทั่วโลกเชื่อว่าองค์กรของตนเองมีความพร้อมในการรับมือกับสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่ผันผวนและมีความซับซ้อนเพิ่มมากขึ้น ซีอีโอเหล่านี้ต้องเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ทั้งในเรื่องของกฎระเบียบใหม่ๆ การเปลี่ยนแปลงศูนย์กลางอำนาจทางเศรษฐกิจของโลก การปฏิรูปอุตสาหกรรมอย่างรวดเร็ว ปริมาณข้อมูลที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง รสนิยมและความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งผลการสำรวจความคิดเห็นระบุว่า การกระตุ้น “ความคิดสร้างสรรค์” ทั่วทั้งองค์กรจะช่วยให้สามารถรับมือกับความท้าทายทั้งหมดนี้

กว่า 60 เปอร์เซ็นต์ของซีอีโอทั่วโลกเชื่อว่า การปฏิรูปอุตสาหกรรมถือเป็นปัจจัยหลักที่ก่อให้เกิดความไม่แน่นอน และผลการสำรวจชี้ว่า องค์กรต่างๆ จำเป็นที่จะต้องคิดค้นหนทางใหม่ๆ สำหรับการจัดการโครงสร้างองค์กร การเงิน บุคลากร และกลยุทธ์

นอกจากนี้ ผลการศึกษายังเผยให้เห็นถึงความคิดที่แตกต่างอย่างมากระหว่างซีอีโอในเอเชีย ญี่ปุ่น ยุโรป และอเมริกาเหนือ โดยนับเป็นครั้งแรกที่ผู้บริหารภาครัฐและภาคเอกชนในแต่ละภูมิภาคมีทัศนะที่แตกต่างกันอย่างชัดเจนเช่นนี้

“หลังจากที่ผ่านพ้นภาวะเศรษฐกิจถดถอยและต้องเผชิญกับสภาพแวดล้อมที่กลับเข้าสู่ภาวะปกติครั้งใหม่ที่แตกต่างจากเดิมอย่างสิ้นเชิง บรรดาผู้บริหารซีอีโอมีความเห็นว่าความคิดสร้างสรรค์คือปัจจัยที่สำคัญที่สุดสำหรับผู้นำ ซึ่งจะช่วยให้องค์กรประสบความสำเร็จในอนาคต” ธันวา เลาหศิริวงศ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไอบีเอ็ม ประเทศไทย กล่าว “ถ้าหากเราหยุดคิดสักนิดหนึ่ง ก็จะพบว่าประเด็นนี้ถือเป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่งต่อองค์กรที่จะต้องเผชิญกับโลกที่เปลี่ยนแปลงและเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วเสมือนกับระบบขนาดใหญ่ที่มีการเชื่อมโยงถึงกันอยู่ตลอดเวลา”

ด้านนายจรัมพร โชติกเสถียร กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในฐานะผู้ร่วมจัดการเสวนา กล่าวว่า จากความเปลี่ยนแปลงในโลกธุรกิจที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วทั้งด้านนวัตกรรม เทคโนโลยี และการสื่อสาร ทำให้การทำธุรกิจมีความซับซ้อนมากขึ้น ตลาดหลักทรัพย์ฯ จึงเห็นว่าข้อมูลผลสำรวจ “IBM Global CEO Study 2010” และการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นจากการเสวนาครั้งนี้ จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งแก่ผู้บริหารบริษัทจดทะเบียน ในด้านการพัฒนาแนวคิดเชิงกลยุทธ์เพื่อสร้างโอกาสการเติบโตทางธุรกิจ และการบริหารจัดการองค์กรภายใต้ปัจจัยแวดล้อมทางธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยตลาดหลักทรัพย์ฯ จะสนับสนุนกิจกรรมที่จะช่วยเพิ่มศักยภาพและความแข็งแกร่งให้แก่บริษัทจดทะเบียนอย่างต่อเนื่องไปพร้อม ๆ กับการพัฒนาตลาดทุนไทยให้เติบโต เป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ อันจะส่งผลให้เกิดความน่าสนใจในการเข้ามาร่วมลงทุนของผู้ลงทุนทั้งในและต่างประเทศ

