Archive

Author Archive

“เอซุส” เปิดศึกโค้งสุดท้ายปี 55 ดันไลน์สินค้าทัชสกรีนเต็มรูปแบบ

October 31st, 2012 No comments

“เอซุส” จัดหนักไตรมาสสุดท้ายปี 55 เปิดไลน์ผลิตภัณฑ์ทัชสกรีนทีเดียว 3 รุ่นรวด ทั้งโน้ตบุ๊ก-แท็บเล็ต สุดยอดหน้าจอระบบมัลติทัช รวดเร็วทันใจ ใช้งานง่ายด้วยระบบปฏิบัติการ Windows 8 โหมตลาดไอทีคึกคักส่งท้ายปี

นายพรเทพ วัชรอำนวย กรรมการผู้จัดการ บริษัท อัสซุสเทค คอมพิวเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ในปีนี้ตลาดภาพรวมไอทีอยู่ในภาวะทรงตัว ขณะที่ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มโมบาย ได้แก่ แท็บเล็ตและสมาร์ทโฟน อยู่ในกระแสความต้องการผู้บริโภคและเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ เอซุสพร้อมแล้วที่จะเปิดนวัตกรรมการรวมตัวของโน้ตบุ๊กและแท็บเล็ต Windows 8 ได้แก่VivoBook Series (X202, S400) VivoTab RT และ ASUS Taichi โดยทุกไลน์ผลิตภัณฑ์จะเน้นหน้าจอสัมผัสได้ทั้งหมด พร้อมดีไซน์ที่ทันสมัย เพื่อสร้างความประทับใจแก่ผู้บริโภคตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้สัมผัส

“ทิศทางตลาดจากนี้เอซุสเน้นการทำตลาดใน 3 กลุ่มหลักไปพร้อมกัน ได้แก่ โน้ตบุ๊ก แท็บเล็ต และสมาร์ทโฟน โดยจะทำให้ครบทุกไลน์ผลิตภัณฑ์และเลือกสินค้าที่ตอบโจทย์คนทุกกลุ่มในราคาที่เข้าถึงได้” นายพรเทพ กล่าว

สำหรับการเตรียมพร้อมรุกตลาด เอซุสกำลังดำเนินการใน 2 ส่วน คือ 1) จัดเทรนนิ่งพนักงานขายหน้าร้านทั่วประเทศให้มีความเข้าใจในผลิตภัณฑ์โดยเฉพาะแท็บเล็ตและสมาร์ทโฟน ซึ่งถือเป็นตัวใหม่ที่เรากำลังจะทำตลาด 2) การสนับสนุนตัวแทนจำหน่ายตกแต่งหน้าร้านให้สวยงามและน่ามองยิ่งขึ้น รวมถึงมีเชลฟ์วางสินค้าที่ลูกค้าสามารถสัมผัสและทดลองใช้ผลิตภัณฑ์ได้สะดวกขึ้น ซึ่งคาดว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จไตรมาสแรกของปี 2556 นี้

นอกจากนี้ยังวางจำหน่ายสินค้ากับกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้า อาทิ ร้านเพาเวอร์บาย รวมถึงไฮเปอร์ มาร์เก็ตทั้งโลตัสและบิ๊กซี ซึ่งถือว่าประสบความสำเร็จดีเกินคาด และขณะนี้อยู่ระหว่างเพิ่มช่องทางจำหน่ายผ่านร้านมือถือทั่วไป เพื่อรองรับกับตลาดแท็บเล็ตและโมบายที่จะเป็นอีกขานึงของเอซุส

นายพีรธน เกษมศรี ณ อยุธยา กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “ไมโครซอฟท์รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้มีส่วนร่วมกับ “เอซุส” ในการแนะนำผลิตภัณฑ์ใหม่ทั้งหมดของเอซุสที่ใช้ระบบปฏิบัติการ Windows 8 เข้าสู่ตลาดในวันนี้ไม่ว่าจะเป็น โน้ตบุ๊ค (Windows 8) และแท็บเล็ต (Windows RT) ซึ่งเป็นโอกาสอันดีที่ผู้ใช้สินค้าของเอซุสจะได้สัมผัสประสบการณ์ใหม่ที่ใช้งานง่ายและคล่องตัวสูง เพราะ Windows 8 ได้รับการออกแบบสำหรับโลกในวันนี้ที่ไม่มีเส้นคั่นระหว่างการใช้งานไอทีเพื่อการทำงานและเพื่อความเพลิดเพลินที่บ้านอีกต่อไป โดยจะมอบประสบการณ์การเชื่อมต่อที่รวดเร็ว และลื่นไหล ที่สำคัญเราเชื่อมั่นว่า Windows 8 จะเป็นระบบปฏิบัติการที่สามารถตอบโจทย์ผู้บริโภคได้เป็นอย่างดี รวมถึงช่วยให้ผู้บริโภคเข้าถึงเทคโนโลยีที่ดีได้อย่างทั่วถึง

นายอรุณพงศ์ ทองสุทธิ ฝ่าย Technical Marketing บริษัท อัสซุสเทค คอมพิวเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า งานแถลงข่าวในวันนี้ (30 ต.ค.) เป็นการรวมตัวของโน้ตบุ๊กและแท็บเล็ต Windows 8 เต็มรูปแบบ โดยเริ่มจากเปิดตัวผลิตภัณฑ์ “VivoBook” ซีรี่ย์ ที่ผู้ใช้จะได้รับประสบการณ์อันน่าตื่นตาตื่นใจตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้สัมผัสหน้าจอ ด้วยระบบมัลติทัชที่ได้รับการพัฒนาให้ใช้งานอย่างเป็นธรรมชาติที่สุด ตอบสนองการสั่งการรวดเร็วทันใจ ทัชแพ็ดมีขนาดใหญ่ขึ้นสะดวกต่อการใช้งาน

“VivoBook” ซีรี่ย์ มาพร้อมกับหน้าจอขนาด 11.6 และ 14 นิ้ว รองรับระบบปฎิบัติการ Windows 8 ที่กำลังได้รับความนิยมอยู่ในขณะนี้ ด้วยลูกเล่นหลากหลายและการใช้งานที่แสนง่ายดาย พร้อมระบบเสียงคมชัดและทรงพลังด้วยเทคโนโลยี SonicMaster สามารถรีซูมระบบได้ภายใน 2 วินาทีจาก sleep mode แม้จะพักเครื่องไว้นานแล้วก็ตาม ทำให้การบู๊ทเครื่องเพื่อตอบรับ Windows 8 เป็นไปอย่างรวดเร็ว ด้วยดีไซน์หรูหราสะกดทุกสายตา VivoBook X202 มี 3.สี ให้เลือก ได้แก่ สีเทา สีแชมเปญ และชมพู วางจำหน่ายแล้ววันนี้

ยิ่งกว่านั้น ผู้บริโภคคนไทยเตรียมสัมผัสกับ “เอซุส ไทชิ” (ASUS TAICHI) ซึ่งนำมาอวดโฉมครั้งแรกในงานนี้ด้วย “ไทชิ” คือ นวัตกรรมที่รวมเอาอัลตร้าบุ๊กและแท็บเลตไว้ในเครื่องเดียวกัน ออกแบบให้มี 2 หน้าจอ สามารถแบ่งกันใช้งานได้ 2 คน หนึ่งจอเป็นอัลตร้าบุ๊ก และอีกหนึ่งจอทำงานแบบแท็บเลต มัลติทัช ซึ่งพร้อมให้คนไทยได้สัมผัสเดือนธันวาคมนี้เช่นเดียวกับ “เอซุส วีโว่ แทบ อาที” (Asus Vivo Tab RT)

“เอซุส วีโว่ แทบ อาที” (Asus Vivo Tab RT) แท็บเล็ตดีไซน์ล้ำ ขนาดหน้าจอ 10.1 นิ้ว สามารถถอดแยกจากคีย์บอร์ดได้ มาพร้อมระบบปฏิบัติการ Windows RT ที่จะมอบความบันเทิงในช่วงเวลาพักผ่อนและการเล่นเกมส์ได้อย่างเต็มรูปแบบ

