Archive

Archive for the ‘Press/Release’ Category

สาวกเอไอเอส ไอโฟน จัดการทุกเรื่องการจ่ายได้ง่ายๆ แค่ปลายนิ้วกับแอพฯ mPAY

May 7th, 2011 No comments

เอไอเอส แนะนำแอพพลิเคชั่นล้ำสำหรับคนรุ่นใหม่ กับแอพ “” บนเอไอเอส ไอโฟน ที่ช่วยบริหารจัดการทุกเรื่องการจ่ายได้ง่ายๆ แค่ปลายนิ้ว ไม่ว่าจะเป็น เติมเงินวัน-ทู-คอล ! , จ่ายบิลจีเอสเอ็ม แอดวานซ์, จ่ายบิลค่าสาธารณูปโภค, ค่าบัตรเครดิต/สินเชื่อ, ลิสซิ่ง, ประกันภัย/ชีวิต รวมถึงเติมเงินเกมออนไลน์ และซื้อตั๋วหนังในเครือเมเจอร์ ซีเนเพล็กซ์ ได้อย่างสะดวกสบาย ใช้งานง่ายผ่านไอคอนต่างๆ บนหน้าจอเมนู

พร้อม ทั้งให้คุณจัดการทุกข้อมูลส่วนตัวได้ด้วยตัวเอง ทั้งตรวจสอบยอดเงินคงเหลือ, เปลี่ยนรหัสส่วนตัว รวมทั้ง เพิ่มอำนาจการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต หรือบัญชีธนาคารได้เลยที่นี่ในแอพฯ เดียว

ลูกค้าเอไอเอส ผู้ใช้ไอโฟน ดาวน์โหลดแอพฯ mPAY ฟรี ! ได้แล้ววันนี้ ผ่านทาง App Store

View :1409
Categories: Press/Release Tags: ,

เจ้าหน้าที่ตำรวจเร่งปราบปรามการละเมิดลิขสิทธิ์ทั่วประเทพร้อมปกป้องสิทธิผู้บริโภค นวัตกรรม และทรัพย์สินทางปัญญา

May 5th, 2011 No comments

เจ้าหน้าที่ตำรวจ จาก กองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ สำนัก งานตำรวจแห่งชาติ ได้เข้าดำเนินการปราบปรามการจำหน่ายซอฟต์แวร์ละเมิดลิขสิทธิ์เพื่อคุ้มครอง และปกป้องสิทธิของผู้สร้างสรรค์นวัตกรรมและผู้บริโภค ระหว่างวันที่ 9 – 19 มีนาคม 2554 ที่ผ่านมา โดยเจ้าหน้าที่ได้เข้าปราบปรามการละเมิดลิขสิทธิ์ ซึ่งมีการแจ้งเตือนและจุบกุมซอฟต์แวร์เถื่อนได้เป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นผู้จำหน่ายซอฟต์แวร์รายย่อยไปจนถึงผู้ประกอบกิจการขนาดใหญ่ที่ ผลิตซอฟต์แวร์เถื่อนจำนวนมหาศาลเพื่อจัดจำหน่ายให้กับร้านค้าไอทีทั่วประเทศ

พ.ต.อ. ชัยณรงค์ เจริญไชยเนาว์ รองผู้บังคับการ กองบังคับการปราบปรามและการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ กล่าวว่า “ เมื่อ ปีที่ผ่านมา กองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ ได้ดำเนินคดีจับกุมผู้กระทำความผิดทั้งสิ้น 210 บริษัท ซึ่งใช้โปรแกรมซอฟต์แวร์เถื่อนติดตั้งในคอมพิวเตอร์ โดยคิดเป็นมูลค่าความเสียหายกว่า 472 ล้านบาท ทั้งนี้ ด้วยความพยายามอย่างต่อเนื่องในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว ส่งผลให้จำนวนเครื่องพีซีที่ติดตั้งซอฟต์แวร์ละเมิดลิขสิทธิ์ลดลงจากร้อยละ 90 เหลือร้อยละ 75

เมื่อ เดือนมีนาคมที่ผ่านมา มีการดำเนินคดีเข้าจับกุมร้านค้าทั้งสิ้น 12 ร้านซึ่งจำหน่ายซอฟต์แวร์ผิดกฎหมาย โดยรวมไปถึงร้านจำหน่ายซีดีที่มีสาขาอยู่ในห้างสรรพสินค้าไอทีทั่วประเทศ ทั้งนี้ จากการปราบปรามดังกล่าว เจ้าหน้าที่ตรวจพบซอฟต์แวร์ละเมิดลิขสิทธิ์ของไมโครซอฟท์เป็นจำนวนมาก เช่นเดียวกับเครื่องคอมพิวเตอร์ที่บรรจุซอฟต์แวร์ละเมิดลิขสิทธิ์ของ ไมโครซอฟท์

ระหว่างการปราบปราม เจ้าหน้าที่ตำรวจพบซอฟต์แวร์ละเมิดลิขสิทธิ์ของไมโครซอฟท์เป็นจำนวนมหาศาลประกอบไปด้วย Windows Ultimate, Windows XP Professional และ Office 2007 Enterprise ซึ่ง คิดเป็นมูลค่ารวมกว่า 18 ล้านบาท โดยพบว่าร้านค้าที่จัดจำหน่ายซอฟต์แวร์ละเมิดลิขสิทธิ์ดังกล่าวได้หลอกลวง ให้ผู้บริโภคเข้าใจว่าซอฟต์แวร์ที่ตนซื้อไปนั้นเป็นของจริง ทั้งนี้ เจ้าของร้านดังกล่าวกำลังอยู่ระหว่างการดำเนินคดีตามกฎหมาย

สมพร มณีรัตนะกูล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทยซอฟท์แวร์เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด กล่าวว่า “ การปราบปรามซอฟต์แวร์ละเมิดลิขสิทธิ์ นับเป็นแนวทางในการปกป้องนวัตกรรมทางด้านไอทีแนวทางหนึ่ง ซึ่งมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง เนื่องด้วยการปกป้องทรัพย์สินทางปัญญาจะช่วยให้นักพัฒนามีกำลังใจในการสร้าง สรรค์เทคโนโลยีที่มีประโยชน์ ซึ่งจะช่วยส่งเสริมให้มีการใช้งานเทคโนโลยีมากขึ้น และทำให้การดำเนินชีวิตผู้ใช้งานชาวไทยสะดวกมากยิ่งขึ้น ”

“ ถึง แม้ว่าการใช้งานซอฟต์แวร์ละเมิดลิขสิทธิ์จะฝังรากลึกอยู่ในสังคมไทยมาเป็น เวลานาน แต่เราเชื่อมั่นว่าความเชื่อผิดๆ ดังกล่าวจะหมดไป เมื่อผู้คนตระหนักถึงความสำคัญของนวัตกรรม และผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการละเมิดลิขสิทธิ์ ประเทศไทยมีศักยภาพในการก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลางทางด้านนวัตกรรม ซึ่งต้องอาศัยการปกป้องทรัพย์สินทางปัญญาเป็นปัจจัยสำคัญ เพื่อผลักดันประเทศไทยให้ก้าวไปสู่จุดหมายดังกล่าว เพื่อเป็นการส่งเสริมแนวทางดังกล่าว เราสนับสนุนให้ผู้คนมีความเข้าใจถึงความสำคัญและซื้อซอฟต์แวร์ลิขสิทธิ์ เพื่อให้ประเทศไทยเป็นประเทศปลอดการละเมิดลิขสิทธิ์อย่างแท้จริง ” นางสาว วารุณี รัชตพัฒนากุล โฆษกประจำกลุ่มพันธมิตรธุรกิจซอฟต์แวร์ ( บีเอสเอ) กล่าว กลุ่มพันธมิตรธุรกิจซอฟต์แวร์ ( www.bsa.org ) เป็นองค์กรระดับแนวหน้าที่จัดตั้งขึ้นเพื่อมุ่งสู่เป้าหมายของอุตสาหกรรม ซอต์แวร์ โดยได้ดำเนินงานในประเทศต่างๆ กว่า 80 ประเทศทั่วโลก เพื่อส่งเสริมให้เกิดการเจริญเติบโตของตลาดซอฟต์แวร์ รวมทั้งนวัตกรรมต่างๆ ทั้งนี้ พันธมิตรของบีเอสเอได้ลงทุนเป็นจำนวนเงินกว่าพันล้านดอลล่าร์ต่อปีเพื่อส่ง เสริมเศรษฐกิจ การสร้างงานและการสร้างสรรค์โซลูชั่นใหม่ๆ ที่จะช่วยให้ผู้คนทั่วโลกสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และติดต่อสื่อสารกับผู้อื่นได้อย่างสะดวกและปลอดภัยยิ่งขึ้น