การจัดการกับความซับซ้อน
ซีอีโอที่ได้รับการสัมภาษณ์บอกกล่าวกับไอบีเอ็มว่า สภาพธุรกิจในปัจจุบันมีความผันผวน ไม่แน่นอน และมีความซับซ้อนเพิ่มมากขึ้น ซีอีโอ 8 ใน 10 คนคาดหมายว่าสภาพแวดล้อมทางธุรกิจจะซับซ้อนขึ้นอย่างมาก แต่มีเพียงแค่ 49 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่เชื่อว่าองค์กรของตนเองพร้อมที่จะรับมือกับความซับซ้อนที่ว่านี้ ซึ่งนับเป็นความท้าทายที่สำคัญที่สุดสำหรับผู้บริหารจากผลการศึกษาวิจัยที่ไอบีเอ็มดำเนินการมานานถึง 8 ปี

ผู้บริหารระดับซีอีโอระบุว่า นอกเหนือจากความซับซ้อนของโลกที่มีการเชื่อมโยงถึงกันอย่างใกล้ชิดแล้ว ยังมีปัจจัยอื่นๆ ร่วมด้วย ตัวอย่างเช่น ผู้บริหารเหล่านี้คาดหมายว่ารายได้จากช่องทางใหม่ๆ จะเพิ่มขึ้น 2 เท่าในช่วง 5 ปีข้างหน้า และผู้บริหาร 76 เปอร์เซ็นต์คาดการณ์ว่าพลังทางเศรษฐกิจจะเปลี่ยนย้ายไปสู่ตลาดที่มีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว

จากผลการศึกษา 4 ครั้งล่าสุด พบว่าผลกระทบของเทคโนโลยีที่องค์กรต่างๆ ได้รับมีความสำคัญเพิ่มขึ้นจากอันดับที่ 6 เป็นอันดับที่ 2 ซึ่งเผยให้เห็นว่าผู้บริหารระดับซีอีโอเข้าใจว่าเทคโนโลยีและความเชื่อมโยงของโครงสร้างพื้นฐานทั่วโลกคือปัจจัยสำคัญที่ก่อให้เกิดความสลับซับซ้อนที่เราต้องเผชิญอยู่ในปัจจุบัน และผู้บริหารเหล่านี้ต้องการคำตอบที่เกี่ยวเนื่องกับเทคโนโลยีมากขึ้นเพื่อให้ประสบความสำเร็จในโลกที่มีการเชื่อมโยงถึงกันอย่างกว้างขวาง

ผลการศึกษานี้เน้นย้ำถึงคุณลักษณะขององค์กรที่มีผลประกอบการดีเยี่ยม โดยพิจารณาจากรายได้และผลกำไรในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา รวมถึงช่วงเศรษฐกิจขาลงไว้ดังนี้

- องค์กรที่มีผลประกอบการดีเยี่ยมมีแนวโน้มที่จะดำเนินการตัดสินใจอย่างรวดเร็วกว่าองค์กรอื่นๆ 54 เปอร์เซ็นต์ ผู้บริหารซีอีโอระบุว่าตนเองกำลังเรียนรู้ที่จะตอบสนองต่อแนวคิดใหม่ๆ อย่างฉับไว เพื่อรองรับความเปลี่ยนแปลงเชิงลึกที่ส่งผลกระทบต่อองค์กร
- 95 เปอร์เซ็นต์ขององค์กรที่มีผลประกอบการดีเยี่ยม มีความใกล้ชิดกับลูกค้ามากขึ้นในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา โดยอาศัยช่องทางใหม่ๆ อาทิ เว็บ ช่องทางอินเทอร์แอคทีฟ และสื่อทางสังคม เพื่อเปลี่ยนแปลงวิธีการติดต่อสื่อสารกับลูกค้าและประชาชน ผู้บริหารเหล่านี้มองการขยายตัวของข้อมูลและกระแสข้อมูลที่ไหลเวียนทั่วโลกเป็นโอกาส มากกว่าที่จะเป็นภัยคุกคาม
- เป็นที่คาดหมายว่าองค์กรที่มีความคล่องตัวในการดำเนินงานมากกว่าจะสามารถคว้าส่วนแบ่งรายได้ในอนาคตจากช่องทางใหม่ๆ ได้มากกว่าองค์กรอื่นๆ อย่างน้อย 20 เปอร์เซ็นต์

