Archive

Archive for August, 2011

สุดยอดโปรแกรมเมอร์แชมป์ภูมิภาค ACM-ICPC 2011

August 10th, 2011 No comments

ACM-ICPC การแข่งขันการเขียนโปรแกรมระดับอุดมศึกษาเพื่อพัฒนาศักยภาพของบุคลกรด้านซอฟต์แวร์ทั่วโลก จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี ถือว่าเป็นการแข่งขันที่มีความเก่าแก่ที่สุด มีชื่อเสียงที่สุด และใหญ่ที่สุด โดยปี2011นี้ ประเทศไทยจัดแข่งขันทั้งสิ้น 3 รอบ ได้แก่ รอบภูมิภาค ACM-ICPC Thailand Local Contest 2011 ซึ่งจัดแข่งขัน 4 ภาค รอบประเทศไทย ACM-ICPC Thailand National Programming Contest 2011 เพื่อหาสุดยอดโปรแกรมเมอร์มือระดับอุดมศึกษาของไทย เข้าชิงชัยเป็นแชมป์โปรแกรมเมอร์เอเชีย ปลายปีนี้
สำหรับ รอบภูมิภาค หรือ ACM-ICPC Thailand Local Contest 2011 ได้จัดแข่งขันเสร็จสิ้นลงแล้ว ได้ทีมผู้ชนะ 24 ทีม จาก 4 ภูมิภาคซึ่งจะรวมกับผู้แข่งขันในรอบ Online Contest เพื่อให้ได้ผู้ผ่านการคัดเลือก 70-100 คน เข้าแข่งขันในรอบ ACM-ICPC Thailand National Programming Contest 2011 ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วันที่ 3-4 กันยายน 2554 เพื่อหาสุดยอดโปรแกรมเมอร์ของไทย เข้าร่วมแข่งขัน “ACM-ICPC Asia Phuket Regional 2011”ที่ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตภูเก็ต 3-4 พฤศจิกายน 2554 ต่อไป
สามารถตรวจสอบรายชื่อผู้ชนะของภูมิภาคต่างๆได้ที่ www.sipa.or.th

View :1707
Categories: Press/Release, Software Tags:

88 DB ร่วมกับ FIC Plus 2011 หวังหนุนเอสเอ็มอีไทย ก้าวเป็นเถ้าแก่

August 9th, 2011 No comments

“88DB.COM สร้างขึ้นมาเพื่อตอบสนองคนที่ต้องการเป็นฟรีแลนซ์ หรือเป็นเถ้าแก่ตัวเอง โดยใช้เว็บไซต์เป็นเวทีประชาสัมพันธ์ธุรกิจ หรืองานที่คุณกำลังทำอยู่ได้ฟรี ๆ เพื่อให้ผู้ที่ต้องการใช้บริการต่างๆ เข้ามาค้นหาและเจรจาทำธุรกิจร่วมกันได้ เพราะปัจจุบันมีธุรกิจเล็กๆ ที่น่าสนใจเกิดขึ้นมากมาย และผู้ใช้บริการต่างๆ ก็ต้องการทางเลือกมากขึ้น เว็บไซต์88DB.COM จึงเป็นสื่อกลางให้คนทั้งสองฝ่ายมาพบกัน ขณะเดียวกันก็ทำหน้าที่เป็นหน่วยการตลาดด้วย”

ได้ไม่ยากด้วยการใช้โลกออนไลน์เป็นสื่อเสริมต่อ ซึ่งสอดคล้องกับโครงการประกวดออกแบบเสื้อผ้าแฟชั่นสู่เชิงพาณิชย์ 1 ที่มุ่งเน้นพัฒนาทักษะความรู้ ความสามารถให้กับบุคคลากรด้านการออกแบบเพื่อพัฒนาวงการแฟชั่นดีไซน์ของเมืองไทยให้เติบโตก้าวหน้า ตลอดจนสร้างเถ้าแก่ในวงการเสื้อผ้าแฟชั่นให้มากขึ้น จึงเป็นที่มาของการจับมือร่วมกันสานต่อโครงการฯ เป็นปีที่ 2

นางสาธินี โมกขะเวส กรรมการผู้จัดการ บริษัท 88ดีบี (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้ทำการศึกษา และพบว่าไทยมีช่องว่างระหว่างอาชีพสูงมาก เพราะคนไทยดั้งเดิมทำเกษตรกรรม และผลักดันให้ลูกๆ เรียนหนังสือเพื่อเข้ามาเป็นลูกจ้างในบริษัททั้งขนาดกลางและขนาดใหญ่ ทำให้ประเทศเราไม่ค่อยมีธุรกิจเถ้าแก่
ซึ่งจากวิกฤติเศรษฐกิจหลายครั้งที่ผ่านมา คนที่ได้ผลกระทบมากที่สุดก็คือกลุ่ม ลูกจ้าง ตกอยู่ในสภาวะตกงาน

“การหาอาชีพให้กับตัวเองจึงเป็นความบังเอิญ เพราะประสบปัญหาเสมือนหลังชนฝาแล้ว หลายปีที่ผ่านมาแม้จะมีคนออกมาทำธุรกิจของตัวเองมากขึ้น แต่ก็ไม่ใช่อาชีพที่เป็นวิชาชีพ ทำให้เรารู้ว่าประเทศไทยขาดเรื่องวิชาชีพ ที่สามารถจะเป็นเจ้าของงานของตัวเองได้ ฉะนั้นน้องๆ ในรุ่นใหม่นี้ควรที่จะค้นหาตัวเองว่าชอบและอยากทำอะไร แล้วเดินไปตามที่ฝัน การเรียนที่ขอให้จบปริญญาแต่ไม่รู้ว่าจะทำอาชีพอะไร หรือจบคณะที่ไม่มีอาชีพชัดเจน จะทำให้เสียเวลา น้องๆ รุ่นนี้ต้องเริ่มเปลี่ยนเป้าหมายชีวิตให้กับตัวเองใหม่

จากแนวคิดเรื่องนี้ ทำให้สัมพันธ์กับโครงการประกวดออกแบบเสื้อผ้าแฟชั่นสู่เชิงพาณิชย์ FIC Plus 2011 ของสถาบันพัฒนาอุตสาหกรรมสิ่งทอที่จัดขึ้นเพื่อพัฒนาทักษะความรู้ และความสามารถให้กับน้องๆ ที่กำลังจะก้าวออกมาสู่เส้นทางสายอาชีพ ที่สำคัญโครงการฯ นี้ไม่ได้จบแค่การประกวดแล้วได้ผู้ชนะเท่านั้น แต่สิ่งที่ได้คือ ผู้เข้าประกวดทุกทีมได้รับการพัฒนาความรู้อย่างเท่าเทียมกัน ซึ่งแม้ไม่ได้รับรางวัล แต่น้องๆ ก็อาจจะสามารถนำความรู้ไปพัฒนาตัวเองเพื่อก้าวสู่เส้นทางอาชีพได้อย่างรวดเร็ว หรือก็อาจจะสามารถทำธุรกิจให้กับตัวเองได้สำเร็จต่อไป

สำหรับการร่วมจัดทำโครงการครั้งนี้ กรรมการผู้จัดการ บริษัท 88ดีบี เปิดเผยว่า เว็บไซต์ยินดีสนับสนุนผู้เข้าร่วมโครงการฯ ทั้ง 15 ทีมในการเข้ามาใช้เว็บไซต์ในการประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ผลงานของตัวเองอย่างเต็มที่ พร้อมกันนี้สำหรับคนที่ได้รับรางวัลชนะเลิศ ทางบริษัทฯ ได้สนับสนุนพื้นที่ล็อคอันดับโฆษณานาน 3 เดือนและเลื่อนอันดับโฆษณา 88 ครั้งอีกด้วย

สำหรับน้องๆ รุ่นใหม่ที่อยากมีร้านค้าบนออนไลน์เพื่อเป็นทางลัดสู่ช่องทางเถ้าแก่ สามารถปรึกษาได้ที่88DB.COM ไม่มีค่าใช้จ่าย แต่ขออย่างเดียวให้ทำจริงขายจริง เป็นผู้ขายตัวจริงไม่ใช่ทำชั่วคราว สินค้าหมดแล้วเลิก เพราะ88DB.COM ต้องการพัฒนาสังคมไทยให้เป็นสังคมเถ้าแก่ ทำธุรกิจได้ไม่แพ้ชาติใดในโลก เพียงเริ่มต้นง่ายๆ จากการเข้ามาเปิดร้านออนไลน์ เรียนรู้เทคโนโลยีเพิ่มเติม เพื่อสร้างศักยภาพในกับร้านค้าออนไลน์ที่มากกว่าแค่การให้ข้อมูล รู้จักการเจรจาการค้า เพียงเท่านี้โอกาสในการส่งออกก็อยู่ในมือของคุณแล้ว.

View :1156
Categories: Press/Release Tags: ,

ไมโครซอฟท์ ประเทศไทยจับมือพีดีเอเดินหน้าโครงการชุมชนดอทเน็ต

August 9th, 2011 No comments

รับมอบเครื่องคอมพิวเตอร์จากธนาคารกรุงศรีอยุธยา พร้อมช่วยชุมชนภาคตะวันออกเฉียงเหนือเข้าถึงไอที เพิ่มรายได้ และขยายช่องทางนำสินค้าท้องถิ่นเข้าสู่ตลาดออนไลน์

บริษัท ไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) จำกัด ร่วมกับสมาคมพัฒนาประชากรและชุมชน หรือ PDA เดินหน้าประสานความร่วมมือเพื่อชาวบ้าน นำไอทีเสริมรายได้ในโครงการชุมชนดอทเน็ต จัดพิธีรับมอบเครื่องคอมพิวเตอร์จำนวน 370 เครื่องจากธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) สำหรับโครงการชุมชนดอทเน็ต ณ โรงเรียนมัธยมมีชัยพัฒนา จังหวัดบุรีรัมย์ เพื่อให้ชาวบ้านจาก 20 หมู่บ้านในจังหวัดนครราชสีมาและบุรีรัมย์ ได้ใช้ประโยชน์จากคอมพิวเตอร์สำหรับการเรียนรู้ ไอทีและนำไปเสริมศักยภาพชุมชน ในการสร้างช่องทางการจำหน่ายสินค้าออนไลน์ของชุมชน เพื่อเพิ่มรายได้อันจะนำไปสู่ความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น