พบกับ เอซุสโน้ตบุ๊กและแท็บเล็ตยอดอัจฉริยะแห่งการสัมผัส ณ ร้านค้าตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถดูได้ที่เว็บไซต์ www.asus.co.th และ www.facebook.com/ASUSTHAILAND , www.twitter.com/ASUSTHAILAND หรือโทรสอบถามได้ที่เอซุส คอลเซ็นเตอร์ 02-401-1717

View :1318
Categories: Press/Release Tags:

เอไอเอส เปิดตัว AIS Shop แห่งล่าสุด @ เมกา บางนา ครบทุกฟังก์ชั่น ตอบโจทย์ Total Experience

October 31st, 2012 No comments

คุณวิลาสินี พุทธิการันต์ รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานบริหารลูกค้า และการบริการ เอไอเอส เดินหน้าตอกย้ำที่สุดของงานบริการมิติใหม่ ผ่าน แห่งล่าสุด สาขาเมกา บางนา ภายใต้แนวคิด “Total Experience” โดยนำเทคโนโลยีอัจฉริยะเข้ามาผสมผสานเพื่อช่วยยกระดับคุณภาพของงานบริการ มุ่งอำนวยความสะดวก ให้ลูกค้าเพิ่มมากขึ้น อาทิ

- ตู้ชำระค่าบริการอัจฉริยะ ที่พร้อมอำนวยความสะดวกในการชำระค่าบริการ รวมถึงค่าสาธารณูปโภค
- ระบบนัดหมายอัตโนมัติ ที่ให้ลูกค้าสามารถเลือกนัดหมายเวลาในการติดต่อทำธุรกรรมได้ตามเวลาที่สะดวก
- มุม Try & Buy ที่จะช่วยให้การเปลี่ยนมือถือสมาร์ทโฟนเครื่องใหม่เป็นเรื่องง่าย เพราะมีหลากหลายรุ่นล่าสุดให้สัมผัส ทดลอง พร้อมการอำนวยความสะดวกในการโอนถ่ายข้อมูลจาก Express Data Transfer
- Serenade Room ในคอนเซ็ปต์ Exclusive Lounge ที่ให้ลูกค้าเซเรเนดสามารถมาพักผ่อนระหว่างรอทำธุรกรรมได้อย่างสะดวกสบาย

View :1679

สามโอเปอเรเตอร์ ย้ำชัดการประมูลโปร่งใส พร้อมให้ตรวจสอบ วอนมองประโยชน์และความต้องการลูกค้าประชาชนเป็นหลัก

October 29th, 2012 No comments

พร้อมเดินหน้าลงทุนยกระดับโครงสร้างพื้นฐานด้านการสื่อสารเพื่อคนไทยทั่วประเทศ

ผู้ประกอบการโทรคมนาคมทั้งสามราย คือ บริษัท แอดวานซ์ ไวร์เลส เน็ทเวอร์ค จำกัด บริษัท เนทเวอร์ค จำกัด และ บริษัท เรียล ฟิวเจอร์ จำกัด ร่วมแถลงข่าวชี้แจงประเด็นข้อสงสัยของการประมูล ที่ผ่านมา ยืนยันโปร่งใส ยินดีให้ตรวจสอบได้ วอนมองประโยชน์และความต้องการลูกค้าประชาชนเป็นหลัก พร้อมเดินหน้าลงทุนยกระดับโครงสร้างพื้นฐานด้านการสื่อสารเพื่อคนไทยทั่วประเทศ ชี้ทุกค่ายมีเหตุผลในการเลือกช่วงความถี่และเคาะราคาที่ต่างกัน มั่นใจการประมูล ครั้งนี้สร้างประโยชน์สูงสุดแก่ ประชาชนไทยและประเทศชาติ

ตามที่มีการแสดงความคิดเห็นหลากหลายเกี่ยวกับการประมูล 3G ที่ผ่านมานั้น โอเปอร์เรเตอร์ทั้งสามราย โดย นายวิเชียร เมฆตระการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (เอไอเอส) ดร. ดามพ์ สุคนธทรัพย์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น (ดีแทค) และศาสตราจารย์พิเศษ อธึก อัศวานันท์ รองประธานกรรมการและหัวหน้าคณะผู้บริหารกลุ่มด้านกฎหมาย บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น (ทรูมูฟ) ในฐานะที่เป็นเอกชนผู้เกี่ยวข้องและเข้าร่วมในเหตุการณ์ คลื่นความถี่ 2.1 GHz มาตั้งแต่ต้น พร้อมใจกันชี้แจงข้อเท็จจริงต่อความคิดเห็นต่างๆเกี่ยวกับเอกชนผู้เข้าร่วมการประมูลที่ยืนยันได้ว่ามีความโปร่งใส พร้อมแสดงเจตนารมณ์ในการร่วมพัฒนาการสื่อสารโทรคมนาคมของไทย โดยผู้ให้บริการทั้งสามรายมีเจตนารมณ์ชัดเจนในการเข้าร่วมประมูลคลื่นความถี่ในครั้งนี้ เนื่องจากเทคโนโลยี 3G เป็นเทคโนโลยีทันสมัยที่จะช่วยยกระดับให้คนไทยสามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารต่างๆ ได้ง่ายและรวดเร็ว ซึ่งเทคโนโลยีสื่อสารล้ำสมัยจะช่วยสนับสนุนความเจริญและการพัฒนาประเทศในทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นภาคเศรษฐกิจ สังคม อุตสาหกรรม และการศึกษา โดยผู้ให้บริการทั้ง 3 ราย เป็นผู้ประกอบการที่ทำธุรกิจในวงการสื่อสารโทรคมนาคมมาเป็นเวลาหลายสิบปี และต่างมีความพร้อมที่จะร่วมยกระดับเทคโนโลยี เพื่อให้ประเทศมีความสามารถแข่งขันและมีศักยภาพเทียบนานาประเทศทั่วโลก

นอกจากนี้ การเข้าร่วมประมูล 3G ของโอเปอเรเตอร์ทั้งสามราย เป็นโอกาสที่จะได้สร้างสรรค์บริการเพื่อเป็นทางเลือกใหม่ให้แก่ลูกค้า โดยเฉพาะในช่วงที่สัญญาสัมปทานกำลังจะสิ้นสุดลง ผู้ให้บริการจำเป็นต้องมีแนวทางในการดูแลลูกค้า เพื่อลดผลกระทบในการให้บริการหลังจากสัมปทานสิ้นสุดลง และให้ลูกค้าได้รับบริการที่มีคุณภาพและต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจเข้าร่วมประมูล ขึ้นอยู่กับความพร้อมของผู้ประกอบการแต่ละราย ทั้งในแง่แหล่งเงินทุน ประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในการให้บริการ ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญในการให้บริการได้อย่างมีคุณภาพ ตรงตามความต้องการของลูกค้า ดังนั้น แม้จะมีการวิพากษ์วิจารณ์ว่าการประมูลในครั้งนี้เป็นการประมูลที่เอื้อเอกชนทั้งสามราย จะต้องมองถึงความพร้อมของเอกชนด้วย หากมีการเพิ่มราคาจากราคาตั้งต้นที่ 4,500 ล้านบาท ที่มีการเสนอในกรอบข้อสรุปข้อศึกษาของคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อาจมีผลต่อจำนวนผู้เข้าร่วมประมูลในครั้งนี้

โอเปอเรเตอร์ทั้งสามราย ยืนยันการประมูลเป็นประโยชน์ต่อประเทศและประชาชน โดยเงินรายได้ที่เข้ารัฐจากการประมูลครั้งนี้ไม่ได้ต่ำกว่าราคาขั้นต่ำที่วางไว้ ซึ่งราคาประมูลที่เหมาะสมจะสะท้อนต้นทุนการให้บริการ ทำให้อัตราค่าบริการมีความเหมาะสมพอที่ประชาชนทุกกลุ่มจะเข้าถึงได้ง่าย ประชาชนจะได้ใช้ประโยชน์จากการใช้ 3G ทำให้คุณภาพชีวิตดีขึ้น และที่สำคัญว คือ การที่ประเทศชาติมีการพัฒนาและประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น หากราคาประมูลแพง ค่าบริการก็จะแพง ประชาชนที่ได้ประโยชน์มีน้อย จะเป็นการสูญเสียของประเทศชาติมากกว่า