“ หาก เราสามารถควบคุมการละเมิดลิขสิทธิ์ได้ เราจะมีทรัพยากรเพิ่มมากขึ้นในการสร้างสรรค์นวัตกรรมที่มีคุณภาพในเวลาที่ รวดเร็วยิ่งกว่าเดิม ทั้งยังจะช่วยสร้างโอกาสใหม่ๆ ในแง่ของการสร้างงาน สร้างรายได้ รวมทั้งไอเดียใหม่ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศและสังคมโลก อย่างไรก็ตาม ปัญหาการละเมิดลิขสิทธิ์ในปัจจุบัน สะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนว่า เราได้ใช้พลังงานและทรัพยากรไปกับการปกป้องทรัพย์สินทางปัญญามากกว่าการ สร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ” สมพร มณีรัตนะกูล กล่าวเสริม

การ ผลิตซอฟต์แวร์ละเมิดลิขสิทธิ์เป็นจำนวนมหาศาลเช่นนี้ นับได้ว่าเป็นการประกอบอาชญากรรมร้ายแรง ซึ่งรายงานจากรัฐบาลและภาคอุตสาหกรรมชี้ชัดว่า เป็นแหล่งเงินให้กับเครือข่ายอาชญากรทั่วโลก โดยที่ผู้บริโภคต้องตกเป็นเหยื่อจากการสนับสนุนอาชญากรเหล่านั้น ด้วยการซื้อซอฟต์แวร์ละเมิดลิขสิทธิ์ นอกเหนือไปจากการปราบปรามการละเมิดลิขสิทธิ์แล้ว ภาครัฐยังจำเป็นที่จะต้องประกาศถึงผลจากการกระทำดังกล่าวให้ประชาชนทั่วไป ได้รับทราบเช่นเดียวกัน

การดำเนินการปราบปรามเป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งของกระบวนการการแก้ไขปัญหาที่รัฐบาล กองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ และ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กำลังร่วมมือกันเพื่อจัดการกับปัญหาดังกล่าว เพื่อประโยชน์ในระยะยาวของธุรกิจและเศรฐกิจของประเทศ อีกแนวทางหนึ่งที่สำคัญคือการให้ความรู้แก่ผู้บริโภคให้เข้าใจและตระหนักถึงคุณค่าของการซื้อซอฟต์แวร์ลิขสิทธิ์

ด้าน นายไบรอัน วิลเลียมส์ ผู้จัดการอาวุโส แผนกสืบสวนต่อต้านการละเมิดลิขสิทธ์และการปลอมแปลง กลุ่มนิติการ บริษัท ไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “ ปัญหา การละเมิดลิขสิทธิ์ในประเทศไทย นับเป็นปัญหาหลักสำหรับไมโครซอฟท์ ซึ่งไม่เพียงแต่เกี่ยวเนื่องกับการปกป้องทรัพย์สินทางปัญญาเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงการปกป้องผู้บริโภคด้วย โดยเราต้องการกระตุ้นให้ประชาชนทั่วไปตระหนักถึงคุณค่าที่แท้จริงของการซื้อ และการใช้งานซอฟต์แวร์ลิขสิทธิ์ และหลีกเลี่ยงการใช้งานซอฟต์แวร์เถื่อน ซึ่งนอกจากจะเป็นอันตรายต่อคอมพิวเตอร์แล้ว ยังจะส่งผลสัยต่ออุตสาหกรรมไอทีของประเทศโดยรวมอีกด้วย ”

ใน ขณะเดียวกันไมโครซอฟท์ ประเทศไทย ก็ได้พยายามที่จะปกป้องผู้บริโภคในทุกขั้นตอน ไม่ว่าจะเป็นการให้ความรู้เพื่อเตรียมความพร้อมให้แก่ผู้บริโภค รวมถึงให้การสนับสนุนด้านการตรวจสอบในกรณีที่ผู้บริโภคไม่แน่ใจว่าซอฟต์แวร์ ที่ซื้อมาเป็นสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์หรือไม่

คำ แนะนำจากไมโครซอฟท์ในการปกป้องตนเอง คือการเลือกซื้อซอฟต์แวร์จากแหล่งที่เชื่อถือได้เท่านั้น และเรียนรู้การแยกแยะซอฟต์แวร์ปลอมออกจากซอฟต์แวร์แท้ โดยการศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเป็นภาษาไทยได้ที่ www..com/thailand/genuine/howtotell.aspx ทั้งยังควรอัพเดทซอฟต์แวร์ป้องกันไวรัสอย่างสม่ำเสมอ โดยสามารถเข้าไปดาวน์โหลดโปรแกรม Security Essentials ได้ฟรีที่

www.microsoft.com/security_essentials (มีภาษาไทย)

ผู้บริโภคที่สงสัยว่าถูกหลอกลวงให้ซื้อซอฟต์แวร์ละเมิดลิขสิทธิ์ สามารถแจ้งเรื่องดังกล่าวมายัง Microsoft Customer Contact Center ที่ 02 263 6888 หรือหากสนใจข้อมูลเพิ่มเติม สามารถเข้าไปที่ www.microsoft.com/thailand/genuine

View :1672

เอชพีเปิดตัวบริการดาต้าเซ็นเตอร์ใหม่ สนับสนุน การออกแบบ สร้าง และบริหารจัดการศูนย์ข้อมูล

May 5th, 2011 No comments

โซลูชั่นบริการ HP Critical Facilities Implementation เป็นโซลูชั่นแบบครบวงจร พัฒนาต่อยอดจากความรู้และความเชี่ยวชาญ
ด้าน บริการ facilities ของเอชพี

เอชพีประกาศเปิดตัวโซลูชั่น การบริการ HP Critical Facilities Implementation () ซึ่งเป็นบริการครบวงจรใหม่ที่สนับสนุนกระบวนการออกแบบ ก่อสร้าง และบริหารจัดการ ศูนย์ข้อมูล (data center) ให้ทำงานได้ง่ายขึ้น โดยใช้ ผู้ให้บริการเพียงรายเดียว

โซลูชั่น บริการ HP CFI ใหม่ นี้ จะช่วย ให้ ลูกค้ามีต้นทุนในการเป็นเจ้าของ ที่ ลดลง เนื่องจากมีการผนวกรวมองค์ประกอบต่างๆ ในกระบวนการออกแบบและ จั ดสร้างศูนย์ข้อมูลตั้งแต่เริ่มต้นจนเสร็จสิ้นเข้าไว้ด้วยกัน ณ จุดเดียว จัดเป็นแบบพิมพ์เขียว ส ถาปัตยกรรมศูนย์ข้อมูลแห่งอนาคตที่พัฒนาต่อยอดจากโซลูชั่นระบบโครงสร้างพื้นฐานแบบผนวกของเอชพี (HP Converged Infrastructure) ลูกค้าจึงสามารถปรับและจัดระบบการแบ่งปัน การ ใช้ทรัพยากรที่สามารถทำงานร่วมกันได้

ทั้งนี้ ผลการสำรวจล่าสุดของการ์ทเนอร์ (1) พบว่า “กลุ่มตัวอย่างร้อยละ 46 ระบุความต้องการสร้างศูนย์ข้อมูลใหม่ 1 แห่ง หรือมากกว่านั้นภายในอีก 2 ปีข้างหน้า ขณะที่กลุ่มตัวอย่างอีกร้อยละ 54 คาดการณ์ว่า จะมีความจำเป็นต้องขยาย ศูนย์ข้อมูลที่ใช้อยู่เดิมภายในช่วงเวลาดังกล่าวเช่นกัน” การใช้โซลูชั่นสำเร็จรูปแบบครบวงจร (turnkey) ของเอชพีดังกล่าวจะทำให้ลูกค้า ใช้ เวลาในการ ติดตั้งและดำเนิน งาน ได้ เร็วขึ้น และลดต้นทุนในการขยายประสิทธิภาพใน การประมวลผล ด้านไอที