นายพีรธน เกษมศรี ณ อยุธยา กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “ เป็นหนึ่งในโครงการของไมโครซอฟท์ที่สานต่อพันธกิจในการส่งเสริมการนำ ไอทีเข้าไปเสริมการประกอบอาชีพของคนในชุมชน โดยยึดตามแนวทางของไมโครซอฟท์ที่ต้องการส่งเสริมและฝึกอบรมให้ชาวบ้านได้เรียนรู้การใช้งานไอที และเทคโนโลยีที่เหมาะสม เพื่อนำไปส่งเสริมและขยายอาชีพของชุมชนในท้องถิ่น อันจะนำไปสู่รายได้ที่เพิ่มขึ้นและการสร้างความแข็งแกร่งอย่างยั่งยืนต่อไปให้กับชุมชน ทั้งนี้ เพื่อให้โครงการประสบความสำเร็จอย่างยั่งยืน ไมโครซอฟท์ ประเทศไทยได้ร่วมมือกับสมาคมพัฒนาประชากรและชุมชนในการดำเนินการโครงการชุมชนดอทเน็ตร่วมกับชาวบ้านในแต่ละท้องถิ่น โดยสมาคมฯ ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางช่วยเหลือและให้คำแนะนำชาวบ้านในการเพิ่มช่องทางขายและนำสินค้าท้องถิ่นไปสู่ตลาดออนไลน์เพื่อใกล้ชิดผู้บริโภคต่อไป”

นายมีชัย วีระไวทยะ ผู้ก่อตั้งและนายกสมาคมพัฒนาประชากรและชุมชน หรือ PDA กล่าวว่า “จากแนวคิดที่ตรงกันของไมโครซอฟท์ สมาคมพัฒนาประชากรและชุมชน และโรงเรียนมัธยมมีชัยพัฒนาที่ต้องการส่งเสริมให้ชาวบ้านได้เรียนรู้ด้วยตนเอง ถ่ายทอดความรู้ ความเชี่ยวชาญไปสู่ชุมชน เพื่อให้ชาวบ้านสามารถนำความรู้ไปพัฒนาชุมชนในระยะยาวและอย่างยั่งยืน ทั้งด้านการศึกษาของเยาวชน และการประกอบอาชีพของชาวบ้าน เราจึงมีความร่วมมือกันมายาวนาน และโครงการชุมชนดอทเน็ตก็เป็นอีกโครงการหนึ่งภายใต้ความร่วมมือระหว่าง PDA โรงเรียนมัธยมมีชัยพัฒนา และไมโครซอฟท์ ในการส่งเสริมให้ชาวบ้านนำไอทีเข้าไปขยายตลาดการจำหน่ายสินค้าในชุมชนผ่านเว็บไซต์ และในวันนี้ PDA โรงเรียนมัธยมมีชัยพัฒนาและไมโครซอฟท์ ได้ดำเนินการจัดตั้งศูนย์การเรียนรู้ไอทีเพื่อชุมชนเสร็จเป็นที่เรียบร้อย 17 แห่ง จากจำนวนทั้งสิ้น 20 แห่ง ใน 20 หมู่บ้าน ผ่านการดำเนินงานของโครงการร่วมพัฒนาหมู่บ้าน หรือ The Village Development Partnership (VDP) ภายใต้โรงเรียนมัธยมมีชัยพัฒนาที่มีการทำงานร่วมกับชาวบ้านในหมู่บ้านทั้ง 20 แห่ง อย่างใกล้ชิด ส่วนศูนย์ฯ อีก 3 แห่ง ก็คาดว่าจะเสร็จเรียบร้อยในเร็วๆ นี้”


นายมีชัย วีระไวทยะ (แรกจากซ้าย แถวหลัง) ผู้ก่อตั้งและนายกสมาคมพัฒนาประชากรและชุมชน หรือ PDA


นายพีรธน เกษมศรี ณ อยุธยา (กลาง) กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) จำกัด พร้อมด้วยนักเรียนจากโรงเรียนมัธยมมีชัยพัฒนา อำเภอลำปลายมาศ จังหวัดบุรีรัมย์ รับมอบเครื่องคอมพิวเตอร์ จำนวน 370 เครื่อง จากนางวรนุช เดชะไกศยะ(ที่สองจากซ้าย แถวหลัง) ประธานเจ้าหน้าที่ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) สำหรับใช้ในโครงการชุมชนดอทเน็ต เพื่อให้ชาวบ้านได้ใช้ประโยชน์จากไอทีในการเพิ่มช่องทางการจำหน่ายสินค้าของชุมชนไปสู่ตลาดออนไลน์ เพื่อเพิ่มรายได้อันจะนำไปสู่ความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น

นายพีรธน เกษมศรี ณ อยุธยา (ขวา) กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) จำกัด ส่งเสริมการนำไอทีไปสู่ชาวบ้านในท้องถิ่นห่างไกลเพื่อใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดผ่านโครงการชุมชนดอทเน็ต โดยตัวอย่างผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นของจังหวัดบุรีรัมย์ ได้แก่ ข้าวหอมมะลิ ผ้าไหม และงานประดิษฐ์ จะนำไปจำหน่ายบนเว็บไซต์ ภายใต้โครงการชุมชนดอทเน็ต


เยาวชนจากหมู่บ้านหนองตาเข้ม อำเภอนางรอง จังหวัดบุรีรัมย์ พร้อมเรียนรู้การใช้คอมพิวเตอร์เพื่อสอนผู้ใหญ่สำหรับการเพิ่มช่องทางการจำหน่ายออนไลน์ในอนาคต ณ ศูนย์ไอทีเพื่อชุมชนภายในหมู่บ้าน ซึ่งเป็นหนึ่งใน 20 หมู่บ้านภายใต้โครงการชุมชนดอทเน็ต

ข้อมูลเกี่ยวกับโครงการชุมชนดอทเน็ต

· โครงการชุมชนดอทเน็ตริเริ่มโดยบริษัท ไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) จำกัด เพื่อส่งเสริมการประกอบอาชีพของคนในชุมชนภาคตะวันออกเฉียงเหนือโดยใช้ไอทีมาเพิ่มมูลค่า ช่วยสร้างรายได้และคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

· บริษัท ไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) จำกัดได้รับงบประมาณสนับสนุนจากบริษัทแม่คือไมโครซอฟท์ คอร์ปอเรชั่น เป็นจำนวน 6 ล้านบาท เพื่อใช้สำหรับโครงการชุมชนดอทเน็ต ซึ่งนับเป็นการสานต่อพันธกิจการส่งเสริมการใช้ไอทีให้เกิดประโยชน์ต่อการประกอบอาชีพของคนในชุมชนที่บริษัทไมโครซอฟท์ ประเทศไทยก่อตั้งและดำเนินธุรกิจอยู่

· ในโครงการนี้ ไมโครซอฟท์ ประเทศไทย ได้ร่วมกับสมาคมพัฒนาประชากรและชุมชน หรือ PDA ในการส่งเสริมให้หมู่บ้านจำนวน 20 แห่ง ในอำเภอลำปลายมาศ และอำเภอนางรอง จังหวัดบุรีรัมย์ และอำเภอจักราช จังหวัดนครราชสีมา ซึ่งเป็นจังหวัดนำร่องที่เข้าร่วมโครงการฯ สามารถเพิ่มช่องทางการจำหน่ายสินค้าในหมู่บ้านและชุมชนผ่านอินเทอร์เน็ต หรือเว็บไซต์ โดยโครงการชุมชนดอทเน็ตมีระยะเวลา 1 ปี เริ่มตั้งแต่ 1 มีนาคม 2554 ถึง 28 กุมภาพันธ์ 2555

· สิ่งที่ไมโครซอฟท์และ PDA สนับสนุนชุมชนทั้ง 20 แห่งภายใต้โครงการชุมชนดอทเน็ตคือ

- จัดตั้งศูนย์การเรียนรู้ไอทีในหมู่บ้านทั้ง 20 แห่ง ในจังหวัดบุรีรัมย์และนครราชสีมา โดยมีศูนย์กลาง หรือฮับ (hub) อยู่ที่โรงเรียนมัธยมมีชัยพัฒนา อำเภอลำปลายมาศ จังหวัดบุรีรัมย์

- สอนการใช้ไอทีเบื้องต้น ด้วยหลักสูตร Microsoft® Unlimited Potential ซึ่งประกอบไปด้วย ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์, ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับงานเอกสารด้วย Microsoft® Word, ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับกระดานคำนวณด้วย Microsoft® Excel, ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการนำเสนอข้อมูลด้วย Microsoft® PowerPoint, ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับฐานข้อมูลด้วย Microsoft® Access, ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับอินเทอร์เน็ต เวิลด์ไวด์เว็บ และ Microsoft® Outlook และความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการทำเว็บ ให้กับผู้นำเยาวชนในหมู่บ้าน ในรูปแบบ train the trainer เพื่อนำความรู้ไปสอนชาวบ้านต่ออีกทีหนึ่ง

- พัฒนาเว็บไซต์หลัก หรือเว็บพอร์ทัลให้แต่ละหมู่บ้านเพื่อใช้เป็นช่องทางจำหน่ายสินค้าออนไลน์ โดยจะเชื่อมโยงกับเว็บไซต์อื่นๆ และโซเชียลมีเดีย

· ความคืบหน้าของโครงการ ไมโครซอฟท์จะทำการตรวจสอบความพร้อมของเครื่องและติดตั้งโปรแกรม Windows®XP และ Microsoft® Office 2007 ซึ่งสามารถใช้เป็นเครื่องมือในการบริหารจัดการสินค้าและเป็นพื้นฐานที่สำคัญในการพัฒนาไปสู่การค้าขายออนไลน์ หลังจากได้รับเครื่องคอมพิวเตอร์จำนวน 370 เครื่องจากธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) สำหรับสิ่งที่ไมโครซอฟท์และ PDA จะดำเนินการในเดือนสิงหาคม 2554 เป็นต้นไป ได้แก่

- ฝึกอบรมไอทีเบื้องต้นให้กับผู้นำเยาวชนจำนวน 80 คน จาก 20 หมู่บ้าน เพื่อให้เยาวชนเหล่านั้นไปฝึกอบรมชาวบ้านในหมู่บ้านต่อไป

- ตรวจสอบความพร้อมของเครื่องคอมพิวเตอร์สม่ำเสมอ

- จดทะเบียนโดเมนเว็บไซต์ เพื่อเริ่มสร้างเว็บไซต์และอัพโหลดข้อมูล

- ดำเนินการประชาสัมพันธ์โครงการฯ ผ่านโบรชัวร์ และเสียงตามสายในชุมชน ให้ถึงกลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ชาวบ้านและเยาวชนในหมู่บ้าน