การลงทุนของโอเปอเรเตอร์แต่ละราย มิใช่เพียงเงินค่าคลื่นที่ประมูลได้เท่านั้น แต่โอเปอเรเตอร์ยังต้องลงทุนในการขยายเครือข่ายให้ครอบคลุมพื้นที่และจำนวนประชากรตามเงื่อนไขที่ กำหนด อีกทั้งยังต้องมีการลงทุนในการพัฒนาระบบการให้บริการลูกค้าเพื่อสามารถให้บริการประชาชนได้มากที่สุด ซึ่งสุดท้ายรายได้จะกลับสู่ภาครัฐและรัฐจะมีรายได้จากการลงทุนโครงข่ายและภาษีรายได้ของผู้ประกอบการ

สำหรับประเด็นที่มีการวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับการฮั้วประมูล ทำให้ได้ราคาคลื่นความถี่ในราคาไม่สูงนั้น ขอชี้แจงว่า การเพิ่มเงินในการประมูลก็เพื่อให้ได้เลือกช่วงความถี่ที่ต้องการก่อน ซึ่งช่วงคลื่นที่เหลือก็ไม่ได้แตกต่างกันจนทำให้เกิดความได้เปรียบเสียเปรียบกันมากนัก และผลการประมูลก็บรรลุเป้าหมายเพราะได้เงินประมูลสูงกว่าราคาตั้งต้น ส่วนประเด็นการฮั้วประมูลนั้นยิ่งเป็นไปไม่ได้ เพราะผู้ประกอบการทุกรายก็อยู่ภายใต้เงื่อนไขการประมูลเดียวกัน หากมีการฮั้วกันก็จะถูกตัดสิทธิ์จากการประมูล อีกทั้งยังเสื่อมเสียชื่อเสียงในการประกอบธุรกิจต่อไป ดังนั้น ผู้เข้าร่วมการประมูลทั้ง 3 ราย ยืนยันมั่นใจว่าได้ปฎิบัติถูกต้องตามเงื่อนไขและข้อปฏิบัติในการประมูลตามที่กสทช.กำหนดทุกประการ

ที่สำคัญ โอเปอเรเตอร์ทั้งสามรายมีความเชื่อมั่นในการดำเนินการประมูลคลื่นความถี่ 2.1 GHzของ กสทช. ว่าได้ดำเนินการถูกต้องตามบทบัญญัติของกฎหมาย รวมทั้งยังมั่นใจในหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในการจัดการประมูล ซึ่ง กสทช. ได้ศึกษาแนวทางการประมูลอย่างละเอียดรอบคอบ มีการวิจัย และมีที่ปรึกษาที่เชี่ยวชาญในการประมูล นอกจากนี้ ในวันจัดการประมูล ยังได้เชิญผู้สังเกตการณ์ที่เป็นกลาง ทั้งผู้ตรวจการแผ่นดิน, สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ และสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินมาร่วมเป็นสักขีพยานด้วย อีกทั้งการที่ กสทช. ได้ยื่นเอกสารการประมูลคลื่นความถี่ 2.1 GHz ให้กับ 4 องค์กรตรวจสอบหลักของประเทศ ประกอบด้วย สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.), สำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ปปช.), กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) และ สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ย้ำชัดเจนถึงความบริสุทธิ์ใจและความมุ่งมั่นของกสทช.ที่ทำให้การประมูลมีความโปร่งใสและถูกต้องตามกฎหมายทุกขั้นตอน

โอเปอเรเตอร์ทั้งสามราย ขอแสดงความชื่นชมต่อคณะกรรมการ กสทช. ทุกท่าน ที่ดำเนินการตามเป้าหมายการทำงานที่แท้จริง คือ การจัดสรรคลื่นความถี่ให้เกิดการแข่งขันที่เป็นธรรม และให้ประชาชนได้ประโยชน์สูงสุดจากเทคโนโลยีดังกล่าว และสามารถผลักดันจนการประมูลเสร็จสิ้นลง นับว่า กสทช. ได้ถือเอาประโยชน์ของประชาชนและการพัฒนาประเทศเป็นที่ตั้ง แม้ว่าจะมีหลากหลายความคิดเห็นและข้อวิพากษ์วิจารณ์ต่อการประมูลดังกล่าว แต่โอเปอเรเตอร์ 3 รายต่างเชื่อมั่นว่า การตรวจสอบข้อเท็จจริงทุกด้านจะได้ข้อสรุปที่กระจ่างแจ้งต่อประชาชนโดยเร็ว และคนไทยจะได้ใช้บริการ 3G ทัดเทียมกับคนในประเทศอื่นๆ ทั่วโลก

View :1580
Categories: 3G Tags: , , ,

ข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะต่อการกำกับดูแลบริการ 3G ของกสทช.

October 23rd, 2012 No comments

โดย ดร.สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์, สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย

ท่ามกลางกระแสสังคมที่วิพากษ์วิจารณ์ อย่างรุนแรง จากการจัดประมูลล้มเหลว เนื่องจากออกแบบการประมูลให้ไม่มีการแข่งขันกันจริง จนสร้างความเสียหายให้แก่ประชาชนผู้เสียภาษีกว่า 1.6 หมื่นล้านบาท เมื่อเทียบกับราคาประเมินของคลื่นความถี่ ได้พยายามกู้ศรัทธาองค์กร โดยประกาศเมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2555 ว่า จะกำกับดูแลผู้ประกอบการและคุ้มครองผู้บริโภคให้เข้มงวดขึ้น ทั้งที่การดำเนินการดังกล่าวเป็นหน้าที่ตามกฎหมายซึ่งต้องทำเป็นปรกติอยู่แล้ว

โดยรูปธรรม กสทช. ได้ประกาศที่จะกำกับอัตราค่าบริการ ทั้งบริการเสียงและข้อมูลที่จัดเก็บจากผู้บริโภคให้ลดลงไม่น้อยกว่า 20% จากอัตราในปัจจุบันที่อยู่ในระดับเฉลี่ย 899 บาทต่อเดือน โดยจะกำหนดให้อัตราค่าบริการในปีแรกลดลง 10% ปีที่ 2 ลดลง 15% และปีที่ 3 ลดลง 20% นอกจากนี้ กสทช. ยังประกาศที่จะกำกับดูแลคุณภาพบริการ และให้ผู้รับใบอนุญาตจัดทำแผน CSR และแผนคุ้มครองผู้บริโภค ตลอดจนประกาศว่าจะปรับปรุงกระบวนการของตนในการรับและพิจารณาเรื่องร้องเรียนจากผู้บริโภค

บทความนี้จะนำเสนอข้อคิดเห็นต่อท่าทีดังกล่าวของ กสทช. และจะเสนอแนะว่า หาก กสทช. มีความจริงใจที่จะกำกับดูแลบริการ 3G ให้เป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภคอย่างแท้จริงแล้ว ควรดำเนินการอย่างไร

การกำกับอัตราค่าบริการ

อันที่จริงแม้ กสทช. ไม่ต้องดำเนินการใดๆ ค่าบริการ 3G ก็ควรต้องลดลงอยู่แล้ว เพราะต้นทุนของผู้ประกอบการจะลดลงทันทีจากการไม่ต้องจ่ายค่าสัมปทานให้รัฐประมาณ 21-23% ของรายได้ โดยเปลี่ยนมาจ่ายค่าธรรมเนียมใบอนุญาตและค่าธรรมเนียมอื่น รวมประมาณ 5.5% แทน การเข้าสู่ระบบใบอนุญาตดังกล่าว โดยลำพังจึงทำให้ต้นทุนของผู้ประกอบการลดลงเกินกว่า 15% อยู่แล้ว ขอเพียงตลาดมีการแข่งขันอย่างเพียงพอ ต้นทุนที่ลดลงของผู้ประกอบการก็จะถูกโอนถ่ายมาเป็นค่าบริการที่ลดลงของผู้บริโภคโดย กสทช. ไม่ต้องประกาศอะไรทั้งสิ้น