ความคิดสร้างสรรค์และทักษะของบุคลากรคือวาระสำคัญสำหรับซีอีโอในอาเซียน
ผลการสำรวจความคิดเห็นโดยรวมสำหรับภูมิภาคอาเซียนมีลักษณะคล้ายคลึงกับผลการสำรวจทั่วโลก โดยซีอีโอส่วนใหญ่คาดการณ์ว่าจะมีความซับซ้อนเพิ่มมากขึ้นในอนาคต และนอกจากนี้ ซีอีโอในอาเซียนยังเชื่อว่าความคิดสร้างสรรค์คือคุณสมบัติที่สำคัญที่สุดสำหรับผู้นำในอนาคต
ในภูมิภาคอาเซียน ในขณะที่ผู้บริหารซีอีโอเห็นพ้องต้องกันว่าการปฏิรูปอุตสาหกรรมและปริมาณข้อมูลที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเป็น 2 ปัจจัยหลักที่จะส่งผลกระทบต่อองค์กรของตนในช่วง 5 ปีข้างหน้า แต่ก็มีความคิดเห็นที่แตกต่างกันในส่วนของปัจจัยที่ 3 โดยซีอีโอในอาเซียนจัดอันดับให้การขาดแคลนบุคลากรคุณภาพมากกว่าซีอีโอทั่วโลก ทั้งนี้ เพราะตลาดที่มีอัตราการเติบโตสูงในอาเซียน รวมถึงอินเดียและบราซิล มีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว จึงประสบภาวะขาดแคลนบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถ
ซีอีโอทั่วโลกและในอาเซียนพยายามที่จะเข้าถึงลูกค้าให้มากขึ้น เพื่อรับมือกับสภาวะทางเศรษฐกิจรูปแบบใหม่ ด้วยการปรับปรุงความเข้าใจเกี่ยวกับความต้องการของลูกค้า โดยอาศัยข้อมูลเชิงลึกและเทคโนโลยี ซีอีโอในอาเซียนให้ความสำคัญมากกว่ากับการทำความเข้าใจเกี่ยวกับสิ่งที่ลูกค้าคาดหวังสำหรับผลิตภัณฑ์ บริการ และช่องทางใหม่ๆ นอกจากนี้ซีอีโอในอาเซียนยังระบุว่าทักษะของบุคลากรเป็นแง่มุมสำคัญที่สุดที่จะต้องมุ่งเน้นเป็นพิเศษในช่วง 5 ปีข้างหน้า
ทั้งซีอีโอทั่วโลกและซีอีโอในอาเซียนต่างเห็นพ้องต้องกันถึงความจำเป็นในการส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ภายในองค์กร โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้ความคิดสร้างสรรค์ที่ว่านี้ในการติดต่อประสานงานกับลูกค้า คู่ค้า และพนักงาน ที่จริงแล้วความคิดสร้างสรรค์ถือเป็นคุณสมบัติที่สำคัญที่สุดในส่วนนี้ ซีอีโอในอาเซียนให้ความสำคัญกับประเด็นเรื่องความยั่งยืนมากกว่าซีอีโอทั่วโลก โดยนับเป็นคุณสมบัติที่สำคัญเป็นอับดับที่สองสำหรับซีอีโอในภูมิภาคนี้ ทั้งนี้สืบเนื่องมาจากความกังวลใจเกี่ยวกับปัญหาทางด้านสิ่งแวดล้อมและสังคม ซีอีโอในอาเซียนมีความสามารถในการใช้ทรัพยากรอย่างเหมาะสม และดังนั้นจึงสนับสนุนการรักษาสภาพแวดล้อมอย่างยั่งยืน ทั้งซีอีโอทั่วโลกและซีอีโอในอาเซียนระบุว่าคุณธรรมคือคุณสมบัติที่สำคัญสำหรับผู้นำ