มร. เดฟ แคปปัคซิโอ รองประธานฝ่ายวิจัย การ์ทเนอร์ กล่าวว่า “การสร้าง ศูนย์ข้อมูลเป็นงานใหญ่และสำคัญ สำหรับ ธุรกิจต่างๆ และการใช้โซลูชั่นแบบ ครบวงจร โดยใช้ ผู้ให้บริการเพียงรายเดียวจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและลดต้นทุนในการดำเนินงานได้สูงสุด ทั้งยัง ช่วยลด ปัญหา ต่างๆ อีกด้วย นอกจากนี้ การที่ลูกค้าต้องการให้ศูนย์ข้อมูลมีสมรรถนะการประมวลผลที่ดีเยี่ยม ส่งผลให้ กระบวนการออกแบบและสร้างศูนย์ข้อมูลมีความซับซ้อนยิ่งขึ้น ดังนั้น การใช้โซลูชั่นแบบครบวงจรจะทำให้ลูกค้ามีประสบการณ์การทำงานที่สมบูรณ์แบบ และสามารถดำเนินงานได้ตรงตามแผนภายในระยะเวลาและข้อจำกัดที่กำหนด”

มร. ลิ-เฉา ถัง ผู้จัดการทั่วไปด้านการจัดการเทคโนโลยีสารสนเทศ เอชเอ็นเอกรุ๊ป ซึ่งเป็นลูกค้ารายใหญ่ของเอชพี และเป็นบริษัทขนาดใหญ่ที่ประกอบธุรกิจหลากหลายแขนงในประเทศจีน ได้แก่ การขนส่งทางอากาศ การท่องเที่ยว ระบบโลจิสติกส์ และบริการทางการเงิน กล่าวว่า “ธุรกิจของเรา มีการ ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง จึง จำเป็นต้องสร้างศูนย์ข้อมูล แห่ง ใหม่ ที่ได้ มาตรฐานระดับสากลอย่างรวดเร็ว เอชพีสามารถตอบสนองความต้องการของเราได้อย่างดีด้วยบริการสนับสนุนอย่างครบวงจร ทั้งทางด้านการออกแบบและเทคโนโลยีศูนย์ข้อมูลชั้นหนึ่ง ทำให้เราสามารถเปิดใช้ศูนย์ข้อมูลใหม่ได้ตรงตามกำหนดที่วางไว้”

วราภรณ์ ปิ่นโฑละ ผู้ อำนวยการ หน่วยธุรกิจ เทคโนโลยี เซอร์วิส กลุ่มธุรกิจ เอ็นเทอร์ไพรส์ บิสิเนส เอชพี ประเทศไทย เปิดเผยว่า “โซลูชั่น บริการ HP Critical Facilities Implementation จะผนวกรวมเทคโนโลยีและ แผนการพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ทั้งหมดเข้าไว้ด้วยกัน เพื่อตอบโจทย์ความต้องการทุกประเภทของลูกค้าอย่างครบถ้วน ทั้งลูกค้าที่ต้องการพัฒนาและยกระดับระบบศูนย์ข้อมูลที่มีอยู่เดิม และผู้ที่ต้องการสร้างระบบ ศูนย์ข้อมูลใหม่ทั้งหมด ปัจจุบัน ลูกค้าทั่วโลกเชื่อมั่นในวิสัยทัศน์และประสบการณ์ทางด้านการออกแบบและติดตั้งระบบศูนย์ข้อมูลของเอชพี ซึ่งมีความเชี่ยวชาญอย่างสูงทั้งในตลาดที่ พัฒนาเต็มรูปแบบแล้ว และตลาดที่มี การเติบโตอย่างต่อเนื่องอย่างจีนและอินเดีย ซึ่งอชพีได้ให้บริการ CFI เพื่อออกแบบและติดตั้งศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่ให้แก่ลูกค้าในขณะนี้”

ความรู้ความเชี่ยวชาญในการออกแบบศูนย์ข้อมูลขนาด 50 ล้านตาราง ฟุต ที่ตั้งอยู่บนพื้นยกระดับ

เอชพีส่ง บริการ CFI ใหม่เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการออกแบบและสร้าง ศูนย์ข้อมูล โดยบริการ CFI คือการพัฒนาต่อยอดจากประสบการณ์ของเอชพีทางด้านการก่อ สร้างที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและเน้นการปรับปรุงสิ่งที่มีอยู่เดิมให้ทำ งานได้ดียิ่งขึ้น ทั้งยังเป็นการขยายผลจากประสบการณ์คร่ำหวอดด้าน การออกแบบศูนย์ข้อมูลขนาดมากกว่า 50 ล้านตาราง ฟุต ที่ตั้งอยู่บนพื้นยกระดับ โดยเอชพีได้นำความเชี่ยวชาญทางด้านวิศวกรรมการออกแบบล้ำยุคมาใช้สร้างสรรค์ระบบศูนย์ข้อมูลใหม่ ที่ สมบูรณ์แบบและ นำเสนอ โซลูชั่นไอทีต่างๆ ดังนี้

· ความรู้ความเชี่ยวชาญทางด้านระบบ critical facilities แบบครบวงจร : เอชพีมีความเชี่ยวชาญในการบริหารจัดการองค์ประกอบทั้งหมดของ ศูนย์ข้อมูล ตั้งแต่ กระบวนการออกแบบและก่อสร้าง ทั้งยัง มีวิสัยทัศน์ ที่ ชัดเจน ใ นการนำเทคโนโลยีการพัฒนาระบบ สาธารณูปโภค ( facilities ) และกลยุทธ์ด้านไอทีมาผนวกรวมเข้าไว้ด้วยกัน

· การวางแผนตามความต้องการของลูกค้า : ลูกค้าจะได้รับ คำแนะนำ แผนการติดตั้งและบริหารระบบศูนย์ข้อมูลที่ออกแบบ ขึ้นเพื่อให้ตรงตามความต้องการใช้งานของลูกค้า โดยแผนงานดังกล่าวสามารถปรับขยายได้และมีความยืดหยุ่นรองรับความต้องการใช้ งานของศูนย์ข้อมูลที่มีอยู่เดิมและที่จะจัดทำขึ้นใหม่ในอนาคต

· นวัตกรรมและความเป็นผู้นำที่ได้รับการยอมรับในอุตสาหกรรมไอที : ด้วยเทคโนโลยีและบริการของเอชพี ช่วย ให้ลูกค้า สามารถ เข้าถึง คลังข้อมูล และผลงานต่างๆ ของเอชพีด้านการวางแผน ออกแบบ และก่อสร้างศูนย์ข้อมูลที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในวงการอุตสาหกรรมไอที โดยผลงานโดดเด่นที่ผ่านมาของเอชพี ได้แก่ ระบบศูนย์ข้อมูลที่ได้รับการรับรองจาก LEED เป็นรายแรกของโลก ระบบ ศูนย์ข้อมูลที่ได้รับใบประกาศเกียรติคุณ LEED GOLD เป็นรายแรกของโลก ระบบศูนย์ข้อมูลระดับ 3 จากสถาบัน Uptime เป็นรายแรกของอินเดีย และระบบศูนย์ข้อมูลแบบ “Greenfield” อีกกว่า 60 ระบบ รวม ทั้ง ระบบศูนย์ข้อมูลขนาด 100 เมกะวัตต์

โซลูชั่น บริการ HP CFI ให้บริการ โดย ผ่าน ทางหน่วยธุรกิจ บริการ HP Critical Facilities Services โดยมีราคาแตกต่างกันตามสถานที่ที่ติดตั้งและลักษณะ
การดำเนินงาน สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม สามารถเข้าไปดูได้ที่ www.hp.com/services/cfi

View :1339
Categories: Press/Release Tags:

เวทีวิพากษ์ (ร่าง) กรอบแนวทางแผนแม่บทกิจการโทรคมนาคม — วันที่ 10 พฤษภาคม 2554

May 5th, 2011 No comments

ตามที่ พระ ราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการ วิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2553 กำหนดให้ กสทช. มีหน้าที่ในการจัดทำแผนแม่บทกิจการโทรคมนาคม เพื่อเป็นกรอบแนวทางการพัฒนากิจการโทรคมนาคมของประเทศ โดยการจัดทำแผนแม่บทดังกล่าวจะต้องสอดคล้องกับแผนแม่บทการบริหารคลื่นความ ถี่ และจะต้องรับฟังความคิดเห็นของประชาชน ผู้ประกอบกิจการ และหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้อง

ดังนั้น สถาบันคุ้มครองผู้บริโภคในกิจการโทรคมนาคม (สบท.) สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) จึงได้จะให้มี การประชุม เวทีวิพากษ์ (ร่าง) กรอบแนวทางแผนแม่บทกิจการโทรคมนาคม ขึ้น ตามมติที่ประชุมคณะอนุกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคด้านกิจการโทรคมนาคม ครั้งที่ 4/2554 เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2554 โดยได้เชิญผู้ที่เกี่ยวข้องกับ (ร่าง) กรอบแนวทางแผนแม่บทฯ รวมถึงนักวิชาการที่มีความรู้ความเข้าใจมาวิเคราะห์ให้ความเห็นในเชิง วิชาการ และเปิดให้มีการรับฟังความเห็นจากผู้บริโภค ใน วันที่ 10 พฤษภาคม 2554 ณ ห้องประชุม ชั้น 1 อาคารหอประชุม สำนักงาน กสทช. ตั้งแต่เวลา 09.00 -16.30 น.