อย่างไรก็ตาม อุปสรรคต่อการแข่งขันในตลาดโทรศัพท์เคลื่อนที่ 2G ในปัจจุบัน และบริการ 3G ที่จะเกิดขึ้นก็ยังมีอยู่มากมาย ที่สำคัญคือ ค่าเชื่อมต่อโครงข่าย (IC) ซึ่งเปรียบเสมือนราคาขายส่งระหว่างผู้ประกอบการ ยังถูกกำหนดอยู่ที่ 0.99 บาทต่อนาที ซึ่งสูงกว่าต้นทุนจริงที่ผู้เขียนเคยคำนวณไว้ที่ 0.27 บาทต่อนาที ที่ผ่านมา กสทช. ปล่อยให้เอกชนรวมหัวกันกำหนดค่า IC สูงกว่าต้นทุนจริงมาเป็นเวลานาน ทำให้ผู้บริโภคต้องจ่ายค่าโทรศัพท์เคลื่อนที่แพงกว่าที่ควรจะเป็น จนน่าจะเสียประโยชน์ไปแล้วเป็นหมื่นล้านบาท

หากไม่แก้ไขปัญหาพื้นฐานนี้เพื่อให้กลไกตลาดทำงาน กสทช. ก็จะไม่สามารถกำกับดูแลให้ค่าบริการ 3G ลดลงได้อย่างยั่งยืน เพราะผู้ประกอบการอาจออกโปรโมชั่นใหม่ๆ ซึ่งตัดบางบริการออกไปเพื่อให้ดูราคาถูกลง หรือยัดเยียดขายพ่วงบริการอื่นที่ไม่จำเป็นเข้ามา ตลอดจนไปถึงการปฏิเสธไม่ลดราคาลงตามที่กำหนด โดยอ้างปัจจัยภายนอกต่างๆ เช่น ค่าแรงงานและภาวะเงินเฟ้อที่ขึ้นสูง เป็นต้น

นอกจากนี้ แม้กสทช. จะสามารถลดค่าบริการ 3G ลงได้จริง 20% ในอีก 3 ปีข้างหน้า ราคาค่าบริการของไทยตอนนั้น ก็ใช่ว่าจะถูกกว่าราคาของต่างประเทศ ในปัจจุบัน บริษัท StarHub ในสิงคโปร์ คิดค่าบริการบรอดแบนด์เคลื่อนที่ซึ่งไม่จำกัดปริมาณข้อมูล (unlimited) เพียงเดือนละ 670 บาท และแม้ในอินเดีย บริษัท Air Tel ก็คิดค่าบริการโทรศัพท์ 3G ซึ่งจำกัดปริมาณข้อมูลที่ 3.1 GB ในราคาเพียง 340 บาทต่อเดือน ซึ่งถูกเป็นครึ่งหนึ่งของบริการที่คล้ายกันในประเทศไทย ในอนาคต ราคาค่าบริการในต่างประเทศก็มีแนวโน้มที่จะลดลงต่ำลงไปอีก เนื่องจากตลาดโทรคมนาคมของประเทศเหล่านั้นมีการแข่งขันมากกว่าประเทศไทย การลดราคาบริการ 3G ของไทยลงเพียง 20% จึงยังไม่เพียงพอ

เมื่อครั้ง กสทช. ยกร่างแผนแม่บทประกอบกิจการโทรคมนาคม ผู้เขียนเคยเสนอให้ กสทช. กำหนดตัวชี้วัด (KPI) ให้อัตราค่าบริการโทรคมนาคมที่สำคัญ (เช่น บริการ 3G และบรอดแบนด์) ของไทย ต้องมีราคาถูกอย่างน้อยเป็นที่สองในอาเซียน เพื่อให้ธุรกิจไทยสามารถแข่งขันได้ในประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน แม้ข้อเสนอดังกล่าวจะได้รับการขานรับจากกลุ่มผู้บริโภค กสทช. ก็ไม่ได้ให้ความสนใจและไม่ได้กำหนดเป้าหมายในเรื่องอัตราค่าบริการในรูปอื่นแทนเลย โดยเพียงชี้แจงแบบขอไปทีว่า ตัวชี้วัดต่างๆ ที่มีอยู่มีความเหมาะสมแล้ว กว่า กสทช. จะคิดออกว่าผู้บริโภคควรได้ราคาที่เหมาะสม องค์กรก็เกิดวิกฤติศรัทธาแล้ว

การคุ้มครองผู้บริโภค

การคุ้มครองผู้บริโภคเป็นอีกภารกิจหนึ่งที่ กสทช. ล้มเหลวอย่างมาก ผู้อ่านทุกคนคงเคยมีประสบการณ์โทรศัพท์เคลื่อนที่สายหลุดบ่อย และบริการบรอดแบนด์มีความเร็วช้ากว่าที่ผู้ประกอบการโฆษณาไว้มาก โดย กสทช. ไม่ได้ดำเนินการแก้ไขให้เห็นผลสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรมใดๆ เลย

นอกจากนี้ เมื่อดูสถิติเรื่องร้องเรียนของผู้บริโภค เราจะพบว่า ในช่วงเดือน พ.ย. 2554-พ.ค. 2555 มีเรื่องร้องเรียนที่ค้างพิจารณา ไม่เสร็จในเวลา 30 วันตามที่กฎหมายกำหนดถึง 85% ในส่วนของบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ และ 78% ในส่วนของบริการอินเทอร์เน็ต โดยสาเหตุสำคัญของความล่าช้าดังกล่าวก็คือ กสทช. ปล่อยให้สำนักงาน กสทช. เข้าเกียร์ว่าง ไม่ดำเนินการใดๆ นอกจากรอให้ผู้ประกอบการชี้แจงและแก้ไขปัญหาให้ผู้บริโภคเอง เสมือนหนึ่งการแก้ไขปัญหาของผู้บริโภค เป็นภารกิจโดยสมัครใจของผู้ประกอบการเช่นเดียวกับกิจกรรม CSR

ความไม่ใส่ใจในการคุ้มครองผู้บริโภคของ กสทช. ในช่วงที่ผ่านมา ทำให้ประกาศเจตนารมย์ของ กสทช. ที่ออกมาดูว่างเปล่า ไร้มีน้ำหนัก จนหลายฝ่ายตั้งข้อสังเกตว่าเป็นแต่เพียงการแก้เกี้ยวเพื่อเอาตัวรอดเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนเองยังหวังว่า กสทช. จะพยายามพลิกวิกฤติขององค์กรในครั้งนี้ให้เป็นโอกาสของผู้บริโภคอย่างแท้จริง

ข้อเสนอแนะ

หาก กสทช. จริงใจในการแก้ไขปัญหาผู้บริโภค ผู้เขียนขอเสนอแนะให้ดำเนินการดังต่อไปนี้

1. ตั้งเป้าให้อัตราค่าบริการโทรคมนาคมที่สำคัญของไทยมีราคาถูก อย่างน้อยเป็นอันดับที่สองในอาเซียน

2. ปรับลดอัตราค่าเชื่อมต่อโครงข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ลงไม่ให้เกิน 25 สตางค์ต่อนาที และปรับลดค่าเชื่อมต่อโครงข่ายในการสื่อสารข้อมูลให้สอดคล้องกับต้นทุนจริง

3. เร่งรัดพิจารณาเรื่องร้องเรียนจากผู้บริโภค โดยสั่งการให้สำนักงาน กสทช. สนับสนุนการทำหน้าที่ของ คณะอนุกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคด้านกิจการโทรคมนาคมอย่างเต็มที่ และไม่บั่นทอนการทำงานของคณะอนุกรรมการดังกล่าว โดยใช้กลไกอื่น

4. ลดอุปสรรคในการเข้าสู่ตลาดของผู้ประกอบกิจการโทรคมนาคม โดยยกเลิกประกาศห้ามการครอบงำกิจการโดยคนต่างด้าว ซึ่งมีผลกีดกันไม่ให้ผู้ประกอบการรายใหม่เข้าสู่ตลาดทั้งในการประมูล 3G ที่ผ่านมา จนมีผู้เข้าประมูลเหลือเพียง 3 ราย และการประมูลใบอนุญาตอื่นๆ ที่จะมีขึ้นในอนาคต

View :1685

เอไอเอส วางแผง Serenade Magazine Issue 3 ตอบรับไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่