เกี่ยวกับการสำรวจความคิดเห็นซีอีโอทั่วโลกประจำปี 2010 ของไอบีเอ็ม

ผลการศึกษานี้เป็นฉบับที่สี่ในชุดผลการสำรวจความคิดเห็น Global CEO Study ซึ่งจัดทำขึ้นทุกสองปี เพื่อที่จะทำความเข้าใจเกี่ยวกับปัญหาท้าทายและเป้าหมายของผู้บริหารระดับซีอีโอในปัจจุบัน ที่ปรึกษาของไอบีเอ็มจึงได้พบปะพูดคุยโดยตรงกับผู้บริหารจากองค์กรชั้นนำที่เป็นกลุ่มตัวอย่าง โดยในช่วงเดือนกันยายน 2009 ถึงมกราคม 2010 ไอบีเอ็มได้สัมภาษณ์ซีอีโอ, ผู้จัดการทั่วไป และผู้บริหารระดับสูงในหน่วยงานภาครัฐ 1,541 คน ซึ่งเป็นตัวแทนจากองค์กรหลายๆ ขนาดใน 60 ประเทศ และ 33 เขตอุตสาหกรรม

หากต้องการดูรายละเอียดของผลการศึกษาทั้งหมด รวมถึงกรณีศึกษา โปรดเยี่ยมชม: http://www.ibm.com/ceostudy

ร่วมสนทนาเกี่ยวกับความเป็นผู้นำที่ชาญฉลาดได้ที่: http://smarterleaders.tumblr.com/

View :1423

ฟรอสต์ แอนด์ ซัลลิแวน คาดยอดขายสมาร์ทการ์ดเพิ่มขึ้นกว่า 20 เปอร์เซ็นต์ต่อปี ในอีกสองปีข้างหน้า

September 6th, 2010 No comments

รูเบน ฟูง นักวิเคราะห์จาก ฟรอสต์ แอนด์ ซัลลิแวน องค์กรที่ปรึกษาทางธุรกิจและวิจัยระดับโลกคาดการณ์ว่ายอดขายสมาร์ทการ์ดจะเพิ่มถึงจุดสูงสุดจากปี 2555 ถึง 2559 ด้วยอัตราการเจริญเติบโต 20 และ 25 เปอร์เซ็นต์ในแต่ละรอบปี โดยมียอดเติบโตเฉลี่ย CAGR (compound annual growth rate) ที่ 16.4 เปอร์เซ็นต์ (2552-2559) และเมื่อสิ้นปี 2559 บัตรสมาร์ทการ์ดจะมียอดถึง 1.9 พันล้านชิ้น ในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิค โดยเพิ่มจาก 590 ล้านชิ้นในปี 2552

บทวิเคราะห์ล่าสุดจาก ฟรอสต์ แอนด์ ซัลลิแวน (http://www.smartcards.frost.com), Asia-Pacific Smart Card Integrated Circuit on Different Form Factors ประเมินยอดขายสมาร์ทการ์ดสูงถึง 2 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ภายในปี 2559 ที่ยอดเติบโตเฉลี่ย (CAGR) 13 เปอร์เซ็นต ์ (2552-2559) มีมูลค่ารวม 775 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในปี 2552 เทียบกับมูลค่าตลาดรวม (แบบสัมผัสและไร้สัมผัส) 1.94 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ นอกจากนี้ มร. ฟูงคาดว่ายอดจัดส่งจะเพิ่มสูงขึ้นถึงกึ่งหนึ่งภายในปี 2559 โดย มร.ฟูงอธิบายว่า ความต้องการของสมาร์ทการ์ดนั้น ได้สืบเนื่องมาจากการใช้งานในรูปแบบต่างๆ อาทิ เทคโนโลยีสื่อสารแบบไร้สาย NFC (Near Field Communication), พาสปอร์ตอิเล็คโทรนิกส์ (e-Passport) และโครงการขนส่งมวลส่งขนาดใหญ่ในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิคและภูมิภาคอื่นๆ ทั่วโลก

ฟูงกล่าวว่า “ในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิค เราสามารถคาดการณ์การดำเนินโครงการ NFC ขนาดใหญ่บนมือถือภายในสองปีนี้ สำหรับประเทศไทยนับได้ว่ามีศักยภาพในการดำเนินธุรกิจนี้สูงมาก โดยมีโครงการทดลอง NFC เกิดขึ้นแล้วในปี 2551และ 2552”

เขากล่าวเสริมว่า เทคโนโลยีสื่อสารแบบไร้สายNFC บนมือถือจะมีส่วนกระตุ้นให้เกิดความสนใจต่อการใช้บัตรเครดิตและบัตรเดบิตแบบไร้สัมผัสถหากมาตราการรักษาความปลอดภัยจากการโจรกรรมต่างๆมีประสิทธิภาพและเป็นที่ยอมรับมากขึ้น