· ความคาดหวังจากโครงการคือ สร้างโครงการชุมชนดอทเน็ตในจังหวัดนครราชสีมาและบุรีรัมย์ ให้เป็นโครงการนำร่องที่ประสบความสำเร็จ และสามารถเป็นต้นแบบให้กับจังหวัดอื่นๆ ต่อไปในอนาคต โดยเบื้องต้น ไมโครซอฟท์ ประเทศไทยและ PDA หวังว่าจะสามารถฝึกอบรมชาวบ้านได้ทั้งสิ้น 1,700 คน ในปีแรก และช่วยเพิ่มรายได้ให้กับชาวบ้านได้ร้อยละ 20 ภายในเวลา 1 ปี

รู้หรือไม่

· ชุมชนทั้ง 20 แห่งภายใต้โครงการชุมชนดอทเน็ตเป็นชุมชนที่ชาวบ้านมีความกระตือรือร้นในการนำไอทีเข้าไปช่วยในการหาข้อมูลและเพิ่มช่องทางการทำกินของคนในหมู่บ้านไปยังเว็บไซต์

· ชุมชนบ้านหนองตาเข้ม เป็นตัวอย่างที่โดดเด่นของชาวบ้านที่มีความสนใจขยายช่องทางการสร้างรายได้

· ชุมชนบ้านหนองตามเข้ม ตั้งอยู่ที่ตำบลนางรอง อำเภอนางรอง จังหวัดบุรีรัมย์ มีพื้นที่รวมทั้งสิ้น 653 ไร่ แยกเป็นพื้นที่เพื่ออยู่อาศัย 217 ไร่ พื้นที่ทำการเกษตร 303 ไร่ และพื้นที่สาธารณะ 30 ไร่ มีประชากรรวมทั้งสิ้น 749 คน อาชีพหลักของชาวบ้านในชุมชนคือ อาชีพทำนา ส่วนอาชีพรองคือ ทอผ้า ปลูกผักปลอดสารพิษ ปลูกดอกไม้ ปลูกสมุนไพรและแปรรูปสมุนไพร เลี้ยงไก่ ปลาดุก และค้าขาย

· ลักษณะเด่นของชุมชนบ้านหนองตาเข้มคือการพัฒนาภูมิปัญญาท้องถิ่น กล่าวคือ ชาวบ้านมีความรู้ความชำนาญในด้านต่างๆ และมีการถ่ายทอดไปสู่คนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การปลูกสมุนไพร และนำมาทำเป็นผลิตภัณฑ์แปรรูปจากสมุนไพรเพื่อจำหน่าย นอกจากนี้ยังมีการทำจักสาน ทอผ้าไหม ปลูกพืชผัก ไม้ดอกไม้ประดับ จากการที่บ้านหนองตาเข้มมีความเข้มแข็ง ชาวบ้านมีความสามัคคี และมีการพัฒนาในด้านต่างๆ อย่างสม่ำเสมอส่งผลให้ได้รับรางวัลหมู่บ้านดีเด่นของจังหวัดบุรีรัมย์ในปี พ.ศ. 2553

· ความคาดหวังของชาวบ้านจากศูนย์การเรียนรู้ไอทีเพื่อชุมชน ภายใต้โครงการชุมชนดอทเน็ตคือ คนในชุมชนและเยาวชนจะได้รับความรู้และสามารถใช้คอมพิวเตอร์ในการค้นคว้าข้อมูลและความรู้เพื่อส่งเสริมอาชีพให้แก่คนรุ่นใหม่ และไม่จำเป็นต้องออกไปทำงานในเมืองหรือกรุงเทพ

ที่มา http://nongtakem.moobanthai.com/general/

· ชุมชนบ้านหนองกระทุ่ม ตั้งอยู่ตำบลบ้านยาง อำเภอลำปลายมาศ จังหวัดบุรีรัมย์ มีประชากรรวมทั้งสิ้น 613 คน อาชีพหลักคือทำนา ส่วนอาชีพรองคือ ทำวิกผล ค้าขาย

· ความคาดหวังของชาวบ้านจากศูนย์การเรียนรู้ไอทีเพื่อชุมชน ภายใต้โครงการชุมชนดอทเน็ตคือ ต้องการให้คนในชุมชนมีความรู้เพิ่มเติมและสามารถค้นคว้าหาเทคนิคใหม่ๆ ในการประกอบอาชีพการเกษตร รวมถึงอาชีพเสริมที่จะช่วยสร้างรายได้เพิ่มเติม อีกทั้งเยาวชนยังสามารถใช้คอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ตโดยไม่ต้องเดินทางออกนอกหมู่บ้านเพื่อเข้าไปในเมือง เพิ่มความสะดวกและปลอดภัย เนื่องจากเส้นทางสัญจรสู่ตัวเมืองยังค่อนข้างทุรกันดาร

View :1954

กรมการขนส่งทางบก เปิดเว็บไซต์ศูนย์ขนส่งออนไลน์

August 8th, 2011 No comments

เปิดเว็บไซต์ศูนย์ขนส่งออนไลน์ ให้ประชาชนเรียกใช้รถบรรทุกสินค้าขาเดียวผ่านระบบ เพื่อลดการบรรทุกเที่ยวเปล่า ซึ่งปัจจุบันพบถึงร้อยละ 40    
 
นายเฉลิมไท  ญาณภิรัต รองอธิบดีกรมการขนส่งทางบก เปิดเผยว่า ปัจจุบันการขนส่งสินค้าด้วยรถบรรทุกมีการแข่งขันสูงมาก ทั้งนี้ จากสถิติรถใหม่ที่จดทะเบียนตามกฎหมายว่าด้วยการขนส่งทางบกในปี 2554 พบว่า มีรถบรรทุก จำนวน 36,741 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน จำนวน 7,036 คัน หรือคิดเป็นร้อยละ 19  ในจำนวนดังกล่าว พบรถบรรทุกเที่ยวเปล่าสูงถึงประมาณร้อยละ 30 – 40 ส่งผลให้ต้นทุนในการขนส่งสินค้าเพิ่มขึ้น ดังนั้น เพื่อเป็นการแก้ปัญหารถบรรทุกเที่ยวเปล่า กรมการขนส่งทางบกจึงได้จัดทำ“โครงการพัฒนาระบบสารสนเทศสำหรับลดการบรรทุกเที่ยวเปล่าเพื่อส่งเสริมความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน” ด้วยการจัดทำเว็บไซต์ศูนย์ขนส่งออนไลน์ที่ www.thaitruckcenter.com เพื่อให้ประชาชนสามารถเรียกใช้บริการขนส่งสินค้าขาเดียวจากรถบรรทุกสินค้าที่ต้องวิ่งเที่ยวเปล่า เป็นการช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานรถบรรทุกให้มีการขนส่งสินค้าทั้งเที่ยวไปและเที่ยวกลับ ทำให้จำนวนรถบรรทุกบนท้องถนนลดลง รวมทั้งลดปริมาณการใช้เชื้อเพลิงและมลพิษที่เกิดจากรถบรรทุกด้วย 
 
นายเฉลิมไท กล่าวเพิ่มเติมว่า ระบบสารสนเทศเพื่อรถบรรทุกเที่ยวเปล่าดังกล่าว เป็นระบบออนไลน์ ที่ทำงานผ่านเครือข่ายอินเตอร์เน็ต โดยผู้ประกอบการขนส่ง และผู้ใช้บริการขนส่งสามารถลงทะเบียนเข้าใช้งานระบบได้ ฟรี ที่เว็บไซต์ www.thaitruckcenter.com ซึ่งผู้ประกอบการขนส่งสามารถประกาศการให้บริการรถบรรทุกเที่ยวเปล่า เพื่อค้นหาผู้ต้องการใช้บริการรถบรรทุก รวมทั้งติดต่อและเสนอราคากับผู้ต้องการใช้บริการได้โดยตรง ส่วนผู้ใช้บริการขนส่งสามารถประกาศหาผู้ประกอบการขนส่งที่มีรถบรรทุกเที่ยวเปล่า หรือค้นหาข้อมูลรถบรรทุกเที่ยวเปล่าได้ทั่วประเทศ นอกจากนี้ยังสามารถเลือกผู้ประกอบการขนส่งที่ได้รับการรับรองมาตรฐานจากกรมการขนส่งทางบก ทำให้มั่นใจในความปลอดภัยและคุณภาพการบริการขนส่งด้วยรถบรรทุกมากขึ้น
 
นอกจากการให้บริการดังกล่าวแล้ว กรมการขนส่งทางบกยังมีการวางแผนเส้นทางการเดินรถจากระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ที่บรรจุเส้นทาง และที่ตั้งสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ เพื่อให้ผู้ใช้บริการสามารถค้นหาผู้ประกอบการขนส่งในแต่ละพื้นที่ได้อย่างสะดวก รวดเร็ว และปลอดภัย ในการใช้บริการของเว็บไซต์ www.thaitruckcenter.com สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ สำนักการขนส่งสินค้า กรมการขนส่งทางบก โทร. 0-2271-8490 รองอธิบดีกรมการขนส่งทางบก กล่าวในที่สุด  

View :1586

​การท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) กำหนดใช้งานระบบควบคุมการผ่านเข้า-ออกประตูตรวจสอบอัตโนมัติ (e-Gate) ที่ท่าเรือกรุงเทพ (ทกท.) ตั้งแต่ ๑ ตุลาคม นี้ เป็นต้นไป

August 8th, 2011 No comments

​นายเฉลิมชัย   มีคุณเอี่ยม ผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า การพัฒนาและติดตั้งระบบควบคุมการผ่านเข้า-ออก ประตูตรวจสอบอัตโนมัติ () ที่ ทกท. ตามโครงการพัฒนาสู่การบริการในระบบท่าเรืออิเล็กทรอนิกส์ () ใกล้แล้วเสร็จ ซึ่งปัจจุบันระบบฯ ดังกล่าวผ่านการทดสอบความพร้อมในการปฏิบัติงานและตั้งแต่วันที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๕๔ ได้เริ่มทดลองระบบฯ ควบคู่ไปกับการเปิดลงทะเบียนทำบัตรอนุญาตบุคคลและยานพาหนะผ่านเข้า-ออก เขตรั้วศุลกากร ทกท. สำหรับผู้ใช้บริการ โดยมีกำหนดเปิดใช้งานระบบ       e-Gateเต็มรูปแบบทุกช่องทางในวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๔ นี้ ซึ่งเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพด้านการบริการตามมาตรฐานสากลและสอดคล้องตามมาตรฐานการรักษาความปลอดภัยของเรือและท่าเรือระหว่างประเทศ หรือ   ISPS Code (International Ship and Port Facilities Security Code)