October 22nd, 2012 No comments

เอไอเอสเดินหน้าส่ง “ Issue3″ ให้สาวกคอดิจิตอลแมกกาซีนได้ดาวน์โหลดแล้ววันนี้ หลังจากประสบความสำเร็จได้รับการตอบรับ จากเล่มที่ผ่านมา ด้วยยอดดาวน์โหลดกว่า 30,000 ครั้ง โดยความพิเศษใน Issue 3 นี้ ยังคงอัดแน่นด้วยคอนเทนต์สาระบันเทิงมากมาย ที่จะช่วยเติมเต็มไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ ในยุค ที่กำลังมาแรงในขณะนี้
ภายในเล่มประกอบด้วย 13 คอลัมน์เด็ด พร้อมให้สาวกผู้อ่านอัพเดตได้อย่างไม่ตกเทรนด์ ไม่ว่าจะเป็น คอลัมน์ Be Smart ที่ชวนสาวกไอที เจาะลึกถึงแก่นใช้ 3G อย่างไรให้เต็มที่กับชีวิตออนไลน์,คอลัมน์ Take a Seat เกาะติดกระแสหนังดังชวนดูในรูปแบบ 3 มิติที่หลายคนตั้งตาคอย อาทิ Paranorman , Hotel Transylvania , Frankenweenie เป็นต้น พร้อมร่วมสัมผัสแรงบันดาลใจใหม่ๆจากปากหนุ่มสาวที่รักการอ่านผ่านแท็บเล็ตในยุคที่หนังสือดิจิตอลมาแรงในคอลัมน์ Book On Shelf และมาร่วมอัพเดต พร้อมกดโพสต์ โหลด แชร์ ไปกับหลากหลายร้านอาหารอร่อยในสไตล์คนกรุงยุคใหม่ผ่านคอลัมน์ Savoury ,พบที่สุดของการแชร์ประสบการณ์สุดประทับใจของเหล่าซุปตาร์ผ่านแอพพลิเคชั่นสุดฮิต อย่างอินสตราแกรมในคอลัมน์ Everyday Special และปิดท้ายด้วยสิทธิพิเศษส่วนลดอีกมากมาย ให้สนุกและเลือกช้อปได้ในแบบที่เป็นคุณ

ลูกค้าเอไอเอส และสาวกดิจิตอลแมกกาซีน สามารถกดดาวน์โหลด “Serenade Magazine Issue 3” ผ่านทาง App Store บน iPad ได้ฟรีแล้ววันนี้ ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมที่ www..co.th/serenademagazine

View :1576
Categories: ebook Tags:

เศรษฐศาสตร์ชันสูตรว่าด้วยการประมูล 3G พิสดาร

October 21st, 2012 No comments

โดย
ดร.สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์
สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย

ปุจฉา: ในต่างประเทศกับในประเทศไทยต่างกันอย่างไร?
วิสัชนา: ในต่างประเทศ รัฐออกแบบการประมูลให้เอกชนแข่งขันกัน เพราะรู้ว่าเอกชนจะพยายามประมูลต่ำ
ในประเทศไทย รัฐออกแบบการประมูลไม่ให้เอกชนแข่งขันกัน แต่เอกชนกลับพยายามประมูลสูง!!

การประมูล ของ จบลงไปแล้ว พร้อมกับทิ้งความเสียหาย 1.6 หมื่นล้านบาท ให้ตกกับประชาชนในฐานะผู้เสียภาษี ในขณะที่ผู้ประกอบการทั้งสามรายได้ “ลาภลอย” เป็นกำไรแก่ผู้ถือหุ้นของบริษัท เพราะราคาคลื่นที่ประมูลได้ต่ำกว่าราคาประเมินมากมาย

ทันที่ที่จบการประมูล ร่องรอยความผิดปรกติก็เริ่มปรากฏมากขึ้น ดังจะเห็นได้จากข่าวเสียงข้างน้อยใน กสทช. ตลอดจน ผู้บริหารกระทรวงการคลังต่างออกมาท้วงติงว่าการประมูลนี้อาจเข้าข่ายผิดกฎหมายการเสนอราคาต่อหน่วยงานรัฐ หรือ “กฎหมายฮั้ว” แม้กระทั่งที่ปรึกษาประธาน กทค. เองก็ยังทำหนังสือเสนอล้มประมูล เพื่อไม่ให้ กสทช. ต้องเสี่ยงคุกตะราง

อย่างไรก็ตาม กสทช. กลับเร่งเดินหน้าออกใบอนุญาตให้แก่ผู้ประกอบการทั้งสามรายอย่างรีบร้อน และแสดงท่าทีแข็งกร้าวต่อผู้ที่ท้วงติงทั้งหลาย ในขณะที่ สื่อมวลชนบางส่วนก็ประสานเสียงไปทางเดียวกับ กสทช. โดยพยายามเบี่ยงเบนประเด็นให้ประชาชนไปสนใจเรื่องอื่น เช่น อัตราค่าบริการ 3G ในอนาคต โดยไม่พยายามสืบเสาะหาความผิดปรกติในการประมูลที่เกิดขึ้นเลย

ในบทความนี้ ผู้เขียนจะขอใช้วิชา “เศรษฐศาสตร์ชันสูตร” (forensic economics) มาชวนท่านผู้อ่านช่วยกันวิเคราะห์ว่า มีความผิดปรกติในการเคาะราคาในการประมูลอย่างไร และความผิดปรกติดังกล่าวน่าจะเกิดจากอะไร

คำถามที่ต้องการคำตอบ

ดังที่ทราบกัน ในการประมูลครั้งนี้ เสนอราคาสูงสุด 14,625 ล้านบาท ส่วน และ เสนอราคาเท่ากันที่ 13,500 ล้านบาท ซึ่งเป็นราคาขั้นต่ำในการประมูล ผลก็คือทำให้รัฐได้รายได้รวมทั้งสิ้นเพียง 41,625 ล้านบาท หรือสูงกว่าราคาตั้งต้นเพียง 2.8% เท่านั้น และทำให้มูลค่าการประมูล 3G ในประเทศไทยต่ำที่สุดประเทศหนึ่งในโลก

คำถามที่เกิดขึ้นกับการประมูลมี 2 คำถาม คำถามแรกคือ ทำไมการประมูลจึงล้มเหลวจนสร้างความเสียหายต่อประชาชนกว่า 1.6 หมื่นล้านบาท? คำถามนี้ตอบง่ายมากว่า การประมูลล้มเหลวเพราะ กสทช. ออกแบบให้การประมูลแทบไม่เหลือการแข่งขันเลย จึงทำให้ผู้เข้าประมูลทุกรายมั่นใจได้ว่า จะได้คลื่น 3G ไปตามที่ต้องการ โดยไม่ต้องแข่งขันกันเสนอราคามาก

คำถามที่สองซึ่งที่น่าสนใจกว่า ก็คือ ทำไมการประมูลยังมีการแข่งขันเหลืออยู่ ทั้งๆ ที่กฎการประมูลถูกออกแบบมาเพื่อจำกัดการแข่งขัน? โดยมีคำถามที่เกี่ยวเนื่องกันคือ AIS ทำไมจึงประมูลสูงกว่ารายอื่นมาก?

คำตอบที่เป็นไปได้

เหตุที่ AIS เสนอราคาสูงกว่ารายอื่น ก็น่าจะเพราะอยากได้สิทธิในการเลือกย่านความถี่ก่อน โดยเลือกที่จะอยู่ติดกับย่านของ TOT ซึ่งทำให้ทั้งสองรายสามารถนำเอาคลื่นของตนมารวมกันเพื่อให้บริการลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพในอนาคต ในขณะที่ DTAC และ TRUE ไม่ได้สนใจที่จะเลือกย่านความถี่ไหนเป็นพิเศษ ทั้งสองรายจึงประมูลต่ำที่สุดเท่าที่ทำได้คือ ที่ราคาตั้งต้น การที่ AIS เสนอราคาสูงกว่ารายอื่นจึงไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจ แต่ที่น่าแปลกใจก็คือ ราคาที่ AIS ประมูลนั้นสูงกว่ารายอื่นมากเกินความจำเป็น

หลักเบื้องต้นในการประมูลก็คือ ในกรณีที่มีของชิ้นเดียว ผู้เสนอราคาสูงสุด จะได้รับของในการประมูลนั้นไป ส่วนในกรณีที่มีของหลายชิ้น เช่นในการประมูล 3G ครั้งนี้ ผู้เสนอราคาสูงสุดจะได้สิทธิในการเลือกของก่อน ในทั้งสองกรณี ราคาที่เสนอสูงสุดไม่จำเป็นต้องสูงมาก แค่ให้มากกว่าผู้ได้อันดับสองเล็กน้อย เช่น เฉือนกันสลึงเดียว บาทเดียว หรือในกรณีนี้เฉือนกันเพียง 225 ล้านบาท ซึ่งเป็นมูลค่าต่ำสุดในการเคาะราคาเพิ่มแต่ละครั้ง ก็เพียงพอแล้ว

เราจึงควรถามว่า เหตุใด AIS จึงเสนอราคาประมูลมากกว่า DTAC และ TRUE ถึง 1,125 ล้านบาท ทั้งที่เสนอสูงกว่าเพียง 225 ล้านบาท ก็ทำให้ได้เป็นผู้ชนะประมูลตามที่ต้องการแล้ว ทำไม AIS ต้องจ่ายเพิ่มโดยไม่จำเป็นถึง 900 ล้านบาท?