กำหนดการ

09.00 – 09.30 น. ลงทะเบียน

09.30 -10.00 น. ชี้แจงวัตถุประสงค์การประชุมฯ

โดย นายประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา

ปฏิบัติหน้าที่ ผอ. สบท.

นำเสนอ/แนวคิดของแผนแม่บทการบริหารคลื่นความถี่และแผนแม่บทกิจการโทรคมนาคม

โดย พันเอก นที ศุกลรัตน์

กทช. ปฏิบัติหน้าที่ กสทช.

นำเสนอ/แนวคิดของแผนแม่บทกิจการกระจายเสียงและแผนแม่บทกิจการโทรทัศน์

โดย นายทวี เส้งแก้ว

ตัวแทนอนุกรรมการยกร่างแผนแม่บทฯ

10.00 – 10.30น. นำเสนอ (ร่าง) กรอบแนวทางแผนแม่บทกิจการโทรคมนาคม และความคิดเห็นต่อร่างแผนแม่บทฯ จาก 3 เวที

โดย อนุกรรมการยกร่างแผนแม่บทกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์

10.30 -10.45 น. รับประทานอาหารว่าง

10.45 -12.30 น. วิพากษ์ (ร่าง) กรอบแนวทางแผนแม่บทกิจการโทรคมนาคม

โดย ดร. สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์

รองประธาน สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย

โดย นางสาวสารี อ๋องสมหวัง

เลขาธิการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค

โดย นายประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา

ปฏิบัติหน้าที่ ผอ. สบท.

โดย อาจารย์จุมพล ชื่นจิตต์ศิริ

ผู้ช่วยคณบดีฝ่ายบริการวิชาการ

คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์

ผู้ดำเนินรายการ โดย นางสาวจอมขวัญ หลาวเพ็ชร

รับฟังความคิดเห็นจากผู้เข้าร่วมเวที

12.30 -13.30 น. รับประทานอาหารกลางวัน

13.30 -15.00 น. แบ่งกลุ่มย่อย “เสนอข้อคิดเห็นต่อ กสทช. กับงานที่ควรจะทำ”

15.00 – 15.15 น. รับประทานอาหารว่าง

นำเสนอ/สรุปข้อมูล

15.15 – 16.30 น. สรุปข้อคิดเห็นต่อร่างกรอบแนวทางแผนแม่บทฯ ในมิติด้านการคุ้มครองผู้บริโภคฯ

โดย นายวีรพงษ์ เกรียงสินยศ

กรรมการและเลขาธิการมูลนิธิสุขภาพไทย

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ คณารักษ์ เจริญศิริ สำนักสื่อสารสาธารณะและบริการประชาชน

สถาบันคุ้มครองผู้บริโภคในกิจการโทรคมนาคม ( สบท.) โทรศัพท์ 02-634-6122 , 082-7911592 082-7911592

View :1428

Facebook กินแชร์โฆษณาออนไลน์ 1 ใน 3 ในสหรัฐฯ

May 5th, 2011 No comments

จากรายงานของ comScore Ad Matrix ระบุว่า ในไตราสแรกของปีนี้ ครองส่วนแบ่งจำนวนชิ้นโฆษณาออนไลน์ในสหรัฐฯถึง 1 ใน 3 โดย comScore คาดการณ์ว่าจำนวนชิ้นโฆษณาออนไลน์ทั้งหมดในไตรมาสแรกของปีนี้อยู่ที่ 1.1 ล้านล้านชิ้นโฆษณา โดยที่โฆษณาออนไลน์จำนวน 346,000 ล้านชิ้น เป็นการโฆษณาบน หรือคิดเป็น 31 เปอร์เซ็นต์ สูงกว่าสัดส่วนโฆษณาในไตรมาสที่ 3 ของปีที่แล้ว ที่อยู่ที่ 23 เปอร์เซ็นต์

ในขณะที่ยังไม่มีเว็บไหนไล่ตามติด Facebook ได้ในแง่ของปริมาณชิ้นโฆษณาออนไลน์ แม้ว่า Yahoo จะมาเป็นที่ 2 แต่ก็มีส่วนแบ่งเพียง 10 เปอร์เซ็นต์ ตามด้วย ที่มีส่วนแบ่ง 5 เปอร์เซ็นต์ AOL มีส่วนแบ่ง 3 เปอร์เซ็นต์ และ Google มีส่วนแบ่ง 2.5 เปอร์เซ็นต์ ทั้งนี้ ตัวเลขดังกล่าวเ็นตัวเลขจำนวนชิ้นโฆษณาออนไลน์ที่ปรากฎอยู่เฉพาะบนหน้าเว็บไซต์ของบริษัทเหล่านี้เท่านั้น ไม่นับรวมไปถึงจำนวนชิ้นโฆษณาออนไลน์ที่ไปปรากฎอยู่ตามเว็บไซต์พันธมิตรในเครือข่ายโฆษณา (Ad Network)

การที่ Facebook ครองส่วนแบ่งทางการตลาดของโฆษณาออนไลน์ ในแง่ของจำนวนชิ้นโฆษณาสูงที่สุด ทำให้ Facebook เดินหน้าต่อในการพัฒนาทดลองรูปแบบการนำเสนอโฆษณาที่แตกต่างออกไปให้โฆษณามีความเป็นสังคมมากขึ้น นั่นคือ โฆษณาจะมีรูปแบบเหมือนข่าวที่ผู้ใช้สามารถแชร์และส่งต่อให้เพื่อนๆ ของพวกเขาได้ดูได้เห็นได้

เครดิต
ที่มา

View :1443

ก.ไอซีที ฝึกอบรมเตรียมพร้อมเจ้าหน้าที่และผู้ประกอบการขายสินค้า OTOP ผ่านระบบ e-Commerce

May 4th, 2011 No comments

นายวรพัฒน์ ทิวถนอม รองปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เปิดเผยภายหลังพิธีเปิดการฝึกอบรมโครงการ เพื่อการสั่งซื้อสินค้าจากผู้ประกอบการโครงการหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ ( ) ว่า โครงการ e-Commerce เพื่อการสั่งซื้อสินค้าจากผู้ประกอบการโครงการหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ ( ) ถือ เป็นนโยบายสำคัญด้านหนึ่งของรัฐบาลที่เกิดจากความร่วมมือของ 6 หน่วยงาน เพื่อร่วมกันสร้างรากฐานที่สำคัญให้กับชุมชนโดยการนำเทคโนโลยีสารสนเทศและ การสื่อสารมาช่วยในการทำธุรกิจและการค้าขายบนโลกออนไลน์โดยสร้างร้านค้า สินค้า ของแต่ละท้องถิ่นให้เป็นที่รู้จักและสามารถสั่งซื้อได้จากทั่วประเทศ