​ทั้งนี้ ได้มีการดำเนินการติดตั้งระบบ e-Gate ดังกล่าวที่ประตูด่านตรวจสอบจำนวน ๓ ประตู และประตูด่านควบคุมภายในเขตรั้วศุลกากร ทกท. จำนวน ๔ ประตู โดยเป็นการทำงานระบบอัตโนมัติด้วยการใช้เทคโนโลยี OCR (Optical Character Recognition) ในการอ่านหมายเลขตู้สินค้าและ RFID (Radio Frequency Identification) ในการตรวจสอบสิทธิบุคคลและยานพาหนะที่ผ่านเข้า-ออก ทกท. ซึ่งเทคโนโลยีดังกล่าวสามารถตรวจสอบหมายเลข สภาพความชำรุดเสียหายของตู้สินค้า รวมทั้งรายละเอียดต่างๆ ของยานพาหนะที่ผ่านเข้า-ออกตามบัตร RFID ได้ทันที ซึ่งเจ้าของสินค้าจะต้องแจ้งข้อมูลทั้งหมดล่วงหน้า และมีการบันทึกลงบัตร RFID กระบวน การตรวจสอบโดยผ่านบัตร RFID ดังกล่าว จะใช้เวลาไม่เกิน ๓๐ วินาที/คัน สามารถประหยัดเวลาลดขั้นตอนด้านเอกสาร เพิ่มความสะดวกรวดเร็วในการตรวจสอบข้อมูล และช่วยให้การจราจรมีความคล่องตัวยิ่งขึ้น

นอกจากนี้ ระบบดังกล่าว ได้มีการเชื่อมโยงกับระบบการให้บริการท่าเทียบเรือตู้สินค้า             ( Container Terminal Management System : CTMS ) และระบบการให้บริการด้านเรือ สินค้า คลังสินค้า เครื่องมือทุ่นแรง และใบแจ้งหนี้ค่าภาระต่างๆ (Vessel Cargo Management System : VCMS) โดยเชื่อมโยงข้อมูลที่ใช้ในการตรวจสอบสินค้าและตู้สินค้าที่อนุญาตให้ผ่านประตูด่านตรวจสอบแต่ละแห่ง ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพการบริการ และเพิ่มศักยภาพด้านการรักษาความปลอดภัยตามมาตรฐานสากล สร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ประกอบการ รวมทั้งสามารถลดเวลาและค่าใช้จ่ายลงได้เป็นอย่างดี

View :2141
Categories: Press/Release Tags: ,

สองทีมเยาวชนตัวแทนประเทศไทยพร้อมชิงชัยกับ 17 ประเทศในการแข่งขันหุ่นยนต์นานาชาติ ABU Robocon 2011 28 สค.นี้ ณ อิมแพคอารีนา เมืองทองธานี

August 6th, 2011 No comments

หลังจากขับเคี่ยวกันในสนามการแข่งขันหุ่นยนต์ ABU ชิงชนะเลิศประเทศไทย ประจำปี 2554 เมื่อช่วงกลางเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา โดยทีม”ลูกเจ้าแม่คลองประปา The Limited” จากมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ คว้าแชมป์ประเทศไทยประจำปี 2554 ไปครองเป็นสมัยที่ 3 เฉือนทีม “ซุ้มกอ” จากวิทยาลัยเทคนิคกำแพงเพชรแบบหวุดหวิดกลายเป็นนาทีช็อคโลก สร้างสีสันความสนุกสนานให้กับกองเชียร์รอบสนามมาแล้ว—- วันนี้ทั้งสองทีมจึงได้รับภารกิจสำคัญ ในการเป็นตัวแทนเยาวชนไทยเข้าร่วมแข่งขันหุ่นยนต์นานาชาติ ABU Asia-Pacific Robot Contest 2011 , Bangkok ครั้งที่ 10 หรือ ABU Robocon 2011, Bangkok ซึ่งปีนี้ อสมท ในนามประเทศไทยได้รับเกียรติเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขัน โดยมีทีมตัวแทนเยาวชนจากอีก 17 ประเทศพร้อมเดินทางมาเข้าร่วมชิงชัย ซึ่งมีกำหนดจัดขึ้นในวันที่ 28 สิงหาคมศกนี้ ณ อิมแพคอารีนา เมืองทองธานี

นายพรชัย ปิยะเกศิน ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า สถานีโทรทัศน์โมเดิร์นไนน์ ทีวี หนึ่งในสมาชิกสหภาพวิทยุและโทรทัศน์แห่งภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก (Asia-Pacific Broadcasting Union – ABU) และเป็นตัวแทนโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย (ทีวีพูล) ในการหมุนเวียนเป็นเจ้าภาพการแข่งขันหุ่นยนต์ ABU Asia-Pacific Robot Contest หรือ ABU Robocon และส่งทีมตัวแทนประเทศไทยไปเข้าร่วมกิจกรรมการแข่งขันกับประเทศต่างๆ ซึ่งจัดขึ้นทุกปีนับตั้งแต่ปี 2545 เป็นต้นมา

“การแข่งขันหุ่นยนต์ ถือเป็นวิทยาการขั้นสูงของการพัฒนาเทคโนโลยีด้านต่างๆ สอดคล้องกับบทบาทของอสมท ในฐานะที่เป็นองค์กรด้านการสื่อสารที่มีการพัฒนาเทคโนโลยีด้านการสื่อสารอยู่ตลอดเวลา กิจกรรมการแข่งขันหุ่นยนต์ ABU Robocon จึงเป็นกิจกรรมหลักของบริษัท ในการขับเคลื่อนโครงการซีเอสอาร์ ตอกย้ำภาพลักษณ์ “สังคมอุดมปัญญา” ของ อสมท ให้เด่นชัดมากขึ้น รวมทั้งช่วยเสริมภาพลักษณ์องค์กร ด้านการส่งเสริมนวัตกรรม สร้างภาพลักษณ์องค์กรทันสมัยได้อีกทาง”

สำหรับการแข่งขันหุ่นยนต์นานาชาติ ABU Asia-Pacific Robot Contest 2011 หรือ ABU Robocon 2011 ในโอกาสครบรอบปีที่ 10 ของการแข่งขัน ประเทศไทยได้รับเกียรติ ให้เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขัน จึงได้นำเอา ประเพณีลอยกระทง จากโบราณประเพณีอันงดงาม บางส่วนได้ถูกประยุกต์ให้เหมาะสมกับเทคโนโลยีสมัยใหม่ คือหุ่นยนต์ ภายใต้ชื่อการแข่งขัน “จุดประกายแห่งความสุขด้วยมิตรภาพ (Lighting Happiness with Friendship) ผู้ใดเอาชนะใจตนเอง และเอาชนะใจผู้อื่นได้ ผู้นั้นจะเป็นผู้ชนะตลอดกาล ซึ่งเป็นหัวใจของเกมการแข่งขันนี้

“ ประเทศไทยเคยได้รับเกียรติเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันเมื่อปี 2003 ซึ่งผมมีโอกาสได้เข้าชมการแข่งขันในปีนั้นด้วย และยังประทับใจถึงวันนี้เพราะเป็นเกมส์การแข่งขันที่เต็มไปด้วยความสนุกสนาน ตื่นเต้นเร้าใจ และทีมตัวแทนเยาวชนไทยก็สามารถคว้าแชมป์มาครอง ในปีนี้ผมเชื่อว่าการแข่งขันจะเต็มไปด้วยสนุกสนาน ตื่นเต้นเร้าใจไม่แพ้ปี 2003 อย่างแน่นอน จึงขอเชิญชวนคนไทยมาร่วมเชียร์และเป็นกำลังใจให้กับน้องๆ ทีมตัวแทนประเทศไทยทั้งสองทีม ให้สามารถคว้าแชมป์มาครองได้สำเร็จอีกครั้ง สำหรับผู้ที่ไม่สามารถเดินทางมาเข้าชมการแข่งขันภายในงานได้ สามารถติดตามชมการถ่ายทอดสด ได้ตั้งแต่เวลา14.15 – 17.00 น. ทางสถานีโทรทัศน์โมเดิร์นไนน์”

ทีมซุ้มกอ วิทยาลัยเทคนิคกำแพงเพชร2


รศ.ดร.ชิต เหล่าวัฒนา ประธานคณะทำงานฝ่ายจัดการแข่งขันหุ่นยนต์นานาชาติ ABU Asia – Pacific Robot Contest 2011 กล่าวถึงกติกาการแข่งขันว่า ทีมที่เข้าแข่งขันแต่ละทีมสามารถใช้หุ่นยนต์ทั้งหมดไม่เกิน 3 ตัว ประกอบด้วย หุ่นยนต์บังคับด้วยมือ (Manual Robot) และ หุ่นยนต์อัตโนมัติ 1 หรือ 2 ตัว (Automatic Robots) หุ่นยนต์บังคับด้วยมือ (Manual Robot) ต้องทำภารกิจแรกให้สำเร็จด้วยการหยิบกระถางธูป จำนวน 3 กระถาง นำไปวางไว้บนเสา ก่อนการทำภารกิจอื่นๆ หลังจากนั้นหุ่นยนต์บังคับด้วยมือ นำ ฐานต้นเทียน ไปวาง ณ จุดตกแต่ง (Decoration Point) หุ่นยนต์บังคับด้วยมือ นำธูปเตรียมไปใช้ในการประกอบกระทง หุ่นยนต์อัตโนมัติ นำกลีบกระทง และดอกไม้ ทำการประกอบกระทง ภายหลังจากที่ ทำภารกิจนี้เสร็จ หุ่นยนต์บังคับด้วยมือ จึงจะสามารถนำ ไปเสียบลงไปในกระทง หลังจากนั้น หุ่นยนต์อัตโนมัติ ยกกระทงที่ประกอบเสร็จ นำไปปล่อยลงใน ในฝั่งของตนเอง โดยห้ามมิให้ชิ้นส่วนใดๆของหุ่นยนต์ทุกตัวสัมผัสกับแม่น้ำ

ท้ายสุด หุ่นยนต์อัตโนมัติ เพียง 1 ตัว จะนำเปลวเทียน ไปปล่อยเพื่อสวมลงบนต้นเทียนบนกระทง ที่ลอยอยู่ในแม่น้ำ (River Surface) โดยห้ามมิให้ชิ้นส่วนใดๆของหุ่นยนต์ทุกตัวสัมผัสกับแม่น้ำ และกระทง ที่ประกอบเสร็จเแล้ว ทีมใดที่สามารถปล่อยเปลวเทียน ลงบนต้นเทียน ได้สำเร็จก่อน ทีมนั้นเป็น ฝ่ายชนะ การแข่งขันจะแบ่งเป็น 2 ฝ่าย คือ สีแดง และ สีน้ำเงิน การแข่งขันจะใช้เวลาทั้งหมด 3 นาที