นอกจากนี้ การใช้ของสมาร์ดการ์ดในรูปแบบของอีพาสปอร์ตยังได้รับการยอมรับไปทั่วโลกโดยการสนับสนุนจากองค์กรการบินพลเรือนสากล (International Civil Aviation Organization- ICAO) จากสหรัฐอเมริกาและสหภาพยุโรป และกว่า 80 ประเทศ ฟูงคาดว่าความต้องการสมาร์ทการ์ดสำหรับการใช้งานอีพาสปอร์ตและบัตรประชาชนจะเพิ่มมากขึ้นในเอเชีย

“บัตรประชาชนนั้นเป็นตลาดที่ใหญ่ทีสุดสำหรับสมาร์ทการ์ด (66 เปอร์เซ็นต์ของยอดจัดส่งในปี 2552) และจะยังเป็นต่อไปอีกห้าปีข้างหน้า เพราะว่าหลายประเทศต้องการเปลี่ยนจากบัตรประชาชนแบบเดิมมาเป็นแบบสมาร์ทการ์ดมากขึ้น นอกจากนี้อีพาสปอร์ตนั้นก็ต้องทำใหม่ทุกๆ ห้าถึงสิบปีเช่นกัน”

ประเทศในแถบเอเชีย อาทิ อินเดีย จีน ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย และเวียดนามต่างวางแผนที่จะเริ่มใช้งานอีพาสปอร์ตภายในห้าปีนี้ และจะเริ่มต้นการใช้งานสมาร์ทการ์ดในโครงการขนส่งมวลชนต่างๆในรูปแบบของบัตรโดยสารสาธารณะก่อน แล้วจึงขยายไปสู่รูปแบบอื่นๆ ตามลำดับ

สำหรับประเทศไทย ซึ่งได้เริ่มมีการใช้งานอีพาสปอร์ตไปแล้วตั้งแต่ปี 2548 นั้น มร.ฟูงกล่าวว่า การใช้งานสมาร์ทการ์ดของประเทศไทยไม่ต่างจากประเทศอื่นๆในแถบเอเชียนัก กล่าวคือ มีการใช้งานของสมาร์ทการ์ดในโครงการขนส่งมวลชน ทั้ง MRT และ BTS และในอีกประมาณ 2-4 ปีข้างหน้า คาดว่าประชาชนจะสามารถใช้บริการขนส่งมวลชนทั้งสองอย่างได้ด้วยสมาร์ทการ์ดเพียงใบเดียว นอกจากนี้ ปริมาณการใช้อีพาสปอร์ตของประเทศไทยยังเพิ่มสูงขึ้น คิดเป็น ประมาณ 1.3 ล้านใบ ต่อปี

โดยการใช้งานเทคโนโลยีของสมาร์ทการ์ดในระยะแรกเริ่มนั้นจะมาจากโครงการขนส่งมวลชนต่างๆ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการใช้ในรูปแบบใหม่ที่อำนวยความสะดวกให้กับผู้ใช้มากยิ่งขี้น สำหรับการใช้สมาร์ทการ์ทในรูปแบบต่างๆนั้น การใช้ในรูปแบบของบัตรโดยสารสาธารณะมีมากเป็นอันดับสองรองจากบัตรประชาชน โดยคิดเป็น 28 เปอร์เซ็นต์ของยอดจัดส่งในปี 2552

ฟูงเชื่อมั่นว่าแนวโน้มของสมาร์ทการ์ดจะยังคงสูงขึ้นจากโครงการขนส่งมวลชนต่างๆ ทั่วภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิค
นอกจากนี้ สมาร์ทการ์ดยังมีการใช้งานในรูปทรงอื่นๆอีก เช่น อุปกรณ์ USB ต่างๆ ทั้งแบบสัมผัส อาทิ โทเคน (Token) และแบบสายคาดข้อมือและนาฬิกาแบบต่างๆ และถึงแม้ว่ารูปทรงเหล่านี้จะได้ถูกใช้งานมาระยะหนึ่ง แต่ก็ยังไม่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางเท่าที่ควร

มร.ฟูงสรุปในตอนท้ายว่า “สมาร์ทการ์ดก็เหมือนกับเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่อาจต้องใช้เวลาและความพยายามในการหาจุดลงตัวในการใช้งานอย่างมีประสิทธิภาพ และความสะดวกสบายที่ได้รับต้องคุ้มค่าเมื่อเทียบกับค่าใช้จ่ายต่างๆ”

View :1324

ดีแทค นำผู้ชมงาน 3.9G Thailand Human D.N.A.