“ศักยภาพของสินค้า OTOP บนตลาด e-Commerce นี้ ยังมีโอกาสอีกมาก โดยหากพิจารณาจากตัวเลขของสำนักงานสถิติแห่งชาติที่ได้สำรวจมูลค่าพาณิชย์ อิเล็กทรอนิกส์จะพบว่ามูลค่าการซื้อขายมีเพิ่มขึ้นทุกปี ซึ่งปีที่ผ่านมามีมูลค่าถึงห้าแสนกว่าล้านบาท แต่ถ้าพิจารณาเฉพาะในส่วนของผลิตภัณฑ์ OTOP จะพบว่ามีเพียง 4.5 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่มีการขายแบบ e-Commerce ซึ่ง แสดงให้เห็นว่ายังมีโอกาสในการขยายตลาดส่วนนี้ได้อีกมาก ดังนั้น กระทรวงฯ จึงได้ดำเนินโครงการร่วมกันแบบบูรณาการระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องขึ้น เพื่อสนับสนุนให้ชุมชนสามารถพัฒนาสินค้า ผลิตภัณฑ์และบริการที่มีคุณภาพ และนำไปสู่การสร้างรายได้ของชุมชน พึ่งพาตนเองได้ โดยโครงการฯ นี้ตั้งเป้าหมายในการนำ e-Commerce มาช่วยในการขยายตลาดและเชื่อมโยงไปสู่การจัดส่งและการชำระเงินที่สะดวกรวดเร็ว ครบวงจร” นายวรพัฒน์ กล่าว

ในการดำเนินงานเพื่อบรรลุเป้าหมายดังกล่าวของโครงการฯ กระทรวงฯ จึงได้มีการจัดการฝึกอบรมในลักษณะ Train the Trainer แก่ เจ้าหน้าที่จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและผู้ประกอบการที่สนใจ เพื่อให้ความรู้ ความเข้าใจ เกี่ยวกับโครงการฯ โดยได้รับความร่วมมือจากกรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย ในการคัดเลือกผู้ประกอบการที่มีศักยภาพ และเชิญผู้แทนสำนักงานพัฒนาชุมชนจากจังหวัดต่างๆ ทั่วประเทศที่สนใจผลักดันสินค้า OTOP ไป สู่การค้าบนโลกออนไลน์เพื่อเปิดตลาดให้กว้างขึ้น รวมทั้งได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานที่ร่วมลงนามในการสนับสนุนด้านวิทยากร จาก บมจ.ทีโอที บจ.ไปรษณีย์ไทย และบมจ. ธนาคารกรุงไทย ในการสร้างความเข้าใจตั้งแต่ เรื่อง การจัดการระบบธุรกิจ e-Commerce ระบบ การชำระเงิน รวมไปถึงระบบการส่งและติดตามสินค้า ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการแบบครบวงจร โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้เข้าอบรมสามารถนำความรู้ที่ได้รับไปใช้ถ่ายทอด หรือเป็นที่ปรึกษาในการให้ความรู้ แนะนำ ผู้ประกอบการในพื้นที่ของตนเองได้

“การ ฝึกอบรมนี้ จะมีการจัดอย่างต่อเนื่องทั้งในกรุงเทพมหานครและจังหวัดต่างๆ ในแต่ละภาค โดยครั้งแรกนี้เป็นการจัดฝึกอบรมให้กับเจ้าหน้าที่ของกรมการพัฒนาชุมชน และผู้ประกอบการสินค้าหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ที่สนใจ รวม 80 ราย เพื่ออบรมความรู้ในการดำเนินการธุรกิจแบบ e-Commerce และ ให้คำแนะนำโดยหน่วยงานที่ร่วมกันผลักดันโครงการฯ ในด้านต่างๆ ได้แก่ การรับชำระเงินโดยวิธีหักบัญชีของธนาคาร การเตรียมการห่อหุ้มเพื่อฝากส่งสินค้าเข้าสู่ทางไปรษณีย์ให้เหมาะสม การจัดการธุรกิจ e-Commerce ของร้านค้า OTOP บน เว็บไซต์ TOT e-Market เป็นต้น ทั้งนี้ เพื่อให้ผู้เข้ารับการฝึกอบรมในครั้งนี้ได้นำความรู้ที่ได้ไปเผยแพร่ต่อใน ชุมชน รวมถึงเป็นการเตรียมความพร้อมสำหรับการเป็นที่ปรึกษาให้กับผู้ประกอบการใน ท้องถิ่นที่มีความประสงค์เข้าร่วมโครงการดังกล่าวต่อไป” นายวรพัฒน์ กล่าว

View :1506
Categories: Press/Release Tags: , ,

เอชทีซี เปิดตัว HTC Incredible S สมาร์ทโฟนล่าสุด

May 4th, 2011 No comments

ผสานดีไซน์สวยล้ำพร้อมประสบการณ์มือถือสุดเลิศ มาพร้อม HTC Sense ยูสเซอร์อินเทอร์เฟซเวอร์ชั่นล่าสุดอันเป็นเอกลักษณ์ของเอชทีซีที่จะทำให้คุณประทับใจ

เอชทีซี คอร์ปอเรชั่น ผู้นำระดับโลกด้านนวัตกรรมและการออกแบบมือถือ ประกาศเปิดตัวสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ ที่โด่งดังมากที่สุดรุ่นหนึ่งและเป็นสมาร์ทโฟนที่ล้ำหน้าด้านเทคโนโลยีมากที่สุดรุ่นหนึ่ง นั่นคือ
“HTC Incredible S” ความล้ำหน้าดังกล่าวถือเป็นส่วนหนึ่งของคำมั่นสัญญาจากเอชทีซีในการขยายตลาดสู่สมาร์ทโฟน
ความก้าวล้ำด้านเทคโนโลยี ในขณะที่ยังคงเป็นทางเลือกที่โดดเด่นด้วยดีไซน์ ประสิทธิภาพและความคุ้มค่า
HTC Incredible S มาพร้อมกับยูสเซอร์อินเทอร์เฟซ HTC Sense อันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของเอชทีซีที่มุ่งเน้นในการสร้างประสบการณ์การใช้งานให้กับผู้ใช้ โดยใช้คนเป็นศูนย์กลางในการทำให้มือถือใช้งานง่ายขึ้นและเป็นไปตามธรรมชาติ

ปีเตอร์ โจว ซีอีโอ เอชทีซี คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า “เอชทีซีพัฒนาประสบการณ์การใช้งาน HTC Sense ในการนำนวัตกรรมอันล้ำสมัยสู่ลูกค้าของเรา ในวิถีทางที่ง่ายและเป็นธรรมชาติมากที่สุด นี่เป็นสิ่งที่ดีที่สุดบน HTC Incredible S” พร้อมกล่าวเพิ่มเติมว่า “สมาร์ทโฟนรุ่นใหม่นี้นำเสนอความน่าตื่นเต้น จากการผสมผลานกันทั้งสไตล์ นวัตกรรม และคุณสมบัติการใช้งาน ที่ยกระดับประสบการณ์การใช้มือถือของผู้คน ในวิถีทางที่เป็นส่วนตัว และเป็นตัวของตัวเองได้อย่างสมบูรณ์แบบ”

สมาร์ทโฟน HTC Incredible S อันเย้ายวน ผสมผสานดีไซน์อันล้ำสมัยเข้ากับประสบการณ์การใช้งานมือถือคุณภาพสูง สำหรับคนที่กล้าแตกต่าง HTC Incredible S เป็นสิ่งยืนยันความสำเร็จจากการทำงานร่วมกันระหว่างวิศวกรและนักออกแบบ ในการยกระดับการออกแบบที่สวยล้ำเลิศ ขอบมือถือที่เน้นให้เห็นส่วนประกอบฮาร์แวร์ภายใน การบันทึกและดูวิดีโอคมชัดราวคริสตัลระดับไฮเดฟ ใช้งานง่ายมาก บนหน้าจอซุปเปอร์แอลซีดี WVAG ขนาด 4 นิ้ว และระบบเสียงสเตอริโอเซอร์ราวซาวน์ สเหมือนหนึ่งนำระบบภาพยนตร์อันเร้าใจไว้บนมือถือคุณ

HTC Incredible S ให้คุณถ่ายภาพได้ภาพคุณภาพคมชัดสูงด้วยกล้อง 8 ล้านพิกเซล พร้อมไฟแฟลชคู่ และถ่ายวิดีโอได้อย่างง่ายดาย รวมถึงดูรูปและมิวสิคเพลงร่วมกับเพื่อนๆ โดยเชื่อมต่อมือถือเข้ากับทีวีด้วยเทคโนโลยี DLNA และต้องขอบคุณกล้องหน้าจาก HTC Incredible S ที่ทำให้คุณใช้งานวิดีโอคอลล์ ผู้ใช้งานสามารถคุยกับเพื่อนได้แบบเห็นหน้าอีกฝ่าย