แต่ทั้งนี้ รศ.ดร.ชิต กล่าวว่า กิจกรรมการแข่งขันหุ่นยนต์นานาชาติ ABU Roboconจัดขึ้นด้วยความมุ่งหวังที่ต้องการให้เกิดการแลกเปลี่ยนความรู้ด้านเทคโนโลยี ตลอดจนเชื่อมมิตรภาพที่ดีต่อกัน โดยมีเกมส์การแข่งขันเป็นจุดเชื่อโยง มิได้มุ่งเน้นที่ชัยชนะเพียงอย่างเดียว และในวันนี้มิติดังกล่าวก็ได้เกิดขึ้นแล้ว โดยมีการร่วมมือร่วมใจการพัฒนาเทคโนโลยี ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ

โดยปีนี้มีทีมเยาวชนตัวแทนจาก 18 ประเทศ ได้แก่ บรูไน จีน อียิปต์ ฟิจิ ฮ่องกง อินเดีย อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น ลาว มาเลเซีย มองโกเลีย เนปาล รัสเซีย ศรีลังกา ตุรกี เวียดนามและไทย สำหรับประเทศลาว และรัสเซีย เพิ่งเข้าร่วมการแข่งขันในปีนี้เป็นครั้งแรก เตรียมเดินทางมาเข้าร่วมแข่งขัน ซึ่งแต่ละประเทศสามารถส่งทีมตัวแทนได้ประเทศละ 1 ทีม ส่วนประเทศเจ้าภาพ ส่งได้ 2 ทีม รวมทั้งหมด 19 ทีม แต่ละทีมจะประกอบไปด้วยนักศึกษา 3 คน อาจารย์ที่ปรึกษา 1 คน ทั้งหมดต้องอยู่ในสถาบันอุดมศึกษา/อาชีวศึกษาเดียวกันเท่านั้น ทีมเยาวชนตัวแทนประเทศไทย มี 2 ทีม ได้แก่ ทีมลูกเจ้าแม่คลองประปา The Limited” จากมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ แชมป์ประเทศไทยสมัยที่ 3 ประกอบด้วย นายน้ำเพชร สุขเกษม ,นายสุปรีชา เหมยเป็ง,นายจักรพงศ์ เพ็งแจ่มแจ้ง และดร.ณรงค์เดช กีรติพรานนท์ เป็นอาจารย์ที่ปรึกษา และ “ทีมซุ้มกอ” จากวิทยาลัยเทคนิคกำแพงเพชร รองแชมป์ประเทศไทย ประกอบด้วย นายประเสริฐ สะมะถะเขตการณ์ ,นายนคร คุยศรี ,นายวุฒิชัย ทิศกระโทก และอ.บัณฑิต ออกแมน เป็นอาจารย์ที่ปรึกษา

ด้านการเตรียมความพร้อม ทีมตัวแทนประเทศไทยทั้ง 2 ทีมได้จัดสร้างหุ่นยนต์ สำหรับการแข่งขันขึ้นใหม่ทีมละ 3 ตัวโดยได้รับการสนับสนุนจาก อสมท ทีมละ 500,000 บาท พร้อมส่งมอบให้กับคณะกรรมการจัดการแข่งขันพร้อมกับทุกประเทศแล้วเมื่อวันที่ 25 กรกฎาคมที่ผ่านมา ขณะนี้อยู่ในระหว่างการฝึกซ้อมในโค้งสุดท้ายเพื่อชิงแชมป์ระดับนานาชาติในการแข่งขันที่จะมีขึ้นในวันที่ 28 สิงหาคมศกนี้ นอกจากนี้ทั้ง 2 ทีมยังได้เปิดเผยด้วยว่า ในการจัดสร้างหุ่นยนต์เพื่อใช้ในการแข่งขันครั้งนี้ ยังได้มีการร่วมมือกับมหาวิทยาลัยต่างๆ เพื่อพัฒนาหุ่นยนต์ดังกล่าวด้วย โดยทางมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตได้ร่วมมือกับมหาวิทยาลัยกรุงเทพ และวิทยาลัยเทคนิคกำแพงเพชรได้รับความร่วมมือจากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ ทำให้เกิดการพัฒนาหุ่นยนต์ที่มีความสามารถได้ไม่แพ้กับหุ่นยนต์ของประเทศคู่แข่งที่สำคัญอย่างจีน และญี่ปุ่น โดยเฉพาะเรื่องสถิติการทำเวลา ขณะนี้ทางมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์เปิดเผยว่า สามารถทำสถิติได้เร็วที่สุด 45 -50 วินาทีในหนึ่งเกมส์การแข่งขัน

ดร.ณรงค์เดช กีรติพรานนท์ หัวหน้าภาควิชาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ และอาจารย์ที่ปรึกษาของทีมลูกเจ้าแม่คลองประปา เปิดเผยว่า

“ ทีมมีความพร้อม และกำลังใจเต็มร้อย โดยเฉพาะหุ่นยนต์ชุดใหม่ทั้ง 3 ตัวที่ได้รับการพัฒนาขึ้นมาจากการศึกษาข้อมูลหุ่นยนต์ของประเทศคู่แข่งหลักๆ ได้แก่จีน และญี่ปุ่น โดยนำจุดแข็งของคู่แข่ง และจุดแข็งของตนเองมาพัฒนาขึ้นเป็นหุ่นยนต์ชุดใหม่ จนได้มาตรฐานเป็นที่พอใจอย่างมาก และด้วยประสิทธิภาพของหุ่นยนต์ชุดใหม่ กับประสบการณ์การแข่งขันของทีมที่เป็นจุดแข็ง ตลอดจนแผนการแข่งขัน ผมคิดว่าเราสามารถแข่งขันกับจีน คู่แข่งสำคัญได้อย่างสนุกสนานแน่นอนครับ”

ทีมลูกเจ้าแม่คลองประปา The Limited จากมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์2


นอกจากนี้ ในฐานะที่ไทยเป็นเจ้าภาพ ดร.ณรงค์เดช ยังกล่าวด้วยว่า เรามีข้อได้เปรียบมาก อย่างน้อยก็ในสนามแข่งขัน เพราะเคยผ่านการใช้สนามลักษณะนี้มาแล้ว ทำให้เข้าใจคุณสมบัติของอุปกรณ์และสนาม รวมทั้งมีความคุ้นเคยภาษาและกติกาการแข่งขัน ทุกปี ภาษาที่ใช้จะขึ้นกับประเทศเจ้าภาพ ไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษ ทำให้อาจจะเกิดความไม่เข้าใจในการแข่งขัน ซึ่งปีนี้น่าจะมีความคุ้นเคยมากกว่า ไม่ว่าจะใช้ภาษาไทยหรืออังกฤษ นอกจากนี้ กรณีที่หุ่นยนต์ขัดข้องหรือต้องการอะไหล่จะสามารถหาได้ง่าย เพราะรู้แหล่งการจัดซื้ออยู่แล้วอาหาร และวัฒนธรรม ที่คุ้นเคย ทำให้ไม่ต้องเรียนรู้และปรับตัว ที่สำคัญ แรงเชียร์จากคนไทย ที่จะเป็นกำลังใจและให้การสนับสนุนทีมตัวแทนประเทศไทยได้เป็นอย่างดี

ด้านอาจารย์บัณฑิต ออกแมน อาจารย์ที่ปรึกษาของทีมซุ้มกอ จากวิทยาลัยเทคนิคกำแพงเพชร เปิดเผยเช่นเดียวกันว่า มีความพอใจกับผลงานการสร้างหุ่นยนต์ที่ใช้ในการแข่งขันมาก เพราะได้รับการสนับสนุนด้านเทคโนโลยีและการแนะนำจากคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้า พระนครเหนืออย่างมาก ทำให้มีความพร้อมในการเข้าร่วมการแข่งขันย่างเต็มที่ นอกจากนี้ยังได้ฝึกซ้อมทีมแข่งขันเต็มที่เพื่อทำหน้าที่ในฐานะตัวแทนประเทศไทยให้ดีสุด

“เพื่อเป็นกำลังให้กับตัวแทนประเทศไทยในการแข่งขันหุ่นยนต์นานาชาติ ABU Asia-Pacific Robot Contest 2011 , Bangkok ทั้งสองทีม อสมท ขอเชิญชวนคนไทยร่วมเชียร์ทีมไทยให้สามารถคว้าแชมป์นานาชาติในครั้งนี้ภายในงาน ซึ่งจะมีขึ้นในวันที่ 28 สิงหาคมศกนี้ ณ อิมแพคอารีน่า เมืองทองธานี พร้อมชมการถ่ายทอดสดได้ตั้งแต่เวลา 14.15 – 17.00 น. ทางสถานีโทรทัศน์โมเดิร์นไนน์ ติดตามรายละเอียดการแข่งขันได้ทาง www. aburobocon2011.com” ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) กล่าวในที่สุด

การแข่งขันหุ่นยนต์นานาชาติ หรือ ABU Asia-Pacific Robot Contest (ABU Robocon) เริ่มเมื่อปีพ.ศ. 2543(ค.ศ.2000) โดยประเทศสมาชิก ABU (The Asia-Pacific Broadcasting Union) มีวัตถุประสงค์ร่วมกันในการจัดการแข่งขันหุ่นยนต์ที่ประดิษฐ์โดย นักศึกษาของ ภูมิภาค ในระดับอุดมศึกษาและอาชีวศึกษา เป็นประจำทุก ๆ ปี เพื่อพัฒนาการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ความคิดสร้างสรรค์ และ การพัฒนาทักษะในการประดิษฐ์นวัตกรรมของเยาวชนให้มีความรู้ ความสามารถ และความเข้าใจได้อย่างทัดเทียมกัน ควบคู่ไปกับการเชื่อมความสัมพันธ์และแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมซึ่งกันและกัน
————
การแข่งขันหุ่นยนต์นานาชาติ ABU Robocon เริ่มต้นในปี พ.ศ. 2545 (ค.ศ. 2002) ณ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น และประเทศสมาชิกผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันเป็นประจำทุกปี คือ ประเทศไทย (2546/2003) เกาหลี (2547/2004) จีน (2548/2005) มาเลเซีย (2549/2006) เวียดนาม (2550/2007) อินเดีย (2551/2008) ญี่ปุ่น (2552/2009) และอียิปต์ (2553/2010)