เมื่อวิเคราะห์ดูการเคาะราคาในการประมูล เราจะพบว่า ราคาการประมูลของ AIS ที่สูงขึ้นเกิดใน 2 กรณีคือ หนึ่ง เมื่อมีผู้ประกอบการรายอื่น เลือกสล็อตความถี่เดียวกันกับที่ AIS เลือก ก็พบว่ามีการแข่งราคากัน ทั้งที่แต่ละฝ่ายสามารถหลบไปหาสล็อตอื่นที่ว่างอยู่ได้ ซึ่งเป็นวิธีที่ดีกว่าสำหรับทั้งคู่ เพราะไม่ต้องเพิ่มราคาในการประมูลเลย (เปรียบเสมือนการย้ายไปหาเก้าอี้ที่ว่างอยู่ในการเล่นเก้าอี้ดนตรี แทนที่จะต้องสู้เพื่อแย่งเก้าอี้ตัวเดียวกัน) และ สอง AIS เสนอราคาสูงขึ้นเองในบางสล็อต ทั้งที่ไม่มีคู่แข่งเลย โดยการเสนอราคาสูงขึ้นเพื่อแข่งกับตนเองดังกล่าว เกิดขึ้นตั้งแต่ช่วงต้นของการประมูล ซึ่งไม่สามารถอ้างได้ว่า ทำไปเพื่อให้มั่นใจว่าชนะรายอื่น เพราะหากจำเป็นต้องเสนอราคาสูงขึ้นพื่อให้ตนเป็นผู้ประมูลสูงสุด ก็ยังสามารถทำในรอบท้ายๆ ได้

การกระทำของผู้ประกอบการทั้งสามราย โดยเฉพาะ AIS จึงเป็นเรื่องที่แปลกพิสดารมาก เพราะทำให้ต้องเสียเงินประมูลมากเกินความจำเป็น ซึ่งขัดกับผลประโยชน์ของบริษัทเอง

เราอาจอธิบายพฤติกรรมที่แปลกพิสดารนี้ได้หลายทาง หนึ่ง ผู้บริหาร AIS ที่เข้าร่วมประมูลมีสติปัญญาที่จำกัดมาก จนทำให้ตัดสินใจผิดพลาด ทำให้ผู้ถือหุ้นเสียหาย ซึ่งสมควรถูกกรรมการบริษัทลงโทษ ปลดออกจากตำแหน่งเพื่อป้องกันความเสียหายที่จะเกิดขึ้นอีกในอนาคต หรือควรถูกผู้ถือหุ้นฟ้องร้องเพื่อเรียกค่าเสียหาย สอง การยื่นราคาสูงเกินจำเป็นอาจเกิดขึ้นจากความพยายาม “จัดฉาก” ของบางฝ่าย เพื่อแสดงให้ประชาชนเห็นว่า การประมูลมีการแข่งขัน ทั้งที่ในความเป็นจริง การประมูลนี้ไม่สามารถมีการแข่งขันจริงได้เลย เพราะถูกออกแบบไม่ให้มีการแข่งขันมาตั้งแต่ต้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อ DTAC และ TRUE ต่างต้องการได้คลื่นความถี่ในราคาต่ำที่สุด โดยไม่สนใจที่จะได้สิทธิในการเลือกย่านความถี่ก่อนเลย การแข่งขันใดๆ ที่เกิดขึ้นจึงน่าจะเป็น “การแข่งขันเทียม” เพื่อสร้างภาพเท่านั้น

ข้อสันนิษฐานใดจะเป็นจริง หรือจะมีข้อสันนิษฐานอื่นๆ อีก ก็สุดแล้วแต่วิจารณญาณของท่านผู้อ่าน แต่ผู้เขียนคิดว่า เราน่าจะหาข้อสรุปที่แท้จริงได้ไม่ยากนัก หากมีการตรวจสอบอย่างจริงจังโดยหน่วยงานภาครัฐ โดยเฉพาะ ปปช.

ก่อนการประมูล ผู้เขียนเคยคิดว่า พิสดารมากแล้วที่ กสทช. ใจกล้าออกแบบการประมูลให้แทบไม่มีการแข่งขัน โดยไม่เกรงกลัวต่อกฎหมายเลย แต่หลังการประมูล ผู้เขียนกลับพบว่า ที่พิสดารยิ่งกว่าก็คือ การที่ผู้ประกอบการเอกชนพยายามหาช่องทางในการแข่งขันกันจนได้ ทั้งที่กติกาไม่เอื้อต่อการแข่งขันเลย!

View :1511

ไทยวัฒนาพานิชมุ่งเตรียมพร้อมเด็กไทยให้เข้าถึงภาษาอังกฤษ ส่งแอพพลิเคชั่นนิทานอีบุ๊คสองภาษา Bright Kids eBook เอาใจผู้ปกครอง

October 19th, 2012 No comments


ทวพ. เปิดตัวครั้งแรกกับแอพลิเคชั่นนิทานอีบุ๊คสองภาษา ประเดิมเรื่องแรกด้วยนิทานชุด หูยาวจอมแก่น มุ่งผลักดันตลาดหนังสือเด็กไทยให้เข้าถึงภาษาอังกฤษมากขึ้น เล็งกลุ่มเป้าหมายผู้ปกครองที่มีบุตรอายุตั้งแต่อายุ 3-10 ปี ขึ้นไป

คุณโชติกา ศิริขวัญชัย รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท สำนักพิมพ์ จำกัด กล่าวว่า ทวพ. อยู่ในวงการสื่อการเรียนการสอนมากว่า 80 ปี มีแนวคิดที่จะผลิตสื่ออื่นๆ นอกเหนือไปจากหนังสือเล่ม เพื่อเป็นทางเลือกกับผู้อ่าน และให้สอดคล้องกับโลกและเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไป จึงต้องการให้เด็กไทยรุ่นใหม่เข้าถึง และสนใจภาษาอังกฤษมากขึ้น ปัจจุบันมีผู้ผลิตอีบุ๊คสำหรับเด็กที่เป็นสองภาษา (ไทย-อังกฤษ)ไม่มากนัก ส่วนใหญ่จะเป็นอีบุ๊คภาษาไทย สอนอ่าน กข แบบฝึกเตรียมความพร้อม หรืออีบุ๊คภาษาอังกฤษของต่างประเทศ

ทั้งนี้ กลุ่มเป้าหมายหลัก คือกลุ่มผู้ปกครองที่มีบุตรอายุตั้งแต่อายุ 3-10 ปี ขึ้นไป และนิทานชุดแรกที่ ทวพ.นำเสนอคือ นิทานชุด หูยาวจอมแก่น จุดเด่นของอีบุ๊คสองภาษา Bright Kids eBook จะมีเทคนิคที่แตกต่างเช่น ภาพเคลื่อนไหว เสียงประกอบ ที่สามารถตอบโต้ผู้อ่านได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ที่จะเน้นมากขึ้นจะเป็นเรื่องของ การให้ความรู้เพิ่มเติม เช่น มีคำศัพท์-สำนวนภาษาอังกฤษ เกมฝึกทักษะต่างๆ ด้วยมาตรฐานภาษาอังกฤษ ที่ถูกต้อง จากทีมงานคุณภาพของ ทวพ. และนอกจากเรื่องของภาษาที่เน้นเป็นสองภาษาแล้ว ด้วยเนื้อหาของนิทานที่คัดสรรมาทำเป็นอีบุ๊คจะเป็นนิทานที่สอดแทรกเนื้อหาเพื่อส่งเสริมด้านต่างๆ ให้กับเด็กๆ อีกด้วย เช่นในชุด หูยาวจอมแก่นก็จะเป็นนิทานที่ช่วยสอนเรื่อง พรหมวิหาร 4 เป็นการปรับธรรมะง่ายๆ นำมาใช้ให้เด็กเข้าใจได้ง่ายยิ่งขึ้น