กำหนดการวางจำหน่าย
HTC Incredible รุ่นใหม่วางจำหน่ายผ่านร้านค้าตัวแทนจำหน่าย ตั้งแต่วันนี้ เป็นต้นไป สนนราคาอยู่ที่ 16,900 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) โดยจะได้รับหน่วยความจำไมโครเอสดีการ์ด 8 กิกะไบต์มาในกล่อง
*ราคาและการจัดจำหน่ายอาจมีการเปลี่ยนแปลงตามแต่ละโอเปอเรเตอร์

View :1655
Categories: Press/Release Tags:

ทรู ดิจิตอลฯ เผยลุคใหม่ weloveshopping เปิดตัวโซนใหม่ GroupBuy ซื้อชิ้นเดียวราคาเหมือนซื้อยกโหล

May 4th, 2011 No comments

เปิดประสบการณ์ช้อปปิ้งล้ำสมัย เอาใจโซเชี่ยลเทรนด์ เลือกช้อป แชร์ สะดวกง่ายยิ่งขึ้น ทั้งออนไลน์ โมบายล์ ทีวี

ทรู ปรับโฉม ดึงกระแสโซเชี่ยลเน็ตเวิร์ค สร้างประสบการณ์ใหม่เอาใจนักช้อปสุดๆ เลือกซื้อสินค้ากว่า 5 ล้านรายการ ทั้งอัพเดทสินค้าใหม่ยอดนิยม หรือแชร์ต่อเพื่อนได้ทันที พร้อมแนะนำโซนใหม่มาแรง GroupBuy ภายใต้คอนเซ็ปต์ “ ซื้อยกกลุ่ม ” รวมกลุ่มซื้อสินค้า และบริการราคาพิเศษสุด ให้ซื้อสินค้าชิ้นเดียวในราคาเหมือนซื้อยกโหล ช้อปสะดวก ง่ายยิ่งขึ้น ทุกที่ทุกเวลา ผ่านทุกช่องทางคอนเวอร์เจนซ์ ทั้งออนไลน์ .com มือถือสมาร์ทโฟนผ่านเว็บไซต์ m..com หรือเลือกดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่นใหม่บนไอโฟนและแอนดรอยด์ และง่ายยิ่งขึ้นสำหรับมือถือทั่วไปผ่านระบบอัตโนมัติ เพียงกด *872# เลือกตามเมนู หรือโทร *872 ช้อปปิ้งผ่านระบบอัตโนมัติ พร้อมขยายช่องทางใหม่ในรายการโทรทัศน์ Gsquare ช่อง ทรูวิชั่นส์ และ Internet TV บนเว็บ Truelife.com รวมถึงนิตยสาร Catalog สั่งซื้อผ่าน Call Center 02900 9500

นายสรรเสริญ สมัยสุต ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สายงาน Web Business บริษัท ทรู ดิจิตอล คอนเท้นท์ แอนด์ มีเดีย จำกัด กล่าวว่า การปรับโฉมและรูปแบบใหม่ของ Weloveshopping ครั้งนี้ เป็นไปตามเทรนด์ของคนยุคปัจจุบัน ที่กระแสโซเชี่ยลเน็ตเวิร์คเข้ามามีบทบาทอย่างสูงต่อไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิต โดยปรับให้สามารถอัพเดทสินค้าใหม่ สินค้าที่กำลังเป็นที่นิยม และสินค้าที่ได้รับการแนะนำได้ทันที ทุกที่ทุกเวลา ขณะเดียวกันก็ยังแชร์สินค้าที่ชื่นชอบไปยังกลุ่มเพื่อนที่มีไลฟ์สไตล์เดียวกันในสังคมอินเทอร์เน็ตอีกด้วย ยิ่งไปกว่านั้น ยังเปิดโซนใหม่ GroupBuy ภายใต้แนวคิด “ ซื้อยกกลุ่ม ” เปิดให้ชวนเพื่อน หรือแชร์ผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ รวมกลุ่มช้อปสินค้าและบริการในปริมาณมากให้ครบดีล เพื่อรับสินค้าราคาถูกเหมือนซื้อของยกโหล โดยมีสินด้าดีลพิเศษใน Weloveshopping ให้เลือกถึง 50 ดีล ช้อปได้ทุกที่ตลอด 24 ชั่วโมง

นอกจากนี้เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนยุคปัจจุบันที่ต้องการช้อปปิ้งทุกที่ ทุกเวลาที่ต้องการ จึงขยายช่องทางเพิ่มจากเว็บไซต์ Weloveshopping.com สู่ช่องทางคอนเวอร์เจนซ์ใหม่ ทั้งมือถือสมาร์ทโฟนผ่านเว็บไซต์ m.weloveshopping.com หรือเลือกดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่นใหม่บนไอโฟนและแอนดรอยด์ และมือถือทั่วไปผ่านระบบอัตโนมัติ เพียงกด *872# เลือกตามเมนู หรือโทร *872 ช้อปปิ้งผ่านระบบอัตโนมัติ รายการโทรทัศน์ Gsquare ช่อง ทรูวิชั่นส์ 67 และ Internet TV บนเว็บ Truelife.com รวมถึงนิตยสาร Weloveshopping Catalog สั่งซื้อผ่าน Call Center 02900 9500

“มั่นใจว่า การปรับโฉมและขยายช่องทางของ Weloveshopping ครั้งนี้จะเพิ่มความสะดวก ง่ายดาย ตรงใจนักช้อปได้เลือกซื้อสินค้าคุณภาพ ที่มีให้เลือกสรรกว่า 5 ล้านรายการ ในราคาพิเศษแล้ว ยังเพิ่มโอกาสขยายช่องทางการจำหน่ายสินค้าให้เจ้าของร้านค้าที่มีอยู่มากกว่า 250,000 ร้าน สามารถนำเสนอสินค้าสู่สายตากลุ่มเป้าหมายผ่านช่องทางใหม่ อาทิ มือถือ ทีวี ซึ่งปัจจุบันมีผู้เข้าชมผ่านเว็บไซต์ Weloveshopping.com ร่วม 4 ล้านคนต่อเดือน อีกด้วย” นายสรรเสริญ กล่าวสรุป

View :1566

อสมท จับมือ กสท ผสานจุดแข็งด้านคอนเทนต์และโครงข่ายให้บริการ Interactive TV

May 4th, 2011 No comments

นายธนวัฒน์ วันสม กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บมจ.อสมท เป็นผู้ให้สัมปทานธุรกิจระบบบอกรับเป็นสมาชิกรายแรกของประเทศไทย และได้มีการให้บริการมาอย่างต่อเนื่องกว่า 20 ปี จนปัจจุบันธุรกิจสัมปทานของ บมจ.อสมท อย่างทรู วิชั่นส์ ได้กลายเป็นบริการโทรทัศน์ระบบบอกรับเป็นสมาชิกรายที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ ไทย มีฐานผู้ชมกว่า 2 ล้านครัวเรือน

“ บมจ.อสมท และ บมจ.กสท โทรคมนาคม ได้เล็งเห็นถึงประโยชน์ ที่จะได้รับในการดำเนินธุรกิจบริการโทรทัศน์ระบบบอกรับเป็นสมาชิกในรูปแบบ . จากฐานผู้ชมกว่า 20 ล้านครัวเรือนที่ปัจจุบันมีผู้เป็นสมาชิกโทรทัศน์ระบบบอกรับเป็นสมาชิกน้อยกว่า 5 ล้านราย เป็นช่องทางทางการตลาดที่น่าจะมีโอกาสเติบโตได้มากขึ้น ประกอบกับ พรบ.การประกอบกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ พ.ศ. 2551 ได้อนุญาตให้ธุรกิจโทรทัศน์ระบบบอกรับเป็นสมาชิก สามารถโฆษณาได้ 6 นาที ต่อ 1 ชั่วโมง ทำให้ธุรกิจนี้เป็นธุรกิจที่มีกฎหมายรองรับและมีทิศทางเติบโตได้ดี โดยสังเกตจากเคเบิลท้องถิ่นและทีวีดาวเทียมมีความเติบโตมากขึ้น ซึ่งโทรทัศน์ระบบบอกรับเป็นสมาชิก เป็นตลาดที่ใหญ่มีโอกาสเติบโตสูง