ปี พ.ศ. 2554 (ค.ศ. 2011) เป็นปีที่ครบรอบทศวรรษของการแข่งขัน ประเทศไทยได้รับเกียรติ ให้เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันอีกครั้ง ซึ่งในปีนี้ได้นำเอา ประเพณีลอยกระทง จากโบราณประเพณีอันงดงามบางส่วนได้ถูกประยุกต์ให้เหมาะสมกับเทคโนโลยีสมัยใหม่ คือหุ่นยนต์ ภายใต้ชื่อการแข่งขัน “จุดประกายแห่งความสุขด้วยมิตรภาพ (Lighting Happiness with Friendship) ผู้ใดเอาชนะใจตนเอง และเอาชนะใจผู้อื่นได้ ผู้นั้นจะเป็นผู้ชนะตลอดกาล นั่นคือหัวใจของเกมการแข่งขันนี้ โดยจะจัดการแข่งขันขึ้น ในวันที่ 28 สิงหาคม 2554 ที่อิมแพค อารีน่า เมืองทองธานี

สำหรับทีมที่เข้าแข่งขันนั้น แต่ละประเทศ ส่งตัวแทนได้ ประเทศละ 1 ทีม ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ ส่งได้ 2ทีม โดยแต่ละทีม จะประกอบไปด้วยนักศึกษา 3 คน อาจารย์ที่ปรึกษา 1 คน ทั้งหมดต้องอยู่ในสถาบันอุดมศึกษา/อาชีวศึกษาเดียวกัน เท่านั้น

ทีมเข้าแข่งขันแต่ละทีมสร้างหุ่นยนต์ทั้งหมดไม่เกิน 3 ตัว ประกอบด้วย หุ่นยนต์บังคับด้วยมือ (Manual Robot) และ หุ่นยนต์อัตโนมัติ 1 หรือ 2 ตัว (Automatic Robots) หุ่นยนต์บังคับด้วยมือ (Manual Robot) ต้องทำภารกิจแรกให้สำเร็จด้วยการหยิบกระถางธูป จำนวน 3 กระถาง นำไปวางไว้บนเสา ก่อนการทำภารกิจอื่นๆ หลังจากนั้นหุ่นยนต์บังคับด้วยมือ นำฐานต้นเทียน ไปวาง ณ จุดตกแต่ง (Decoration Point) หุ่นยนต์บังคับด้วยมือนำธูปเตรียมไปใช้ในการประกอบกระทง

หุ่นยนต์อัตโนมัติ นำกลีบกระทง และดอกไม้ ทำการประกอบกระทง ภายหลังจากที่ ทำภารกิจนี้เสร็จ หุ่นยนต์บังคับด้วยมือ จึงจะสามารถนำ ไปเสียบลงไปในกระทง หลังจากนั้น หุ่นยนต์อัตโนมัติ ยกกระทงที่ประกอบเสร็จ นำไปปล่อยลงใน ในฝั่งของตนเอง โดยห้ามมิให้ชิ้นส่วนใดๆของหุ่นยนต์ทุกตัวสัมผัสกับแม่น้ำ

ท้ายสุด หุ่นยนต์อัตโนมัติ เพียง 1 ตัว จะนำเปลวเทียน ไปปล่อยเพื่อสวมลงบนต้นเทียนบนกระทง ที่ลอยอยู่ในแม่น้ำ (River Surface) โดยห้ามมิให้ชิ้นส่วนใดๆของหุ่นยนต์ทุกตัวสัมผัสกับแม่น้ำ และกระทง ที่ประกอบเสร็จเแล้ว ทีมใดที่สามารถปล่อยเปลวเทียน ลงบนต้นเทียน ได้สำเร็จก่อน ทีมนั้นเป็น ฝ่ายชนะ”การแข่งขันจะแบ่งเป็น 2 ฝ่าย คือ สีแดง และ สีน้ำเงิน การแข่งขันจะใช้เวลาทั้งหมด 3 นาที

View :3298

สนช. ตอกย้ำศักยภาพไทยเป็นครัวโลก จัดประชุมนานาชาติด้านนวัตกรรมอาหารโชว์เทรนด์นวัตกรรมอาหารในอนาคต

August 6th, 2011 No comments

ผู้บริโภคทั่วโลกเริ่มตื่นตัวกับการใส่ใจดูแลสุขภาพมากขึ้น แนวโน้มการผลิตและบริโภคผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพจึงเพิ่มขึ้นตามมาอย่างเห็นได้ชัด ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีผู้บริโภคจำนวนไม่น้อยที่ถือแนวคิดที่ว่า “การป้องกันดีกว่าการรักษา” อาหารจึงไม่เป็นเพียงปัจจัยในการดำรงชีวิตเท่านั้น แต่กลายเป็นส่วนหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่จะสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีต่อไปในอนาคต จึงถือเป็นโอกาสที่ดีของประเทศไทย เนื่องจากอุตสาหกรรมอาหารถือเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมหลักของประเทศ ผู้ประกอบการที่เป็นผู้ผลิตและผู้ส่งออกผลิตภัณฑ์อาหารจึงจำเป็นต้องมีการแสวงหาองค์ความรู้ใหม่ และนำมาผสานกับเทคโนโลยีสมัยใหม่ เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพสูง รวมไปถึงการใช้ความได้เปรียบของสภาพแวดล้อมของประเทศไทยที่มีความหลากหลายทางชีวภาพสูง เพื่อสร้างผลผลิตที่สามารถตอบสนองความต้องการของตลาดโลก

สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ สนช. จึงได้จัดงานประชุมสัมมนาและนิทรรศการนานาชาติเกี่ยวกับอาหารในโลกอนาคตขึ้น ภายใต้ชื่องาน “InnovAsia 2011: Food in the Future (FIF2011)” ระหว่างวันที่ 15-17 กันยายน 2554 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ เพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และต่อยอดความคิดให้ผู้ประกอบการและบุคคลากรที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมอาหาร อันจะนำไปสู่การวิจัย และการขยายตัวทางธุรกิจต่อไปในอนาคต

นายศุภชัย หล่อโลหการ ผู้อำนวยการ สนช. เปิดเผยว่า “สนช.ตระหนักถึงความสำคัญของการพัฒนานวัตกรรมอุตสาหกรรมอาหารอย่างครบวงจร เพื่อยกระดับความสามารถด้านการแข่งขันให้กับผู้ประกอบการไทย จึงได้ริเริ่มการจัดประชุมสัมมนาและนิทรรศการนานาชาติเกี่ยวกับอาหารในโลกอนาคต หรือ InnovAsia 2011: Food in the Future (FIF2011) ขึ้น โดยเน้นการนำเสนอผลิตภัณฑ์นวัตกรรมอาหารที่อยู่ในกระแสความสนใจของผู้บริโภค 4 ด้านทั้งจากในประเทศและต่างประเทศ ได้แก่ อาหารเพื่อบำรุงสมอง (Food for Brain) อาหารเพื่อความสวยงามและต้านความชรา (Food for Beauty & Anti-Aging) อาหารเพื่อการควบคุมน้ำหนัก (Food for Weight Management) และอาหารเพื่อสุขภาพที่ยั่งยืน (Food for Well-Being) นอกจากนี้ ยังมีการเสนอข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับมุมมองด้านการตลาด และกฎเกณฑ์และข้อบังคับ

การจัดงานครั้งนี้ แบ่งเป็น 2 ส่วนได้แก่ การประชุมสัมมนา ซึ่งได้รับเกียรติจากวิทยากรผู้เชี่ยวชาญด้านอุตสาหกรรมจากหน่วยงานชั้นนำทั้งในเอเชีย และยุโรป รวม 25 ท่าน สำหรับส่วนนิทรรศการ จะเน้นนำเสนอผลิตภัณฑ์นวัตกรรมด้านอุตสาหกรรมอาหารของผู้ประกอบการทั้งในประเทศไทย และต่างประเทศนอกจากนี้ ยังมีการจัดแสดงโปสเตอร์ผลงานวิจัยและพัฒนาที่สามารถนำไปต่อยอดเชิงพาณิชย์ได้จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

ตัวอย่างผลิตภัณฑ์เด่นที่นำมาจัดแสดง ได้แก่ ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อบำรุงสุขภาพ ซึ่งเป็นสารที่มีบทบาทสำคัญในการสังเคราะห์สารให้พลังงานของสิ่งมีชีวิต อีกทั้งยังมีคุณสมบัติในการเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยลดปัญหาสุขภาพของผู้บริโภคในวัยชราได้เป็นอย่างดี โยเกิร์ตสำหรับควบคุมน้ำหนัก ซึ่งเชื้อจุลินทรีย์ในโยเกิร์ตนั้นสามารถคงอยู่ได้ในสภาวะที่เป็นกรดของระบบย่อยอาหาร จึงช่วยคงคุณสมบัติทางด้านโพรไบโอติกของจุลินทรีย์ในระบบย่อยอาหาร ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อควบคุมน้ำหนัก ที่มีสารกลาบริดินสูงมากกว่าผลิตภัณฑ์เสริมอาหารชนิดอื่น และมีคุณสมบัติเด่นด้านต้านการอักเสบ ต้านอนุมูลอิสระ ต้านการเกิดเมลานิน รวมทั้งสามารถลดปริมาณไขมัน สารสกัดเซราไมด์จากสับปะรดสำหรับผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มเพื่อความงาม ซึ่งถือได้ว่าเป็นเซราไมด์ชนิดแรกที่สกัดได้จากผลไม้ โดยมีคุณสมบัติเด่นทางด้านสร้างความกระจ่างใสให้เซลล์ผิว ให้ความชุ่มชื้นแก่ผิว และคุณสมบัติต้านการอักเสบ และผลิตภัณฑ์นมเปรี้ยวพร้อมดื่มสำหรับลดความดันโลหิตและลดคลอเรสเตอรอล

สนใจเข้าร่วมฟังการประชุมสัมมนาสามารถลงทะเบียนได้ที่ www..or.th/fif2011 หรือสอบถามที่ 02-644-6000 ต่อ 113 (ปณิศรา) หรือ panizara@.or.th