September 6th, 2010 No comments

เข้าสู่ยุคดิสโก้แห่งโลกอนาคตที่ไม่ไกลเกินจริง สัมผัสประสบการณ์ “Life in A Day” ที่เปลี่ยนให้ชีวิตง่ายขึ้นและดีกว่า

ดีแทค ร่วมงาน “” ด้วยแนวคิด “ disco 3942” ที่จะทำให้ 24 ชั่วโมงใน 1 วันของทุกคนง่ายและครบครันยิ่งขึ้น พาผู้ชมลัดเวลาไปในอนาคตด้วยอารมณ์ที่ย้อนไปในยุคดิสโก้ ในช่วงปี 70s ณ จุดเริ่มต้นของการส่งและสื่อสารด้วยข้อมูลเป็นครั้งแรก ก่อนจะพัฒนามาจนถึงวันนี้ที่เทคโนโลยีกำลังมุ่งหน้าสู่ Next Generation Mobile Network ด้วยความเร็วสูงสุด 42Mbps โดยใช้เทคโนโลยีล้ำยุค HSDPA DC และยังได้พันธมิตร อาทิ จีเอ็มเอ็มแกรมมี่ ไทยรัฐ Telenor DiGi Vodafone และ SmarTone ( 1 ในสมาชิก Asia Mobility Initiative หรือ AMI) นำบริการหลากหลายร่วมจัดแสดง

“dtac disco 3942” ใช้เงินลงทุน 20 ล้านบาท จัดแสดงบนพื้นที่ 200 ตารางเมตร บริเวณบูธ P4-P5 ภายในเพลนารี่ฮอลล์ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ระหว่าง 8-12 กันยายน ศกนี้ พบการใช้ชีวิตอนาคตด้วยกลิ่นอายของยุคดิสโก้ และไฮไลต์ต่าง ๆ ที่จะตอบสนองไลฟ์สไตล์ในรูปแบบ “Life in A Day” โดยจะแสดงจุดเด่นของการเชื่อมโยงในเรื่องของ location, speed, video, entertainment ไว้ด้วยกัน อาทิ แอพพลิเคชั่นที่รวบรวม Social Network ยอดฮิตต่าง ๆ ไว้ด้วยกันเพื่อตอบสนองสังคมออนไลน์ได้ตลอดเวลา ค้นหาร้านอาหาร แหล่งช้อปปิ้ง ฯลฯ สัมผัสวิธีการฟังเพลงหรือชมมิวสิกวิดีโอแบบโลกอนาคต อ่านหนังสือพิมพ์แบบอินเตอร์แอ็คทีฟ (Interactive Newspaper) เรียกชมรายการโทรทัศน์ย้อนหลัง (Video on Demand) เล่นเกมบนมือถือที่มีความสมบูรณ์แบบทั้งภาพและเสียงยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังมีการสาธิตเกมโชว์แห่งโลก 3G และพบกับบริการ Live Talk ที่เหนือชั้นยิ่งกว่า ตลอดจนการการนำเทคโนโลยี 3G มาช่วยดูแลความปลอดภัยในบ้านได้อีกทางหนึ่ง

ดีแทคยังจัดให้มีเสวนา “ เจาะ DNA คน Social Media ในยุค 3.9 G ” โดยวิทยากรรับเชิญ อ.ธันยวัชร์ ไชยตระกูลชัย พงษ์สุข หิรัญพฤกษ์ และ อ.จิมมี่ หรือนายแพทย์ภานุทัต เตชะเสน ในวันเสาร์ที่ 11 กันยายน 2553 เวลา 11.00 น. ให้ผู้สนใจเข้าฟังฟรี นอกจากนี้ ยังมีมุม Internet Bar ให้ลูกค้าทดลองใช้บริการบนเครือข่ายความเร็วสูง ฟรี และจัดให้มีมินิคอนเสิร์ตจากศิลปินจีเอ็มเอ็มแกรมมี่ กิจกรรมต่าง ๆ ซึ่งจะมีขึ้น ณ เวทีหลักและที่บูธตลอดงาน.

View :1517