ทั้ง นี้ บมจ.อสมท และ บมจ.กสท โทรคมนาคม ต่างฝ่ายต่างมีศักยภาพที่จะสนับสนุนการดำเนินธุรกิจระหว่างกัน โดย กสท มีความพร้อมในระบบโครงข่ายที่มีศักยภาพสูงครอบคลุมทั่วประเทศ ความสามารถในการดูแลบำรุงรักษา และบริหารโครงข่าย ส่วน อสมท มีความพร้อมในการบริหารเนื้อหา ( Content ) ที่หลากหลายและเป็นผู้ได้รับใบอนุญาตในการใช้งานคลื่นความถี่ เพื่อให้บริการ Content และถ้านำความสามารถดังกล่าวมารวมกัน จะเป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการดำเนินธุรกิจเพื่อรองรับการแข่งขันในอนาคตได้อย่างสมบูรณ์ ”

ทั้งนี้ รูปแบบเนื้อหาครอบคลุมลูกค้าทุกประเภท รวมถึงฟรีทีวีและยังสามารถเลือกรับชมภาพยนตร์ใหม่ชนโรงแบบ Pay – per – view และรายการพิเศษต่างๆได้แบบ On Demand สำหรับการบริการหลัก ของโครงการโทรทัศน์ระบบบอกรับเป็นสมาชิก จะดำเนินการภายใต้เทคโนโลยี IP TV โดยนำส่งบริการบนเทคโนโลยีอินเตอร์เน็ต ( Internet Protocol ) ซึ่งในอนาคตจะสามารถให้บริการอื่นทุกชนิดที่สามารถนำส่งได้บนพื้นฐานเทคโนโลยี IP ( IP Platform ) ผ่านระบบอินเตอร์เน็ตไร้สายความเร็วสูง ( Ultra High Speed Broadband Internet) อันเป็นแนวโน้มของการรวมบริการสื่อสารมวลชนและสื่อ สารโทรคมนาคมในปัจจุบันและอนาคต ซึ่งผู้ใช้บริการสามารถรับชมโทรทัศน์แบบบอกรับเป็นสมาชิกได้บนเครื่อง คอมพิวเตอร์ จอโทรทัศน์ โทรศัพท์มือถือ หรืออุปกรณ์แบบพกพาทุกรูปแบบในอนาคต

ด้าน นายจิรายุทธ รุ่งศรีทอง กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “กสท เป็นผู้ลงทุนติดตั้งอุปกรณ์โทรคมนาคมบนความถี่ย่าน 2.5 – 2.6 GHz ที่ อสมท ได้รับการอนุญาตอยู่เดิมในพื้นที่ทั่วประเทศ ซึ่ง อสมท จะดำเนินการเช่าอุปกรณ์และบริการดังกล่าวของ กสทเพื่อให้ อสมท สามารถนำไปให้บริการโทรทัศน์ระบบบอกรับเป็นสมาชิกแก่ผู้ใช้บริการ ทั่วประเทศ โดยจะเริ่มจากพื้นที่กรุงเทพมหานครและเมืองใหญ่ ภายในไตรมาสที่ 3 ปี 2554 และใช้งานได้ทั่วประเทศภายในสิ้นปี 2554 ซึ่งอุปกรณ์สำหรับให้บริการจะใช้เทคโนโลยี Ultra High Speed Broadband ที่ล้ำยุคเป็นรายแรกของประเทศไทยและในภูมิภาคเอเชีย นอกเหนือจากฮ่องกงและญี่ปุ่น และคาดว่าจะสามารถได้ในไตรมาสที่ 3 ปี 2554 ”

View :1475

ไอบีเอ็มเผยกลยุทธ์ สร้างสมาร์ทเตอร์ ซิตี้ เชียงใหม่ให้เป็นศูนย์กลางของภูมิภาคทางการแพทย์และศูนย์การผลิตและจัดส่งสินค้าทางการเกษตร

May 3rd, 2011 No comments

ไอบีเอ็มเผยกลยุทธ์ สร้างสมาร์ทเตอร์ ซิตี้ เชียงใหม่ให้เป็นศูนย์กลางของภูมิภาคทางการแพทย์และศูนย์การผลิตและจัดส่งสินค้าทางการเกษตร
 

เชียงใหม่ – 3 พฤษภาคม 2554…บริษัท ไอบีเอ็ม ประเทศไทย จำกัด เผยกลยุทธ์ร่วมกับผู้บริหารเมืองเชียงใหม่ สร้างสมาร์ทเตอร์ซิตี้ เชียงใหม่ เป็นศูนย์กลางของภูมิภาคทางการแพทย์ใน 3 ด้านคือ สร้างเสริมประสิทธิภาพของโรงพยาบาล สร้างระบบการรักษาและสถานพยาบาลให้เชื่อมต่อกันทั่วทั้งจังหวัด และเสริมศักยภาพการรักษาพยาบาลให้มีคุณภาพมาตรฐานการบริการทางการแพทย์ในระดับสูง ควบคู่กับการพัฒนาสร้างแบรนด์และการตลาด เพื่อดึงดูดผู้ป่วยจากทั่วโลก พร้อมเสนอแนวทางการเป็นศูนย์การผลิตและจัดส่งสินค้าทางการเกษตร ให้ข้อมูลเชิงลึกที่สำคัญส่งตรงถึงโทรศัพท์มือถือเกษตรกร นำไปใช้วางแผนจัดการปลูก เก็บเกี่ยว และตั้งราคาผลผลิตผ่าน SMS หรือ เว็บพอร์ทัล อี-ฟาร์เมอร์ นำเทคโนโลยีมาช่วยจัดการเรื่องน้ำ และตรวจสอบกระบวนการจากแหล่งผลิตจนถึงมือผู้บริโภค สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้า ทำการตลาดสร้างตราสินค้าเชียงใหม่ฟู้ด  สร้างศักยภาพการผลิตและส่งออกไปต่างประเทศ คณะผู้บริหารเมืองเชียงใหม่ เตรียมสานต่อ โครงการให้บรรลุเป้าหมาย ภายในระยะเวลาที่กำหนด พร้อมต่อยอดวิสัยทัศน์ เชียงใหม่ เมืองสร้างสรรค์ หรือครีเอทีฟ ซิตี้

หลังจากที่ไอบีเอ็ม ได้ส่งทีม เอ็กซ์เซ็คคิวทีฟ เซอร์วิส คอร์ป ( Executive Service Corps)  หรือ ESC ที่มีความเชี่ยวชาญจากหลายประเทศทั่วโลก ลงพื้นที่ทำงานร่วมกับคณะผู้บริหารเมืองเชียงใหม่ ในการสร้างสมาร์ทเตอร์ ซิตี้ เชียงใหม่ ตามแนวทางสมาร์ทเตอร์ ซิตี้โมเดลของไอบีเอ็ม โดยคณะทำงานใช้เวลาทำงานร่วมกันเป็นเวลา 3 สัปดาห์ ในการจัดทำแผนยุทธศาสตร์ที่จะทำให้เชียงใหม่บรรลุเป้าหมายหลัก 2 ด้านคือ การสร้างเชียงใหม่ให้เป็นศูนย์กลางทางการแพทย์ และศูนย์กลางการผลผลิตและจัดส่งสินค้าทางการเกษตร  วันนี้ ไอบีเอ็มได้เปิดเผยแผนการดำเนินงานเป็นโรดแมพที่ชัดเจน เพื่อให้คณะผู้บริหารเมืองเชียงใหม่สามารถนำไปปฏิบัติได้อย่างเป็นรูปธรรม 2 แผนงาน ได้แก่

กลยุทธ์การเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์ (Medical Hub) สรุปแนวทางในการก้าวเข้าสู่การเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์ด้วยกลยุทธ์หลัก 3 ข้อคือ

1. Hospital Efficiencies สร้างเสริมประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของโรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่และ ศูนย์ศรีพัฒน์ คณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โดยการนำเทคโนโลยีและกระบวนการทางการวิเคราะห์ข้อมูล มาใช้ในการตรวจรักษา ปรับปรุงเวลาในการให้บริการ เพิ่มความถูกต้องของการใช้อุปกรณ์ สร้างระบบอาคารอัจฉริยะ เพื่อประหยัดพลังงานและค่าใช้จ่าย

2. Ecosystem Integration สร้างระบบการรักษาและสถานพยาบาลในเชียงใหม่ให้เชื่อมต่อเป็นข้อมูลเดียวกันทั้งโรงพยาบาลของรัฐ เอกชน สปา สถานบริการนวดแผนไทย โดยการนำเทคโนโลยีมาช่วยเก็บรวบรวมข้อมูล ประวัติการรักษา ยา การให้บริการ เพื่อสะดวกในการรักษาคนไข้