ผศ.อินทิรา ยังได้กล่าวอีกว่า ทวพ.มุ่งผลักดันให้เข้าถึงกลุ่มผู้ใช้ที่กว้างขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเด็กไทยในกรุงเทพ ต่างจังหวัด หรือต่างประเทศ เพราะเป็นสื่อที่สามารถซื้อหาได้ง่ายไม่ว่าจะอยู่ที่ใดก็ตาม เพราะนอกจากจะเป็นสองภาษาแล้ว เด็กๆ จะได้รับทั้งความสนุกสนาน เสริมสร้างจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์ รวมถึงการหัดสังเกต เปรียบเทียบ สอนเรื่องการนับเลข สี รูปทรง และเรียนรู้ภาษาอังกฤษไปพร้อมๆ กัน นอกจากนั้นยังสามารถเป็นเครื่องมือให้ผู้ปกครองใช้ในการทำกิจกรรมกับลูก สอนลูก ด้วยแอพพลิเคชั่นที่มีประโยชน์และช่วยส่งเสริมการเรียนรู้ให้กับเด็กๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

อย่างไรก็ตาม ทางทวพ. คาดหวังเป็นอย่างยิ่งว่าอยากให้แอพพลิเคชั่นนี้เป็นที่รู้จักในกลุ่มคนที่ใช้อุปกรณ์ดิจิตอล และมีผลตอบรับที่ดีจากลูกค้า ซึ่งทาง ทวพ. จะพัฒนาและนำเสนอผลิตภัณฑ์ดีๆ และเทคโนโลยีใหม่ๆ แบบนี้เพื่อเป็นตัวเลือกให้กับลูกค้าต่อไป

View :1942

AIS Wifi เอาใจคอเน็ต เชื่อมต่อออนไลน์ได้โดยอัตโนมัติ “Wifi Auto Login”

October 19th, 2012 No comments


เอไอเอสก้าวล้ำไปอีกขั้น พัฒนานวัตกรรมใหม่ ตอบสนองการใช้งานของลูกค้าคอเน็ตให้เชื่อมต่อโลกออนไลน์บน Wifi 2 เครือข่ายทั้ง Wifi และ 3BB WiFi กว่า 50,000 จุดทั่วประเทศได้สะดวกและรวดเร็วยิ่งขึ้น ด้วยบริการ “Wifi Auto Login” เป็นรายแรกของเมืองไทย เพื่อให้ลูกค้าที่มีแพ็คเกจ Wifi สามารถเข้าใช้งานเครือข่าย Wifi และ 3BB WiFi ได้ง่ายๆ โดยไม่ต้องระบุ Username และ Password ในทุกๆ ครั้งที่เข้าใช้งานเหมือนที่ผ่านมา ด้วยการลงทะเบียนยืนยันการใช้งาน Wifi Auto Login บนเครือข่าย Wifi ที่ปรากฏบนหน้าจอมือถือด้วยตัวเองเพียงครั้งเดียว ระบบจะดำเนินการให้ทันที โดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม จากนั้น สำหรับการใช้งานครั้งต่อไป ลูกค้าจะสามารถเข้าใช้งานเครือข่าย Wifi และ 3BB WiFi ทั่วประเทศ ได้ทันที โดยไม่ต้องระบุ Username และ Password อีก ทั้งนี้ การลงทะเบียน Wifi Auto Login จะใช้กับอุปกรณ์ได้เพียงเครื่องเดียวเท่านั้น ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www..co.th/Wifi หรือโทร. Call Center 1175

View :1667
Categories: Press/Release Tags:

เตือนผู้บริโภครู้ทันบริการ 3G

October 19th, 2012 No comments

อนุกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคด้านกิจการโทรคมนาคม เตือนผู้บริโภคไทยให้รู้ทันบริการ เผยแพ็คเกจที่ขึ้นป้าย Unlimited แท้จริงแล้วจำกัดเงื่อนไขบริการด้วยนโยบาย Fair Use Policy แนะผู้ประกอบการลบคำว่า Unlimited ออกจากแพ็คเกจ เพื่อป้องกันความสับสน พร้อมเสนอว่าค่าบริการ ของไทยควรถูกสุดในอาเซียน เพราะตั้งราคาประมูลไว้ต่ำที่สุดเมื่อเทียบกับประเทศอื่นในอาเซียน

ภายหลังการประชุมคณะอนุกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคด้านกิจการโทรคมนาคม เมื่อวันที่ 19 ต.ค.2555 ดร.เดือนเด่น นิคมบริรักษ์ พร้อมด้วยอนุกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคด้านกิจการโทรคมนาคม อีกจำนวนหนึ่ง ได้ร่วมกันแถลงข่าวเกี่ยวกับสภาพปัญหาที่พบจากบริการ 3G ของไทยในปัจจุบัน โดยระบุว่า เรื่องร้องเรียนที่เข้ามายังกลุ่มงานรับเรื่องร้องเรียนและคุ้มครองผู้บริโภคในกิจการโทรคมนาคม (รท.) สำนักงาน ในช่วงที่ผ่านมา พบว่า ผู้ใช้บริการได้มีการร้องเรียนเกี่ยวกับอัตราความเร็วของบริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง หรือบริการ 3G อย่างต่อเนื่อง แต่มักได้รับคำอธิบายจากผู้ประกอบการว่าบริการ 3G มีเงื่อนไขเรื่อง หรือนโยบายในการบริหารจัดการให้ผู้ใช้บริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงสามารถใช้บริการได้อย่างเท่าเทียม ซึ่งเงื่อนไขนี้มีการแจ้งต่อผู้ใช้บริการแล้ว

อย่างไรก็ดี การให้บริการ 3G ในปัจจุบันพบว่าแพ็คเกจที่ให้บริการมักมีคำว่า Unlimited หรือไม่จำกัด พ่วงท้าย ทำให้ผู้ใช้บริการเข้าใจว่าสามารถใช้บริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงได้ไม่จำกัด ทั้งที่ในอเท็จจริงกลับมีเงื่อนไขของบริการ กล่าวคือ สามารถใช้อินเทอร์เน็ตด้วยความเร็วสูงสุดได้ในปริมาณข้อมูลที่จำกัดไว้ในแต่ละแพ็คเกจ เช่น 2GB หรือ 5GB หลังจากนั้นความเร็วของการส่งผ่านข้อมูลของอินเทอร์เน็ตจะลดลงในระดับ EDGE คือ 384 kbps หรือ 64 Kbps เป็นต้น

ดร.เดือนเด่น กล่าวอีกว่า จากการศึกษาพบว่า นโยบาย FUP นั้นมีใช้กันในทุกประเทศที่ให้บริการ 3G หรือ 4G ทั้งนี้เพื่อป้องกันปัญหาที่ผู้ใช้บริการกลุ่มหนึ่งจะใช้ข้อมูลจำนวนมาก เช่น การดาวน์โหลดวีดีโอทั้งวัน การแชร์ข้อมูลตลอดเวลา จนทำให้ผู้ใช้บริการรายอื่นไม่สามารถใช้บริการได้ แต่ในต่างประเทศนั้นมีการกำหนดนโยบาย FUB ในรูปแบบที่หลากหลายและไม่แก้ปัญหาด้วยวิธีการให้ผู้ใช้บริการทุกคนออกจาก 3G ไปเป็น EDGE โดยรูปแบบ FUB ที่ใช้ในต่างประเทศมีดังนี้

1. หากผู้ใช้บริการใช้ปริมาณข้อมูลจนครบกำหนด เช่น 10GB แต่ก็ยังสามารถใช้บริการ 3G ได้ในบริการ อินเทอร์เน็ต บราวเซอร์ แต่จะห้ามใช้ในกิจกรรมที่ใช้ข้อมูลจำนวนมาก เช่น VDO Streaming, peer to peer sharing เป็นต้น

2. มีการกำหนดระยะเวลาสำหรับผู้บริโภคที่ใช้บริการประเภท high data ในช่วง peak time เช่น ช่วงเวลา 18.00-20.00 น. เป็นช่วงเวลาที่มีผู้ใช้บริการจำนวนมากห้ามใช้บริการประเภท high data