View :1947

ก.ไอซีที แนะวิธีหลีกเลี่ยงภัยจากเครือข่ายสังคมออนไลน์ในลักษณะ Impersonation

August 6th, 2011 No comments

นางจีราวรรณ บุญเพิ่ม ปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ในฐานะรองประธานคณะกรรมการธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ เปิดเผยว่า การเกิดขึ้นของสังคมเครือข่าย () เช่น facebook, hi5, twitter ได้ทำให้เกิดช่องทางการสื่อสารรูปแบบใหม่ๆ ในลักษณะของการ “บอกต่อ” หรือ “ปากต่อปาก” ที่สามารถสร้างปรากฏการณ์ต่างๆ ให้เกิดขึ้นในสังคม รวมทั้งได้ ทำให้อินเทอร์เน็ตเข้ามามีบทบาทในการกำหนด และปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตของคนไทยทั้งที่เป็นผู้รับสารรวมถึงผู้บริโภคมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม นอกจากการใช้ประโยชน์จากเครือข่ายสังคมออนไลน์แล้ว ยังมีผู้ไม่ประสงค์ดีที่ใช้ไปในทางไม่เหมาะสม เช่น การเผยแพร่ข้อมูล เพื่อทำลายความน่าเชื่อถือของบุคคล สถาบัน หรือก่อความไม่สงบ โดยปัจจุบันมีภัยจากเครือข่ายสังคมออนไลน์รูปแบบหนึ่งที่เรียกว่า หมายถึง ภัยที่เกิดขึ้นจากการที่มิจฉาชีพสร้างเครือข่ายสังคมออนไลน์ปลอมเพื่อหลอกลวงให้ผู้อื่นเชื่อว่าเครือข่ายสังคมออนไลน์ดังกล่าวเป็นของผู้นั้นจริง โดยผู้ที่ทำการลอกเลียนแบบเครือข่ายสังคมออนไลน์นั้น จะพยายามสร้างเครือข่ายสังคมออนไลน์ให้มีรูปลักษณ์คล้ายกับของผู้ที่ถูกทำ ส่งผลให้ผู้ใช้บริการคนอื่นเข้าใจผิดว่าสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นเป็นการกระทำของผู้ที่ถูกทำฯ ซึ่งอาจส่งกระทบในทางลบทั้งในโลกออนไลน์และในชีวิตประจำวัน

ดังนั้น เมื่อประสบภัย Impersonation วิธีการปฏิบัติ คือ หากเป็นผู้ที่ถูกกระทำ Impersonation ใน twitter ที่จะมีคนติดตาม หรือ Follow ซึ่งระบบนี้จะมีกล่องข้อความแจ้งชื่อผู้ติดตามให้ทราบ โดยผู้ที่ถูกกระทำไม่ควรยกเลิกการแสดงข้อความดังกล่าว เพราะจะเป็นหลักฐานว่ามีใครบ้างที่ติดตามเรา ซึ่งปกติแล้วผู้ที่กระทำ Impersonation จะทำการติดตามผู้ที่ถูกกระทำ Impersonation เพื่อสังเกตพฤติกรรมและคอยติดตามลักษณะการพูดคุยและการดำเนินชีวิตประจำวันบนโลกออนไลน์ของบุคคลดังกล่าว ซึ่งข้อความเหล่านั้นเป็นส่วนหนึ่งที่สามารถนำไปใช้เป็นหลักฐานได้

ส่วนผู้ที่ถูกทำ Impersonation ในเครือข่ายสังคมออนไลน์อื่น ควรดำเนินการเก็บรวบรวมหลักฐานทันที เมื่อทราบว่ามีผู้กระทำ Impersonation โดยอ้างอิงชื่อเรา หลังจากดำเนินการเก็บรวบรวมหลักฐานเรียบร้อยแล้ว ควรจะแจ้งให้ผู้ใช้อื่นที่ติดตามเราในเครือข่ายทราบว่าเครือข่ายสังคมออนไลน์ดังกล่าวไม่ใช่ตัวตนของเราพร้อมแจ้งให้ทราบว่าการสนทนาต่างๆ ที่เกิดขึ้นไม่ได้เป็นการสนทนาของเรา

จากนั้นดำเนินการแจ้งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทราบ เช่น สำนักป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เพื่อดำเนินการตามกฎหมาย และให้หน่วยงานดังกล่าวดำเนินการออกหนังสือในการยื่นคำร้องขอ IP Address จากทางบริษัทผู้ให้บริการเครือข่ายสังคมออนไลน์ เพื่อเป็นหนึ่งในหลักฐานในการสืบหาตัวผู้กระทำผิดและเป็นหลักฐานในการดำเนินการทางกฎหมายต่อไป

View :1487

เอ็นโซโก้ (โดยลีฟวิ่งโซเชียล) ผนึกดีแทค ส่งแคมเปญ ‘dtac special deal’

August 4th, 2011 No comments

มอบประสบการณ์ไลฟ์สไตล์สุดคุ้ม รับสิทธิ์ซื้อดีลใหม่สุดพิเศษทุกวันศุกร์บนเว็บไซต์เอ็นโซโก้
สิทธิพิเศษเฉพาะลูกค้าดีแทคและแฮปปี้ ตั้งแต่วันนี้ – 29 ก.ย. ศกนี้

ดีแทค ผนึก เอ็นโซโก้ (โดยลีฟวิ่งโซเชียล) ผู้นำเว็บไซต์ธุรกิจโซเชียลคอมเมิร์ซอันดับหนึ่งของไทย แหล่งช้อปปิ้งออนไลน์ขนาดใหญ่ซึ่งรวมประสบการณ์ไลฟ์สไตล์สุดคุ้มของดีลผลิตภัณฑ์และบริการชั้นนำมากมายมาจำหน่ายในราคาลดพิเศษกว่า 50-90% ร่วมประกาศความคืบหน้าความร่วมมือทางธุรกิจล่าสุด ภายใต้แคมเปญ ‘ special deal’ ส่งตรงประสบการณ์ไลฟ์สไตล์สุดคุ้ม มอบสิทธิพิเศษเฉพาะลูกค้าดีแทคและแฮปปี้ เพียงลงทะเบียนผ่าน www.ensogo.com รับสิทธิ์ซื้อดีลใหม่สุดพิเศษจากร้านชั้นนำทั่วไทยในทุกวันศุกร์บนเว็บไซต์เอ็นโซโก้ (โดยลีฟวิ่งโซเชียล) ได้ตั้งแต่วันนี้ – 29 ก.ย.ศกนี้

นายทอม ศรีวรกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และผู้ร่วมก่อตั้งเว็บไซต์เอ็นโซโก้ (โดยลีฟวิ่งโซเชียล) เปิดเผยว่า “ทั้งภาพลักษณ์แบรนด์และลูกค้ากลุ่มเป้าหมายที่สอดคล้องกันของทั้งสองบริษัท จึงนำมาสู่ความร่วมมือทางธุรกิจครั้งสำคัญนี้ เราได้นำร่องเปิดตัวแคมเปญ ‘dtac special deal’ เพื่อนำเสนอสิทธิ์รับซื้อดีลพิเศษสุดคุ้มจากร้านชั้นนำของเมืองไทยให้แก่ลูกค้าดีแทคและแฮปปี้โดยเฉพาะ เมื่อช่วงต้นเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา แคมเปญนี้ได้รับความสนใจและการตอบรับที่ดีมากจากกลุ่มลูกค้า ทุกดีลพิเศษที่เปิดตัวในช่วงที่ผ่านมาสามารถจำหน่ายคูปองได้ทั้งหมดในเวลารวดเร็วหลังเปิดการจำหน่าย ยิ่งกว่านั้นบริษัทยังมียอดสมาชิกที่เป็นลูกค้าดีแทคเพิ่มขึ้นกว่า 10% จากเดิม ในเวลาเพียง 3 สัปดาห์หลังเปิดตัวแคมเปญนี้”

“แคมเปญนี้ถือเป็นการเปิดตัวความร่วมมือทางธุรกิจครั้งแรกของเรา หลังจาการเข้าร่วมเป็นหนึ่งในเครือข่ายธุรกิจของลีฟวิ่งโซเชียล บริษัทออนไลน์ออนไลน์ชั้นนำของโลกที่มียอดสมาชิกผู้สมัครใช้บริการเกือบ 40 ล้านคนจาก 21 ประเทศใน 6 ทวีปทั่วโลก และบริษัทจะยังคงเดินหน้าเพื่อมอบความคุ้มค่าในด้านผลิตภัณฑ์และการบริการให้แก่สมาชิกและพันธมิตรธุรกิจของเราในเมืองไทยให้ดียิ่งขึ้นต่อไป” นายทอม กล่าว

นายอมฤต ศุขะวณิช ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายการตลาด บมจ. โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น (ดีแทค) กล่าวว่า “ความร่วมมือทางธุรกิจกับเอ็นโซโก้ (โดยลีฟวิ่งโซเชียล) ครั้งนี้เกิดจากการที่ดีแทคตั้งใจจะมอบสิทธิพิเศษเพิ่มเติมให้กับลูกค้าของดีแทคและแฮปปี้นอกเหนือจากบริการหลักของเรา โดยเน้นตอบสนองตวามต้องการด้านไลฟ์สไตล์ของลูกค้า ซึ่งปรากฏว่าข้อเสนอของเราได้รับการตอบรับดีมาก ดีลพิเศษที่เรามอบให้ในแต่ละสัปดาห์มีลูกค้าดีแทคใช้สิทธิ์ในเวลารวดเร็วและมีหลายดีลที่ลูกค้าใช้สิทธิ์หมดภายในวันแรกที่นำเสนอด้วย นอกจากนั้นยังทำให้เราเห็นแนวโน้มการใช้งานโมบายอินเทอร์เน็ตของลูกค้าจากการใช้สิทธิ์ซื้อดีลผ่านมือถือที่เริ่มมีมากขึ้นโดยจากสามสัปดาห์ที่เราเปิดตัวมามีลูกค้าดีแทคซื้อคูปองผ่านมือถือคิดเป็น 5% ของลูกค้าทั้งหมดและคาดว่าจากการที่มีลูกค้าที่ใช้สมาร์ทโฟนมากขึ้นจะช่วยกระตุ้นให้การใช้งานประเภทนี้ยิ่งเพิ่มมากขึ้นในอนาคต ประกอบกับกระแสความนิยมกับสื่อออนไลน์และเครือข่ายสังคมออนไลน์ที่กำลังเพิ่มสูง เราจึงเลือกเป็นพันธมิตรธุรกิจกับเอ็นโซโก้ (โดยลีฟวิ่งโซเชียล) ซึ่งเป็นเว็บไซต์ที่รวมประสบการณ์ไลฟ์สไตล์จากร้านชั้นนำทั่วประเทศ มานำเสนอเป็นดีลพิเศษที่มีความคุ้มค่าสูงสุด และดีแทคก็ยังคงเดินหน้านำเสนอบริการและประสบการณ์ที่มีความแปลกใหม่ คุ้มค่าและดีที่สุด มามอบให้กับลูกค้าของเราต่อไป”

View :1722

เอชทีซีจับมือเอไอเอสเปิดตัว HTC ChaCha เฟสบุ๊คโฟนรุ่นแรก

August 4th, 2011 No comments

เอชทีซี คอร์ปอเรชั่น ผู้ออกแบบสมาร์ทโฟนระดับโลก จับมือ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) (เอไอเอส) เปิดตัวสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ล่าสุดสำหรับผู้คนในยุคโซเชียลเน็ตเวิร์ค ที่ผสมผสานความเรียบง่ายและสะดวกสบายในการใช้งาน เข้ากับฟังก์ชั่นของ HTC SenseTM และทำให้การเข้าถึงเฟสบุ๊คได้ง่ายกว่า ทั้งนี้ มาพร้อมกับปุ่มสำหรับเฟสบุ๊คโดยเฉพาะ แค่สัมผัสเดียวก็เรียกใช้ฟังก์ชั่นหลักของเฟสบุ๊คที่ถูกผสานรวมไว้ใน HTC Sense ได้อย่างครบถ้วน