3. Service Identification and Marketing เสริมศักยภาพการรักษาพยาบาลให้มีคุณภาพมาตรฐานและความแตกต่างในการให้บริการ จัดกลุ่มคนไข้ชาวไทยและชาวต่างชาติที่ต้องการการรักษาพยาบาลในระดับสูง คนไข้ที่ต้องการพักฟื้นระยะยาว และนักท่องเที่ยว จัดลำดับความต้องการในการรักษาพยาบาลของคนไข้กลุ่มต่างๆ พร้อมกับการพัฒนาสร้างแบรนด์และการตลาดให้เกิดการรับรู้ ในการเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวและคนไข้จากต่างประเทศที่มองหาศูนย์การแพทย์ที่มีมาตรฐาน ซึ่งนอกจากคนไข้ในชุมชนทั้งในเมืองและจังหวัดใกล้เคียงจะได้รับบริการด้านการแพทย์ที่มีคุณภาพดีขึ้นแล้ว ยังจะช่วยสร้างเชียงใหม่ให้ขยายการให้บริการรักษาพยาบาลระยะยาวอีกด้วย

กลยุทธ์การเป็นศูนย์การผลิต จัดส่งสินค้าทางการเกษตร

1. Creating insight to enable smart decision making สร้างข้อมูลเชิงลึกเพื่อให้รัฐบาลและเกษตรกรมีข้อมูลที่เกี่ยวข้องมากเพียงพอที่จะช่วยในการตัดสินใจ โดยการพัฒนาคุณภาพและการรายงานข้อมูลที่สามารถนำมาช่วยวางแผนการปลูก เก็บเกี่ยว คาดการณ์ล่วงหน้า พยากรณ์อากาศในพื้นที่ ตลาดการซื้อขาย ตั้งราคาผลผลิต ด้วยการใช้ อี-ฟาร์มเมอร์ เว็บ พอร์ทัล (e-Farmer Portal) พร้อมทั้งมี SMS แจ้งเตือน ทางโทรศัพท์มือถือที่ให้ข้อมูลที่สำคัญดังกล่าวกับเกษตรกรได้อย่างรวดเร็วมีประสิทธิภาพ

2. Chiang Mai Food Branding สร้างตราสินค้าทางด้านอาหารของเชียงใหม่ โดยกำหนดตำแหน่งผลิตภัณฑ์ทางการตลาด ให้เป็นอาหารจากธรรมชาติที่มีความปลอดภัยสูงเพื่อบริโภคในประเทศ และเป็นอาหารที่มีราคาเหมาะสมมีคุณภาพดีเพื่อการส่งออก

3. Focusing Improvements มุ่งเน้นการปรับปรุงทางด้าน การตรวจสอบแหล่งที่มาทุกขั้นตอนของอาหาร (Food Tracebility) การบริหารจัดการเรื่องน้ำ แหล่งน้ำบริเวณไหนที่เหมาะสมกับการปลูก การจัดการเรื่องน้ำท่วม เป็นต้น

โครงการนี้ช่วยทำให้ผลผลิตการเกษตรทั้งระบบของเชียงใหม่ดึขึ้น ขณะเดียวกันผู้ประกอบการที่เกี่ยวเนื่องกับเกษตรกรรมในระบบจะสามารถประมาณการณ์การเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ดีขึ้น ลดความสูญเปล่าในขั้นตอนต่างๆ มีระบบตรวจสอบแหล่งผลิต รวมถึงการจัดการเรื่องน้ำและความปลอดภัยของอาหารอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งทั้งหมดนี้จะช่วยสร้างศักยภาพในการแข่งขันให้กับเชียงใหม่ทั้งในระดับประเทศและการส่งออกผลผลิตอาหารไปยังต่างประเทศ

นางพรรณสิรี อมาตยกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไอบีเอ็ม ประเทศไทย จำกัด กล่าว “การที่ไอบีเอ็ม ประเทศไทย สามารถผลักดันให้เชียงใหม่ได้รับเลือกเป็นหนึ่งในเมืองสำคัญทั่วโลก 24 เมืองที่ไอบีเอ็มจะลงทุนในโครงการ Excecutive Service Corps ด้วยการนำเอาความแข็งแกร่งของนวัตกรรมไอที ความรู้ความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ที่ไอบีเอ็มมี เพื่อสร้างเมืองเชียงใหม่ให้เป็นเมืองอัจฉริยะในปีนี้ รวมถึงการที่สามารถนำคณะผู้บริหารระดับสูงของไอบีเอ็มจากต่างประเทศทั้ง 5 ท่าน ซึ่งล้วนเป็นผู้เชี่ยวชาญและมีประสบการณ์ในการทำโครงการ Smarter Cities ในประเทศอื่นเป็นอย่างดีมาแล้ว เข้ามาช่วยเราจัดทำโครงการ Executive Service Corps ให้กับเมืองเชียงใหม่ จนสามารถบรรลุผลในขั้นตอนที่วางไว้ นับเป็นความภาคภูมิใจของไอบีเอ็มอย่างยิ่ง

แผนโรดแมพที่ชัดเจนที่คณะทำงานของไอบีเอ็ม ESC และคณะทำงานของจังหวัดร่วมกันศึกษาและจัดทำขึ้นนี้ นับเป็นก้าวแรกและก้าวสำคัญในการขับเคลื่อนเป้าหมายของการเป็นศูนย์กลางของภูมิภาคทางการแพทย์ และการเป็นศูนย์การผลิตและจัดส่งสินค้าทางการเกษตร หรือ Smart Food ของเชียงใหม่เป็นจริงขึ้นได้ การสานต่อแผน Roadmap ทั้งสองให้คืบหน้าต่อไปอย่างเป็นรูปธรรมและเห็นผลจริงจะเป็นประโยชน์อย่างสูงต่อจังหวัดเชียงใหม่และสอดรับกับวิสัยทัศน์ ‘เชียงใหม่ เมืองสร้างสรรค์’ ของจังหวัดในการเตรียมพร้อมที่จะขยายการเติบโตและรองรับการแข่งขันของจังหวัดในระดับประเทศต่อไป”
 

มล. ปนัดดา ดิศกุล ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวว่า “จังหวัดเชียงใหม่ขอขอบคุณ บริษัทไอบีเอ็ม ประเทศไทย จำกัด ทีม ESC คณะทำงานครีเอทีฟเชียงใหม่ และทุกหน่วยงาน ที่ได้ร่วมศึกษาและจัดทำแผนโรดแมพเพื่อสร้างเชียงใหม่ให้เป็นศูนย์กลางทางการแพทย์ และศูนย์กลางการผลิต จัดส่งสินค้าทางการเกษตร ซึ่งแผนงานนี้ถือเป็นส่วนหนึ่งในภารกิจที่สอดคล้องกับวิสัยทัศน์เชียงใหม่เมืองสร้างสรรค์ นั่นคือ การเป็นศูนย์กลางที่ได้รับการยอมรับในอุตสาหกรรมเชิงสร้างสรรค์ นวัตกรรมและการสร้างสรรค์กิจกรรม มีความสามารถ ความคิดสร้างสรรค์ ความพร้อมด้านไอที และมีการสนับสนุนนวัตกรรมที่มีอยู่ในอุตสาหกรรมหลัก เช่นเดียวกับการสร้างเมืองน่าอยู่ครบครัน ไม่ว่าจะเป็นสภาพสังคมสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ และผู้คน เป็นเมืองที่น่าสนใจสำหรับการใช้ชีวิต, การลงทุน, การท่องเที่ยว การศึกษาและการทำงาน
จังหวัดเชียงใหม่มีผลงานเด่นเป็นรูปธรรมในการพัฒนาให้เชียงใหม่เป็นเมืองสร้างสรรค์อย่างต่อเนื่องทุกปี ความช่วยเหลือของไอบีเอ็มในโครงการนี้ นับเป็นการนำเอาไอทีเข้ามาช่วยพัฒนาต่อยอดศักยภาพของเชียงใหม่ทางด้านการแพทย์ และอุตสาหกรรมการเกษตร พัฒนาความสามารถ และส่งเสริมเมืองเชียงใหม่ให้เป็นสถานที่ที่น่าสนใจสำหรับการลงทุนและธุรกิจ, พัฒนากลุ่มสร้างสรรค์กลุ่มใหม่ ๆ อีกทั้งยกระดับอุตสาหกรรมที่มีอยู่โดยให้การส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ในทุกระดับ”

View :1356
Categories: Press/Release Tags: ,