สำหรับแนวทางแก้ปัญหาที่ต่างประเทศใช้กันนั้น ดร.เดือนเด่น กล่าวว่า หน่วยงานกำกับดูแลกิจการโทรคมนาคมในประเทศอังกฤษ คือ ออฟคอม ได้กำหนด Code of Conduct หรือหลักการปฏิบัติในการให้บริการ 3G ไว้ชัดเจนว่า 1.) ผู้ให้บริการต้องใช้ตัวอักษรในขนาดที่เท่ากันกับคำว่า “unlimited” ในการให้ข้อมูลกับผู้บริโภค ทั้งส่วนที่เป็นข้อกำหนดและเงื่อนไขการให้บริการ หมายถึงการไม่มี * และตามด้วยตัวอักษรขนาดเล็ก 2.) ในเนื้อหาของโฆษณา 3G จะต้องบอกเงื่อนไขรายละเอียดและข้อจำกัดของบริการ และห้ามไม่ให้ใช้คำว่า “ไม่จำกัด”หรือ Unlimited เพื่อผู้บริโภคจะได้แยกออกได้ระหว่าง แพ็คเกจบริการ ที่ไม่จำกัดจริงๆ กับแพ็คเกจที่ไม่จำกัดแต่มีเงื่อนไขที่จำกัดการใช้งาน 3.) การโฆษณาอัตราความเร็วสูงสุด เช่น 42 Mbps ต้องให้ข้อมูลด้วยว่า จำนวนผู้ใช้บริการที่สามารถดาวน์โหลดด้วยความเร็วดังกล่าวนั้นคิดเป็นร้อยละเท่าไหร่ของจำนวนผู้ใช้บริการทั้งหมด 5.) ต้องแจ้ง Typical Speed Range (TSR) หรืออัตราความเร็วมาตรฐานกลางที่คนส่วนมากจะสามารถดาวน์โหลดได้สูงสุดไว้ในโฆษณา 6.) ในกรณีที่มีการตัดผู้ใช้บริการออกจากระบบ 3G หรือ4G ต้องบอกด้วยว่า TSR ที่ผู้ใช้บริการจะใช้ได้คือเท่าใด

“ในประเทศไทยเราคงต้องมาคิดกันว่า การให้บริการ 3G ควรที่จะใช้คำว่า Unlimited อีกหรือไม่ ทั้งที่ความเร็วมีจำกัด แต่แพ็คเกจใช้ Unlimited แล้วมีเงื่อนไขที่ตัวเล็กมาก ประการที่สองการแจ้งรายละเอียดเงื่อนไขบางประการ ผู้ให้บริการไม่ได้แจ้งเมื่อโฆษณา เช่น อัตราความเร็วสูงสุด 42 Mbps ที่ผู้ใช้บริการจะได้รับ ก็ควรแจ้งไปด้วยว่า จะได้ใช้จริงตอนตี3 และบ้านต้องอยู่ใกล้เสาไม่เกิน 500 เมตร ก็ต้องบอกผู้บริโภค“ ดร.เดือนเด่นกล่าว

View :1857
Categories: 3G, Telecom Tags:

ดีแทค ประกาศผลประกอบการไตรมาสสาม ปี 2555

October 19th, 2012 No comments

บริษัทโทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ มีรายได้รวมของไตรมาสสามปี 2555 เท่ากับ 21.2 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่งร้อยละ 8.2 จากไตรมาสเดียวกันของปีที่ผ่านมา จากการเพิ่มขึ้นของรายได้บริการเสริมและรายได้จากการขายเครื่องโทรศัพท์ ซึ่งเป็นผลจากความนิยมอย่างต่อเนื่องในการใช้บริการอินเทอร์เน็ต เครื่องสมาร์ทโฟน และแอพพลิเคชั่นเครือข่ายสังคมออนไลน์

EBITDA ของไตรมาสสามปี 2555 เท่ากับ 6.7 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นเล็กน้อยร้อยละ 0.4 จากไตรมาสก่อน จากค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารที่ลดลง แต่ลดลงร้อยละ 5.1 จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน โดยสาเหตุหลักยังคงเป็นอัตราส่วนแบ่งรายได้ที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้กำไรสุทธิของไตรมาสนี้เท่ากับ 2.9 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.9 จากไตรมาสก่อน แต่ลดลงร้อยละ 6.3 จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน

การเติบโตของผู้ใช้บริการของดีแทคปรับตัวดีขึ้นอย่างแข็งแกร่งจากไตรมาสก่อน และจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน โดยในไตรมาสสามปี 2555 นี้ ดีแทคมีจำนวนผู้ใช้บริการเพิ่มขึ้นสุทธิ 256,706 ราย ส่งผลให้ ณ สิ้นไตรมาสสามปี 2555 ดีแทคมีจำนวนผู้ใช้บริการรวมทั้งสิ้น 23.9 ล้านราย โดยมีผู้ใช้บริการรายเดือนคิดเป็นร้อยละ 10.8 ของผู้ใช้บริการทั้งหมด

ณ สิ้นไตรมาสสามปี 2555 ดีแทคมีจำนวนสถานีฐานสำหรับการให้บริการ บนคลื่น 850 MHz ประมาณ 3,500 สถานีฐานในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล และในอีก 42 จังหวัด ทั้งนี้ ยังคงมีเป้าหมายที่จะเพิ่มจำนวนสถานีฐานเป็นกว่า 5,000 สถานีฐาน ให้ครอบคลุมทั่วประเทศสำหรับการให้บริการ บนคลื่น 850 MHz ภายในสิ้นปี 2555 และคาดว่าจะสามารถบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ นอกจากนี้ ยังมีความคืบหน้าเป็นอย่างมากสำหรับโครงการเปลี่ยนอุปกรณ์เครือข่าย (Network Swap) โดยได้ดำเนินการแล้วเสร็จกว่าร้อยละ 70

เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2555 บริษัท ดีแทค เนทเวอร์ค จำกัด (บริษัทในเครือของดีแทค) ได้เข้าร่วมประมูลใบอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่สำหรับย่าน 2.1 GHz ซึ่งจัดโดยสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ () และต่อมา เมื่อวันที่ 19 ตุลาคม ศกนี้ บริษัท ดีแทค เนทเวอร์ค จำกัด ได้รับแจ้งจาก ว่า บริษัท ดีแทค เนทเวอร์ค จำกัด เป็นหนึ่งในผู้ชนะการประมูลอย่างเป็นทางการ โดย บริษัท ดีแทค เนทเวอร์ค จำกัด มีสิทธิที่จะได้รับใบอนุญาตให้แล้วเสร็จภายใน 90 วัน นับจากวันที่ประกาศผู้ชนะการประมูล

นายจอน เอ็ดดี้ อับดุลลาห์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ดีแทค กล่าวว่า “เรามีผลประกอบการเป็นที่น่าพอใจในไตรมาสที่สามของปีนี้ โดยมีรายได้รวมที่เติบโตอย่างแข็งแกร่งถึงร้อยละ 8.2 เรามีจำนวนผู้ใช้บริการสุทธิเพิ่มขึ้นอีกกว่า 250,000 คน ในขณะเดียวกัน แผนงานการขยายโครงข่าย 3G และโครงการยกระดับอุปกรณ์เครือข่ายทั่วประเทศก็ก้าวรุดหน้าเป็นอย่างดี ซึ่งเป็นที่คาดการณ์ว่า เราจะสามารถดำเนินการเสร็จสมบูรณ์ตามแผนได้ภายในสิ้นปีนี้ และที่สำคัญคือ เรารู้สึกตื่นเต้นกับการที่บริษัท ดีแทค เนทเวอร์ค จำกัด ชนะการประมูลสำหรับใบอนุญาตคลื่นความถี่ 2.1 GHz ด้วยเหตุนี้ เราค่อนข้างที่จะเล็งผลเลิศสำหรับไตรมาสที่เหลืออีกหนึ่งไตรมาสของปีนี้ และมีความมุ่งมั่นยิ่งขึ้น ที่จะใช้ความพยายามมากขึ้นในการมอบบริการและประสบการณ์ที่ดีที่สุดแก่ลูกค้าของเรา”

View :1363