HTC ChaCha


นายณัฐวัชร์ วรนพกุล ผู้จัดการประจำประเทศไทย เอชทีซี (ไทยแลนด์) จำกัด กล่าวว่า “เอชทีซีมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ทำตลาดร่วมกับเอไอเอสอีกครั้ง ในรุ่นเรือธงของเอชทีซี นั่นคือ HTC ChaCha เฟสบุ๊คโฟนที่เอาใจสาวกเฟสบุ๊ค และโซเชียลมีเดียตัวจริง เพราะเพียงกดปุ่มเดียวก็สามารถอัพเดทสถานะในเฟสบุ๊ค อัพโหลดรูป เช็คอิน แชร์ข้อมูลต่างๆ ให้กับเพื่อนๆ ในเฟสบุ๊คของคุณได้ทันที เช่น ระหว่างฟังเพลงอยู่ถ้ากดปุ่มเฟสบุ๊ค เพลงก็จะถูกอัพโหลดขึ้นและสามารถบอกให้เพื่อนๆ รู้เลยว่าคุณกำลังฟังเพลงอะไรอยู่ พร้อมทั้งแอพพลิเคชั่น Facebook Chat ที่ติดตั้งมาให้ในตัวเครื่องเพื่อให้ลูกค้า Chat กับเพื่อนๆ ที่ออนไลน์บนเฟสบุ๊คอยู่ได้ทันทีโดยไม่ต้องใส่รหัสอะไรเพิ่ม นอกจากนั้น HTC ChaCha หน้าจอยังเป็นทั้งระบบทัชสกรีนและเป็นรุ่นเดียวที่มีคีย์บอร์ดแบบคิวเวอร์ตี้ ซึ่งออกแบบให้เหมาะมือและจับถนัดสำหรับกลุ่มสาวกเฟสบุ๊คที่ชอบแชร์และแชทโดยเฉพาะ นับเป็นสมาร์ทโฟนสุดยอดที่ เอชทีซีผลิตออกมา เพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่โดยแท้จริง”

นายณัฐวัชร์ กล่าวต่อว่า “HTC ChaCha เป็นอีกหนึ่งรุ่นเรือธงที่จะเจาะตลาดกลุ่มคนชอบเล่นเฟสบุ๊ค ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มวัยรุ่น และวัยเริ่มต้นทำงาน เอชทีซี จึงเลือก นท พนายางกูร เดอะสตาร์ 7 เป็นพรีเซนเตอร์ สำหรับรุ่นนี้ เพราะนท เป็นไอดอล ขวัญใจวัยรุ่นที่มีความสามารถและเป็นที่จับตามอง นทมีแฟนคลับบนเฟสบุ๊คมากกว่า 80,000 คน เป็นพลังดึงดูดที่มากพอ และที่สำคัญเป็นคนที่อัพเดตเฟสบุ๊คในชีวิตประจำวันอยู่แล้ว”

นายฐิติพงศ์ เขียวไพศาล ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ อาวุโส สายงานการตลาด เอไอเอส กล่าวว่า “Quality DNAs เป็นหัวใจหลักที่เอไอเอสให้ความสำคัญและทำงานร่วมกับพาร์ทเนอร์มาโดยตลอดตามหลักของ Ecosystem เพื่อส่งมอบบริการที่ดีที่สุดให้แก่ลูกค้าในทุกๆ กลุ่ม ซึ่ง Device คือ 1 ในการทำงานดังกล่าว สำหรับความร่วมมือล่าสุดกับเอชทีซีที่นำเอา HTC ChaCha เฟสบุ๊คโฟนตัวแรกมาจำหน่ายนั้น ถือว่าเป็น Segment Phone ที่ชัดเจนมากในการตอบโจทย์ Trend การเติบโตของสาวกเฟสบุ๊คในไทยซึ่งมีอัตราสูงสุดประเทศหนึ่งในภูมิภาคนี้ และเมื่อใช้งานบนเครือข่าย 3G, Wifi และ EDGE Plus ทั่วไทย จากเอไอเอส พร้อมแพ็คเกจสุดคุ้ม คือ เล่นเน็ต เดือนละ 200 เมกะไบต์ นาน 12 เดือน ก็จะยิ่งทำให้คุณสามารถออนไลน์เฟซบุ๊คได้ อย่างสะดวก รวดเร็ว และคุ้มค่าสุดๆแน่นอน ”

ปุ่มเฟสบุ๊คบน HTC ChaCha มีการส่งสัญญาณส่วนเนื้อหาต่างๆ ที่สามารถแชร์บนเฟสบุ๊คได้ คือ จะมีแสงเรืองบริเวณปุ่มเพื่อแจ้งเตือนในขณะที่กำลังใช้โทรศัพท์ในเนื้อหาส่วนนั้นๆ สามารถแบ่งปันหรืออัพเดตข้อมูลบางอย่างขึ้นสู่เฟสบุ๊คได้ หรือเมื่อมีการกดปุ่มดังกล่าว ก็สามารถอัพเดตสถานะ อัพโหลดภาพถ่าย แชร์เว็บไซต์ โพสต์เพลงโปรด เช็กอินสถานที่ต่างๆ ฯลฯ ได้ทันที เป็นเรื่องง่ายมากบน HTC ChaCha ที่จะถ่ายภาพเพื่อนๆ แล้วอัพโหลดขึ้นตรงสู่เฟสบุ๊คได้ด้วยการกดปุ่มเพียงปุ่มเดียว หรือระหว่างที่ฟังเพลงโปรดก็สามารถแชร์กับเพื่อนบนเฟสบุ๊คได้ด้วยปุ่มพิเศษดังกล่าวเช่นกัน โดยเพลงที่กำลังฟังอยู่จะถูกตรวจสอบค้นหาชื่อเพลงแล้วแชร์บนเฟสบุ๊คให้ในทันที”

HTC ChaCha ทำงานบนแอนดรอยด์จินเจอร์เบรด 2.3.3 ซึ่งถือเป็นเวอร์ชั่นล่าสุด และยังมาพร้อมกับ HTC Sense ตัวใหม่ที่ผสานเฟสบุ๊คเข้ากับทุกๆ ส่วนของประสบการณ์บน HTC Sense ได้อย่างกลมกลืน ทันทีที่ต้องการโทรออก หน้าจอก็จะแสดงอัพเดตล่าสุดของเพื่อนคุณพร้อมภาพถ่าย และบอกได้แม้กระทั่งวันเกิดของเพื่อนคนดังกล่าวที่กำลังมาถึง เช่นเดียวกับเวลารับสายจากเพื่อนที่มีโพรไฟล์อยู่บนเฟสบุ๊ค คุณก็จะได้รับข้อมูลอัพเดตเหล่านี้ทันที หรือจะใช้สมุดโทรศัพท์บนเครื่องเพื่อติดต่อกับเพื่อนบนเฟสบุ๊คก็ทำได้เช่นกัน ที่สำคัญยังมาพร้อมกับวิดเจ็ตเกี่ยวกับเฟสบุ๊คมากมายที่ให้คุณเลือกใช้ตกแต่งหน้าจอได้อย่างเพลิดเพลินด้วย

สมาร์ทโฟน HTC ChaCha ใช้งานง่ายกว่าในการเชื่อมต่อกับเพื่อนด้วย Facebook Chat และแมสเสจผ่านโทรศัพท์มือถือของคุณโดยตรง ทั้งข้อความและบทสนทนาบนเฟสบุ๊คจะถูกรวมไว้บนโทรศัพท์ และปรากฏอยู่ในกล่องรับข้อความและอีเมลควบคู่ไปกับการสนทนาตามปกติได้อย่างกลมกลืน

เชื่อมต่อได้สะดวกกว่าด้วยสมาร์ทโฟนสำหรับเฟสบุ๊คเจเนอเรชั่น – HTC ChaCha

HTC ChaCha ถือเป็นสมาร์ทโฟนที่ถูกออกแบบมาได้อย่างกลมกลืน มอบมิติใหม่ในการเชื่อมต่อเข้าสู่โลกโซเชียลเน็ตเวิร์ค ให้คุณได้ใกล้ชิดกับเพื่อนได้มากกว่าเดิมจากทุกที่ทุกเวลา ด้วยดีไซน์ตัวเครื่องแบบโค้งเล่นระดับอันโดดเด่นและคีย์บอร์ดแบบ QWERTY ทำให้สะดวกขึ้นในการอ่านและง่ายขึ้นในการพิมพ์ข้อความ เช่นเดียวกันกับการบันทึกวินาทีพิเศษของคุณที่สามารถเก็บรายละเอียดได้คมชัดแบบไฮเดฟ หรือจะพูดคุยกันผ่านวิดีโอก็ง่ายขึ้นด้วยกล้องคู่ คุณภาพระดับ 5 ล้านพิกเซลพร้อมโฟกัสภาพอัตโนมัติและแฟลชแบบแอลอีดี และกล้องด้านหน้าแบบวีจีเอ ส่วนหน้าจอสัมผัสนั้นมีขนาด 2.6 นิ้ว ที่ความละเอียด 480 x 320 พิกเซล และกล่าวได้ว่า HTC ChaCha ถือเป็นสมาร์ทโฟนที่ทำให้คุณใกล้ชิดกับโลกอินเทอร์เน็ตได้มากขึ้นอีกระดับอย่างแท้จริง

สมาร์ทโฟน HTC ChaCha วางจำหน่าย 2 สี คือ สีขาว และสีดำ พร้อมจำหน่ายแล้ววันนี้ผ่านเอไอเอสช็อป และตัวแทนจำหน่ายของเอชทีซี และพิเศษสุดสำหรับลูกค้าของเอไอเอส สามารถสมัครแพ็กเกจ 149 บาทต่อเดือน โดยจะได้รับจีพีอาร์เอส 200 เมกะไบต์ต่อเดือน เป็นระยะเวลา 12 เดือน (เมื่อสมัครแพ็กเสริมเดือนละ 149 บาท เพียงโทร *212330) ได้รับสิทธิ์นี้ทั้งลูกค้าในระบบจีเอสเอ็มและวัน-ทู-คอล! ตั้งแต่วันนี้ถึง 31 ตุลาคม ศกนี้ สำหรับราคาจำหน่ายของ HTC ChaCha นั้นอยู่ที่ 8,900 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม 7 เปอร์เซ็นต์)

View :2056